[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 มีนาคม 2567 09:35:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า:  1 2 [3]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเถรีสมัยพุทธกาล  (อ่าน 45248 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 มีนาคม 2553 10:39:57 »





พระเถรี... สมัย... พุทธกาล


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05 มิถุนายน 2554 20:23:45 โดย เงาฝัน » บันทึกการเข้า
 
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #41 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 10:40:01 »



http://i18.photobucket.com/albums/b121/Zantha/YunGang/YG.jpg
พระเถรีสมัยพุทธกาล


ถ่านกลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม

เศรษฐีได้ฟังสหายแนะนำแล้วเห็นดีด้วย จึงทำตามสหายแนะนำทุกอย่าง
ประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็พูดกันว่า ““คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ท่านกลับมานั่งขายถ่าน”
เศรษฐีตอบว่า “ก็เรามีแต่ถ่านอย่างเดียว สิ่งอื่น ๆ ของเราไม่มี”

วันนั้น นางกีสาโคตมีเดินเข้าไปธุระในตลาดเห็นเศรษฐีแล้วนึกประหลายใจ
จึงถามว่า “คุณพ่อ คนอื่น ๆ คนอื่น ๆ เขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อกลับเงินเอาทองเล่า”

“เงินทองที่ไหนกัน แม่หนู” เศรษฐีกล่าว
“คุณพ่อ ก็ที่กองอยู่นี่ไง” พูดแล้วนางก็กอบเต็มมือให้เศรษฐีดู ทันใดนั้น
เศรษฐีก็เห็นถ่านในกำมือของนางกลายเป็นเงินเป็นทองจริง ๆ

จากนั้น เศรษฐีได้สอบถามถึงสถานที่อยู่และตระกูลของนางแล้ว ได้สู่ขอนาง
มาทำพิธี อาวาหมงคลกับบุตรชายของตนแล้วมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏินั้น
ให้แก่นาง ทรัพย์เหล่านี้ก็กลับเป็นเงินเป็นทองดังเดิม





อุ้มศพลูกหาหมอรักษา

นางได้อยู่ร่วมกับสามีจนมีบุตรหนึ่งคนในขณะที่บุตรของนางอยู่ในวัยพอเดินได้
เท่านั้นก็ถึงแก่ความตาย นางห้ามมิให้คนนำบุตรของนางไปเผาหรือไปทิ้งในป่าช้า
เพราะนางไม่เคยเห็นคนตาย จึงอุ้มร่างบุตรชายที่ตายแล้วนั้นเที่ยวเดินถาม
ตามบ้านเรือนต่าง ๆ ว่ามียารักษาบุตรของนางบ้างหรือไม่ คนทั้งหลายพากันคิดว่า
“นางคงจะเป็นบ้า จึงเที่ยวหายารักษาคนตายให้ฟื้น”
อุบาสกผู้มีปัญญาคนหนึ่งเห็นกิริยาของนางแล้วก็คิดว่า “นางคงจะมีบุตรคนแรก
จึงรักบุตรมาก และคงจะไม่เคยเห็นคนตาย จึงไม่รู้ว่าความตาย
เป็นอย่างไร เราควรจะแนะนำทางให้นางดีกว่า” จึงกล่าวกับนางว่า:-

“แม่หนู ฉันเองไม่รู้จักยารักษาลูกของเธอหรอก แต่พระสมณโคดม ขณะนี้
ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน พระองค์ท่านรู้จักยาที่รักษาลูกของเธอได้”
นางรู้สึกดีใจที่ทราบว่ามีคนสามารถรักษาลูกของนางให้หายได้ จึงอุ้มลูกน้อย
รีบมุ่งหน้าตรงไปยังพระวิหารเชตวัน เข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมศาสดา
แล้วทูลถามหายาที่จะมารักษาลูกของนางให้หายได้

พระพุทธองค์รับสั่งให้นางไปหาเมล็ดพันธุผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาเป็นเครื่อปรุงยา
แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาด
ที่ได้จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อนเท่านั้นจึงสามารถใช้เป็นเครื่องปรุงยาได้



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มิถุนายน 2554 12:28:06 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: ลงใหม่ค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #42 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 10:54:22 »



http://i18.photobucket.com/albums/b121/Zantha/YunGang/Lotus03.jpg
พระเถรีสมัยพุทธกาล


พระศาสดาบอกยาให้

ในดวงจิตของนางคิดว่า ของสิ่งนี้หาไม่ยาก นางอุ้มร่างลูกน้อยเข้าไปในหมู่บ้าน
ออกปากขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดตั้งแต่บ้านหลังแรกเรื่อยไป ปรากฏว่าทุกบ้าน
มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดทั้งนั้น แต่พอถามว่าที่บ้านนี้เคยมีคนตายหรือไม่ เจ้าของบ้าน
ต่างก็ตอบเหมือนกันอีกว่า “ที่บ้านนี้ คนที่ยังเหลือยู่นี้น้อยว่าคนที่ตายไปแล้ว”

เมื่อทุกบ้านต่างก็ตอบนอย่างนี้นางจึงเข้าใจว่า “ความตายนั้นเป็นอย่างไร
และคนที่ตาย ก็มิใช่ว่าจะตายเฉพาะลูกของเธอเท่านั้น
ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายเหมือนกันหมด” นางจึงวางร่างลูกน้อยไว้ในป่า
แล้วกลับไปกราบทูลพระบรมศาสดาว่า
“ไม่สามารถจะหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากบ้านเรือนที่ไม่เคยมีคนตายได้”

พระพุทธองค์ได้สดับคำกราบทูลของนางแล้วตรัสว่า:-

“โคตมี เธอเข้าใจว่าลูกของเธอเท่านั้นหรือที่ตาย อันความตายนั้น
เป็นของธรรมดาที่มีคู่กับสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลก
เพราะว่ามัจจุราชย่อมฉุดคร่าสัตว์ทั้งหมด ผู้มีอัธยาศัยเต็มเปี่ยม
ไปด้วยกิเลสตัณหา
ให้ลงไปในมหาสมุทรคือ อบายภูมิ อันเป็นเสมือนว่าห้องน้ำใหญ่ ฉะนั้น”

นางได้ฟังพระดำรัสของพระบรมศาสดาจบลงก็ได้บรรลุอริยผลดำรงอยู่
ในพระโสดาบัน แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดา
รับสั่งให้ไปบรรพชาในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ นางบวชแล้วได้นามว่า
กีสาโคตมีเถรี

วันหนึ่งพระเถรีได้ไปทำความสะอาดโรงอุโบสถ เห็นแสงประทีปที่จุดอยู่
ลุกโพลงขึ้นแล้วหรี่ลงสลับกันไป นางจึงถือเอาดวงประทีปนั้นเป็นอารมณ์กรรมฐานว่า
สัตว์โลกก็เหมือนกับแสงประทีปนี้
มีเกิดขึ้นและดับไป แต่ผู้ถึง
พระนิพพาน
ไม่เป็นอย่างนั้น”




ขณะนั้น พระผู้มีประภาคประทับอยู่ภายในพระคันธกุฎิ ทรงทราบด้วยพระญาณว่า
นางกำลังยึดเอาเปลวดวงประทีปเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่นั้น
จึงทรงแผ่พระรัศมีไปปรากฏประหนึ่งว่าพระองค์ประทับนั่งตรงหน้าของนางแล้วตรัสว่า:-


