. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกำแพงเพชร Kamphaeng Phet National Museum ถนนปิ่นดำริห์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร เป็นพิพิธภัณฑสถานแหล่งอนุสรณ์สถาน (Site Museum) สมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยา
จัดตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์เผยแพร่ความรู้วิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ที่ขุดค้นได้จากโบราณสถานภายในจังหวัดกำแพงเพชร (เป็นส่วนใหญ่) เปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๔ ในความรับผิดชอบของกองโบราณคดี กรมศิลปากร
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ กรมศิลปากร ได้จัดทำโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำเมืองขึ้นทั่วทุกจังหวัด เพื่อทำการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุ สงวนรักษา และจัดแสดงวัตถุซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น
จังหวัดกำแพงเพชร, มูลนิธิปริยัติศึกษา ญสส. ในพระสังฆราชูปถัมภ์ โดยพระมหาสมจิตต์ อภิจิตฺโต วัดบวรนิเวศวิหาร และเครือเจริญโภคภัณฑ์ จึงสนองตอบนโยบายของกรมศิลปากร โดยมีมติให้ก่อสร้างหมู่เรือนไทย เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจำเมืองกำแพงเพชร และเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เป็นการเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๙ โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานชื่อ “พิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร เฉลิมพระเกียรติ” เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๙ การก่อสร้างพิพิธภัณฑสถานจังหวัดกำแพงเพชร เฉลิมพระเกียรติ ได้รับงบประมาณสนับสนุนโดยความอุปถัมภ์จาก มูลนิธิปริยัติศึกษา ญสส. ในพระสังฆราชูปถัมภ์, จังหวัดกำแพงเพชร, กรมศิลปากร และเงินงบประมาณสนับสนุนด้านอื่นๆ รวมทั้งสิ้น ๖๐,๐๖๕,๘๖๓ บาท (หกสิบล้านหกหมื่นห้าพันแปดร้อยหกสิบสามบาทถ้วน) โดยทำการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถาน ๑ หลัง ลักษณะเป็นอาคารทรงไทยหมู่แบบเรือนไทยภาคกลาง ก่อสร้างด้วยไม้สัก ที่เน้นความเป็นเอกลักษณ์และงานสถาปัตยกรรมเรือนไทยเป็นสำคัญ ทำการตกแต่งภายในห้องแสดงนิทรรศการถาวร, ห้องโสตทัศนูปกรณ์, ห้องเก็บรวบรวมข้อมูล, ศูนย์คอมพิวเตอร์, สำนักงานมูลนิธิประยัติศึกษา ญสส. ในพระสังฆราชูปถัมภ์, ทำการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณพิพิธภัณฑ์ จัดทำแปลงสาธิตกล้วยไข่ และกล้วยสายพันธุ์อื่นๆ บนเนื้อที่รวม ๒๕ ไร่ ๔๙ ตารางวาปัจจุบัน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร แบ่งการจัดแสดงเป็น ๒ อาคาร คือ
๑. อาคารเดิมของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จัดแสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุต่างๆ ที่ให้ความรู้ในเรื่องประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปกรรมเมืองกำแพงเพชร
๒. อาคารหมู่เรือนไทย จัดแสดงเรื่องเมืองกำแพงเพชร ชาติพันธุ์วิทยาในเมืองกำแพงเพชร มรดกดีเด่นเมืองกำแพงเพชร และห้องบรรยายความรู้ทางวิชาการพระพุทธรูปปางลีลา ศิลปะสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑)
พบที่วัดกรุสี่ห้อง อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
ความเป็นมาของการสร้างพระพุทธรูป คติการสร้างพระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล หรือ “พระพุทธรูป” นั้น เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศอินเดีย ราว พ.ศ.๓๖๐ โดยพระเจ้าเมนันเดอร์ (Menander) ฝรั่งสัญชาติกรีก ชาวอินเดียเรียกว่าพระเจ้ามิลินท์ เป็นกษัตริย์พระองค์เดียวที่สนทนาธรรมะกับพระนาคเสนเถระในเรื่องมิลิทปัญหา
