.ศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณออกแบบตัวศาลโดยนายระวี ชมเสรี และ ม.ล.ปุ่ม มาลากุล
องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วยปูนพลาสเตอร์ปิดทอง
ออกแบบและปั้นโดยนายจิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร
และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณ
เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๙
(วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี)รอยบิ่นของพระพรหม ศาลพระพรหม ที่สี่แยกราชประสงค์ ถูกสร้างขึ้นเพราะเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องการสร้างโรงแรมเอราวัณขึ้นเพื่อใช้รองรับชาวต่างประเทศ ซึ่งตลอดระยะเวลาดำเนินการสร้างโรงแรมแห่งนี้มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับอุปสรรคและอุบัติเหตุนานาประการระหว่างการสร้างอย่างมากมาย
และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เมื่อเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น คนไทยเราก็มักจะผูกโยงเรื่องราวเข้ากับอาถรรพ์และสิ่งเร้นลับต่างๆ มากกว่าที่จะมองหาข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติการ และโครงสร้างอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่หนทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
เรื่องราวมันจึงคาราคาซังจิตใจของผู้คนอยู่อย่างนั้นมาจนกระทั่งถึงเรือน พ.ศ. ๒๔๙๙ ทางบริษัท สหโรงแรมไทย และการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมเอราวัณ จึงค่อยติดต่อ พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่กองทัพเรือ ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับการนั่งทางในที่สุดคนหนึ่งของช่วงสมัยนั้น ช่วยดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรมให้
และก็เป็นเพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้เกิดการสร้าง ศาลพระพรหม ที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งนี้ขึ้นมา
เรื่องของเรื่องมันเริ่มจากที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านท้วงติงขึ้นมาว่า ทางโรงแรมยังไม่เคยมีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นเลยสักนิด
ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ที่โรงแรมก็ไม่ถูกต้อง แล้วจะให้เจ้าที่เจ้าทางท่านพออกพอใจได้อย่างไร?
ซ้ำร้ายชื่อ “เอราวัณ” ของโรงแรมนั้นยังเป็นชื่อศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นชื่อช้างทรงของพระอินทร์ จึงจำเป็นต้องมีการบวงสรวงที่เหมาะสม และต้องขอพรให้พระพรหมช่วยขจัดอุปสรรคทั้งหลาย ที่สำคัญคือต้องมีการสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีเมื่อสร้างโรงแรมจนแล้วเสร็จ
จึงมีการสร้างศาลพระพรหมขึ้นมาอย่างที่เห็นๆ กันอยู่มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้เอง
ผมก็ไม่ทราบว่า ทำไมเมื่อเป็นเรื่องของเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นแล้ว หลวงสุวิชานแพทย์ท่านไปลากพระพรหมเข้ามามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ได้ด้วยอีท่าไหน? แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็ยังหลุดมาจากปากคำของหลวงฯ ท่านเดียวกันนี้อยู่ดีนั่นแหละ
เพราะท่านอ้างว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประทับอยู่ภายในรูปปั้น “พระพรหม” องค์นี้ ไม่ใช่องค์พระพรหมเองเสียหน่อย แต่เป็น “ท้าวเกศโร” ซึ่งเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของ “สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” พระอนุชาและกษัตริย์พระองค์ที่สองในรัชกาลที่ ๔ ซึ่งหลวงสุวิชานแพทย์ให้ปากคำไว้ว่า พระองค์ได้ทรงไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของพระพรหมอยู่บนสวรรค์ หลังจากที่เสด็จสวรรคตไปแล้ว
ผมไม่ทราบว่าจะไปตรวจสอบได้อย่างไรว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในรูปพระพรหมที่หน้าโรงแรมเอราวัณนั้นเป็น ดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จึงอย่างที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านอ้างไว้จริงหรือเปล่า?
เพราะผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนั่งทางในเหมือนกับหลวงฯ ท่าน และแม้ว่ามนุษย์เราจะสามารถส่งจรวดไปถึงดาวพลูโต ที่สุดขอบระบบสุริยจักรวาลของเราได้แล้ว แต่ใครจำนวนมหาศาลก็ยังเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระพรหมที่แยกราชประสงค์ท่านอยู่ โดยไม่จำเป็นต้องทราบว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในคือองค์พระปิ่นเกล้าฯ ไม่ใช่พระพรหม
ผมก็คงไม่จำเป็นต้องสนใจพิสูจน์ด้วยว่า ที่หลวงสุวิชานแพทย์ท่านอ้างไว้จะเป็นเรื่องชัวร์หรือมั่วนิ่มเหมือนกันกระมังครับ?
เพราะสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ การทำความเข้าใจว่าทำไมหลวงสุวิชานแพทย์ท่านต้องอ้างเอาพระบารมีของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ มาใช้พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระอนุชาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔
ภาพจาก wikimedia.org เป็นเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้สนใจประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ในช่วงยุคเปลี่ยนผ่านจากสยามแบบดั้งเดิม มาสู่สยามแบบรัฐชาติสมัยใหม่ว่า สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงเป็นเจ้าหัวฝรั่งซ้ำยังเป็นฝรั่งเอียงข้างอเมริกันเสียด้วย ก็เอียงข้างถึงขนาดทรงพระราชทานนามให้แก่พระราชโอรสพระองค์โตของพระองค์เองว่า พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน ตามชื่อประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกันชนเลยทีเดียว (ต่อมาค่อยเปลี่ยนพระนามเป็น พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ ในภายหลัง)
ข้อมูลบางส่วนซึ่งตรวจสอบไม่ได้ชัดว่าจริงอย่างที่ว่ากันหรือเปล่า แต่ก็น่าสนใจพอที่จะนำมาพิจารณาในที่นี้ ก็คือข้อมูลที่อ้างว่า พื้นที่แยกราชประสงค์ในสมัยช่วงที่สร้างโรงแรมเอราวัณเสร็จใหม่ๆ นั้นมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สี่แยกอเมริกัน” โดยมีคำอธิบายที่สี่แยกนี้ถูกเรียกชื่อเสียฮิปขนาดนั้น เป็นเพราะบริเวณนั้นเป็นศูนย์กลางการค้าและย่านแฟชั่นทันสมัย
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่า แทบไม่มีหลักฐานยืนยันเลยว่า “สี่แยกราชประสงค์” เคยถูกเรียกว่า “สี่แยกอเมริกัน” จริงอย่างที่ใครบางคนได้อ้างไว้ลอยๆ หรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม การกล่าวอ้างอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของความเป็นย่านสมัยใหม่ ความทันสมัย อย่างเดียวกับที่คนในยุคหนึ่งใช้ สมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เป็นไปคอนหรือภาพแสดงแทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสอดคล้องที่บังเอิญหรือตั้งใจก็ตามที
ฝรั่งคนหนึ่งชื่อ เจ. อันโตนิโอ (J. Antonio) ได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ เมื่อเรือน พ.ศ. ๒๔๔๗ ตรงกับในช่วงปลายของสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้เขียนหนังสือที่คงจะแปลออกมาง่ายๆ ว่าชื่อ “นำเที่ยวบางกอกและสยาม” (Guide to Bangkok and Siam) ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่หนังสือทำนอง Lonely Planet ฉบับแรกที่ฝรั่งเขียนพาเที่ยวกรุงเทพฯ แต่ก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ในหนังสือฉบับนี้ นายอันโตนิโอบอกว่าบางกอกและสยามนั้นอยู่ “นอกเส้นทาง” (out of track) ของโลก ไม่ว่าเส้นทางที่ว่าจะเป็นเส้นทางการค้า เส้นทางท่องเที่ยวผจญภัย หรือจะเป็นเส้นทางอะไรก็ตามที แต่นายอันโตนิโอก็บันทึกไว้ด้วยว่า บางกอกในฐานะศูนย์กลางอำนาจรัฐของสยาม กำลังขยายเมืองใหม่ขึ้นมาทางด้านทิศเหนือของเมืองเก่า ที่มีกำแพงเมืองล้อมรอบ ซึ่งหมายถึงเมืองที่มีพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้วเป็นศูนย์กลางที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑
ลักษณะอย่างหนึ่งของเมืองใหม่ทางทิศเหนือนี้ ต่างจากเมืองเก่าก็คือมีการสร้างวังด้วยสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งแปลกไปจากธรรมเนียมดั้งเดิมของสยาม ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งร่วมสมัยกับที่นายอันโตนิโอเข้ามาในบางกอก เป็นช่วงที่รัชกาลที่ ๕ โปรดให้สร้างวังสวนดุสิต หรือพระราชวังดุสิตในปัจจุบัน ที่มีพระที่นั่งทรงฝรั่งอย่าง พระที่นั่งวิมานเมฆ พระที่นั่งอัมพรสถาน หรือพระที่นั่งที่มาแล้วเสร็จเอาในสมัยรัชกาลที่ ๖ อย่าง พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นสำคัญ
