[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 01:52:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : แสงกับความว่างเปล่าหรือสุญตา  (อ่าน 1914 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5068


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 มกราคม 2554 08:21:18 »




 “ช่วงชีวิตที่เหลือของผม ผมอยากรู้ว่าธรรมชาติของแสงคืออะไร?” นั่น-เป็นคำพูดของไอน์สไตน์ที่กล่าวกับวูลฟ์กัง พอว์ลี ในปี 1916 ที่ไอน์สไตน์กล่าวนั้นส่วนหนึ่งเพราะว่าแสงนั้นถือเป็นศูนย์กลางของความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนักเทววิทยามาตั้งนานนับหลายๆ ศตวรรษ ส่วนความว่างเปล่าหรือสุญตานั้นคือบ่อเกิดของสรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาลนี้ในพุทธศาสนามาตั้งแต่ต้น และเป็นที่หัวเราะเยาะของนักวิทยาศาสตร์ “เชยๆ เก่าๆ” ซึ่งเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ส่วนใหญ่มากๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาใหม่ๆ  ของเอเชียที่มองว่า - ตามพจนานุกรมของฝรั่งอย่างผิดๆ โดยไม่คิดให้รอบคอบ - เป็นหนึ่งเดียวกันกับเทคโนโลยี

อยากพูดว่าเราได้เริ่มหรือกำลังเริ่มที่จะมีกระบวนทัศน์ทางสังคมใหม่ หรือพาราไดม์ของโลกนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลง (global paradigm shift) จากสังคมหรือโลกมนุษย์ เพราะว่าเรา - ชาวโลกทั้งหมด -  กำลังจะยุติหรือจะเลิกการเป็นแม็ตทีเรียลลิสต์ (materialist) หรือนิยมวัตถุ (matter) เพราะว่าเราหันไปมัวเมาเรื่องพลังงานหรือเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (information technology or IT) แทน และท่านผู้อ่านโปรดอย่าลืมว่าพลังงานนั้น - ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของวัตถุสสาร (matter) ที่ได้มาจากฟอสซิลคาร์บอน -  ไล่ไปถึงต้นตอจริงๆ แล้ว แยกกันไม่ได้จากจิตปฐมภูมิ ซึ่งมีมาก่อนอุบัติการณ์ของจักรวาลทั้งหลายตามที่พุทธศาสนาบอก หรือพูดง่ายๆ ก็คือเป็นคุณสมบัติของจิตไร้สำนึก (คาร์ล จุง อาจจะเข้าใจว่าจักรวาลมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คาร์ล จุง ถึงได้เรียกว่าจิตไร้สำนึกร่วมจักรวาล (universal unconscious  continuum) หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่าคือจิตปฐมภูมิก็ได้ เพราะฉะนั้นจิตปฐมภูมิคือพลังงานปฐมภูมิ เมื่อจิตได้กลายเป็นวัตถุสสาร (matter) ก็มีพลังงานเป็นฟอสซิลคาร์บอนเป็นน้ำมัน ดังนั้นกระบวนทัศน์ใหม่หรือพาราไดม์ใหม่ที่ว่าก็จะเป็นเรื่องของจิตไปแทนที่จะเป็นวัตถุสสารที่ยุติหรือเลิกไปแล้วดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้าที่มนุษย์จะหันไปสนใจเรื่องของจิตก็จะสนใจเรื่องข้อมูลข่าวสาร (IT) ก่อน ดังที่ประชากรชาวโลกทั้งหลายกำลังเมามันอยู่ในปัจจุบันนี้ และแล้วภายใน 2 หรือ 3 ปีหลังจากนั้น เราชาวโลกก็หันไปหาเรื่องของจิตแทนเรื่องกายและพลังงาน (น้ำมันก่อนกับไอทีทีหลัง) และระหว่างที่รอคอยการวิวัฒนาการของจิตอยู่นั่นเอง โลกและสังคมมนุษย์ถึงคราวจะ ต้องเปลี่ยนแปลง เพราะมนุษย์เราเองเป็นผู้เลือกเช่นนั้น เราเองที่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเราทำผิดครรลองตามที่ธรรมชาติกำหนดหรือแนวทางแห่งธรรมะ ซึ่งประกอบด้วยธรรมชาติ 2 ระดับ ธรรมชาติที่มองเห็นกับธรรมชาติที่ละเอียดกว่านั้น คือไม่มีทางมองเห็นที่กล่าวมาแล้วหลายครั้ง เราที่เป็นธรรมชาติทั้ง 2 ระดับ แต่เรากลับปฏิเสธธรรมะหรือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับนั้น เราปฏิเสธว่าระบบทุกๆ ระบบที่เรานำมาใช้บริหารจัดการกับธรรมชาติ นั้น-มันผิดทุกระบบเลย ทั้งระบบการเมือง สังคม การศึกษา โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจที่พูดมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่าง ป่าไม้ที่เพชรบุรีเกิดมีเถาวัลย์งอกมาปกคลุมอย่างรุนแรงจนต้นไม้ยืนต้นตายเป็นวงกว้าง นั่น-เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะมนุษย์เราทำผิดธรรมชาติของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เราคิดถึงแต่ “ตัวกูของกู” เห็นแก่ตัว  และมุ่งแต่แสวงหากิเลศราคะ เราเอาแต่แตกแยกขัดแย้งกัน และช่วยแต่ “พวกกู” เท่านั้น ปรากฏการณ์ผิดธรรมชาติแบบนี้มีบ่อยๆ เพื่อเตือนให้เราตระหนัก แต่เราก็ยังทำผิดต่อธรรมชาติอยู่ร่ำไป มนุษย์เราจึงต้องเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้ - เราเองเป็นผู้เลือก โดยประชากรโลกจะหายไปอย่างฉับพลันทันที 5,000 ล้านคนโดยประมาณ ส่วนที่เหลืออยู่ราว 20% ซึ่งก็จะพอเหมาะพอสมกับสิ่งแวดล้อมโลกกับสรรพชีวิตทั้งหลาย ที่ขณะนี้ “ติดลบ” อยู่มากกว่า 25% และแล้วมนุษย์เราก็จะมีวิวัฒนาการไปสู่จิตวิญญาณ (spirituality) อันเป็นเส้นทางไปสู่นิพพานหรือความจริงที่แท้จริง (Supreme Reality) อย่าลืมว่าจิตนั้นในรูปแบบหนึ่งทางด้านของความรู้เรื่องแม่เหล็กไฟฟ้าหรืออิเล็กโตรแม็กเนติกส์นั้น ซึ่งก็คือแสงนั่นเอง

