[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
04 ธันวาคม 2567 06:13:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์  (อ่าน 23299 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:18:51 »

[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]


ประวัติและปฏิปทา
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

วัดอาวุธวิกสิตาราม (วัดบางพลัดนอก)
แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร

 
 
http://img17.imageshack.us/img17/645/41403834.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

1. คุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

2. เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
จากหนังสือคนเหนือโลก โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙

3. เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
จากประวัติหลวงตาไสว สิวญาโณ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือนและท่านพุทธทาส

http://img339.imageshack.us/img339/4769/47446706.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
 
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมอุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลสปาฏิหาริย์ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน
 
ในอดีตกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากสำหรับสานุศิษย์และคณะผู้ศรัทธา ท่าน คืออุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติมผู้สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จจตุตถฌาณ 4” และ อภิญญา6” อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางตาทิพย์หูทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัวสั่งฟ้า ห้ามฝน และใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปจนหาย
 
อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่าคุณแม่บุญเรือนเพราะความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะอีกทั้ง กระทำตนเป็น แม่ของทุกคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน เหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งที่ให้แก่บุตรธิดาของตนนั่นเอง
 
คุณแม่บุญเรือนท่านเป็นนักบุญและเป็นผู้นำในการประกอบการทำบุญต่างๆ ที่เข้มแข็งแกล้วกล้าสามารถทุกอย่าง ทั้งยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนและบรรยายธรรมให้บุคคลทั่วไปเข้าใจทราบซึ้งในธรรม ได้อย่างดีเลิศ พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวคลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร บิดา-มารดาชื่อ นายยิ้ม และนางสวน กลิ่นผกา วันที่ท่านได้ลืมตามองดูโลกเป็นครั้งแรกอันเป็นภพปัจจุบันของท่านนั้น ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่ำ เวลา 11.20 นาฬิกา หรือนัยหนึ่งก็คือวันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2437 ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจนบิดา-มารดาเป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่แถวตำบลบางปะกอกอำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรีท่านก็ได้เจริญเติบโตมาในละแวกนี้จนเติบใหญ่
 
ในวัยเด็กท่านได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ ตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดีเมื่ออายุได้ 15 ปีท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด
 
ด้วยมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะในพระพุทธองค์จากหลวงตาพริ้งซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอกผู้มีศักดิ์เป็นลุง พระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา
 
เมื่อมีอายุในวัยครองเรือนคุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติมแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือนก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระรัชชมงคลมุนีเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น)เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้
 
ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม คณะสามัคคีวิสุทธิซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจน รักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และยึดถือหลักการบริจาคและการให้เป็นหลักสำคัญในที่สุดจนกระทั่งปี พ.ศ. 2470 ท่านก็เข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี โดยได้ลาสามีเพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชชีอีกในปีพ.ศ. 2482
 
ด้านอุปนิสัยนั้น ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนดีตั้งแต่อายุท่านยังน้อยอยู่ คงพอจะทราบได้ดีว่า ท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาทคุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง ดุเดือดโผงผาง และมีวาจาไม่อ้อมค้อมแบบขวานผ่าซากอยู่บ้าง พูดเสียงดัง กังวาล เด็ดขาด และจริงจังหรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริงทำจริงตลอดเวลา
 
งานบุญตามคติแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน ถือศีลการภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรมและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คุณแม่บุญเรือน รัก ศรัทธา เลื่อมใสปฏิบัติมาตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสิบตำรวจโทจ้อยทีเดียว งานทำทานไม่ว่าจะเป็นทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหารเครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย ท่านเป็นผู้รักการบำเพ็ญทานการกุศลตั้งแต่อายุน้อยตลอดมาจนเติบใหญ่ และจนตลอดชีวิตของท่าน
 
คุณแม่บุญเรือน เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง และเคร่งครัดตลอดเวลา ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึกให้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นหัวใจสำคัญตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลงโดยสิ้นเชิง นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งยากจะหาผู้อื่นที่บำเพ็ญตนให้เท่าเทียมได้
 
การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล 5 วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล8 แต่ชีวิตตอนหลังส่วนใหญ่ท่านถือศีล 5 เป็นประจำ การภาวนาอันประกอบด้วยสวดมนต์ ฟังธรรม และทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เพียรบำเพ็ญปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนตลอดชีวิตของท่าน
 
ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็นพลังจิตอันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้
 
 
http://img15.imageshack.us/img15/6060/65740618.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
 
คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม

 
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง(หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่าตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชีนั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวันได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามีซึ่งได้ทักมาว่า กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...
 
คุณแม่บุญเรือนจึงว่า เมื่อจะให้อยู่บ้านก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?”สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อยก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือนและหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำนุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำปี พ.ศ. 2470
 
จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆนอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรนส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่าเออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่...
 
ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตายจึงตั้งสติว่าถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิดจะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลยน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้นบังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณรู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับเมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมดและยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย !


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
 
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:19:06 »

http://img41.imageshack.us/img41/4137/32587882.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
พระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิทฺเทสโก)
 
 
๏ ล่องหนหายตัว
 
จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้วก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี5 รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้
 
พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลงก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกาเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควรขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที
 
การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ อภิญญาเมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัดแพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชีอุบาสกอุบาสิกาต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระรัชชมงคลมุนีเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น)พระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้คุณแม่บุญเรือนเอง
 
ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่ แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน คืนนั้นตรงกับวันแรม1 ค่ำ เดือน6 แม่ชีฟัก เพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกัน น่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้
 
ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำจนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที
 
เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงอุบาสิกาคุยกันว่าจะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง ?” ส่วนอีกรายก็ว่าไม่มาก็ดี...ถ้ามา...ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก!?”
 
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้นคุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...เชิญทางนี้...ฉันมาแล้ว !
 
พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือนท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่นและได้รับพระธาตุ 1 องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือเป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป
 
 
ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)
 
อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาคเขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบบุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับน้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท(สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่าคุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์
 
พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิงข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาทไปคืนให้ บอกว่า เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิตของคนพูดว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิงและสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
 
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่างๆจนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์
 
 
http://img136.imageshack.us/img136/1271/17482023.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

[ภาพถ่ายอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม ถ่าย ณ วัดท่าผา จ.กาญจนบุรี
ที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานไว้ว่าไม่ว่ารูปนี้จะอัดขยายต่อไปอีกกี่พันกี่หมื่นกี่แสนครั้ง
ทุกๆ ภาพก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอกับรูปต้นแบบที่ถ่ายไว้ทุกประการ]

 
 
รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
 
เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานีมีใจความว่าอุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติมเดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วายังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลยพอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆจากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก
 
อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผมค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิตสกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่าตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า อย่าปวดให้หายปวดเดี๋ยวนี้แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า หายปวดหรือยัง?” นายครรชิตตอบว่าหายปวดแล้วอุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่าคืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)
 
ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำปูน ไพล พริกไทย สาคูมาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน
 
มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า ให้ทิ้งไม้เท้า!” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์
 
 
http://img10.imageshack.us/img10/7500/52483469.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

รูปหล่อคุณแม่บุญเรือนณ ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม

 
 
๏ นิ่วในถุงน้ำดี
 
ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือนบางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายนพ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลาต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีกนายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที
 
ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพลและน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้องเว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่งข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง
 
คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว
 
 
๏ ยาวิเศษ
 
พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอคุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า หมอแต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
 
คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที
 
ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยมของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:19:18 »

http://img136.imageshack.us/img136/6541/41752430.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

พระเครื่องพระพุทโธน้อย

 
 
๏ การสร้างวัตถุมงคล
 
ในวงการผู้นิยมสะสมพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิรูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระบางคนอาจะรู้จักบ้างส่วนคนนอกวงการพระอาจจะเกิดคำถามว่ามีด้วยหรือ ?”
 
วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ)เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาลมีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์และภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระยิ่งนักนอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน
 
ส่วน พระพุทโธน้อยเป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธ วิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้าองค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัยเหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูนพระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่าพุทโธ
 
http://img194.imageshack.us/img194/171/27477712.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

ภาพถ่ายที่ระลึกงานศพคุณแม่บุญเรือนณ วัดธาตุทอง พ.ศ. 2507
 
 
๏ การวายชนม์ทิ้งร่าง
 
คุณธรรมอันสูงส่งของ คุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติมอุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติมีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง
 
แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่า สังขารร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้นเป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้
 
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7กันยายน พ.ศ.2507 เวลา 11.20 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมพ.ศ. 2507 วัดธาตุทองแขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือนท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.20 น.!!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)
 
http://img14.imageshack.us/img14/3413/54065661.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

งานทำบุญประจำปีคุณแม่บุญเรือนณ วัดอาวุธวิกสิตาราม พ.ศ. 2549
 
 
กว่า 40 ปี แห่งความศรัทธา
 
ในปัจจุบันมีรูปหล่อของคุณแม่บุญเรือนตั้งอยู่บนศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในบริเวณวัดอาวุธวิกสิตาราม หรือวัดบางพลัดนอก เลขที่ 137 ถนนจรัญสนิทวงศ์ซอย 72 แขวงและเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นวัดที่ท่านเคยอยู่บำเพ็ญศีลสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปสักการบูชากราบไหว้ขอพรจากรูปปั้นของท่าน อยู่เสมอมิได้ขาด โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ เวลาหลังเที่ยง จะมีสานุศิษย์และผู้ศรัทธาของคุณแม่ต่างพร้อมใจไปชุมนุมกัน เพื่อสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านที่ศาลาดังกล่าว โดยปฏิบัติติดต่อกันทุกวันอาทิตย์ เป็นเวลาอันยาวนาน ตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนถึงแก่กรรม ซึ่งนับได้ประมาณ 40 กว่าปีมาแล้ว
 
หลังจากการสวดมนต์ นั่งสมาธิแล้ว สานุศิษย์และผู้ศรัทธาจะขอรับเอาสิ่งของต่างๆที่นำมาสักการบูชา เช่น ผลไม้น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย สาคู และปูนสีแดง ที่ใช้ทาใบพลูสำหรับรับประทานโดยอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นยาแก้โรคต่างๆ ซึ่งก็แปลกที่หลายคนหายขาดโรคภัยที่เป็นอยู่อย่างน่ามหัศจรรย์
 