พระเจ้าเมนันเดอร์พระองค์นี้ ถึงแม้เป็นฝรั่งชาติกรีกแต่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาและเป็นผู้สืบอำนาจต่อมาจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีก ที่รุกรานแผ่อำนาจเข้ายึดครองอินเดียฝ่ายเหนือ โดยเฉพาะที่แคว้นคันธารราฐแตกออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย
เมื่อพระเจ้าจันทรคุปต์แห่งมคธราฐของอินเดียเข้ายึดแคว้นคันธารราฐ ได้ตั้งราชวงศ์โมริยะขึ้น และกษัตริย์ในราชวงศ์โมริยะที่มีชื่อเสียงในเรื่องอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาคือพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ทรงเลื่อมใสพุทธศาสนามากและสร้างสถูปศาสนสถานในพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น สถูปที่เมืองสาญจี เป็นต้น
ถึงแม้ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราชจะมีการสร้างรูปประติมากรรมนูนสูงประดับพุทธสถาน แต่ก็ไม่นิยมสลักรูปพระพุทธเจ้าเป็นรูปบุคคล คงนิยมสร้างเป็นรูปสัญลักษณ์เท่านั้น เช่นสร้างเป็นรูปธรรมจักรกวางหมอบอันแสดงถึงการปฐมเทศนา สร้างเป็นรูปพระพุทธมารดาเหนี่ยวกิ่งสาละแสดงถึงการประสูติของพระพุทธเจ้า
ฝรั่งชาติกรีกนั้น แต่เดิมนิยมสลักรูปประติมากรรมเป็นรูปเคารพตามคติความเชื่อเดิมก่อนที่จะหันมานับถือพุทธศาสนา ครั้นหันมานับถือพุทธศาสนาจึงมีความกล้าในการสร้างรูปพระพุทธเจ้าเป็นรูปบุคคล ดังนั้นพระพุทธรูปที่พระเจ้าเมนันเดอร์ทรงสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกจึงมีลักษณะพระพักตร์แบบกรีก
หลังจากที่พระเจ้าเมนันเดอร์ได้สร้างพระพุทธรูปเป็นรูปบุคคลขึ้นเป็นครั้งแรก ความเชื่อในการสร้างพระพุทธรูปดังกล่าวก็แพร่หลายยิ่งขึ้นในประเทศอินเดีย จนกระทั่งในราวพุทธศตวรรษที่ ๙-๑๓ พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นได้เปลี่ยนศิลปะจากแบบกรีกเป็นแบบอินเดียอย่างแท้จริง ดังปรากฏเห็นได้ชัดจากพระพุทธรูปแบบอมราวดีและแบบราชวงศ์คุปตะ
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้เอง อิทธิพลความเชื่อทางพุทธศาสนาและศิลปะการสร้างพระพุทธรูปแบบคุปตะและหลังคุปตะได้แพร่กระจายเข้าทางตอนกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดนครปฐมและสุพรรณบุรี
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๒ ได้ค้นพบโบราณวัตถุประเภทพระพุทธรูปศิลปะคุปตะ รวมทั้งโบราณสถานประเภทสถูปและเจดีย์อีกมากมาย แต่ที่สำคัญคือการค้นพบเหรียญเงิน ๔ เหรียญ ที่จังหวัดนครปฐม อีก ๒ เหรียญ ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และอำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ตามลำดับ มีจารึกเป็นภาษาสันสกฤตว่า ศรีทวาราวดี ศวรปุณย แปลเป็นภาษาไทยว่า บุญกุศลของพระราชาแห่งทวาราวดี
ดังนั้น นักโบราณคดีจึงให้ชื่อศิลปะที่ได้รับอิทธิพลคุปตะและหลังคุปตะในประเทศไทยว่า "ลปะทวาราวดี”
สมัยทวาราวดีนี้ นิยมสร้างพระพุทธรูปที่สร้างด้วยศิลา ที่เป็นโลหะสำริดก็มีบ้างแต่น้อยมาก ที่นิยมมากได้แก่พระพุทธรูปยืนและพระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาทแสดงปางแสดงธรรม และเป็นรูปพระธรรมจักรกวางหมอบ แสดงปางประทานปฐมเทศนา และที่เป็นรูปปูนปั้นประดับตามอาคารโบราณสถานก็มีอีกมาก อารยธรรมทวาราวดีดังนี้เป็นอารยธรรมที่ได้รับอิทธิพลทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ซึ่งเน้นการปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จนกระทั่งถึงปรินิพพาน มีการใช้ภาษามอญและภาษาบาลี แต่ตัวอักษรเป็นอักษรปัลลวะของอินเดียใต้ อิทธิพลของศิลปะทวาราวดีได้แผ่ไปสู่ภาคต่างๆ ของประเทศไทย เช่น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคเหนือ เป็นต้น เศียรพระพุทธรูป ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒–๒๓
พระราชประสิทธิคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัยวัดราชธานี อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย
มอบให้ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓
พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ไม้ ประทับยืนบนฐานเขียง
ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ ๒๔ พระวิเชียรธรรมคณี เจ้าอาวาสวัดคูยาง มอบให้
พระพุทธรูปยืนทรงเครื่อง ไม้ พระพักตร์รูปไข่สวมเทริดยอดสูง สวมกุณฑลทรงดอกบัวตูม
พระศอสวมกรองศอ และทับทรวง ประทับยืนบนฐานเขียง ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ ๒๒-๒๓
สูง ๑๘๗ ซม. กว้าง ๔๕ ซม. พระครูวิธานวชิรศาสน์ เจ้าอาวาสวัดเสด็จ มอบให้
ใบเสมาหินชนวน สูง ๒๔๕ ซม. กว้าง ๗๓ ซม. ศิลปะอยุธยา วัดพระนอน พุทธศตวรรษที่ ๒๑
ใบเสมานี้จำหลักรูปเรื่องรามเกียรติ์ตอนพาลีสู้รบทรพี ประกอบด้วยลายพันธุ์พฤกษาและตัวกะหนก
รอบขอบด้านบนรูปเทพนม ใบเสมาจากวัดพระนอนนี้ มีลักษณะคล้ายกับใบเสมาที่วัดจอมคีรีนาคพรต จ.นครสวรรค์
มกร สังคโลก ใช้ประดับหัวบันไดพุทธสถาน พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑
พบที่วัดฆ้องชัย อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
แวดินเผา และดินเผา พบที่บ้านคอปล้อง จังหวัดกำแพงเพชร
วิถีการดำรงชีวิตของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์The Primitive Culture of Kamphaeng Phet จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดค้นพบ สันนิษฐานได้ว่าในอดีต บริเวณเมืองกำแพงเพชรมีกลุ่มชนดั้งเดิมสมัยก่อนยุคประวัติศาสต์อาศัยอยู่ การดำรงชีพอาศัยสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติ และมีพัฒนาการมาโดยลำดับ จนนำไปสู่การเป็นชุมชนเมืองในสมัยประวัติศาสตร์ มีการทำเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน อาทิ หินกะเทาะ ภาชนะดินเผา ทำเครื่องมือหินที่มีการตกแต่งคมด้วยการขัดฝนผิวเพื่อใช้งาน การนำเส้นใยจากธรรมชาติมาผลิตเป็นสิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม มีการหล่อโลหะประเภทสำริดและเหล็ก รวมถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับชุมชนใกล้เคียงเศียรเทวดาสังคโลก ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑
พบจากการขุดแต่งวัดสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
คัมภีร์เรื่องพระมาลัย
ตะเกียงดินเผาสมัยทวาราวดี พบที่จังหวัดกำแพงเพชร
เบ็ดตกปลา ขวานหินขัด และภาชนะดินเผา
พบที่บ้านโคกพนมดี จังหวัดชลบุรี
(ปัจจุบัน จัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร)
แท่นหิน และหินบด ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗
พบที่เมืองไตรตรึงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร
ภาชนะดินเผา พบที่จังหวัดกำแพงเพชร
ภาชนะดินเผา
ปืนใหญ่ สมัยอยุธยา ราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒
ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙) และสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑)
ชาวออลันดาได้เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา เมืองกำแพงเพชรเป็นเมืองสัมปทาน
ค้าหนังกวางของชาวฮอลันดา พ่อค้าจากบริษัทตะวันออกไกลของฮอลันดา
ได้นำปืนใหญ่เข้ามาใช้เป็นอาวุธป้องกันการโจมตีทางเรือและทางบก และนำมาขายด้วย
ปืนใหญ่ที่ทำจากฮอลันดาจำนวนหลายกระบอก ได้ขายให้เจ้าเมืองกำแพงเพชร
ไว้ใช้ป้องกันการถูกโจมตีของข้าศึก ปืนใหญ่ที่พบทุกกระบอกจะมีจารึกภาษาไทยว่าใหญ่ชวา
เพราะขณะนั้นชวาเป็นเมืองขึ้นของฮอลันดา นอกจากนี้จะบอกน้ำหนักของกระสุนดินดำด้วย
เทวรูปพระอิศวร (พระศิวะ)
Phra Isavara Figureสมัยอยุธยา พุทธศักราช ๒๐๕๓ สำริด สูง ๒๑๐ เซนติเมตร