หลังสร้างวังสวนดุสิต รัชกาลที่ ๕ โปรดให้สร้างวังสวนสุนันทาเพิ่มเติม ในละแวกไม่ห่างกันนัก แถมยังโปรดให้ปลูกพระตำหนักพญาไท ในพื้นที่ท้องทุ่งที่ห่างไกลออกไปจากศูนย์กลางของเมืองในสมัยนั้น
และต่อมารัชกาลที่ ๖ ก็โปรดให้ขยายและสร้างเป็นพระราชวังพญาไท ปัจจุบันอยู่ภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ย่านราชวิถี ที่นี้มีการสร้างเมืองจำลองของรัชกาลที่ ๖ ที่ชื่อว่าเมืองดุสิตธานีอีกด้วย นี่ยังไม่ได้นับวังสร้างใหม่อีกหลายแห่ง เช่น วังสวนจิตรลดา เป็นต้น
พื้นที่บริเวณนี้จึงเป็นย่านสมัยใหม่ของบางกอก ที่เริ่มขยายตัวตั้งแต่ช่วงระหว่างสมัยรัชกาลที่ ๕-รัชกาลที่ ๖
และแยกราชประสงค์เองก็อยู่ท่ามกลางความเจริญของเมืองที่เริ่มขยายตัวขึ้นมาทางทิศเหนือของเมืองเก่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั่นแหละครับ เพราะแยกราชประสงค์เกิดจากการตัดกันของถนนสองสายคือ ถนนราชดำริและถนนเพลินจิต
“ถนนราชดำริ” สร้างแล้วเสร็จเมื่อเรือน พ.ศ. ๒๔๔๕ ตามพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ ที่โปรดให้ตัดถนนกว้างขวางกว่าที่พระนครเคยมี เนื่องจากถนนสายที่มีมาก่อนในกรุงเทพพระมหานคร เช่น ถนนเจริญกรุง แคบเกินไปจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง
จนทำให้เกิดกระแสวิจารณ์ในยุคนั้นว่า ถนนเส้นนี้กว้างเกินความจำเป็น ซึ่งกาลเวลาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ถนนราชดำริกว้างเกินความจำเป็นอย่างที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสมัยนั้นหรือเปล่า?
ส่วน “ถนนเพลินจิต” สร้างขึ้นในสมัยต่อมา คือรัชกาลที่ ๖ โดยสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ ก่อนที่จะได้รับการพระราชทานนามในปีถัดมาตรงกับเรือน พ.ศ.๒๔๖๔ ที่จุดตัดของถนนเพลินจิตและถนนราชดำริ คือแยกราชประสงค์นั้น ก็มีวังสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ อย่างวังเพ็ชรบูรณ์อยู่ด้วย ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์นั่นเอง
การที่ พลเอกเผ่า ท่านอยากจะสร้างโรงแรมไว้รองรับแขกบ้านแขกเมืองนั้น ก็บ่งบอกอยู่ในตัวแล้วว่า พื้นที่ละแวกแยกราชประสงค์เป็นย่านสมัยใหม่อย่างไรในสมัยนั้น?
การปรากฏตัวของพระพรหมขึ้นโดยกระชับเอาพื้นที่ชัยภูมิสำคัญของสี่แยก มาเป็นเคหสถานของตัวท่านเองที่สี่แยกราชประสงค์ต่างหาก ที่ดูแปลกตาสำรับพื้นที่ส่วนขยายของเมืองตามคอนเซ็ปต์ของรัฐชาติสมัยใหม่
ซ้ำร้ายที่มักเข้าใจกันว่าพระพรหมรูปนี้สร้างขึ้นในศาสนาพราหมณ์ ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะดูจะเป็นเรื่องในศาสนาผีแบบไทยๆ เสียมากกว่า
เพราะคนสั่งให้สร้าง อย่างหลวงสุวิชานแพทย์ ท่านบอกเอาไว้เองว่า ให้สร้างรูปพระพรหมไว้โดยที่มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระปิ่นเกล้าประทับอยู่ภายใน
รูปพระพรหมนี้จึงควรจะสร้างขึ้นในความเชื่อแบบผี อิงเจ้า ที่นับถือศาสนาพุทธ แต่อยู่ในคราบของพราหมณ์ แถมยังแฝงอยู่ในวิถีเมืองสมัยใหม่ของไทยเสียอีกต่างหาก
และเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่กลางราชประสงค์เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ที่ผ่านมานั้น แรงระเบิดก็ทำได้เพียงแค่ทำให้รูปของพระพรหมมีรอยบิ่นไปนิดๆ ผมไม่แน่ใจว่ารอยบิ่นที่เห็นอยู่นั้นเป็น “รอยบิ่นของความเชื่อ” หรือว่าเป็น “รอยบิ่นของความเป็นสมัยใหม่” ในกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นรอยบิ่นที่เห็นได้อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
อย่างน้อยที่สุด ผู้ก่อเหตุระเบิดที่กลางแยกราชประสงค์ในวันนั้น ก็เห็นถึงรอยบิ่นที่ว่านี้ด้วยเหมือนกันที่มา : On History "รอยบิ่นของพระพรหม" โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ น.๘๒ ฉบับที่ ๑๘๒๘ ประจำวันที่ ๒๘ ส.ค.-๓ ก.ย.๕๘