นอกจากนี้บางคนยังเอาไพลทุกชนิดไปถวายต่อหน้ารูปปั้นของคุณแม่บุญเรือน แล้วจุดธูปเทียนกราบไหว้บูชาท่าน อธิษฐานจิตขอให้ท่านดลบันดาลให้ไพลเป็นยารักษาโรค แล้วนำไพลนั้นมาทารักษาโรค ก็หายได้เช่นกัน คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง มีชื่อเสียงโด่งดังจากการใช้พลังจิตในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป รวมทั้งการนวดจับเส้น การใช้พลังจิตของคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านเรียกว่าเป็นการ อธิษฐานจิตคือท่านจะเข้าสมาธิให้จิตนิ่งเสียก่อน จากนั้นท่านจะอธิษฐานจิตขอให้เป็นไปตามที่ท่านปรารถนา แม้ว่าท่านจะจากไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีและชื่อเสียงในทางธรรมที่ท่านเพียรสร้างไว้ขณะยังมีชีวิต อยู่ ก็ยังมีผู้กล่าวถึงอยู่ตลอดไป
 
http://img13.imageshack.us/img13/3876/50509035.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

พระราชปริยัติวิมล(ทองดี ฐิตายุโก)
 
 
พระราชปริยัติวิมล (ทองดี ฐิตายุโก) เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม(พระอารามหลวง) กล่าวว่าตั้งแต่คุณแม่บุญเรือนเสียชีวิตลง มีลูกศิษย์และคนที่มีจิตศรัทธาเพิ่มจำนวนมากขึ้น มากราบไหว้และสวดมนต์ต่อหน้ารูปหล่อของท่านเป็นประจำทุกวัน เหมือนกับตอนที่คุณแม่บุญเรือนยังมีชีวิตอยู่ โดยที่วันอาทิตย์จะมีมากกว่าทุกวันเพราะเป็นวันที่ร่วมกันสวดมนต์
 
เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ยังกล่าวอีกว่าในวันอาทิตย์แรกของเดือนกันยายนทุกปี เหล่าลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนจะมาสวดมนต์และทำบุญประจำปี เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันวายชนม์ของท่าน คุณแม่บุญเรือนมีความปราถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้วัดอาวุธฯ เป็นวัดที่มีคนรู้จักคนทั่วไปจึงได้อธิษฐานจิตขอพรให้สมดั่งปรารถนา และมีส่วนช่วยในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอาวุธฯ ให้สวยงามและมีชื่อเสียงอย่างในทุกวันนี้
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:19:32 »

http://img269.imageshack.us/img269/9306/63492649.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
 
จากหนังสือคนเหนือโลก
โดย อนามิส พ.ศ. ๒๕๑๙
 
ใกล้สะพานกรุงธน มีศาลาหลังหนึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของ อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม อันที่จริงน่าจะกล่าวว่าสร้างให้เป็นที่สถิตแห่งดวงวิญญาณของท่านผู้กล่าว นามมามากว่า เพราะปัจจุบันท่านหาชีวิตไม่แล้ว ตัวศาลาที่สร้างภายหลังท่านถึงแก่กรรมแล้ว ใช้ที่ส่วนหนึ่งของวัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด ธนบุรี ตัวศาลาใหญ่โตพอจะใช้เป็นที่ประชุม สวดมนต์ ทำบุญถวายทานสำหรับบุคคลคราวละนับร้อยๆ ท่าน
 
อุบาสิกาบุญเรือน เคยบวชเป็นชี ภายหลังท่านชอบแต่งกายตามสบายแต่ยังโกนศีรษะ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านมีลูกศิษย์เรียนธรรมะด้วยกันมากท่านนายพลดำเนิน เลขะกุลผู้มีชื่อเสียงก็เป็นผู้หนึ่งที่เคารพนับถือท่าน คุณดำเนินมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุบาสิกาบุญเรือน เชื่อว่าท่านสามารถอ่านใจคนได้เพราะเคยไปหาครั้งแรกในยามมีทุกข์ใจ ได้รับคำแนะนำทันทีโดยที่อุบาสิกาบุญเรือนไม่ได้ไต่ถามอะไรเลยว่าคนจะเป็นสุขได้ก็ต่อเมื่อใจสงบ
 
ศิษย์ของอุบาสิกาบุญเรือน ยังคงมีการประชุมสวดมนต์ตามแบบที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอน ที่ศาลาทุกวันอาทิตย์ ผู้ที่เคารพนับถือมักเรียกท่านว่า คุณแม่เป็นส่วนมาก ป้ายสวยงามติดไว้เป็นระยะนำไปสู่ศาลา ก็เขียนว่า ศาลาคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ทุกปีที่ศาลานี้จะมีการทำบุญใหญ่ ค่าใช้จ่ายแต่ละคราวกว่าสองหมื่นบาท
 
สมัยคุณแม่บุญเรือนยังไม่สละร่างมนุษย์ (ตามคำของศิษย์ ไม่ประสงค์จะเรียกการจากไปของท่านว่า ถึงแก่กรรม) มีผู้สร้างศาลาให้คุณแม่บุญเรือนใช้เป็นที่อาศัยและที่อบรมสั่งสอนหลายแห่ง เช่นที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ บางขุนพรหม, ที่ภายในบริเวณบ้านของครูเก่า คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มหาเศรษฐีเจ้าของยาสีฟันวิเศษนิยม, ที่พระโขนง และที่บ้านนาซา ปากน้ำประแสร์ จังหวัดระยอง
 
คุณแม่บุญเรือน เรียกคณะของท่านว่า สามัคคีวิสุทธิ ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งเป็นครูอาจารย์ของใครผู้ที่ไปเรียนธรรมะด้วย ท่านขอให้ถือเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์สอนธรรมะของท่าน
 
 
http://img36.imageshack.us/img36/1599/55437822.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
คุณหลวงแจ่มวิชาสอน กล่าวถึงคุณแม่บุญเรือนว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสำเร็จในอิทธิฤทธิ์บางอย่างท่านเรียกคุณแม่บุญเรือนว่า แม่หมอและได้บันทึกเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเองไว้ ดังนี้
 
เมื่อเดือนมีนาคม ๘๙ คุณพี่ปลื้ม วิจิตรภัตราภรณ์ เจ้าของห้างวิวิธภูษาคาร ได้ชวนข้าพเจ้าและแม่หมอบุญเรือนไปดูสวนส้มที่จังหวัดจันทบุรีโดยรถยนต์ สวนอยู่ห่างตัวจังหวัดสิบสองกิโลเมตรตอนกลับจากสวนขณะที่รถกำลังติดไฟ แม่หมอบุญเรือนออกเดินไปก่อน ข้าพเจ้าออกเดินตามไปภายหลังห่างกันประมาณหนึ่งเส้น ข้าพเจ้าเดินมาถึงที่เลี้ยวก็มองไม่เห็นตัวแม่บุญเรือนแล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามไปอีกสองสามเลี้ยวก็มองไม่เห็น
 
ข้าพเจ้าก็เลยหยุดคอยรถเพราะรู้สึกเมื่อยสักครู่หนึ่งรถก็ตามมาทัน ข้าพเจ้าจึงกลับขึ้นรถประมาณเวลานับแต่ออกเดินจนรถมาทันนั้นราวสิบห้านาที เมื่อขึ้นรถแล้วรถแล่นมาอย่างเร็วเพราะเป็นทางลงจากเขา รถแล่นมาเป็นหลายเลี้ยวจนถึงศาลาพักร้อน ซึ่งอยู่กึ่งกลางทางระหว่างจังหวัดกับสวนก็ไม่เห็นแม่หมอบุญเรือนคอยอยู่
 
รถหยุดที่ศาลา เติมน้ำหน้าหม้ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นแล่นย่อไปจนพ้นเขตเขาทุ่งก็ยังไม่พบแม่หมอบุญเรือน ผู้อยู่ในรถต่างรู้สึกเอะใจ เพราะตามปกติธรรมดาคนเราจะเดินเร็วเช่นนี้ไม่ได้รถคงจะแล่นผ่านมาเสียแล้ว ขณะที่พวกเราคิดจะให้รถหยุดรอก็พอดีเห็นแม่หมอบุญเรือนเดินเนิบๆ อยู่ข้างหน้าเมื่อขึ้นมาบนรถ สังเกตดูไม่เห็นกิริยาแสดงว่าเหน็ดเหนื่อยหรืออิดโรย
 
การที่คุณแม่บุญเรือนเดินไกลถึงแปดกิโลเมตรในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงแถมไม่เหน็ดเหนื่อยเสียด้วย คุณว่าเป็นเพราะอะไร ?
 
กิตติศัพท์เรื่องคุณแม่บุญเรือนมีฤทธิ์ย่นระยะทางเดินได้ พวกศิษย์รู้กันดี แต่สำหรับผู้ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองได้พยายามทดสอบอย่างเงียบๆกันเสมอ คุณเลื่อน ประสานอักษรพรรณเป็นผู้หนึ่งที่กระทำดังกล่าว
 
วันหนึ่ง คุณแม่บุญเรือนไปแวะที่บ้านคุณเลื่อน ตรงสี่แยกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิวันนั้นคุณแม่บุญเรือนตั้งปณิธานว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถตั้งแต่ออกจากบ้านที่พระโขนง ในตอนจะลาจากคุณเลื่อนไปยังสถานที่ต่อไปคือบ้านคุณเขียม วรรณยิ่ง ตรอกสารพัดช่างบางขุนพรหม คุณแม่บุญเรือนก็เดินอีก คุณเลื่อนพอรู้ว่าคุณแม่บุญเรือนกำลังจะเดิน ก็รีบติดตามไปทันทีโดยไม่ให้รู้ตัว
 
ครั้งแรกที่ตามออกมายังไม่เห็นคุณเลื่อนเล่าจึงได้แวะเข้าไปในบ้านจ่านายสิบสุข ซึ่งอยู่ใกล้สามารถมองถนนได้ถนัด ถามจ่านายสิบสุขได้ความว่า แม่หมอบุญเรือนกำลังเดินไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิพร้อมกับชี้บอก ดิฉันมองตามมือเขาชี้แลเห็นแม่หมอบุญเรือนกำลังเดินข้ามถนนลานอนุสาวรีย์ฯ บ่ายหน้าไปทางเสนารักษ์พญาไท ตอนที่จะเข้าสู่ถนนตรงไปทางเสนารักษ์ พญาไทนั่นเองแม่หมอบุญเรือนเหลียวหน้ามาทางดิฉัน แล้วทำท่าเหมือนกับจะรีบวิ่งหนีรถหายไปตรงนั้นเอง
 
ตอนนี้คุณเลื่อนเข้าใจว่า ถนนทางนั้นมีทางเลี้ยวจึงไม่ได้ติดตามไปดูต่อ คงหยุดคุยกับจ่านายสิบสุขเสียครู่หนึ่งภายหลังได้เดินออกไปตรวจสถานที่ ปรากฏว่าตรงที่คุณแม่บุญเรือนหายวับไปกับตานั้น หาได้มีทางเลี้ยวแต่อย่างใดไม่ ผู้คนที่เดินอยู่จะไม่มีโอกาสลับสายตาจากผู้ที่จ้องดูไปได้เป็นอันขาด คุณเลื่อนได้สอบถามผู้ที่อยู่ด้วยกันว่าเห็นอย่างเดียวกับตนหรือไม่ ผู้ที่อยู่กับคุณเลื่อนตอบว่า เห็นหายไปทางต้นสน
 
ความจริงหากมีใครเดินเลยต้นสนไปเราก็ยังจะสามารถมองเห็นเขาได้ต่อไปอีก แต่แม่หมอบุญเรือนหายวับไปเลย !
 