เทวรูปพระอิศวรหรือพระศิวะองค์นี้ แต่เดิมประดิษฐานอยู่ที่ศาลพระอิศวร อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ที่ฐานรอบพระบาทมีคำจารึกภาษาไทย อักษรไทยแบบสุโขทัย มีใจความว่า เจ้าพระยาศรีธรรมมาโศกราช (เจ้าเมืองกำแพงเพชร ขณะนั้น) ประดิษฐานพระอิศวรนี้เมื่อพุทธศักราช ๒๐๕๓ เพื่อให้คุ้มครองสัตว์สี่เท้าสองเท้าในเมืองกำแพงเพชร ให้บำรุงพระศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์ ให้ซ่อมแปลงพระมหาธาตุและวัดบริวารทั้งในและนอกเมือง ให้ทำนุบำรุงถนนหนทางต่างๆ ขุดคลองแม่ไตรบางพ้อและปรับปรุงระบบชลประทาน (ท่อปู่พระยาร่วง) ไปถึงเมืองบางพาน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาสองพระองค์ คือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ และพระอาทิตยวงศ์ ที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชในเวลาต่อมา
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๙ ชาวเยอรมัน ชื่อ รัสมันต์ ได้ลักลอบตัดพระเศียรและพระหัตถ์ทั้งสองข้าง จะนำออกนอกประเทศ แต่ถูกจับได้ที่กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงโปรดฯ ให้นำมาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร รวมทั้งส่วนองค์ด้วย ต่อมาจึงนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กำแพงเพชร
พระอิศวรองค์นี้จัดเป็นรูปเคารพคู่บ้านคู่เมืองกำแพงเพชร เป็นเทวรูปสำริดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นโบราณศิลปวัตถุชั้นยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งของชาติและมีเพียงชิ้นเดียวในประเทศไทย ลักษณะของเทวรูปพระอิศวร พระพักตร์แข็งกระด้างแสดงถึงอำนาจมีพระมัสสุปรากฏชัดเจน
ลักษณะของผ้าทรงมีอิทธิพลของศิลปะเขมรสมัยบายน รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
จารึกที่ฐานหล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๐๕๓ ลักษณะพระพักตร์รูปสี่เหลี่ยม กรองศอและสายรัดพระองค์
มีอุบะสั้นๆ ห้อยประดับ ผ้าโจงกระเบนสั้นที่ทรงนุ่งมีชายผ้าเป็นสามเหลี่ยมห้อยอยู่ข้างหน้า
กรรเจียกหรือรัดเกล้าข้างพระเศียรเหนือพระกรรณไม่เคยปรากฎในเทวรูปสมัยสุโขทัย
เทวรูปพระนารายณ์ (พระวิษณุ)ศิลปะอยุธยา สกุลช่างกำแพงเพชร พุทธศตวรรษที่ ๒๑
พระอุมา
Phra Uma Figureศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ ๒๑ สำริด สูง ๑๑๓ เซนติเมตร
เทวสตรี องค์นี้ อาจจะเป็นพระลักษมี ศักติของพระนารายณ์ หรือ พระอุมา ศักติของพระอิศวร ลักษณะเครื่องทรง มีกรองศอที่มีพวงอุบะสั้นๆ ห้อยประดับโดยรอบ ผ้าทรงได้รับวิวัฒนาการจากผ้าทรงเทวรูปสมัยสุโขทัย คือ ทรงผ้าสองชิ้น ชิ้นหนึ่งนุ่งรอบองค์คล้ายผ้าจีบ อีกชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องประดับอยู่ข้าง ชายทั้งสองแหวกออกมามากกว่าเทวรูปสมัยสุโขทัย ทำให้เห็นผ้าชั้นใน ซึ่งมีลวดลายประดับชัดเจน
จากหลักฐานร่องรอยความจริงทางด้านกลศาสตร์ ซึ่งปรากฏลักษณะทางกายภาพให้เห็นได้จากการนำศิลาแลงมาก่อสร้างโบราณสถานที่มีขนาดใหญ่โตทั่วไปของเมืองกำแพงเพชร ชี้ให้เห็นความเจริญก้าวหน้าทางเทคนิควิทยา ที่มีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของสังคม ส่วนในด้านการหล่อหลอมโลหะ ชาวกำแพงเพชรในสมัยโบราณ จัดอยู่ในขั้นมีความเจริญมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากพระอิศวรสำริด และเทวสตรี (พระอุมา) ดังกล่าวแล้วข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีการหลอมโลหะ หล่อเป็นพระพุทธรูปสำริดที่มีความสวยงามตามศิลปะสุโขทัยหมวดกำแพงเพชร ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ตลอดจนลูกกระสุนปืน และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากโลหะหลากหลายประเภท... ข้อมูล : “ความเป็นมาของพระพิมพ์ในประเทศไทย”
- ประเสริฐ ศรีสุวพันธ์
- ธีระศักดิ์ วิเศษชัยนุสรณ์
- เมธา วิจักขณะ