“อย่างนั้นแหละโคตมี สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นและดับไป
เหมือนเปลวดวงประทีปนี้ แต่ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่ปรากฏอย่างนั้น

ความเป็นอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียวของผู้เห็นพระนิพพาน
ย่อมประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นพระนิพพานนั้น”

เมื่อสิ้นสุดพระพุทธดำรัส นางก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ดำรงตนเป็นพระเถรี
ผู้เคร่งครัดในการใช้สอยบริขาร ยินดีเฉพาะผ้าไตรจีวร
ที่มีสีปอน ๆ และเศร้าหมองเที่ยวไปทุกหนทุกแห่ง
ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา จึงได้ประทานแต่งตั้งพระเถรีนี้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่าย ผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 มิถุนายน 2554 14:28:36 โดย เงาฝัน, เหตุผลที่แก้ไข: เพิ่มภาพค่ะ » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #43 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 11:22:40 »




พระสิงคาลมาตาเถรี

เอตทัคคะในฝ่ายผู้พ้นกิเลสด้วยศรัทธา
พระสิงคาลมาตาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์ เดิมมีชื่ออย่างไรไม่ปรากฏ

เมื่อเจริญวัยได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้มีชาติตระกูลและทรัพย์เสมอกัน อยู่ครองเรือน
จนมีบุตรหนึ่งคน
บรรดาหมู่ญาติได้ตั้งชื่อบุตรชายของนางวา “สิงคาลกุมาร” ด้วยเหตุนี้ ชนทั้งหลายจึง

เรียกนางว่า “สิงคาลมาตา”


สิงคาลกุมารไหว้ทิศ ๖

สิงคาลกุมาร เมื่อเจริญวัยเติบโตขึ้น เป็นผู้เคร่งครัดในการปฏิบัติไหว้ทิศทั้ง ๖ เป็นประจำ
ทุกวัน คือ

๑. ทิศเบื้องหน้า (ทิศตะวันออก)
๒. ทิศเบื้องขวาง (ทิศใต้)
๓. ทิศเบื้องหลัง (ทิศตะวันตก)
๔. ทิศเบื้องซ้าย (ทิศเหนือ)
๕. ทิศเบื้องล่าง
๖. ทิศเบื้องบน

วันหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จออกจากพระวิหารเวฬุวันเข้าไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาละ ผู้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ มีผมและเสื้อผ้าเปียก กำลังประคองอัญชลีไว้
ทิศทั้ง ๖ อยู่จึงตรัสถามว่า
“สิงคาละ เพราะเหตุไร เธอจึงลุกขึ้นแต่เช้า ทั้งผมและเสื้อผ้าเปียกชุ่มทำการไหว้ทิศทั้ง
๖ อยู่อย่างนี้

สิงคาลกุมาร กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก่อนที่บิดาของพระพุทธเจ้าจะตายได้สั่งให้ข้าพระองค์ไหว้ทิศทั้ง ๖ เหล่านี้
ข้าพระองค์สักการะ เคารพ นับถือ และบูชาคำสั่งของบิดา จึงทำอย่างนี้พระเจ้าข้า”

สิงคาละ ตามธรรมเนียมแบบแผนของพระอริยะนั้น เขาไม่ไหว้ทิศ ๖ กัน อย่างนี้ แต่
ทิศทั้ง ๖ ของพระอริยะนั้น คือ

๑. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ มารดาบิดา
๒. ทิศเบื้องขวาง ได้แก่ ครูอาจารย์
๓. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ บุตรภรรยา
๔. ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย
๕. ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ ทาสกรรมกร
๖. ทิศเบื้องบน ได้แก่ สมณพราหมณ์

ซึ่งกุลบุตรจะต้องบำรุงดูแลรักษาและป้องกันตามสมควรแก่ฐานะ และหน้าที่อย่างถูก
ต้องเหมาะสม แล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิต ยังสิงคาละให้รื่นเริงบันเทิงใจ เกิด
ศรัทธาเลื่อมใสประกาศตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตลอดชีวิต แล้วเสร็จกลับสู่
พระเวฬุวัน

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #44 เมื่อ: 28 มีนาคม 2553 11:51:08 »




สิงคาลมาตาออกบวช

ต่อมา สิงคาลมาตา หลังจากที่สามีได้ถึงแก่กรรมแล้ว และบุตรชายของนางก็เข้าถึงพระ
รัตนตรัย นางได้ฟังพระธรรมกถาของพระบรมศาสดาแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า จึง
เข้าไปกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาต่อพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรง
อนุญาตให้ไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์ ครั้นบวชแล้วศรัทธาของนางกลับเพิ่มทวียิ่งขึ้น

วันหนึ่ง นางไปยังพระวิหารที่ประทับของพระบรมศาสดาเพื่อฟังธรรม เมื่อเห็นพระ
พุทธองค์เท่านั้น ยังมิทันที่จะเข้าไปกราบถวายบังคม ได้แต่ยืนเพ่งมองดูพระสิริสมบัติของ
พระทศพล อยู่ด้วยกำลังศรัทธาอย่างแรงกล้า

ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงทราบว่านางเป็นผู้ดำรงมั่นในศรัทธา จึงตรัสพระธรรม
เทศนาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แม้นางเองก็อาศัยศรัทธาเป็นที่ตั้ง ส่งจิตไปตามกระแสพระ
ธรรมเทศนา ได้บรรลุพระอรหัตผลในขณะที่ยืนอยู่นั้น

ในสมัยที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลายใน
ตำแหน่งต่าง ๆ ตามลำดับ ได้ทรงสถาปนา พระสิงคาลมาตาเถรี ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศ
กว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่ายศรัทธาวิมุตติ คือ ผู้หลุดพ้นกิเลสด้วยศรัทธา 




ที่มา www.84000.org

Credit by : http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?s=01240d71241e01926ba1b75189f2a204&t=8994&page=2

Pics by : Google

ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนาสาธุค่ะ
บันทึกการเข้า
winmaxlove
นักโพสท์ระดับ 1
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #45 เมื่อ: 09 เมษายน 2553 23:13:47 »

พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี




พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี


.......พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ ก็ยังเกิดในเรือนผู้มีสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้วกำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุณีรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นเลิศของภิกษุณีผู้รัตตัญญู ทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น ทำบุญมีทานเป็นต้นจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ตลอดแสนกัป ได้บังเกิดเป็นหัวหน้าทาสี ๕๐๐ ในกรุงพาราณสี ในโลกซึ่งว่างพระพุทธเจ้าในระหว่างพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า กัสสปะ กับพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลาย


ครั้งนั้นนางได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕ องค์ในวันเข้าพรรษา ลงจากเงื้อมเขานันทมูลกะมาที่อิสิปตนะ แล้วเที่ยวบิณฑบาตในเมือง ก็กลับไปอิสิปตนะอีก แสวงหาหัตถกรรมเพื่อสร้างกุฏิใน วันเข้าพรรษา ได้ชักชวนหญิงรับใช้เหล่านั้นและสามีของตนให้ช่วยกันสร้างกุฏิ ๕ หลัง พร้อมด้วยบริวารมีที่จงกรมเป็นต้น ตั้งเตียงตั่งน้ำฉันน้ำใช้และภาชนะเป็นต้นไว้เสร็จ นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าเพื่ออยู่ จำพรรษาตลอดไตรมาสในที่นั้นนั่นเอง