ขณะที่ฝ่ายติดตามดูพฤติการณ์มีสี่นัยน์ตาด้วยกันจ้องจับอยู่นั้น เห็นเวลากลางวันแสกๆ ราวสักสิบสี่นาฬิกาเศษๆ แดดเปรี้ยงมิได้มีเมฆหมอกมืดแม้แต่น้อย
 
คุณเลื่อนได้สอบถามเวลาที่คุณแม่เรือนไปถึงที่หมายปลายทางจากคุณเขียน ได้เวลาแน่นอนว่าคุณแม่บุญเรือนใช้เวลาเดินจากสี่แยกชัยสมรภูมิ ผ่านวงเวียนพญาไท สวนจิตรลดา ออกสี่เสา ไปถึงบางขุนพรหม ระยะทางนับสิบกิโลเมตรด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาที่
 
เร็วยิ่งกว่ารถประจำทางวิ่งเสียอีก
 
 
http://img34.imageshack.us/img34/7109/81326746.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเล จืด สามารถเดินบนน้ำได้มาแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยไปแสดงอภินิหารเดินบนน้ำที่จังหวัดเชียงใหม่เป็นที่อัศจรรย์ ไม่มีใครเห็นตอนที่ท่านกำลังเดินหรอกครับแต่เหตุการณ์จะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากท่านต้องเดินไปบนผิวน้ำ
 
เรื่องของเรื่องมีว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ คุณแม่บุญเรือน ได้ขึ้นไปพักอยู่ที่บ้านคุณนายลิ้นจี่ ฤษาภิรมณ์ วัดเจดีย์หลวง หน้าบ้านคุณนายลิ้นจี่มีหนองน้ำ ห่างจากตลิ่งราวสองวามีกอหญ้าแห้งลอยอยู่ คุณแม่บุญเรือนไปจับเต่ามาจากกอหญ้า และเอาเปลือกมะพร้าวไปวางไว้แทนอย่างเรียบร้อย
 
ดิฉันเอาไม้ลองพาดดูก็ไม่ถึงกอหญ้าคุณนายลิ้นจี่บอกน้ำก็ยังกระเพื่อมอยู่ได้พิจารณาดูตามเท้าและร่างกายคุณบุญเรือน ไม่เห็นมีเปียกมีเปื้อนที่ตรงไหนน้ำตอนนั้นลึก ถ้าจะลุยไปอย่างน้อยจะต้องเปียกขึ้นมาถึงเอวเชียวค่ะ
 
สังเกตดูที่กอหญ้าเห็นเหมือนกับรอยเท้าสองข้างเหยียบกอหญ้านั้น กอหญ้าแห้งนี้สมมุติว่าคนจะไปยืนก็คงไม่ได้เพราะหญ้าฟูลอยน้ำขึ้นมา ขนาดกอไม่ใหญ่พอจะทานน้ำหนักเด็กๆได้ เพียงแต่เอาก้อนอิฐขว้างไป หญ้าก็แยกกระจายคุณนายแดง ชัวย่งเสง คหบดีชาวเชียงใหม่ที่อยู่ในที่เดียวกันอธิบายเพิ่มเติม
 
ถ้าจะคิดว่าอภินิหารเรื่องเดินบนน้ำยังเลือนลางไม่กระจ่างนักลองดูเรื่องฝนกับคุณแม่บุญเรือนกันหน่อยก็ยังได้
 
คุณนายบ๊วย ศิวพฤกษ์ บ้านเลขที่ ๒๕๓ ถนนดำรงรักษ์ ป้อมปราบป่วยมานาน เพื่อนผู้หนึ่งแนะนำให้มาหาคุณแม่บุญเรือนช่วยรักษาจนหาย คุณนายบ๊วยรู้สึกเป็นพระคุณ จึงถือโอกาสพาคุณแม่บุญเรือนไปพักผ่อนทัศนาจรภาคใต้
 
คุณนายบ๊วยเล่าถึงคุณแม่บุญเรือนเอาไว้ตอนหนึ่งดังนี้
 
พวกเราเดินทางต่อไปชุมพรโดยรถไฟถึงสถานีชุมพรเวลาสองทุ่ม นางสาวปราณีและคุณสุดใจเพื่อนของบุตรสาวดิฉันได้มารับที่สถานี คุณปราณีบอกให้ดูเสื้อผ้ากล่าวว่า
 
ดิฉันวิ่งมารับ ฝนตกถนนลื่นไปหมดจนหกล้มผ้าซิ่นเปื้อนไปแถบหนึ่ง
 
พวกเราช่วยกันลำเลียงของลงจากรถไฟคุณแม่บุญเรือนสะพายกระเป๋าใบหนึ่ง กับหิ้วกระเป๋าเสื่อบรรจุศิลากรวดกับหนังสือแดนมธุรสและใบตั้ง(เสก) น้ำอีกใบหนึ่ง ขบวนของเราออกเดินทางไปทางหลังสถานี โดยมีคุณสุดใจเป็นผู้นำทางดิฉันเดินตามหลังคุณแม่บุญเรือนไปติดๆ เพราะมืดมากคุณสุดใจจะช่วยถือกระเป๋าเสื่อให้คุณแม่บุณเรือน แต่ท่านไม่ยอมบอกให้คุณสุดใจเดินนำไปที่รถ
 
ทางเดินตอนนั้นทั้งมืดทั้งแฉะ เลอะเทอะ คุณสุดใจเห็นว่าคุณแม่บุญเรือนมีอายุทั้งหิ้วของหนักส่งมือมาจะช่วยจูง คุณแม่ก็ปฏิเสธไม่ต้องจูงอีกพวกเราเดินไปถึงรถ ศูนย์ที่คุณปราณี คุณสุดใจจัดมาคอยรับพอขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว คุณแม่บุญเรือนถามว่า ใครเท้าเปื้อนบ้างทุกคนบอกว่าเปื้อนทั้งนั้น ของดิฉันไม่เปื้อนแต่ไม่บอกใคร
 
พอถึงบ้านใครๆ ก็เขาห้องน้ำล้างเท้ากัน แต่คุณแม่บุญเรือนกับดิฉันขึ้นบนบ้านเลยทีเดียว พอถึงบนเรือนมีแสงไฟเห็นชัดดิฉันเห็นว่าดิฉันมีโคลนเปื้อนเล็กน้อย จึงกลับลงมาล้างเท้าใหม่ พบกับคุณลำไยซึ่งมีหน้าที่ในการปฏิบัติคุณแม่บุญเรือนในการเดินทางคราวนี้ กำลังจะยกรองเท้าคุณแม่บุญเรือนนำไปล้าง เขาร้องว่า รองเท้าคุณแม่ไม่เปื้อน ดิฉันตรวจดูรองเท้าที่คุณลำไยยกให้ดู ปรากฏว่าไม่เปื้อนจริงๆ เหมือนกับว่าท่านสวมเดินมาบนถนนแห้งๆ การที่ดิฉันไม่พลอยเปื้อนเหมือนกับคนอื่นเห็นจะเพราะเดินตามคุณแม่มาติดๆ เลยพลอยได้พึ่งบารมีไม่เปื้อนเปรอะเหมือนคนอื่น
 
http://img269.imageshack.us/img269/8808/91529976.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

คราวนี้ถึงเรื่องฝนตกไม่เปียก
 
คุณนวม ลิมพานิชการ เล่าด้วยความประหลาดใจว่า เพียงแต่ดิฉันนึกถึงคุณหมอบุญเรือนแล้วบูชาพระไม่ต้องออกปากเชิญ คุณหมอก็มาหาดิฉันเองเป็นอย่างนี้ถึงสามครั้ง ครั้งหนึ่งคุณหมอได้ไปหาในเวลาฝนตกมากคุณหมอจะกลับทั้งๆ ที่ฝนยังตกหนักอยู่ดิฉันค้านก็ไม่ฟัง จึงต้องออกไปส่งที่ประตู ฝนตกหนักมากมองดูตัวคุณหมอก็ไม่เห็นเปียก ตอนนั้นดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ เพราะมองดูห่างไกลไม่ค่อยจะเชื่อนัยน์ตาดิฉันแน่นัก
 
มาเมื่อแต่งงานหลานสาวดิฉันที่บ้านคุณควง อภัยวงศ์เมื่อออกจากบ้านพี่สาว ดิฉันจะให้พ่อหนุ่มๆยกขันน้ำมนต์ไป คุณหมอบุญเรือนไม่ยอมให้ยก ท่านยกขันน้ำมนต์นั่งมาบนรถยนต์เองขันใหญ่มาก มีน้ำมนต์ค่อนขันขึ้นมาเกือบเต็ม คุณหมอยกตั้งแต่บ้านข้างวังกรมพระนครสวรรค์ (วังบางขุนพรหม) ไปจนถึงบ้านคุณควง อภัยวงศ์ ข้างสนามกีฬาน้ำไม่ได้กระฉอกหกเลยแม้แต่น้อย ท่านประคองขันชูมาตลอดเวลาไม่ได้วางบนตักเลย
 
เมื่อไปถึงบ้านคุณควง รดน้ำบ่าวสาวแล้วกลับมาขึ้นรถยนต์ จอดนอกบ้านไกลประมาณสองเส้น ฝนตกเม็ดใหญ่ๆ คุณหมอบุญเรือนก็ออกไปตามรถเองโดยไม่มีร่มกางกลับเข้ามาก็เดินมาอีก คราวนี้ดิฉันได้พิสูจน์ตามร่างกายคุณหมอไม่มีเปียกฝนเลย !
 