ตรงนี้อย่าลืมว่าการวิวัฒนาการของจิตที่ว่านั้น จริงๆ แล้วเป็นการวิวัฒนาการของประสบการณ์ของมนุษย์ที่ได้มาจากการบริหารเปลี่ยนจิตไร้สำนึกที่เข้ามาอยู่ในสมองให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้  (conscious cognition)  

อีกราวๆ 20 กว่าเดือน หรือเรียกว่าลัดนิ้วมือเดียวก็ได้ เราชาวโลกทั้งหลายก็อาจจะรู้ว่าเมื่อในฉับพลันทันทีทันใด ขั้ว (แม่เหล็ก) ขั้วโลกเหนือเกิดย้ายที่ไป 30 ดีกรีไปทางตะวันตก และมีประชากรโลกที่หายไปในทันทีถึง 5,000 ล้านคน ทั้งนี้ ถ้าหากว่าการทำนายของชนเผ่ามายาและอินเดียนแดงทั้งหลาย  ขบวนการนิวเอจแทบจะทั้งหมด ดร.โฮเซ อะกิลเลซ และผู้เขียน - ทำนายไม่ถูก แต่ทว่าไม่ว่าจะอย่างไร?  จะผิดอย่างไร? มุมมองของนักวิทยาศาสตร์มากหลายที่มองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น  เจมส์ ลัฟล็อก, เซอร์มาร์ติน รีส และปีเตอร์ รัสเซล รวมทั้งองค์การนาซาเองมองว่าโลกจะต้องประสบกับความหายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ จากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมโลก เพราะโลกร้อน ภายในก่อนสิ้นศตวรรษนี้ และมีโอกาสมากนักที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปี 2020 ถึงปี 2040 และประชากรโลกตอนนั้นก็จะหายไปในฉับพลันทันทีทันใดเหมือนตอนมีสึนามิ 5,000 ล้านคน ทั้งนี้ ก็เป็นการทำนายบนความเชื่อ และการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์บางคนเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าความเชื่อและนักวิทยาศาสตร์จะมีชื่อเสียงเพียงไรก็ผิดได้ นั่น - ไม่นับศาสนาทุกๆ ศาสนา รวมทั้งลัทธิพระเวทและศาสนาพุทธด้วยที่บอกว่า โลกและสังคมมนุษย์จะต้องพินาศหายนะ แม้ว่าชาวโลกจะหายไปไม่หมด แต่เราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปสู่จิตวิญญาณ (collective transformation) ทั้งหมดนั้นได้พูดไปหลายหนแล้ว   เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นไม่แน่ว่าจะมีอำนาจของสนามพลังงานจากการย้ายที่ของขั้ว (แม่เหล็ก) โลกเหนือไป 30 องศา ไปอยู่แถวๆ อะแลสกาหรือไม่? - เหมือนกับในหนังของฮอลลีวู้ด ซึ่งเรือดำน้ำของรัสเซียเกิดไปเยี่ยมเยียนอเมริกาในตอนนั้นพร้อมกับระเบิดนิวเคลียร์ พอดีมาช่วยไว้ - หรือไปทางตะวันตกอีกเล็กน้อยหรือไม่? เท่านั้น ประเทศไทยก็จะเข้าไปใกล้ๆ ขั้วโลกเหนืออีก 30 ดีกรี ทำให้ประชาชนบางคนมีโอกาสเห็นหิมะตกในฤดูหนาวได้สมใจ ที่พูดนี้ก็ได้พูดมาแล้วหลายหนเหมือนกัน