จึงตั้งภิกษาไว้ถวายตามวาระกัน หญิงคนใดไม่สามารถจะถวายภิกษาในวันที่ถึงวาระของตนได้ นางก็นำเอาภิกษาจากเรือนของตนไปถวายแทน นางปฏิบัติอยู่อย่างนี้ตลอดไตรมาส เมื่อถึงวันปวารณาให้นางทาสีแต่ละคนสละผ้าสาฏกคนละผืน รวมเป็นผ้าสาฏก เนื้อหยาบ ๕๐๐ ผืน ให้จัดผ้าเหล่านั้นทำเป็นไตรจีวรถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕ องค์ พระปัจเจก-พุทธเจ้าทั้ง ๕ องค์ ได้เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ต่อหน้าหญิงเหล่านั้นแล


หญิงเหล่านั้นทุกคนได้ทำกุศลจนตลอดชีวิตแล้วไปบังเกิดในเทวโลก หัวหน้าหญิงเหล่านั้นจุติจากเทวโลกนั้นไปบังเกิดในเรือนของหัวหน้าช่างหูกในหมู่บ้านช่างหูก กรุงพาราณสี รู้เดียงสาแล้วได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ซึ่งเป็นพระโอรสของพระนางปทุมวดี รู้สึกนึกรัก ไหว้ท่านทุกองค์แล้วถวายภิกษา ท่านฉันเสร็จ ก็กลับไปยังภูเขาคันธมาทน์


หญิงหัวหน้าทาสีนั้น ทำกุศลจนตลอดชีวิต เที่ยวเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ามหาสุปปพุทธะ กรุงเทวทหะ ก่อนแต่พระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติ ได้มีพระนามตามโคตรว่า โคตมี เป็นกนิษฐภคนีของ พระนางมหามายา แม้พวกหมอดูลักษณะได้พยากรณ์ไว้ว่า ทารกทั้งหลายที่อยู่ในท้องของหญิงทั้งสองนี้จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงทำมงคลทั้งสองพระองค์แล้ว นำไปยังพระราชมณเฑียรของพระองค์ในเวลาเจริญพระชนม์


ต่อมาเมื่อพระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้น ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ทำการอนุเคราะห์โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายในที่นั้นๆ โดยลำดับ ทรงอาศัยกรุงเวสาลี ประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงทำให้แจ้งพระอรหัตแล้ว เสด็จปรินิพพานภายใต้พระมหาเศวตฉัตร

.......ครั้งนั้นพระนางมหาปชาบดีโคตมีมีพระประสงค์จะผนวช เมื่อทูลขอบรรพชากะพระศาสดาครั้งแรกไม่ได้ ครั้งที่สองให้ตัดพระเกศาแล้วทรงนุ่งห่มผ้ากาสายะ พอจบการแสดง "กลหวิวาทสูตร" ได้เสด็จไปกรุงเวสาลีกับพวกหญิงบาทปริจาริกาของศากยกุมาร ๕๐๐ ซึ่งประสงค์จะบวชด้วยกัน ได้ให้พระอานนท์ทูลอ้อนวอนพระศาสดา จึงได้บรรพชาและอุปสมบทด้วย ครุธรรม ๘ ประการ ส่วนหญิงนอกนี้ได้อุปสมบทพร้อมกันทั้งหมด


ฝ่ายพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้อุปสมบทอย่างนี้แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้งนั้นพระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระนางแล้ว พระนางทรงเรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา พากเพียรภาวนาอยู่ไม่นานนัก ก็ได้บรรลุพระอรหัตที่แวดล้อมด้วยอภิญญาและปฏิสัมภิทา ส่วนภิกษุณี ๕๐๐ ที่เหลือได้อภิญญา ๖ เมื่อจบ นันทโกวาทสูตร ภายหลังวันหนึ่ง


พระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางหมู่พระอริยะในพระเชตวันมหาวิหาร กำลังทรงสถาปนาภิกษุณีไว้ในตำแหน่ง จึงทรงสถาปนาพระมหาปชาบดีโคตรมีเถรีไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศของภิกษุณี ฝ่ายรัตตัญญู ผู้รู้ราตรีนาน พระนางทรงยับยั้งอยู่ด้วยผลสุข และด้วยนิพพานสุข ดำรงอยู่ในความกตัญญู


ในวันหนึ่ง เมื่อจะทรงพยากรณ์พระอรหัตโดยมุข คือทำการสรรเสริญพระคุณและความที่มีอุปการะก่อนแก่พระศาสดาให้แจ่มแจ้งจึงได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า


“ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง หม่อมฉันขอนอบน้อมแด่พระองค์ผู้ทรงช่วยปลดเปลื้องหม่อมฉันและชนอื่นเป็นอันมากให้พ้นจากทุกข์ หม่อมฉันกำหนดรู้ทุกข์ทั้งปวงแล้ว เผาตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ให้เหือดแห้งแล้ว ได้เจริญมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ได้บรรลุนิโรธแล้ว ชนทั้งหลายเป็นมารดา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นปู่ย่าตายายกันมาในชาติก่อนๆ หม่อมฉันไม่รู้ตามความเป็นจริง ไม่พบที่พึ่ง จึงท่องเที่ยวไป ก็หม่อมฉันได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว


อัตภาพนี้เป็นอัตภาพสุดท้ายชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มี ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์ มีความพร้อมเพรียงกัน การทำโลกุตรธรรมให้ประจักษ์แก่ตนอย่างนี้ เป็นการถวายบังคมต่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระนางเจ้ามหามายาเทวีได้ประสูติพระโคดมมา เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ เพราะพระองค์ได้ทรงบรรเทากองทุกข์ของชนทั้งหลายผู้ถูกพยาธิและมรณะทิ่มแทงแล้ว”


บางคราว พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน กรุงเวสาลี พระองค์เองก็ประทับอยู่ สำนักภิกษุณี กรุงเวสาลี ในเวลาเช้าเสด็จเที่ยวบิณฑบาต เสวยภัตตาหารแล้วก็ยับยั้งอยู่ด้วยสุขในผลสมาบัติตามเวลาที่กำหนดไว้ในสถานที่พักกลางวันของพระองค์ ออกจากผลสมาบัติ พิจารณาการปฏิบัติของพระองค์เกิดโสมนัส รำพึงอายุสังขารของพระองค์อยู่ ก็ทรงรู้ว่าอายุสังขารเหล่านั้นสิ้นแล้ว ทรงดำริอย่างนี้ว่า


ถ้ากระไรจำเราจะไปพระวิหาร ขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว อำลาพระเถระทั้งหลายและเพื่อนสหพรหมจารีทุกรูป ซึ่งเป็นที่เจริญใจของตน พึงมาปรินิพพานเสียในที่นี้นี่แหละ ภิกษุณี ๕๐๐ รูป ผู้เป็นบริวารของพระนางก็ได้มีความปริวิตกเหมือนพระเถรี


ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นประทีปส่องโลกให้สว่างไสวเป็นสารถีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน กรุงเวสาลี ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีพระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้า อยู่ในสำนักนางภิกษุณีในพระบุรีอันรื่นรมย์นั้นพร้อมด้วยภิกษุณี ๕๐๐ รูป ซึ่งพ้นจากกิเลสแล้ว พระมหาปชาบดีโคตมีนั้น อยู่ในที่สงัดตรึกนึกคิดอย่างนี้ว่า


การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของพระอัครสาวกก็ดี ของพระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะก็ดี เราจะไม่ได้เห็น จำเราที่พระโลกนาถผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้ว นิพพานก่อนการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหรือคู่พระอัครสาวก พระมหากัสสป พระนันทะ พระอานนท์ และพระราหุล พระภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ รูป ก็ได้ตรึกอย่างนั้นเหมือนกัน


แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น ก็ได้ตรึกเช่นนี้เหมือนกัน ครั้งนั้นเกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์ บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพที่สิงอยู่ในสำนักภิกษุณี ถูกความโศกบีบคั้น พร่ำเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร หลั่งน้ำตาแล้วในที่นั้น ภิกษุณีทุกๆ รูป พร้อมด้วยทวยเทพเหล่านั้นเข้าไปหาพระมหาโคตมีภิกษุณี ซบศีรษะแทบพระบาทแล้วกล่าวว่า


“ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกเราถูกหยดน้ำคือวิมุตติรดแล้วในสำนักพระภิกษุณีนั้นมาด้วยกัน อยู่ในที่ลับ แผ่นดินนั้นก็ไหวหวั่นสั่นสะเทือน กลองทิพย์ ก็บันลือลั่นขึ้นเอง และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญ ข้าแต่พระโคตมีจะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นแน่”


ครั้งนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัสบอกถึง เหตุตามที่ตนปริวิตกแล้วทุกประการ ลำดับนั้นพระภิกษุณีทุกๆ รูป ก็ได้บอกถึงเหตุที่ตนปริวิตกแล้วกล่าวว่า


“ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจการนิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักนิพพานกันหมด ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงพระอนุญาต พวกข้าพเจ้าได้ออกจากเรือนจากภพพร้อมด้วยพระแม่เจ้า ก็จักไปสู่นิพพานบุรี อันยอดเยี่ยมพร้อมๆ กันกับพระแม่เจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้าเหมือนกัน พระมหาปชาบดีโคตมีได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะไปนิพพานเราจักว่าอะไรเล่า” แล้วได้ออกจากสำนักภิกษุณีไปพร้อมกับภิกษุณีทั้งหมด


ในครั้งนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้กล่าวกะทวยเทพทั้งหลายที่สิงอยู่ ณ สำนักภิกษุณีว่า “จงอดโทษแก่เราเถิด การเห็นสำนักภิกษุณีของเรานี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย ในที่ใดไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มีการประกอบด้วยสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ที่นั้นนักปราชญ์กล่าวว่า เป็นอสังขตสถาน”


พระโอรสของพระสุคตทั้งหลายที่ยังไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้นเป็น ผู้โศกกำสรดปริเทวนาการว่า น่าสังเวชหนอ พวกเราเป็นคนมีบุญน้อย สำนักนางภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เว้นภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีผู้ชิโนรสจะไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลายไม่ปรากฏในเวลาสว่างฉะนั้น พระโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพานพร้อมกับภิกษุณี ๕๐๐ รูป เหมือนกับแม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาครพร้อมกับแม่น้ำ ๕๐๐ สาย ฉะนั้น


อุบาสิกาทั้งหลายผู้มีศรัทธาเห็นพระโคตมีภิกษุณีนั้น กำลังเสด็จไปตามถนนได้พากันออกจากเรือนหมอบแทบเท้าแล้วกล่าวว่า


“ข้าพเจ้าทั้งหลายเลื่อมใสในพระแม่เจ้า พระแม่เจ้าจะละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ให้เป็นคนอนาถาเสียแล้ว พระแม่เจ้ายังไม่สมควรที่จะปรินิพพาน”


อุบาสิกาเหล่านั้นถูกความอยากให้ท่านอยู่บีบคั้น แล้วเพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้นละเสียซึ่งความโศก พระเถรีจึงได้กล่าวอย่างเพราะพริ้งว่า


“อย่าร้องไห้ไปเลยลูกเอ๋ย วันนี้เป็นเวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย ความทุกข์เราก็กำหนดรู้แล้ว ตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์เราก็เว้นขาดแล้ว ความดับทุกข์เราก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว ทั้งมรรค เราก็ได้อบรมดีแล้ว พระศาสดาเราก็ได้บำรุงแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเราก็ได้ทำเสร็จแล้ว ภาระอันหนักเราก็ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปในภพเราก็ถอนเสียแล้ว คนทั้งหลายออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราก็บรรลุแล้วโดยลำดับ สังโยชน์ทุกอย่างก็หมดไป


พระพุทธเจ้าและพระสัทธรรมของพระองค์มิได้บกพร่อง ยังดำรงอยู่ตราบใด กาลเวลาที่เรานิพพานก็ดำรงอยู่ตราบนั้น ลูกเอ๋ย อย่าได้ เศร้าโศกถึงเราเลย พระโกณฑัญญะ พระอานนท์และพระนันทะเป็นต้นก็ยังอยู่ พระราหุลพุทธชิโนรสก็ยังอยู่ พระสงฆ์ก็อยู่ร่วมกันเป็นสุข พวกเดียรถีย์ก็ยังโง่ หายกระด้างแล้ว”


“ลูกเอ๋ย..ยศของพระผู้เป็นวงศ์ของพระเจ้าโอกกากราช ถูกยกย่องว่า ย่ำยีผู้เป็นมาร กาลเวลาสำหรับการนิพพาน เป็นสมบัติของเรามิใช่หรือ?”


“ลูกเอ๋ย..ความปรารถนาอันใดของเรา มีมาเป็นเวลาช้านาน ความปรารถนาอันนั้น ก็สำเร็จแก่เราในวันนี้ เวลานี้เป็นเวลาที่จะลั่นกลองอานันทเภรี (ตีกลองแสดงความยินดี) น้ำตาของท่านทั้งหลายจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าท่านทั้งหลายจะมีความเอ็นดู ทั้งมีความกตัญญูในเราไซร้ ขอให้ท่านทุกคน จงทำความเพียรมั่น เพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรมเถิด พระสัมพุทธเจ้าอันเราทูลอ้อนวอน จึงได้ประทานบรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราร่าเริงฉันใด ท่านทั้งหลายก็จงเจริญรอยตามซึ่งความร่าเริงนั้นฉันนั้นเถิด”


ครั้นพระเถรีพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านี้แล้ว เสด็จนำหน้าภิกษุณีทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถวายบังคมแล้ว ได้กราบทูลดังนี้ว่า


“ข้าแต่พระสุคต หม่อมฉันเป็นพระมารดาของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็นพระบิดาของหม่อมฉัน”


“ข้าแต่พระโลกนาถ พระองค์เป็นผู้ประทานความสุข อันเกิดจากพระสัทธรรมให้หม่อมฉัน”


“ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉันเป็นผู้อันพระองค์ทรงทำให้เกิด”


“ข้าแต่พระสุคต รูปกายของพระองค์นี้อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอันน่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ก็ทรงทำให้เจริญเติบโตแล้ว พระองค์อันหม่อมฉันให้ดูดดื่มนม อันระงับเสียได้ซึ่งความอยากชั่วครู่ ส่วนหม่อมฉัน พระองค์ก็โปรดให้ดูดดื่มน้ำนมคือธรรมอันสงบอย่างยิ่งแล้ว”