เรื่องฝนตกไม่เปียกร่างกายคุณเเม่บุญเรือน โตงบุญเติมนี้ เป็นไปหลายครั้งหลายหน ในขณะที่คนอื่นเปียกฝนกัน คุณแม่บุญเรือนร่างกายค่อนข้างร้อนผะผ่าว เสื้อผ้าแห้งสนิททีเดียว
 
คราวแต่งงานรดน้ำบ่าวสาวที่บ้านคุณควง อดีตนายกฯผู้น่ารักท่านนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งท้าพนันเมื่อสังเกตดินฟ้าอากาศแล้วว่าวันนั้นจะไม่ตกคุณแม่บุญเรือนทำนายว่า เวลารดน้ำฝนจะตก
 
ไม่จำเป็นต้องบอก ก็คงทราบได้ว่าคุณแม่บุญเรือนชนะ
 
ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของนางธำรุโกศา (แปลก ปานคำ)ผู้ไปช่วยจับสายสิญจน์ หล่อพระพุทธรูปพระพุทโธใหญ่ ที่วัดสัมพันธวงศ์
 
พอถูกใช้ให้จับสายสิญจน์ดิฉันใช้ไม้ก้านร่มพันม้วนเป็นแกนสายสิญจน์เลย คุณนายบุญเรือนพูดว่าทีนี้โปร่งละ พอจับสายสิญจน์สักประเดี๋ยวก็มีฝนตกลงมามากพายุซัดฝนสาดมาเปียกดิฉัน คุณนายบุญเรือนออกมาเห็นเข้าก็บอกดิฉันให้กระเถิบหนีฝนเข้ามาข้างใน แต่ดิฉันไม่ยอมลุกหนีฝน คุณนายบุญเรือนจึงพูดว่า ฝนอย่ามาเปียกแม่แปลกชี! เขาจะจับสายสิญจน์ ไป ! ไป ! ไป !พอว่าเท่านั้นลมพัดฝนไปทางอื่นไม่สาดดิฉันและฝนก็เลยหายไป
 
ข้อความการบอกกล่าวของนางธำรุโกศาได้พิมพ์ไว้ในประวัติพระพุทโธใหญ่ ซึ่งเมื่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดสารนารถธรรมาราม จังหวัดระยอง
 
ผมมีโอกาสไปชมความงามของพระพุทธรูปที่ถวายนามว่า พระพุทโธใหญ่มาแล้ว สวยงามมากครับ อยู่ในโบสถ์รูปร่างแปลก ที่มุมโบสถ์จำลองพุทธเจดีย์จากอินเดียมาก่อสร้างไว้ ภายในโบสถ์หลังใหญ่ปูด้วยหินอ่อน อากาศเย็นเฉียบทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้เครื่องปรับอากาศ
 
วัดสารนารถฯ เป็นวัดที่กำลังพัฒนา มีเนื้อที่กว้างขวาง นอกจากโบสถ์ที่น่าชมยังมีศาลารูปร่างแปลก ความจริงก็ก่ออิฐถือปูน แต่ทำให้ดูเหมือนกับใช้ซุงมาผ่าซีกทำบันได ฝาก็ทำเหมือนกับใช้ซุงผ่าประดับเหมือนกันขนาดของศาลาใหญ่โตมโหฬารทีเดียว
 
คุณสุจริต ถาวรสุข ผู้เขียนประวัติของคุณแม่บุญเรือนเล่าถึงตนเองกับคุณแม่บุญเรือนว่า
 
ข้าพเจ้าได้ไปกราบทำความเคารพท่าน ท่านได้ถามถึงความประสงค์ที่มาหา ข้าพเจ้าก็เลยเล่าถึงความอยากมีโชคดีในการสอบเป็นผู้พิพากษาบ้าง(ข้าพเจ้าได้ผิดหวังในการสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาในตอนราวกลางปีนั้น) คุณแม่บุญเรือนบอกว่า เมื่อตั้งใจจริง ใฝ่การกุศลก็ต้องสอบได้ และบอกว่าคราวต่อไปก็สอบได้แล้วละ คำพูดประโยคนั้นซาบซึ้งความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอันมาก ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานให้หรืออวยพรให้ หรือท่านมีญาณทราบโดยทางใดหรือไม่อย่างไร เพราะปรากฏว่าในระยะต่อมาอีกไม่เกินหกเดือนนับแต่หลังสอบคราวก่อนนั้น ข้าพเจ้าก็สอบเป็นผู้พิพากษาสำเร็จได้คะแนนอันดับดีเป็นที่สอง
 
 
http://img199.imageshack.us/img199/7843/72567617.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์
 
ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า
 
ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพักสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึกสามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อจึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐานตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหนและเข้าไปในศาลาทางไหน
 
ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียมซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่น คราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน
 
จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:19:47 »

http://img194.imageshack.us/img194/7483/16088749.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
 
เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

 
จากประวัติหลวงตาไสว สิวญาโณ
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือนและท่านพุทธทาส
 
สู่ทางธรรม
 
แม่แดง-ครูคนแรก
 
แม่แดงคนนี้อยู่บ้านใกล้กับอาตมาที่จังหวัดเชียงใหม่แกเป็นคนดี ธัมมะ ธัมโมและที่บ้านแม่แดงมักมีแม่ชีมาสอนด้วย ตัวแม่แดงเองก็สอนธรรมะพื้นๆ ได้เก่ง เช่น สอนว่าวิธีที่จะไม่โกรธแม่ยายจะทำยังไง ? จะต้องมีขันติ-อดทน เป็นต้น พออาตมากลับมาบ้านที่ลำปาง ก็เอาข้อธรรมที่แม่แดงสอนนั้นมาเขียนติดไว้ในบ้านตามประตู หน้าต่างเต็มไปหมด แต่แล้วขันติก็แตกทนไม่ได้ อาตมาก็โกรธแม่ยายอีก จึงกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปหาแม่แดงอีกแต่แม่แดงไม่อยู่ คนที่บ้านบอกว่าแม่แดงไม่อยู่ ไปกับคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม (อุบาสิกาที่มีคนนับถือมากในขณะนั้น)ไปที่วัดเจดีย์หลวงอาตมาจึงตามไป
 
คุณแม่บุญเรือน
 
คุณแม่บุญเรือนปกติอยู่กรุงเทพฯ แต่มีคนเชิญท่านมาที่เชียงใหม่ ตอนอาตมาได้พบคุณแม่บุญเรือนที่วัดเจดีย์หลวงจังหวัดเชียงใหม่นั้น ประมาณปีพ.ศ.๒๔๙๑ ขณะนั้นอาตมามีอายุราว ๔๔ ปี อาตมาได้เห็นการปฏิบัติของคุณแม่บุญเรือนแล้วรู้สึกว่าท่านมีฤทธิ์ คือรู้ใจคนทั้งสามารถแสดงปาฏิหาริย์ทำให้คนเดินกลางฝนได้โดยไม่เปียก หนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเกรียวกราวมาก
 
อาตมารู้สึกศรัทธาคุณแม่บุญเรือนมาก จึงไปสมัครเป็นลูกศิษย์ ต่อมาภรรยาเมื่อไปเชียงใหม่ก็ตามไปเรียนด้วย แรกๆ ภรรยาก็เรียนกับคุณแม่บุญเรือนด้วยเล็กๆ น้อยๆ จนต่อมาก็เป็นลูกศิษย์ที่คุณแม่บุญเรือนรักใคร่ สนิทสนมกันมาก
 
พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
 
ขณะที่อยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาได้ถามคุณแม่บุญเรือนว่าพระที่มีปฏิปทาปฏิบัติชอบนั้นมีใครบ้าง ?” ท่านก็บอกว่ามีหลวงปู่มั่น, เจ้าคุณอุบาลี และท่านอาจารย์พุทธทาสซึ่งอาตมาก็ฟังๆ ไปยังงั้นเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักกับพระทั้งสามองค์ที่ออกนามมานี้ อีกอย่างหนึ่งอาตมาเองก็เคารพในคุณแม่บุญเรือนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว อาตมาเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกับคุณแม่บุญเรือนอยู่นานถึง ๑๒ ปี
 
สมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ
 
ขณะที่อาตมายังเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนนั้น อาตมาก็ยังไปๆมาๆ เชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้างส่วนโรคปวดหัวและริดสีดวงทวารของอาตมาก็ยังไม่หาย แถมยังเริ่มเป็นโรคปอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อาตมาจึงหันไปฝึกสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ, ยืนหนอ-นั่งหนอ,มีการเดินจงกรมชั่วโมงหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาภาวนาชั่วโมงหนึ่ง ตอนนั้นเขาสอนทำตบะตัวแข็งเลย
 
อาตมาเรียนอยู่ถึง ๒ เดือน เอาจริงๆ เลย ! ผลที่ได้รับคือรู้สึกว่าตัวเบา มีปีติสูงมาก อยากให้คนอื่นได้รับเหมือนเราบ้างในขณะนั้นครูผู้สอนยังบอกอาตมาว่าแค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีกอาตมาก็เรียนได้ดีจนครูผู้สอนยกย่อง จะให้อาตมาเป็นครูช่วยสอนให้ผู้อื่นด้วย แต่อาตมาไม่เอา เรื่องอาตมาเรียนสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ ที่เชียงใหม่นี้ มีคนฟ้องมายังคุณแม่บุญเรือนด้วยน่ะ
 
ชักชวนให้พี่สาวศรัทธาในคุณแม่บุญเรือน
 
ต่อมาเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ลงมากรุงเทพฯ อาตมาได้มีจดหมายบอกไปยังพี่สาวแกมแก้วซึ่งยังอยู่ที่บ้านบางขุนพรหม ที่กรุงเทพฯให้ไปหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านของท่าน ที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นั้น โดยอาตมาไปเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ของคุณแม่บุญเรือนที่เดินกลางสายฝนได้โดยไม่ เปียกให้พี่สาวฟังด้วย พี่สาวอาตมาซึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนราชินี พอฟังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง ก็ว่า น้องชายถ้าจะเสียสติเสียแล้วแต่ลงท้ายพี่สาวอาตมาก็ไปหาคุณแม่บุญเรือน
 
พอคุณแม่บุญเรือนพบพี่สาวอาตมา ก็พูดว่า ฉันมีอะไรไม่ดีให้บอกฉันพี่สาวได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเขาเองถึงกับสะดุ้งในตอนนั้น ต่อมาพี่สาวอาตมาก็ศรัทธาในคุณแม่บุญเรือนยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก
 
วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน
 
วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน ค่อนข้างดุ รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว เช่นเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นอาตมามีอายุได้ราว ๕๓ ปีแล้วเมื่ออาตมาได้เข้ามากรุงเทพฯ และได้แวะมากราบเยี่ยมคุณแม่บุญเรือนในฐานะอาจารย์ ท่านก็ถามเรื่องไปเรียนกัมมัฏฐาน เล่นตบะตัวแข็งว่าจริงหรือไม่ ? พออาตมารับว่าจริงเท่านั้นแหละท่านก็ลุกขึ้นมากระทืบอาตมา กระทืบในขณะที่อาตมายังนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายในที่นั้นเลย เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว ท่านยังพูดว่า นายไสวนี่กระดูกเหล็ก ทำเอาเท้าฉันเจ็บนี่ ! เป็นยังงั้น
 
ต่อมาเมื่ออาตมาได้มาเยี่ยมท่านอีกที่บ้านพระโขนง ที่หลวงแจ่มวิชาสอนสร้างให้ พออาตมาไปเห็นบ้านซึ่งขณะนั้นถนนยังเป็นโคลน อาตมาจึงโทรศัพท์สั่งหินมาคันรถหนึ่ง ให้เขาเอามาถมและเกลี่ยถนนให้พอเดินได้ พอดีเกิดฝนตกถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณแม่บุญเรือนสั่งให้อาตมาเอาจอบไปเกลี่ยหินกลบตามหลุมตามบ่อนั้น อาตมาไม่เคยจับจอบมาก่อน จึงทำไม่เป็น ท่านก็ตบเอา แล้วว่างานแค่นี้ก็ทำไม่เป็นตกตอนเช้า ขณะที่อาตมากำลังก้มลงเก็บหินที่กระจายเกลื่อนๆ อยู่ ท่านเดินมาเห็นเข้าก็เตะก้นอีกที
 
อีกหนหนึ่ง อาตมาไปเยี่ยมท่าน ขณะนั้นมีคนนั่งกันเต็ม ท่านบอกให้อาตมาไปเอาดอกไม้มาให้คุณหญิงคุณนายจัดแจกันพอดอกไม้เหลือ ท่านก็สั่งอาตมา เอาไปไว้ที่เก่าอาตมาก็เอาไปวางที่เก่า
 
สักครู่ท่านพาคุณหญิงคุณนายผ่านไปพบเข้า ก็ดุว่าอาตมาว่าทำไมเอาดอกไม้มาวางไว้ตรงนี้ ?” อาตมาก็บอกท่านว่าที่เก่ามันอยู่ตรงนี้เท่านั้นแหละท่านตบอาตมาทันทีเห็นเขียวๆ แดงๆ ตาลายเลยพอท่านทำท่าจะตบครั้งที่ ๒, อาตมาก็เอนตัวหลบ ท่านก็ว่าจะสู้ยังงั้นรึ?”
 
อาตมาก็นิ่งเฉยเสีย พออาตมาเดินห่างไปหน่อย ท่านก็ประกาศบอกใครๆว่าฉันสอนลูกศิษย์ของฉันยังงี้ในตอนนั้นอาตมาไม่เข้าใจ,ต่อมาภายหลังเมื่อมาอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว จึงเข้าใจว่า ท่านสอนแบบเซ็นด้วยวิธีฉับพลัน กล่าวคือขณะนั้นลูกศิษย์ที่มาหาท่าน คุยกันแซ็ดไปหมด,พอคุณแม่บุญเรือนตบอาตมาเท่านั้น เสียงเงียบกริบลงทันทีเลย,เป็นการข่มขวัญ หรือเชือดคอไก่ให้ลิงดูนั่นเอง
 
ความเคารพในครูบาอาจารย์
 
ขณะที่อาตมาถูกคุณแม่บุญเรือนตบตีอย่างรุนแรงนั้น อาตมาก็มิได้มีอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากมีความเคารพว่าท่านเป็นอาจารย์ ท่านได้แนะนำสั่งสอนมา อาตมาได้ความรู้จากคุณแม่บุญเรือนหลายอย่างจนตั้งตัวมาได้ถึงปานนี้
 
แต่ทว่าโรคภัยไข้เจ็บก็ยังเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดหัวริดสีดวงทวาร โรคปอด และยังมีโรคต่อมลูกหมากโตเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
 
http://img262.imageshack.us/img262/3387/94222733.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

รูปหล่อรุ่นแรกคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
 
 
เมื่อทำไร่มันฝรั่ง
 
ต่อมาแม่แดง ซึ่งเป็นครูคนแรกของอาตมานั้น, เขาเป็นเศรษฐีลูกเขย ๒ คนของเขาไปทำไร่มันฝรั่งที่เชียงใหม่กิโลเมตรที่ ๓๘ มีเนื้อที่ ๒๓๔ ไร่ ขณะนั้นยังไม่มีใครปลูกมันฝรั่งในเมืองไทยปีแรกก็ขาดทุน แม่แดงบอกว่าจะเลิกทำ อาตมาก็เลยอาสาว่าอย่าเลิกเลย อาตมาจะไปทำให้ พออาตมาไปถึงที่ไร่ก็เห็นเจ้าของไร่คือลูกเขยแม่แดง แต่งตัวคาวบอย มีรถแทรกเตอร์ใช้มีคนงานในไร่ ๔๐ คน พอตกเย็นก็นั่งกินเหล้ากัน อาตมาจึงมองเห็นเหตุที่มาของการขาดทุนและได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่างๆ
 
ในขั้นแรกก็คือการตัดคนงานออกเสีย ๒๐ คน เหลือไว้แค่ ๒๐ คนเพราะจำนวนคนเกินกว่างานมาก นี่ก็เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง
 
ส่วนเรื่องที่มีขโมยมาลักขุดมันนั้น อาตมาก็ต้องค่อยๆ แก้ไขสอบสวนดู โดยคอยสังเกตจนรู้ว่าขโมยที่เข้ามาลักขุดมันนั้นเป็นชาวบ้านแถบนั้น เมื่อเจ้าของไร่เอาหัวมันฝังดินไว้เพื่อปลูกแล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ชาวบ้านจึงมาลักขุดขนเอาหัวมันเหล่านั้นไปเจ้าของก็ไม่รู้ ผลผลิตจึงออกมาไม่สมกับที่เจ้าของคาดหมายเพราะปลูกเท่าไร ต้นมันก็ไม่งอกเป็นต้นสักทีอาตมาขุดดูจึงรู้ว่า หัวมันถูกขโมยลักขุดเอาไปหมดแล้ว
 
อาตมาต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการแก้ไขคือเริ่มเข้าไปทำความรู้จัก คุ้นเคย เข้าหาคนเฒ่าคนแก่กับเด็กและทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยบอกว่าถ้าจะเอาอะไรขอให้บอกเราปลูกอะไรก็ให้พันธุ์เขาไปปลูกบ้าง จากนั้นก็ทำตู้ยามล้อมรอบที่ไร่มีที่พักของอาตมาเองอยู่ตรงกลางไร่ เพื่อจะได้ดูแลได้รอบทิศ
 
กลางคืน พอฉายไฟไปที่ตู้ยาม ถ้ายามไม่ตอบจะเป็นเพราะหลับหรือเมาก็ตาม อาตมาก็ลงไปที่ตู้ยามแล้วยิงปืนออกไป ซึ่งเท่ากับขู่ชาวบ้านไปด้วย สำหรับคนงานคนไหนอยู่ยามกลางคืนรุ่งขึ้นให้หยุดพัก ๑ วัน การแก้ไขปัญหาหลายๆอย่างนี้ ทำให้กิจการไร่มันหายจากการขาดทุนได้ เพราะการควบคุมดูแลอย่างเอาจริงและการประหยัดค่าใช้จ่าย ตลอดจนการมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านนั่นเอง
 
การพบท่านพุทธทาสเป็นครั้งแรก
 
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะที่อาตมาดูแลการปลูกมันฝรั่งนั้น วันหนึ่งคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี เจ้าของกิจการไร่ชาระมิงค์มาบอกอาตมาว่าท่านอาจารย์พุทธทาส จากสวนโมกข์ ไชยามาพักที่ไร่ จะไปพบท่านไหม ?” อาตมารีบตอบว่า ไปไปก็ตามคุณประสิทธิ์ไปกราบท่าน พออาตมาเห็นท่านอาจารย์พุทธทาสก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง อาตมาได้บอกกับท่านว่าอาตมาจะไปสวนโมกข์ ท่านก็ตอบว่า ได้ ได้
 
หมดห่วงทางโลก
 
พอดีในช่วงนั้นแม่แดง ผู้ร่วมกิจการทำไร่มันฝรั่งมาตายลง คุณแม่บุญเรือนก็บอกว่าหยุดช่วยเขาได้แล้วได้ตอบแทนคุณเขามามากพอแล้ว อีกทั้งอาตมาก็ยังไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ อาตมาจึงเลิกทำ ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไปอาตมาได้เห็นทุกข์ทางกายทางใจมามากแล้ว อีกอย่างหนึ่งอาตมาก็รู้สึกหมดห่วงในเรื่องครอบครัวลูกและภรรยา เมื่อลูกๆ ที่อาตมาได้ขอมาเลี้ยงไว้ทีแรก๔ คนก็ไปหมด ไปมีผัวแล้วได้ลูกมาอีก ๖ คน เป็นผู้หญิง๕ ผู้ชาย ๑ อาตมาก็ต้องเลี้ยงไว้อีก จนผู้หญิง ๕ คนได้ปริญญาเป็นครูหมดทุกคนผู้ชายส่งให้เรียนอัสสัมชัญ ลูกๆ ทุกคนตั้งตัวได้หมด(ขณะนี้พ.ศ.๒๕๓๙ ตายไปแล้ว ๑ คน) เป็นอันว่าอาตมาหมดห่วงเรื่องลูก
 
เหตุที่ไปสวนโมกข์
 
เหตุที่อาตมาคิดจะไปสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล ไชยา เพราะคิดว่าเรียนกับคุณแม่บุญเรือนมา ๑๒ ปีแล้วยังไม่หมดทุกข์สักที พอพบท่านพุทธทาสก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้างดังนั้น ก่อนจะมาสวนโมกข์ อาตมาได้ไปขออนุญาตคุณแม่บุญเรือนก่อน
 
ไปสวนโมกข์ครั้งแรก
 
พอปี พ.ศ.๒๕๐๑ อาตมาเดินทางโดยรถไฟ มาลงสถานีไชยา จากนั้นก็เดินเท้ามายังสวนโมกข์ ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถรับส่ง เมื่ออาตมาไปถึงสวนโมกข์วัดธารน้ำไหล อาตมาไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาสท่านไม่อยู่ ไปกิจที่อื่น อาตมาจึงกลับมากรุงเทพฯ
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:20:00 »

http://img254.imageshack.us/img254/2349/21128856.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
เกิดความสงสัยในคุณแม่บุญเรือน
 