ผู้เขียนขอให้ลูกสาวบุญธรรมถามบี อแลน วอลเลซ นักฟิสิกส์และนักปรัชญามีชื่อผู้ได้รับเชิญมาพูดที่มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ศาลายา เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ว่างหรือเทศะอันสมบูรณ์เป็นปรมัตถ์ (ultimate  space) เป็นสิ่งเดียวกับสุญตาของพุทธศาสนาหรือไม่? ซึ่งเขาก็ตอบว่า - ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน อย่าลืมว่าที่ว่างอันสมบูรณ์ในทางควอนตัมฟิสิกส์และซูเปอร์สตริงธีออรีแห่งจักรวาลวิทยาใหม่ หรือความว่างเปล่าทางควอนตัม (quantum vacuum) - ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับสนามแห่งความเป็นสูญ (zero-point field) -  นั่นเป็นผลโดยตรงของการสั่นสะเทือนทางควอนตัม (quantum fluctuation) พลังงานที่ทางควอนตัมฟิสิกส์บอกว่าได้มาจากการสลายไปของจักรวาลเก่า (ในทางจักรวาลวิทยาใหม่ซึ่งมีมาไม่ถึง 10 ปี  และเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ปัจจุบันพากันเชื่อมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ นั้น โดยบอกว่าจักรวาลมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุดดั่งที่ทางพุทธศาสนาว่าไว้ อนามัตโก ยามัง สังสาโร บัพพะโกติ นะปัญญายาติ และอุปานิษัทก็บอกว่า นะ อันโต นะ ชาติ องค์ทะไล ลามะ จะกล่าวเสมอๆ ว่า จักรวาลมันมีไม่จบสิ้น มีบิ๊กแบ๊งๆๆๆ ไปเรื่อยๆ) แต่ผู้เขียนคิดว่าได้มาจากจิตปฐมภูมิ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเชื่อว่าที่ว่างอันสมบูรณ์  (ultimate space - สุญตาของพระพุทธองค์) รวมทั้งจิตปฐมภูมิก็อยู่นอกจักรวาล - การอยู่ข้างนอกจักรวาลหรือข้างในจักรวาลไม่ได้มีความสำคัญนักสำหรับพระพุทธองค์ เพราะผู้เขียนคิดว่าพระพุทธเจ้าน่าจะเป็นศาสดาองค์เดียวที่เป็นจีเนียส (genius) หรือสัพพัญญู ซึ่งมีวิวัฒนาการทางจิตได้สูงผ่านพ้นขั้นเนวะสัญญาณาสัญญา (หรือ non-dual คือได้ทั้ง 2 วิมุตติ ทั้งการผ่านพ้นด้วยจิตและการผ่านพ้นด้วยปัญญา) หรือตกฌานที่ 9 ที่ผ่านพ้นความเป็นอรหันต์ (ฌาน 8 หรือ causal) - ผู้เขียนคิดว่าเรา - เป็นมนุษย์ จำต้องรู้ความจริงที่แท้จริงว่าเรามาจากไหนและไปไหน? เราจะได้ไม่ผิดอีก ผู้เขียนคิดว่าเพราะเรา - มนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับผู้เขียนก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าที่อายุยังไม่ถึง 60 ดี ที่ทะนงตนคิดว่าตนรู้หมดแล้ว ซึ่ง ความจริงที่จริงแท้ ของสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ต้องรู้ คือไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก หรือเป็นความจริงแท้ จึงไม่แคร์ไม่ยี่หระอะไรหรือใครทั้งนั้น “ชีวิตเป็นของกู คนอื่นไม่เกี่ยวโว้ย!” เหมือนคนที่เป็นมะเร็งที่รักษาไม่ได้ หรือคิดว่ารักษาไม่ได้ จึงคิดว่าตายดีกว่า โดยไม่คิดว่าคนอื่น สามีหรือภรรยา มิตรหรือเจ้าหนี้ ลูกหนี้ สังคมโดยรวม ฯลฯ ที่พลอยเดือดร้อนไปด้วย นั่นไม่นับกรรมที่จะติดตัวไปทุกชาติที่ไม่ว่าใครจะเชื่อ (ฟิสิกส์ใหม่) หรือไม่เชื่อ (นิยมวัตถุ หรือ materialist หรือคลาสสิคัลฟิสิกส์ของนิวตัน) แต่ผู้เขียนเชื่อว่ามีกรรมและการเกิดใหม่กับมีชาติภพภูมิแน่ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของกรรม บางทีบางคนและบางครั้งไม่ต้องรอให้ตายแล้วเกิดใหม่เสียก่อน