“ข้าแต่พระมหามุนี พระองค์ชื่อว่า มิได้ทรงเป็นหนี้หม่อมฉัน เพราะการรักษาไว้ซึ่งพันธะ อันสตรีทั้งหลายผู้อยากได้บุตรวอนขออยู่ ก็ย่อมจะได้บุตรเช่นนั้น สตรีที่เป็นพระมารดาของพระนราธิบดีมีพระเจ้ามันธาตุราชเป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาในห้วงมหรรณพคือภพ”


“ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันผู้จมดิ่งอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ อันพระองค์ให้ข้ามสาครคือภพแล้ว พระนามว่ามเหสีพันปีหลวง สตรีทั้งหลายได้ง่าย พระนามว่า พระพุทธมารดา สตรีทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีระ ก็พระนามว่าพระพุทธมารดานั้นหม่อมฉันได้แล้ว ความปรารถนาไม่ว่าน้อยใหญ่ของหม่อมฉันทั้งหมดนั้น หม่อมฉันได้บำเพ็ญแล้วกับพระองค์ หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้นิพพาน”


“ข้าแต่พระมหาวีระผู้ทำที่สุดทุกข์ เป็นผู้นำ ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตแก่หม่อมฉันเถิด ขอได้โปรดทรงเหยียดออกซึ่งพระยุคลบาท อันเกลื่อนกล่นไปด้วยลายจักร และธงอันละเอียดอ่อนเหมือนกับดอกบัวเถิด หม่อมฉันจะถวายบังคมพระยุคลบาทนั้น จะขอทำความรักเยี่ยงโอรสแด่พระองค์”


“ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นผู้นำ ขอพระองค์โปรดทรงแสดงพระวรกายทำพระสรีระที่สุกปลั่ง ดังกองทองให้เป็นเหตุปรากฏ หม่อมฉันจึงจะเข้าสู่ปรินิพพานพระเจ้าข้า”


พระชินพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงพระวรกาย ที่ประกอบด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ประดับด้วยพระรัศมี อันงามเหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสงอ่อนๆ ในยามสนธยา กะพระมาตุจฉาเจ้า ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระบาทอันเป็นประกาย คล้ายดอกบัวบานมีพระรัศมีงามดังดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ พระนางได้กราบทูลว่า


“หม่อมฉันขอน้อมนมัสการ พระผู้เป็นอาทิตย์วงศ์จอมนรชน ผู้ทรงเป็นธงไชยแห่งอาทิตยวงศ์ หม่อมฉันมรณะเป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจะไม่ได้เห็นพระองค์อีก ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศแห่งโลก ธรรมดาสตรีทั้งหลายล้วนแต่ก่อโทษทุกอย่างแล้ว ก็พากันตายไป ถ้าโทษไรๆ ของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอพระองค์ได้โปรดกรุณาอดโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”


“อนึ่ง หม่อมฉันได้ทูลซ้ำๆ ซากๆ ให้สตรีทั้งหลายได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษของ หม่อมฉันในข้อนี้มีอยู่ ขอได้โปรดอดโทษนั้นด้วยเถิด ข้าแต่พระมหาวีระทรงไว้ซึ่งการอดโทษ ภิกษุณีทั้งหลายอันหม่อมฉันสั่งสอนแล้ว ตามที่พระองค์ทรงอนุญาต ถ้าในข้อนั้นมีการแนะนำยาก ขอได้โปรดทรงอดโทษข้อนั้นด้วยเถิด”


พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า


“ดูก่อนโคตมี ผู้ประดับไปด้วยคุณโทษที่พึงอดยังจะมีอะไรในเมื่อบอกกล่าวเสีย เมื่อท่านจะไปนิพพาน ตถาคตจักกล่าวอะไรแก่ท่านให้มากไปเล่า เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง ท่านจะออกไปเสียจากโลกนี้ก็ควร เหมือนเพราะเห็นในเวลาที่ยังมีแสงสว่างของอาทิตย์ที่อัสดงคตแล้ว รอยในดวงจันทร์ก็ออกไป”


ฉะนั้นภิกษุณีทั้งหลายนอกจากพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีพากันทำประทักษิณพระชินพุทธเจ้าผู้เลิศ พระองค์เหมือนหมู่ดาวที่ติดตามดวงจันทร์ เวียนขวาภูเขาสิเนรุ ฉะนั้น หมอบลงแทบพระบาทแล้ว ยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า


“จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยการเห็นพระองค์ โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่มด้วยภาษิตของพระองค์ จิตของหม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียวเท่านั้น อิ่มด้วยรสแห่งธรรมของพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นจอมนรชน เมื่อพระองค์บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิและมานะชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงมีพระคุณ ชนเหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้นพระบาทยาว แม้ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ”


“ข้าแต่พระนโรดม ชนเหล่าใดได้สดับพระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ กำจัดโทษเป็นประโยชน์เกื้อกูล ชนเหล่านั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ ข้าแต่พระมหาวีระ หม่อมฉันเอาใจใส่การบูชาพระบาทของพระองค์ ข้ามพ้นทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของพระองค์ผู้ทรงศิริ จึงชื่อว่าเป็นผู้มีบุญ”


ลำดับนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้มีวัตรอันงามประกาศในหมู่พระภิกษุสงฆ์แล้ว ไหว้ พระราหุล พระอานนท์ และพระนันทะ และได้ตรัสดังนี้ว่า


“ลูกเอ๋ย แม่เบื่อหน่ายในร่างกายซึ่งเสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษ เป็นที่พักของโรค เป็นเรือนร่างของทุกข์ เป็นที่โคจรของชราและมรณะ อาเกียรณ์ไปด้วยมลทินโทษต่างๆ ต้องอาศัยผู้อื่นปราศจากเรี่ยวแรง ด้วยเหตุนั้น แม่จึงปรารถนาจะนิพพานเสีย”


“ลูกเอ๋ย พ่อจงเข้าใจแม่เถิด พระนันทเถระและพระราหุลผู้น่ารัก เป็นผู้ปราศจากความโศก ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีปัญญามีความเพียรก็ได้คิดถึงธรรมดาว่าน่าติโลก ที่ปัจจัยปรุงแต่ง ปราศจากแก่นสาร เปรียบด้วยต้นกล้วย เช่นเดียวกับมายากลและพยัพแดด นอกจากนี้ยังไม่มั่นคง”


พระปชาบดีโคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระชินพุทธเจ้าพระองค์นี้เป็นผู้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าก็ต้องถึงมรณะ ซึ่งไม่เที่ยงเป็นสังขตธรรมทุกอย่างในที่ใด ก็ครั้งนั้นท่านอานนท์พุทธอนุชา ซึ่งเป็น พระอุปัฏฐากของพระชินพุทธเจ้าเป็นพระเสขบุคคล (ผู้ยังต้องศึกษา) อยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้ คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า พระโคตมีเถรีตรัสอยู่หลัดๆ ก็เสด็จไปนิพพานไม่นานเลย เปรียบเหมือนไฟที่หมดเชื้อแล้วฉะนั้น พระโคตรมีเถรีได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ผู้มีสุตะคือปริยัติอันล้ำลึก ดังสาคร (พหูสูตร) เอาใจใส่ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าซึ่งพร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวว่า