อาตมากลับจากสวนโมกข์ ก็ไปหาคุณแม่บุญเรือนอีก กลับไปเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนตามเดิม คุณแม่บุญเรือนดูอาการของอาตมาแล้วพูดว่า มีอะไรให้บอกแม่อาตมาจึงถามสวนไปว่า ก็คุณแม่มีญาณวิเศษถึงขั้นรู้ใจคนแล้ว ทำไมจึงไม่รู้ใจผมว่าอยากมาสวนโมกข์ เพราะอะไร ?” คุณแม่บุญเรือนก็ว่าเดี๋ยวนี้เครื่องวิทยุ ๒ เครื่องนี้ มันรับส่งกันไม่ได้อีกแล้ว เครื่องส่งส่งไป แต่เครื่องรับมันไม่ยอมรับ
 
ครั้นพออาตมาบอกท่านว่า อยากไปหาท่านพุทธทาสคุณแม่บุญเรือนก็ว่าพระนิพพานแม่ก็สอนได้ ไม่ไปได้ไหม ?” ในฐานะที่ท่านมีบุญคุณ อาตมาก็เลยคิดว่า เอาปัจจุบันไว้ก่อน คือเรียนกับคุณแม่บุญเรือนต่อไปอีกระยะหนึ่งก็สุดแล้วแต่ท่านจะสอนอะไร ดังนั้นทุกวันอาตมาจะออกจากบ้านบางขุนพรหม ไปหาท่านที่บ้านพระโขนง ส่วนพี่สาวจะไปวันอาทิตย์งานที่ไปทำก็คือ ไปรับใช้ทุกอย่างสุดแต่ท่านจะใช้
 
ไปสวนโมกข์ครั้งที่สอง
 
อย่างไรก็ดี โรคประจำตัวต่างๆ ที่อาตมาเป็นอยู่ก็ยังไม่หาย ทั้งความคิดอยากจะเป็นพระอรหันต์ยิ่งแรงกล้าขึ้น ดังนั้นในปีพ.ศ.๒๕๐๓ ขณะนั้นอาตมามีอายุได้ ๕๖ ปีแล้วอาตมาจึงเดินทางจากกรุงเทพฯ มาสวนโมกข์อีกครั้งหนึ่งโดยไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาสอีก ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจตามโปรแกรมของท่าน
 
การมาครั้งนี้อาตมาไม่คิดจะกลับอีกแล้ว ตั้งใจจะอยู่รอจนพบท่านให้ได้ก่อนอาตมาได้พักอยู่ที่สวนโมกข์ (ปัจจุบัน) ช่วยงานเก็บกวาดวัดปฏิบัติรับใช้พระ ส่วนอาหารนั้นยังต้องระวังเพราะโรคริดสีดวงทวารยังไม่หาย จึงต้องไปติดต่อทางโรงครัวให้ทำอาหารที่ไม่แสลงโรคให้
 
เมื่อเป็นอุบาสกที่สวนโมกข์
 
อาตมาอยู่ที่สวนโมกข์ไม่นาน, ท่านอาจารย์พุทธทาสก็กลับมา ท่านไม่ถามอะไรอาตมาสักคำ ว่าไปยังไงมายังไง อาตมาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะรู้เรื่องราวของอาตมาจากคุณประสิทธิ์พุ่มชูศรี มาบ้าง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้วท่านบอกอาตมาเพียงว่าให้ปฏิบัติตนเป็นอุบาสกรับประทานมื้อเดียว กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว
 
ต่อสู้อย่างหนักกับอาหารแสลงโรค
 
พอท่านอาจารย์พุทธทาสกลับมาถึงสวนโมกข์วันแรกอาตมาก็โดนดีทีเดียว คือระหว่างที่พระฉันภัตตาหาร ท่านให้พระที่นั่งองค์สุดท้ายตักข้าวให้อาตมาจานหนึ่ง ข้าวจานนั้นมีแต่น้ำแกงเหลืองราดมาให้เท่านั้นแหละ เผ็ดแทบตาย พออาตมาตักข้าวเข้าปาก โอ้โฮ ! รู้สึกร้อนเหมือนไฟต้องแอบคายทิ้ง แล้วเอาข้าวไปให้ปลากินซึ่งแต่เดิมลำธารในวัดธารน้ำไหลมีน้ำไหลแรง มีปลาอาศัยอยู่ด้วยเป็นอันว่าอาตมาต้องอดอาหารในวันแรก
 
ตอนเย็นได้ดื่มน้ำปานะ คือชาซึ่งกลิ่นเหม็นยังกะอะไรดีกับน้ำร้อน น้ำตาล ๑ ก้อน, ต้องใส่น้ำแค่ครึ่งแก้วเท่านั้นจึงจะมีรสหวาน แล้วค่อยเติมน้ำทีหลัง
 
รุ่งขึ้นวันที่สองก็เจอแบบนี้อีก คือข้างราดแกงเหลืองเผ็ดจัด ก็เลยกินไม่ได้อีก เอาข้าวไปให้ปลากินแทน ตัวเองอดพอถึงวันที่สาม ชักหิวแล้วซิ ทนไม่ไหวจึงแอบไปกระซิบบอกพระที่ตักอาหารองค์สุดท้าย โดยบอกว่าขอแต่ปลา ไม่เอาน้ำแกงปรากฏว่าวันนั้นต้องกินปลากระเบน ซึ่งเป็นของแสลงต่อโรคริดสีดวงอย่างยิ่ง
 
ปลากระเบนนี้ พระสวนโมกข์ตั้งชื่อว่า ไก่ทะเลและก็เป็นอาหารหลักของที่นี่เกือบจะเป็นประจำทุกวัน เมื่ออาตมากินเข้าไปแล้ว มันก็ไปออกอาการทางริดสีดวงทวารจนเลือดไหลทรมานมาก อาตมาต้องต่อสู้อย่างหนักแต่ก็ไม่เคยบอกท่านอาจารย์พุทธทาสให้ทราบ คิดแต่ว่าต้องสู้ให้ได้แม้จะลำบากก็ สู้เพราะอยากได้ธรรมะ อยู่ที่ว่าใครจะสู้ได้แค่ไหน อีกอย่างหนึ่งสมัยที่อาตมาอยู่กับคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านก็ใช้งานทุกอย่างเลย บางทีเรียก ไอ้ก็ยังมี อาตมาจึงได้ความอดทนมาจากท่านเมื่อมาพบความยากลำบากที่สวนโมกข์ อาตมาจึงไม่รู้สึกอะไรนักไม่รู้สึกว่าต้องทน การมาอยู่ที่สวนโมกข์นี้ ภรรยาของอาตมาก็ไม่ว่าอะไรเพราะทรัพย์สินของอาตมาทั้งหมดก็ให้เธอเอาไป อาตมาเอาเงินติดตัวมาก้อนหนึ่งเท่านั้น
 
ความกระจ่างในการปฏิบัติธรรม
 
ตอนเป็นอุบาสกก่อนบวช ๓ เดือน อาตมาก็ได้ทำสมาธิจนตัวเกร็ง โดยบอกตัวเองว่า จิตไป ดึงมาเสีย, จิตไปดึงมาเสีย พยายามไม่นึกไม่คิดท่านอาจารย์พุทธทาสรู้เข้าก็ว่าทันทีเลยว่าจิตเกิดดับ ห้ามได้รึ ? เมื่อเกิดผัสสะอย่าให้เลยไปจนเกิดเวทนา เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยินซิแค่นี้อาตมาก็เข้าใจเลย ความคิดว่า ตัวอยากเป็นพระอรหันต์มัวหันไป หันมา อยู่นั่นแหละ ไม่เอาแล้ว !!
 
งานแก้โรคภัยไข้เจ็บ
 
โรคที่เป็นอยู่อาตมาก็ไม่ได้กินยาอะไร การแก้โรคของอาตมาคือการทำงานให้หนักช่วยงานวัด มีงานทำตลอดระหว่างเป็นอุบาสก ๓ เดือนก็เลยลืมๆ ไป ไม่คิดว่าตัวเจ็บป่วย
http://img35.imageshack.us/img35/2087/40328491.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

ภาพถ่ายพระธาตุของคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
 
 
แจ้งข่าวการบวชกับคุณแม่บุญเรือน
 
ก่อนจะบวช อาตมาได้เขียนจดหมายไปถึงพี่สาวบอกว่า จะบวช คุณแม่บุญเรือนสั่งให้พี่สาวมาบอกอาตมาว่าถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่ากลับมาหาแม่ท่านเล่นไม้ตายแบบนี้เลย เท่ากับบังคับให้อาตมาต้องเอาจริง
 
ต่อมาอีกหลายปี คือวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๗ ก่อนที่คุณแม่บุญเรือนจะสิ้น (ตาย) ก็สั่งพี่สาวให้เขียนจดหมายมาบอกอาตมาว่าให้พระอยู่ไปนานๆ นะเท่านั้นแหละรู้กัน
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
หมีงงในพงหญ้า
ยืนงงในดงตีน
ผู้ก่อตั้งเวบฯ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +62/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
United Kingdom United Kingdom

กระทู้: 7865


• Big Bear •

ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 5.0.375.99 Chrome 5.0.375.99


ไม่มี ไม่ใช้ ไม่รู้
ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 27 กรกฎาคม 2553 14:20:21 »

http://img407.imageshack.us/img407/407/86249987.jpg
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

พระพุทโธน้อย แม่ชีบุญเรือน

 
คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง
 
โดย...ราม วัชรประดิษฐ์
 
ใน สมัยก่อน พระเครื่องและเหรียญต่างๆ โดยทั่วไปผู้สร้างมักเป็นบุรุษเพศ แต่สำหรับ "พระพุทโธน้อย" ที่จะกล่าวถึงนี้ สร้างโดย "แม่ชีบุญเรือน" ซึ่งเป็นสตรีเพศผู้เปี่ยมด้วยคุณงามความดี มีคุณธรรมและเมตตาธรรม รักการทำบุญสร้างกุศล ชอบไปนั่งฟังเทศน์ฟังธรรมและปฏิบัติธรรมตามวัดวาอารามต่างๆ โดยเฉพาะที่วัดสัมพันธวงศ์ ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม "คณะสามัคคีวิสุทธิ" ซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจนรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่และยึดถือหลักการบริจาคและการ ให้เป็นหลักสำคัญ ทำให้พุทธคุณของ "พระพุทโธน้อย" ที่ท่านจัดสร้างมีความเข้มขลังเป็นที่ปรากฏ เป็นที่นิยมสะสมในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่อง รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่ทราบชื่อเสียงกิตติศัพท์ของแม่ชีบุญเรือนครับ ผม
อัตโนประวัติของแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ท่านเป็นชาวอำเภอมีนบุรี เกิดเมื่อปี พ.ศ.2437 ต่อมาครอบครัวย้ายมาทำสวนที่อำเภอราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี ได้ศึกษาเล่าเรียนตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่นหมอนวดที่มีชื่อเสียงใน สมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด
 