คนเรานั้นโชคไม่ดีที่เกิดมาไม่มีเพื่อน มีแต่มนุษย์เผ่าพันธุ์สปีชีส์เดียว ผิดแต่เพียงสีผิวและรายละเอียดของรูปร่าง จึงผสมพันธุ์กันได้ เรา - โดยรวม - ถึงได้รักมนุษยชาติ (anthropocentric) เราเกิดมา  “เพื่อเรียนรู้ - รู้จัก - เข้าใจโลก โลกที่ว่าไปแล้วคือสิ่งที่อยู่รอบๆ กับข้างนอกตัวเรา” ใกล้หรือไกลแล้วแต่ประสบการณ์ที่เราได้รับจากตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และรู้โดยการรับรู้ - วิเคราะห์ - แปล ด้วยใจหรือจิตใจ หรือจิตรู้หรือจิตสำนึกที่ผ่านการบริหารด้วยและที่สมอง ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส ถึงได้เปิดสู่ภายนอกเพื่อรอคอยรับและรู้การสัมผัสติดต่อตลอดเวลาที่เราตื่น ผู้เขียนเชื่อว่าจิตที่เกิดจากที่ว่างอันสมบูรณ์หรือสุญตาในพุทธศาสนาเกิดมีขึ้นก่อนจะมีจักรวาล จิตนั้นย่อมซึมแทรก (permeate and  penetrate) ไปทั่วสรรพสิ่ง มนุษย์ทุกๆ คน สัตว์โลกทุกๆ ตัว และต้นไม้ทุกๆ ต้น และสรรพสิ่งที่ไม่มีชีวิตทุกๆ สรรพสิ่ง - จะมีจิตอยู่ภายใน - มีเป้าหมาย หากมองจากวิวัฒนาการ หรือจุดมุ่งหมาย หากมองจากปัจเจกย่อมเจริญเติบโตไปสู่ความซับซ้อนทั้งนั้น โดยธรรมชาติจากความหลากหลายของชั้น อันดับ ตระกูล จนถึงสปีชีส์ที่จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ ตามลำดับและใช้เวลาน้อยลง แบคทีเรียมีมากมายหลากหลายและใช้เวลาเป็นพันล้านปีถึงจะมีวิวัฒนาการ แมลงต่างๆ มีมากมาย แต่น้อยกว่านั้น หมาลิงยิ่งมีและใช้เวลาน้อยกว่า และมนุษย์ที่มีวิวัฒนาการทั้งรูปและนานมากที่สุดมีสปีชีส์เพียงหนึ่งเดียว และใช้เวลาเพียงแสนกว่าปีในการมีวิวัฒนาการทางรูป และจะใช้เวลาน้อยกว่านั้นในการวิวัฒนาการทางจิตถึงจุดโอเมกาหรือสภาวะจิตวิญญาณ โดยเฉพาะจิตวิญญาณร่วมโดยรวม (collective spirituality).

http://www.thaipost.net/sunday/230111/33242

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,4943.msg20841.html#msg20841

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1996 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2050 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวจริงๆ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1467 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 14:31:09
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลแห่งแสงเสียงและดนตรี
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 7519 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:37:13
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มันอาจจะมาตรงเวลาก็ได้
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1456 กระทู้ล่าสุด 13 มิถุนายน 2553 15:39:49
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.403 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 23 มกราคม 2567 11:34:34