“ลูกเอ๋ย เมื่อกาลร่าเริงปรากฏขึ้นแล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการตายของแม่ การนิพพานของแม่ใกล้เข้ามาแล้วลูกเอ๋ย พระศาสดา พ่อได้ทูลเชื้อเชิญแล้วจึงได้ทรงอนุญาตให้แม่บวช ลูกเอ๋ย พ่ออย่าเสียใจไปเลย ความยากลำบากของพ่อมีผล มีบทใดอาจารย์ฝ่ายเดียรถีย์เก่าๆ ไม่เห็น บทนั้นเด็กหญิงซึ่งมีอายุ ๗ ขวบก็รู้แจ้งประจักษ์แล้ว พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ แม่เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บุคคลไปในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ แม่ก็จะไปในทิศนั้นนะลูก”


“ในกาลบางคราว พระนายกผู้เลิศในโลกกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ทรงไอแล้ว ครั้งนั้นแม่เกิดสาสารกล่าววาจาถวายพระพรว่า ข้าแต่พระมหาวีระ ขอพระองค์จงมีพระชนม์อยู่นานๆ ข้าแต่พระมหามุนีขอพระองค์จงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความเกื้อกูลและประโยชน์แก่โลกทั้งปวงเถิด ขออย่าให้พระองค์ทรงพระชราและปรินิพพานเลย”


“พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสกะแม่ผู้กราบทูลเช่นนั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนโคตมี พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิใช่บุคคลจะพึงไหว้เหมือนอย่างที่เธอไหว้อยู่ดอก แม่ได้ทูลถามว่า ก็แลด้วยประการไรเล่า พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่พึงไหว้ พระองค์อันหม่อมฉันทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกเหตุนั้นแก่หม่อมฉันเถิด พระองค์ตรัสตอบว่า เธอจงดูพระสาวกทั้งหลายผู้ปรารภความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นคงเป็นนิตย์พร้อมเพรียงกัน นี้เป็นการไหว้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ต่อแต่นั้นแม่ก็ไปสำนักภิกษุณีอยู่ผู้เดียว ก็คิดได้ว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุดแห่งไตรภพ ทรงป้องกันบริษัทที่สามัคคีกัน เอาเถิด แม่จักปรินิพพานเสีย ขออย่าได้เห็นความวิบัตินั้นเลย”


“แม่ครั้นคิดดังนั้นแล้วได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ แล้วได้กราบทูลถึงกาลเป็นที่ปรินิพพานกะพระผู้นำพิเศษ ลำดับนั้นพระองค์ได้ทรงอนุญาตว่า จงรู้กาลเอาเองเถิดโคตมี แม่เผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพทั้งปวงขึ้นได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกได้เหมือนช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่แม่มาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชาสาม แม่ก็บรรลุแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าแม่ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ แม่ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า แม่ได้ทำเสร็จแล้ว”


พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแล้ว “ดูก่อนโคตมี คนพาลเหล่าใดสงสัยในการตรัสรู้ธรรมของสัตว์ทั้งหลาย เธอจงแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อให้คนพาลเหล่านั้นและทิฏฐิเสีย”


ครั้นนั้นพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหาะขึ้นไปสู่อัมพรแสดงฤทธิ์เป็นอันมากตามพระพุทธานุญาต คือองค์เดียวเป็นหลายองค์ก็ได้ หลายองค์เป็นองค์เดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ทำภูเขาสิเนรุให้เป็นคัน พลิกมหาปฐพีพร้อมด้วยราก ทำให้เป็นร่ม กั้นร่มเดินจงกรมในอากาศ


ทำโลกให้เป็นควันประหนึ่งเวลาอาทิตย์ ๖ ดวง อุทัยขึ้น และทำโลกนั้นเกลื่อนด้วยพวงดอกไม้ตาข่ายเหมือนคล้องพวงดอกไม้ไว้ยอดเขายุคนธร เอาพระหัตถ์ข้างเดียวกำภูเขามุจลินท์ ภูเขาสิเนรุ ไว้ในระหว่างมูลนทีทั้งหลาย เหมือนดังกำเมล็ดพันธุ์ผักกาดเอาปลายนิ้วบังดวงอาทิตย์ พร้อมทั้งดวงจันทร์ไว้ ทัดทรงดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ไว้ตั้งพันดวง เหมือนทัดทรงพวงมาลัยฉะนั้น แบกน้ำในสาครทั้ง ๔ ไว้ได้ด้วยฝ่าพระหัตถ์ข้างเดียว บันดาลฝนตกห่าใหญ่มีอาการปานประหนึ่งหลั่งน้ำเหนือยอดเขายุคนธร


พระเถรีนั้นเนรมิตเป็นพระเจ้าจักพรรดิพร้อมด้วยบริษัท ณ พื้นนภากาศ แสดงให้เป็นครุฑ คชสาร ราชสีห์ ต่างบันลือเสียงกึกก้องอยู่ องค์เดียวเนรมิตให้เป็นคณะภิกษุณีนับไม่ถ้วน แล้วก็อันตรธานกลับเป็นองค์เดียว กราบทูลพระมหามุนีว่า


“ข้าแต่พระมหาวีระผู้มีพระจักษุ พระมาตุจฉาของพระองค์เป็นผู้ทำตามคำสอนของพระองค์ บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับแล้ว ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์”


พระเถรีนั้นครั้นแสดงฤทธิ์ต่างๆ แล้วลงจากพื้นนภากาศถวายบังคมพระผู้ส่องโลกแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง กราบทูลว่า


“ข้าแต่พระมหามุนีผู้นำโลก หม่อมฉันมีอายุได้ ๑๒๐ ปีนับแต่เกิด เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว หม่อมฉันจักขอทูลลานิพพาน”


ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้นต่างพิศวงยิ่งนักจึงได้พากันกระทำอัญชลีถามว่า

“ข้าแต่พระแม่เจ้า เป็นอย่างไรพระแม่เจ้า จึงบากบั่นแสดงฤทธิ์ที่ไม่มีอะไรเทียบได้”


พระมหาปชาบดีเถรีได้กล่าวบุรพจรรยาของพระองค์ดังต่อไปนี้ว่า

ในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระชินพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง เป็นผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลอำมาตย์ซึ่งสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง มั่งคั่ง รุ่งเรือง ร่ำรวย ในกรุงหังสวดี บางครั้งข้าพเจ้าพร้อมด้วยบิดานำหน้าหมู่ทาสีมีบริวารมาก เข้าไปเฝ้าพระนราสภพระองค์นั้น ได้เห็นพระชินพุทธเจ้าผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้ตกอยู่


พระองค์เป็นผู้ไม่มีอาสวะเกลื่อนกล่นไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี เช่นกับดวงอาทิตย์ในสรทกาลแล้ว ทำจิตให้เลื่อมใส และสดับสุภาษิตของพระองค์ เห็นพระผู้นำนรชนทรงสถาปนานางภิกษุณีผู้เป็นพระมาตุจฉาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงถวายปัจจัยเป็นอันมากเป็นมหาทาน แด่พระผู้เลิศกว่านรชนผู้คงที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระสงฆ์ตลอด ๗ วัน แล้วได้หมอบลงแทบพระบาทมุ่งปรารภตำแหน่งนั้น