ต่อมาท่านได้รู้จักหลวง ตาพริ้งซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอก ผู้มีศักดิ์เป็นลุง และเริ่มได้รับการสั่งสอนเรื่องธรรมะ ท่านยิ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาและรักงานบุญงานกุศลยิ่งขึ้น ท่านมักถือศีล เจริญภาวนา และฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่เป็นเนืองนิตย์ ในที่สุดท่านก็เข้าสู่พุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี และด้วยความตั้งใจมั่นในการบำเพ็ญเพียร เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ท่านสามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จ "จตุตถฌาณ 4" และ "อภิญญา 6" อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต นับได้ว่า "แม่ชีบุญเรือน" เป็นตัวอย่างของพุทธศาสนิกชนผู้สละแล้ว เพื่อเข้าถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
"พระพุทโธน้อย" เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธ วิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลัง มีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า "พุทโธ"
 
แม้จำนวน สร้างจะมากถึงหนึ่งแสนองค์ แต่ด้วยความศรัทธาในตัวผู้สร้างและพุทธคุณเป็นเลิศปรากฏครบครันทั้งด้าน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด เจริญด้วยโภคทรัพย์ และกำจัดโรคร้าย ทำให้ "พระพุทโธน้อย" หมดไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
 
"พระพุทโธน้อย" นับเป็นพระเครื่องเก่าแก่และน่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง ด้วยพุทธคุณที่ปรากฏอย่างสม่ำเสมอแก่ผู้ที่เคารพศรัทธาและกราบไหว้สักการะ ไม่ขาด ว่ากันว่ามุ่งหวังสิ่งใดก็จะสำเร็จสมความตั้งใจอีกทั้งแคล้วคลาดภยันตราย ทั้งปวงครับผม
 
พระพุทโธน้อย หลังยันต์เฑาะว์ ของแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม
 
แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติมกับวัดสัมพันธวงศ์
 
แม่ ชีบุญเรือน โตงบุญเติม แต่เดิมนั้น ท่านเคยอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถระ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์
 
แม้ภายหลังจะย้ายไปอยู่วัดอาวุธวิกสิตา ราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร แต่ท่านก็ยังกลับมาช่วยเหลืองานของวัดสัมพันธวงศ์ เพราะมีหลักฐานปรากฏหลายครั้งที่คุณแม่ได้มาช่วยเหลืองานของวัดสัมพันธวงศ์
ภายหลังการย้ายไปแล้ว
 
ครั้ง ที่จัดงานสร้างพระประธานที่ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ จัดสร้างเพื่อนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง อันเป็นบ้านเกิดของพระเดชพระคุณท่านเอง คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เข้ามาช่วยเหลืองานตั้งแต่การหล่อพระประธานตั้งแต่ปี พ.ศ.2494 เป็นต้นมาการหล่อพระประธานองค์นี้ นับว่ามีการหล่อกันระยะยาวพอสมควร คือ ต้องใช้การหล่อถึง 3 ครั้งด้วยกัน จึงสำเร็จเป็นองค์ปฏิมาที่งดงามได้ โดยครั้งที่ 3 นั้นคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้เข้ามาช่วยดำเนินการดูแลงานเกือบทั้งหมด
คราวสมโภชพระประธานที่จัด สร้างขึ้น เมื่อวันที่ 4-13 มีนาคม พ.ศ.2496 ณ วัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง คุณแม่ก็ได้เข้ามาช่วยงานของวัดสัมพันธวงศ์และช่วยงานของวัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยอง ซึ่งก็เป็นที่มาของพระพุทโธน้อยชุดนี้ด้วย
 
พระพุทโธน้อย ของแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม
 
พระ พุทโธน้อย (หลังยันต์เฑาะว์) ที่พบในครั้งนี้ ตามหลักฐานที่บันทึกไว้ กล่าวว่า เป็นพระที่แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ได้อนุญาตให้พระสิทธิสารโสภณ (สงวน โฆสโก) อตีตเจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม ( เดิมนั้น ท่านอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ ) สร้างจำนวน 100,000 องค์ เป็นการสร้างพระพุทโธน้อยชุดแรกของวัดอาวุธวิกสิตาราม
 
 
โดยคุณแม่บุญ เรือน ขอแบ่งมาจำนวน 10,000 องค์ มีการแยกแยกต่อให้หลายที่ ส่วนวัดสัมพันธวงศ์นั้น คุณแม่บุญเรือน นำถวายท่านท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสกเถระ) เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2494 ประมาณ 2,000 องค์ พระพุทโธน้อยที่นำมาถวายในปีนั้น มี พระพุทโธน้อย พิมพ์ใหญ่หลังยันต์เฑาะว์ เนื้อดิน และพระพุทโธน้อย พิมพ์หน้าจีนหลังยันต์เฑาะว์ดอกบัว เนื้อดิน โดยคุณแม่ชีได้อธิษฐานจิตเรียบร้อยแล้ว พระพุทโธน้อยชุดนี้ ได้รับการพุทธาภิเษกซ้ำอีกครั้งในคราวสมโภช
 
พระประธานที่วัดสารนาถธรรมา ราม อ.แกลง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 5-30 มีนาคม พ.ศ.2499 รวม 18วัน 18 คืน มีพระเถราจารย์มากมายเข้าร่วมพิธีนี้ เช่น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์วัน อุตตโม เป็นต้น โดยมีหลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ เป็นองค์คอยประสานงานและการพิธีต่างๆ (พิธีเดียวกับ “พระมงคลมหาลาภ”) พระพุทโธน้อยที่กล่าวมานี้ มีในต่างจังหวัดมาก โดยเฉพาะในจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี ในคราวนี้ก็ได้ค้นพบที่วัดสัมพันธวงศ์ด้วย โดยการดูแลของพระครูวิมลญาณอุดม (ชินเทพ ชินเทโว) เก็บไว้ในกุฏีเดิมของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์
คัดลอกจาก เอกสารเผยแพร่ดั้งเดิม และ
 
http://luangporkoon.com/romphosai/showthread.php?t=2839&page=4
 
 
จากการตรวจสอบ"พลังงานภายใน"พิเศษของ"หน่วยสืบราชการลับ"(ทางจิต) ซึ่งมีความแม่นยำสูงอย่างยิ่ง ทำให้ได้ทราบผลอันน่าตื่นใจในพระพุทโธน้อย (หลังยันต์เฑาะว์/หลังเรียบ พิธีโสฬสมหาพรหม) คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมเป็นอันมากว่า
 
1."สุดยอดจริงๆ สุดยอดที่สุด..หาที่เสมอเหมือนมิได้มีอีกแล้ว..!!!???"
 
2." พลังในองค์พระพุทโธน้อยนี้ เสมือนหนึ่งว่าได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรงเลยทีเดียว!!!!!!"

 
 
หมายเหตุ , ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวนี้ นับว่า ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะทราบมาก่อนล่วงหน้านี้แล้วว่า คุณแม่บุญเรือนอธิษฐานธรรมให้ขอพรกับพระพุทโธน้อยนี้ได้เสมือนได้ขอพรกับพระพุทธองค์โดยตรงเลยนั่นเทียว..!!!!)
 
3."เมื่อ หยั่งจิตลงไปพระพุทโธน้อยนี้ จะเห็นเป็นคุณแม่บุญเรือนนั่งอยู่ต่อหน้าเฉพาะพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า โดยมีพลังที่พระคณาจารย์เจ้า(พระอริยเกจิสายกรรมฐานนับร้อยๆองค์ในพิธีฉลอง" พระพุทโธใหญ่" ) ที่ร่วมปลุกเสกด้วย ก็หาได้ปิดทับหรือกลบพลังจิตอธิษฐานของคุณแม่บุญเรือนได้ แต่จะแวดล้อมเสริมเข้ามาอีก อย่างอลังการที่สุด ..."
 
4."พลังแบบนี้ เป็นพลังจิต พลังบารมีของตัวคุณแม่เองโดยเฉพาะ อันจะหาใครเสมอเหมือนหรือทดแทนมิได้อีกแล้ว...."
ส่วน"หน่วยสืบราชการลับ"(ทางจิต) อีกท่านหนึ่ง ก็กล่าวรับรองเป็นไปในทำนองเดียวกันว่า
 
5.พลังจิตของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มีความแก่กล้าและสูงส่งอย่างยิ่ง เทียบเท่ากับ"หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง นนทบุรี" หรือ"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท"เลยทีเดียว..!!!!!!
 
6..จากการส่งจิตเข้าไปสอบถามกับเทวดาที่รักษาองค์พระ ทำให้ได้ทราบอีกด้วยว่า พระพุทโธน้อยนี้ มีพลานุภาพดีรอบด้าน ถึงขั้นกัน"นิวเคลียร์"และ"กัมมันตภาพรังสี"ได้อีกด้วย...
 
และที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ
 
"ว่า ไป ก็เหมือนกับคุณแม่บุญเรือนท่านจะแกล้งบังตาบังใจเอาไว้ก็ว่าได้ ให้พระพุทโธ น้อยหลังยันต์เฑาะว์หรือหลังเรียบซึ่งได้นำเข้าพิธีโสฬสมหาพรหมเสกพร้อมกับ" พระพุทโธใหญ่"(พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง)นี้ ให้ตกอยู่กับผู้มีบุญวาสนาพิเศษเป็นการเฉพาะเท่านั้น...."
 
" แต่ก่อน คนทั่วไปแทบจะไม่เหลียวแลสนใจไยดีกับพระพุทโธน้อยหลังยันต์เฑาะว์หรือหลัง เรียบเลย เพราะถือว่าไม่ใช่หลังยันต์"พุทโธ"ตามปกติ (ติดรูปแบบ) แต่ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ว่าแท้จริงแล้ว พระพุทโธน้อยหลังยันต์เฑาะว์หรือหลังเรียบซึ่งเสกมากกว่า พิธีก็ใหญ่กว่า พลังก็แรงกว่า พระก็หมดไปเสียแล้ว..
 