สมเด็จพระปทุมุตตระตรัสพยากรณ์


     ลำดับนั้นองค์สมเด็จพระปทุมุตตระได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า สตรีใดได้นิมนต์พระผู้นำโลกพร้อมด้วยพระสงฆ์ ให้ฉันตลอด ๗ วัน เราจักพยากรณ์สตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าวไว้ให้ดี ในแสดกัปนับแต่กัปนี้ไป พระศาสดาพระนามว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากาช จักเป็นศาสดาในโลก สตรีผู้นั้น จักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักได้เป็นสาวิกาของพระศาสดามีพระนามว่า โคตมี จักได้เป็นพระมาตุจฉาบำรุงเลี้ยงชีวิตของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักได้ความเป็นเลิศของภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้รู้ราตรีนาน


ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้สดับพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์บำรุงพระชินพุทธเจ้าด้วยปัจจัยทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้ทำกาลกิริยา (ตาย) ไปบังเกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ ผู้ซึ่งให้สำเร็จสิ่งน่าใคร่ได้ทุกประการ ล่วงล้ำทวยเทพอื่นๆ ด้วยองค์ ๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ อายุ วรรณะ สุข ยศและรุ่งเรืองล้ำทวยเทพอื่นๆ ด้วยอธิปไตยความเป็นใหญ่ ข้าพเจ้าได้เป็นพระมเหสีผู้น่าเอ็นดูของท้าวอมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น


ก็ข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในสงสารเป็นผู้อันพายุคือกรรมพัดพาไปเกิดในตำบลบ้านของทาสในอาณาเขตของพระเจ้ากาสี ครั้งนั้นทาส ๕๐๐ ถ้วนอาศัยอยู่ในบ้านนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ได้เข้าไปบ้านเพื่อบิณฑาต ข้าพเจ้ากับญาติทุกคน เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็มีความยินดีช่วยกันสร้างกุฏิ ๕๐๐ หลัง อุปัฏฐากอยู่ ๔ เดือน แล้วถวายไตรจีวร ข้าพเจ้ากับสามีก็พากันท่องเที่ยวไป จุติจากนั้นข้าพเจ้าพร้อมกับสามีก็ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บัดนี้ภพสุดท้ายข้าพเจ้าเกิดในกรุงเทวทหะ พระชนกของข้าพเจ้าพระนามว่า อัญชนศากยะ พระชนนีของข้าพเจ้า พระนามว่า สุลักขณา


ต่อมาข้าพเจ้าได้ไปพระราชนิเวศน์ของพระจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ สตรีนอกนั้นเกิดในตระกูลศากยะ แล้วก็ไปเรือนของพวกเจ้าศากยะด้วยกัน แต่ข้าพเจ้าประเสริฐกว่าสตรีทุกคน ได้เป็นผู้บำรุงเลี้ยงพระชินพุทธเจ้า พระโอรสของข้าพเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์แล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้นำพิเศษ ภายหลังข้าพเจ้าพร้อมด้วยเจ้าสากิยาณี ๕๐๐ จึงได้บวช แล้วก็ได้ประสบสันติสุขพร้อมด้วยเจ้าสากิยาณีผู้เป็นบัณฑิต สามีของข้าพเจ้าที่ได้ทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้น เป็นผู้ทำมหาสมัยประชุมใหญ่อันพระสุคตทรงอนุเคราะห์แล้ว ก็พากันบรรลุพระอรหัต


ภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหาปชาบดีเถรีนั้นได้พากันเหาะขึ้นสู่นภากาศเป็น ผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์รุ่งโรจน์เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนายช่างทองผู้ชำนาญการทำทองแสดงเครื่องประดับหลากชนิด ฉะนั้น


ในครั้งนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นแสดงปาฏิหาริย์ได้วิจิตรหลายอย่าง ทำพระมุนีผู้เป็นพระศาสดา ผู้ประเสริฐ พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจแล้ว ได้พากันลงจากนภากาศถวายบังคมพระศาสดาพระผู้เป็นฤาษีพระองค์ที่ ๗ อันพระศาสดาผู้เป็นยอดของนรชน ทรงอนุญาตแล้วจึงได้นั่ง ณ สถานที่อันสมควรแล้วได้กราบทูลว่า


“ข้าแต่พระมหาวีระ โอหนอ...พระโคตมีเถรี เป็นผู้อนุเคราะห์ข้าพระองค์ทุกๆ คน พวกข้าพระองค์อันบุญบารมีของพระองค์อบรมแล้ว จึงพากันบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผากิเลสได้แล้ว ถอนภพทั้งปวงได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือนช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่ข้าพระองค์ทั้งหลายมาในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ


วิชชาสาม พวกข้าพระองค์บรรลุมาแล้วโดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า พวกข้าพระองค์ก็ได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าอันข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพโสตธาตุ”


“ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพระองค์ทั้งหลายชำนาญเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณชำระทิพยจักษุได้แล้ว สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีญาณในอรรถธรรมนิรุตติและปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดที่สำนักของพระองค์ ข้าแต่พระมหามุนี
บันทึกการเข้า
winmaxlove
นักโพสท์ระดับ 1
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #46 เมื่อ: 09 เมษายน 2553 23:24:39 »

       ข้าแต่พระมหามุนีผู้ทรงเป็นผู้นำ พระองค์เป็นผู้อันข้าพระองค์ทั้งหลายผู้มีเมตตาจิต บำรุงแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ทั้งหมดนิพพานเถิด”


พระชินพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอทั้งหลายเมื่อพูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน ตถาคตจักไปว่าอะไร ก็บัดนี้เธอทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาของเธอเอาเองเถิด”


ครั้งนั้นภิกษุณีเหล่านั้นมีพระปชาบดีโคตมีเถรีเป็นต้น ถวายบังคมพระชินพุทธเจ้า แล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นมา พระธีรเจ้าผู้นำเลิศของโลกพร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจนถึงซุ้มประตู


ครั้งนั้นพระปชาบดีโคตมีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหมด ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระศาสดา ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลกกราบทูลว่า


“นี้เป็นการถวายบังคมพระยุคลบาทครั้งสุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการดุจอมตะอีก ข้าแต่พระมหาวีระผู้เลิศของโลก การถวายบังคมของหม่อมฉันไม่สัมผัสพระยุคลบาทของพระองค์ ซึ่งละเอียดอ่อนดี วันนี้หม่อมฉันจะนิพพาน”


พระศาสดาตรัสว่า “ประโยชน์อะไรของเธอ ด้วยรูปนี้ในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดีเป็นของต่ำทราม”


พระมหาปชาบดีเถรีพร้อมด้วยภิกษุณีเหล่านั้นไปสำนักของภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ


ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้นผู้มีความเคารพรักในพุทธศาสนา ได้สดับประพฤติเหตุของพระเถรี ก็พากันเข้าไปหา นมัสการแทบบาทมูลร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร เต็มกลั้นด้วยความโศกเศร้า ก็ล้มลงที่พื้นพสุธาดุจเถาวัลย์รากขาดฉะนั้น พากันรำพันว่า


“ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าละทิ้งข้าพเจ้าทั้งหลายไปสู่นิพพนเลย ข้าพเจ้าทุกคนขอซบเกล้าอ้อนวอน”


พระมหาปชาบดีเถรีลูบศีรษะของอุบาสิกา ผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นกล่าวดังนี้ว่า

“ลูกเอ๋ย ความโศกสลด ซึ่งตกอยู่ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังขารทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง การพลัดพรากกันเป็นที่สุด หวั่นไหวไปมา”


ต่อแต่นั้นพระเถรีก็สละอุบาสิกาเหล่านั้น เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตตถฌาน แล้วเข้ากาสานัญจายตนฌาน วิญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ตามลำดับแล้ว พระปชาบดีโคตมีเถรีก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลมแล้ว ก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับ เหมือนเปลวประทีปที่ปราศจากเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก้บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญและฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหวเหมือนนักฟ้อนรำในท่ามกลางเวทีฟ้อนรำ


ฉะนั้น สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองเพราะความโศก ทวยเทพ นาค อสูร และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระนางปชาบดีโคตมีเถรี ถึงความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระนางปชาบดีโคตมีเถรีนี้ก็พากันนิพพาน เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อฉะนั้น


โอ้..ความพบกัน ก็มีความพลัดพรากจากกันเป็นที่สุด..!


โอ้..สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง..!


โอ้..ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด..!


ความพิไรรำพัน ได้มีแล้วด้วยประการฉะนั้น


ลำดับนั้นเทวดาและพรหม ต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรมตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้เป็นยอดฤาษี พระองค์ที่ ๗



ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า “อานนท์ เธอจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ทราบถึงการนิพพานของพระมารดา” เวลานั้นท่านพระอานนท์ผู้ร่าเริง ก็ไร้ความร่าเริง มีดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาได้กล่าวด้วยเสียงร้องไห้ว่า


“ขอภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคต ซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และ ทิศเหนือ จงมาประชุมกัน ภิกษุณีผู้ทำพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เติบโตด้วยน้ำนม มีนามว่า พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพานถึงความสงบเหมือนดวงดาวทั้งหลาย เหมือนดวงอาทิตย์อุทัยฉะนั้น พระเถรีตั้งบัญญัติทำให้รู้กันทั่วไปว่า เป็นพระพุทธมารดา นิพพานแล้วในที่ใด ถึงคนมี ๕ ตาก็แลไม่เห็น ในที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นผู้นำ ทรงเห็นได้ ขอพระโอรสของพระสุคตผู้มีความเชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของพระมหามุนี จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด


ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้วก็รีบมา บางพวกมาด้วยพุทธานุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่างช่วยกันยกเอาเตียงที่พระโคตมีเถรีหลับขึ้นไว้ในเรือนยอด (เมรุ) อันประเสริฐ น่ารื่นรมย์ ทำด้วยทองล้วนๆ งดงาม ท้าวโลกบาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือนยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะเป็นต้นเข้าช่วยรับเรือนยอด ก็เรือนยอดทั้งหมดมี ๕๐๐ หลัง


แท้จริงวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตมีสีเหมือนดวงอาทิตย์ในสุรทกาล ทวยเทพทั้งหลายได้แบกภิกษุณีทุกๆ รูปที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตามลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่วดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จด้วยทอง ได้ถูกยกขึ้นไว้เป็นอันมาก จิตกาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม ดอกบัวที่เกิดขึ้นในอากาศเอาปลายลงดอกไม้ผุดขึ้นจากแผ่นดิน ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ คนมองดูเห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยิบระยับ


อนึ่ง ดวงอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลาเที่ยง ก็ไม่ทำใครๆ ให้ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วยของทิพย์คือของหอมและดอกไม้ที่หอมตระหลบและการฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า พวกนาคอสูรและพรหม ต่างก็พากันบูชาพระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขานำไปตามสติกำลัง ภิกษุณีทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระปชาบดีโคตมีเถรีพุทธมารดา ผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะเชิญเอาไปข้างหลัง เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วยนาค อสูรและพรหมไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสาวกเสด็จไปเพื่อบูชาพระมารดา


การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพานของพระปชาบดีโคตมีเถรี อัศจรรย์ยิ่งนัก ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จประนิพพานไม่มีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลาย มีพระสารีบุตรเป็นต้น เหมือนในเวลาพระปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้น ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จด้วยของหอมล้วนและเกลื่อนไปด้วยจุรณแห่งเครื่องหอม แล้วเผาภิกษุณีเหล่านั้นบนจิตกาธารนั้น ส่วนแห่งสรีระนอกนั้นถูกไฟไหม้สิ้นเหลือแต่อัฐิ


ในเวลานั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าวว่าจาอันให้เกิดความสังเวชว่า

“พระปชาบดีโคตมีเถรีเข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระเถรีก็ถูกเผาแล้ว การนิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีกไม่นานก็คงจักมี”


ต่อจากนั้นท่านพระอานนท์อันพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนท่าน ได้น้อมพระธาตุของพระปชาบดีโคตมีเถรีซึ่งอยู่ในบาตรของพระเถรีเข้ามาถวายแด่พระโลกนาถ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้วตรัสว่า


“เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ภิกษุณียังต้องนิพพาน เหมือนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่มีแก่นยืนต้นอยู่ ถึงจะใหญ่โตก็ต้องผุพังไปฉะนั้น ดูเอาเถิดอานนท์ พระพุทธมารดาแม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ”


ท่านพระอานนท์ทูลว่า “น่าอัศจรรย์จริงหนอ พระมารดาของข้าพระองค์ แม้นิพพานแล้วเหลือแต่เพียงสรีระ ก็ไม่มีความเศร้าโศกปริเทวนาการ”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “โคตมีข้ามสาครคือสงสารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้เดือดร้อนได้แล้ว เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทแล้ว อันผู้อื่นไม่ควรเศร้าโศกถึง โคตมีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และมีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด โคตมีเป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ ทิพพโสตธาตุ และมีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ทั่วถึงปุพเพนิวาสสานุสสติญาณ ชำระทิพยจักษุให้หมดจด สิ้นอาสวะหมดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ญาณในอรรถะธรรมะ นิรุตติและปฏิภาณบริสุทธิ์

เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงโคตมีนั้น คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับแล้วดับไปโดยลำดับ ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ฉันใด คติของท่านที่หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบแล้ว ข้ามพ้นโอฆะ คือพันธะทางกาม บรรลุเอจลบท บทที่ไม่หวั่นไหวแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นทางดำเนินเถิด เธอทั้งหลายอบรมโพชฌงค์ ๗ ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #47 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:02:29 »




สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอบพระคุณ คุณ winmaxlove สำหรับการแบ่งปันนะคะ

บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #48 เมื่อ: 10 เมษายน 2553 10:17:12 »






รัก รัก รัก




http://img148.imageshack.us/img148/1097/ace8b116abed0472f964b55.jpg
พระเถรีสมัยพุทธกาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 เมษายน 2553 10:21:19 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 2.0.157.2 Chrome 2.0.157.2


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #49 เมื่อ: 08 ธันวาคม 2553 02:21:45 »

สาธุ ๆ ๆ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7861


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 10.0.648.133 Chrome 10.0.648.133


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #50 เมื่อ: 15 มีนาคม 2554 20:27:05 »


  สาธุ ๆ ๆ ๆ

 
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
tuckie
มือใหม่หัดโพสท์กระทู้
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 1

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #51 เมื่อ: 07 เมษายน 2555 11:35:21 »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ  หัวเราะลั่น
บันทึกการเข้า
godone108
godone108
นักโพสท์ระดับ 2
**

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 8


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 16.0 Firefox 16.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #52 เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2555 23:19:44 »

ขอบคุณครับ ข้อมูลดีมากอิอิ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า:  1 2 [3]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.265 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 23 มกราคม 2567 09:06:19