ภาพปาฏิหาริย์ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
 
http://img182.imageshack.us/img182/7862/dsc04850.gif
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์
http://img6.imageshack.us/img6/4702/dsc04851.gif
ประวัติและปฏิปทา คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์

 
อันอภินิหารของคุณแม่ บุญเรือน โตงบุญเติม แม้จะวางสังขารไปนานเท่าใด ก็ไม่เคยจืดจางเลือนรางไปตามกาลเวลาก็หาไม่ สมดังที่คุณแม่บุญเรือนเคยบอกเอาไว้ว่า
 
"ไม่ว่าตอนที่แม่ยังคงมีชีวิตอยู่หรือละสังขารไปแล้ว ความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆยังคงเหมือนเดิมทุกประการ"
 
ที่สุด แม้แต่คุณชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์เอกของหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ระยองก็ยังเคยเจอ"ทีเด็ด"ของคุณแม่บุญเรือนมาแบบด้วยเช่นกัน!?!
 
เหตุเกิดเมื่อคราวที่คุณพ่อเฉลิม ภมะราภา ซึ่งเป็นบิดาของคุณป้ามานิดา สุขสถิตย์ถึงแก่กรรมและเตรียมการฌาปนกิจ ทางคุณแม่ของคุณป้ามานิดา(แม่ยายคุณชินพร)ซึ่งเป็นศิษย์คุณแม่บุญเรือนได้บอกคุณชินพรว่า
 
"หนังสืองานศพของคุณพ่อเฉลิม ให้เอาตำรานวดแผนโบราณของคุณแม่บุญเรือนใส่เข้าไปด้วยนะลูก.."
 
ในตอนนั้น คุณชินพรยัง"อิน"กับหลวงปู่ทิม อิสริโก ยอดเกจิอาจารย์ผู้ชาญวิทยาคมแห่งวัดละหารไร่ระยองอย่างยิ่ง จึงมิได้ใส่ใจในคำของคุณแม่ยายสักเท่าไร แถมยังนึกประมาทปรามาสคุณแม่บุญเรือนเสียอีกด้วยว่า
"คุณแม่บุญเรือนนะเหรอ จะเก่งสักเท่าไรกันเชียว.."
 
หลังจากที่คุณชินพรนึกประมาทคุณแม่บุญเรือนไปสดๆร้อนๆอย่างที่ว่า และไม่สนใจที่จะเอาตำรานวดแผนโบราณของคุณแม่บุญเรือนลงตีพิมพ์อีกด้วย คุณชินพรก็ขับรถออกไปเพื่อเตรียมการพิมพ์หนังสืองานศพคุณพ่อเฉลิมให้เสร็จทันงาน
 
แต่ทันใดนั้นเอง...เข็มความร้อนของรถยนต์ที่คุณชินพรเพิ่งขับออกมาดีๆ ก็พลันตีไปจนสุดหน้าปัด สร้างความงุนงงให้บังเกิดขึ้นอย่างเหลือที่จะกล่าวได้
 
"อยู่ดีๆ เครื่องรถมันจะร้อนกระทันหันขึ้นมาได้อย่างไรนี่??" คุณชินพรบ่นพลางออกมาเปิดกระโปรงรถตรวจดู
 
"พรวดดดด..!!!!!"
 
"ฟู่ๆๆๆๆๆๆ..!!!!!!!!!!"
 
ปรากฏว่า เพียงแค่คุณชินพรลองแง้มฝ้าหม้อน้ำเพียงเล็กน้อย น้ำร้อนภายในที่มีแรงดันอย่างมหาศาลได้พุ่งพรวดออกมาลวกแขนคุณชินพร สุขสถิตย์ทั้งแถบอย่างแรง ซึ่งหากเป็นคนธรรมดาก็คงต้องบาดเจ็บพุพอง ได้รับทุกขเวทนาอย่างสาหัสอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เป็นแน่.!!!!
 
แต่อาศัยว่า คุณชินพรก็เป็น"ศิษย์มีอาจารย์หนึ่งบ้าง" เมื่อได้สติ คุณชินพรจึงใช้วิชา"ดับพิษไฟ"เป่าพรวดดับพิษร้อนอันร้ายกาจของไอน้ำที่ร้อนจัดจนทุเลาลงในทันที ก่อนที่จะต้องย้อนมานึกสำรวจตนเองแล้วสะดุ้งใจคิดว่า
 
"หรือนี้ จะเกิดจากเราไปประมาทคุณแม่บุญเรือนเมื่อตะกี้หรือไฉน..????"
ด้วย เหตุที่เห็นฤทธิ์เดชของคุณแม่บุญเรือนแบบทันอกทันใจให้ได้ประจักษ์เห็นเพียง นี้ คุณชินพร สุขสถิตย์จึงมีอันต้องละพยศยอมรับฤทธิ์เดชของท่านอย่างถึงใจในทันที ก่อนที่จะนึกขอขมาคุณแม่ในใจ ก่อนรีบเอาตำรานวดแผนโบราณลงตีพิมพ์ในหนังสืองานศพคุณพ่อตาของคุณชินพรในบัดดล..!!!!
 
และทำให้คุณ แม่บุญเรือน โตงบุญเติมกลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงฤทธิ์ระดับสุดยอดเพียงไม่กี่องค์นอกเหนือ จากหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ที่คุณชินพร สุขสถิตย์มีอันต้องยอมรับความเก่งกล้าสามารถอย่างยิ่งมาโดยตลอดตราบเท่าถึง วินาทีนี้
 
ใบตั้งน้ำอธิษฐานของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด กรุงเทพ
 
การ เตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อยมิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์
 
เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น
คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้
 
“ข้าพเจ้า ตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือนเป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์...(นอกจากนี้พูดเอาเอง ตามชอบใจ)...”
 
เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์
 
ของที่ให้อธิษฐานเองนอกจากน้ำ ศิษย์บางท่านได้กล่าวว่าความจริงยังมีไพลอีกอย่างหนึ่งที่ท่านอนุญาตให้ลูก หลานหรือศิษย์อธิษฐานเองได้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการอธิษฐานน้ำ
 
วิธีใช้ของอธิษฐานบางอย่าง ของอธิษฐานทุกชนิดย่อมใช้ประโยชน์ตามของนั้น ๆ แต่มีระเบียบในใบตั้งน้ำของคุณแม่กล่าวถึงรายการพิเศษอยู่บ้าง ขอนำมาลงไว้ ท่านกล่าวว่า “ปูนต้องนำมาให้อธิษฐานให้ พริกไทยใช้รับประทานวันละเม็ด ไพลใช้รับประทานครั้งหนึ่งเท่าศีรษะมือ โขลกให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำอธิษฐานพอสมควร ถ้าเป็นบิดเติมน้ำปูนใส ถ้าท้องผูกเติมเกลือแล้วไม่ต้องใช้น้ำปูนให้ใช้น้ำอธิษฐานค่อนแก้วดื่มก่อน นอนจะถ่ายได้”
 
คำอธิษฐานทั่วไป “ข้าพเจ้าสมมุติว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลของเหล่านี้ให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทิพย์ ใช้รักษาโรคให้หายทุกชนิด ให้มีแนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน” (ปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานตามไปด้วย)
 
ผู้เป็นลูกหลานและศิษย์ของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม หรือผู้เคารพเลื่อมใสนั้น แม้คุณแม่บุญเรือนจะวายชนม์ไปแล้ว ก็ยังคงตั้งน้ำอธิษฐานให้มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้รับประทานได้เช่นเดิม ขอทุกท่านที่เคยทำไปแล้วก็โปรดทำต่อไป ส่วนผู้ไม่เคยทำก็ได้โปรดลองทำดูติดต่อกันไปหลาย ๆ เสาร์ แล้วท่านจะประหลาดใจในผลของน้ำอธิษฐานอย่างน่าพิศวงทีเดียว เช่น เด็กในบ้านที่เคยเจ็บป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้งอย่างคาดไม่ถึง
 
ขออำนาจของพระรัตนตรัยจงเป็นที่พึ่ง ขออัญเชิญบารมีอันสูงยิ่งของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
จง สถิตสถาพรอยู่กับท่านทั้งหลาย แม้ประสงค์สิ่งใดจงสมประสงค์ทุกประการ และถึงพร้อมด้วยธรรมสี่ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุกท่าน เทอญ ฯ
 
 
พระคาถาพระฉิม(พระสีวลี)
นะโม 3 จบ แล้วว่า

 
" นะชาลีติ ฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม ฯ"

 
พระ คาถานี้คุณแม่บุญเรือนได้จากสมาธิเมื่อวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ (บางกระแสว่า เป็นคาถาที่ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์นำมาถวายแด่คุณแม่บุญเรือน) ท่านให้ สวดตามกำลังวันเพื่อบูชาพระสิวลีมหาเถระหรือพระฉิมพลี จะเป็นมหาลาภ มหาโชค มหาโภคทรัพย์อย่างยิ่ง
หมายเหตุ , กำลังวันมี วันอาทิตย์ ๖ วันจันทร์ ๑๕ วันอังคาร ๘ วันพุธ ๑๗ วันพฤหัสบดี ๑๙ วันศุกร์ ๒๑ และวันเสาร์ ๑๐
 
หมายเหตุ , คุณป้ามานิดา สุขสถิตย์ คู่ชีวิตคุณชินพร (มารดาคุณป้ามานิดานี้เป็นศิษย์คุณแม่บุญเรือนโดยตรง)เคยเล่าให้ฟังครั้ง หนึ่งว่า
"คาถาพระฉิมพลีของคุณ แม่บุญเรือนนี้ มีคนรู้จักคนหนึ่ง เดิมก็มิได้มั่งมีอะไร ต่อมา ได้มาสวดคาถานี้เข้า ก็มีเงินมีทองมีโชคมีลาภขึ้นมาอย่างผิดสังเกต แต่พอเกิดความขี้เกียจ หยุดสวด ก็แป้กลงคือเก่า..!!!"
ด้วยเหตุฉะนี้ หากท่านต้องการ"มรรค"หรือ"ผล"กันจริงๆ ก็ต้องทำกัน"จริงๆ"สมควรแก่เหตุด้วย จึงจะสมมาดปรารถนาโดยเที่ยงแท้ หาข้อสงสัยบ่มิได้เลยแลฯ
1.jpg (14.96 KB)
ดาวน์โหลด:8
21-8-2009 02:30
 
 
 
 

 
http://www.jk-pra.com/board/viewthread.php?tid=18
บันทึกการเข้า

B l a c k B e a r : T h e D i a r y
คำค้น: ประวัติ ปฏิปทา อุบาสิกา พลังจิต  มหัศจรรย์ 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.236 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 31 ตุลาคม 2567 21:14:19