[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 09:37:22 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิต-สมองจักรวาลคือจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุด  (อ่าน 2069 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 มกราคม 2554 05:46:17 »




บทความนี้ตอนเริ่มต้นมี 2 คำที่เป็นเหตุผลให้มีตอนหลัง คำแรกคือคำว่าจิตที่หมายถึงจิตจักรวาล  เพราะจิตนั้น - หลังจากจักรวาลอันนี้เกิดแล้ว - ก็เข้ามาอยู่ในทุกๆ ที่ว่างและเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ทันที พุทธศาสนาและนักวิทยาศาสตร์บางคนว่าเช่นนั้น คือบอกว่าจิตมันมีมาตั้งแต่แรกเลย (ดูเรื่องจิตปฐมภูมิ) ส่วนคำที่ 2 คือคำว่าสมองจักรวาล ไม่ใช่สมองมนุษย์นะครับ! ความหมายคือจักรวาลวิทยาใหม่  ในด้านวิทยาศาสตร์ก็มีสมองของจักรวาลที่เหมือนกับสมองมนุษย์ คือ มีหน้าที่บริหารจัดการให้จิตจักรวาล ซึ่งเป็นจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก จักรวาลวิทยาใหม่จึงเป็นวิวัฒนาการความก้าวหน้าของจิตจักรวาลไปตามจิตของมนุษย์ที่สมองมนุษย์เปลี่ยนแปลงจิตไร้สำนึกให้เป็นจิตสำนึก คือเข้าไปใกล้ๆ ภาวะจิตวิญญาณและนิพพานไปตามขั้นตอนของวิวัฒนาการความก้าวหน้านั้น

จักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่มีพลังงานมืด-สสารมืด (dark energy-dark matter) มีหลายๆ จักรวาล (multiverses) ฯลฯ จึงมีขึ้น ผู้เขียนคิดและเขียนเรื่องหนักๆ ที่นักเขียนคนอื่นแทบจะไม่คิดไม่เขียนมานาน เพราะเหตุผลเพียงอย่างเดียว นั่นคือมนุษย์และสังคมของมนุษย์ คิดและทำผิดๆ มาตลอดเวลา นับตั้งแต่โลกได้เริ่มมีวิวัฒนาการของชีวิตและมีมนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาในโลกเรา และมนุษย์เราก็อยู่กับความเคยชินกับสิ่งผิดๆ นั้นมาตลอด เหตุผล? เพราะว่ามนุษย์เราไม่รู้จริงๆ ว่าเราเป็นใคร? หรือถ้าหากเราไล่มาตั้งแต่ต้นจริงๆ เราจะพบว่าเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับกำพืดและที่มาของเรา  รวมการเจริญเติบโต-วิวัฒนาการ “ในบ้านของเรา” นั้น พูดง่ายๆ คือมนุษย์เราไม่รู้จักโลกกับจักรวาลหรือจักรวาลวิทยา เพราะเราไม่รู้จริงๆ เนื่องจากเราไม่มีทฤษฎีจักรวาลที่ยอมรับกัน ทฤษฎีบิ๊กแบ็งเองแม้จะมีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ก็เพิ่งมีคนสนใจจริงๆ ในปี 1965 นี้เอง (เมื่อมีการพบ background radiation)  นอกจากนี้เรา - ส่วนใหญ่มากๆ มักคิดอะไรที่ใกล้ตัว แถมยังเคยสบายมานานจนภัยธรรมชาตินานัปการที่หนักหน่วงจริงๆ (เช่น การระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงเป็นหมื่นๆ เท่าของภูเขาไฟกระกะตั้วที่อินโดนีเซียเหมือนกันเมื่อ 70,000 ปีก่อน ที่ให้เกิดทะเลสาบ “โตบา” รวมทั้งยุคน้ำแข็งใหญ่ที่หนาวเหน็บเมื่อ 12,000 ปีที่แล้ว) ได้ถูกลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว และแล้วมนุษย์เราก็เพิ่มทวีความสบายมากขึ้น คิดอะไรใกล้ตัวมากขึ้นตราบเท่าปัจจุบันนี้ เพราะเราย่างเข้ายุคสมัยอินเตอร์เกลเชียล (interglacial period)  ที่อากาศอบอุ่น การตั้งถิ่นฐานหลักแหลงเริ่มจากนั้น

บทความของวันนี้เป็นคำถามเท่าๆ กับเป็นคำตอบ และเป็นความคิดของผู้เขียนว่า ความคิดของผู้เขียนที่สะท้อนออกมานั้นมีความเป็นไปได้ ซึ่งนั่น - ขอให้ท่านผู้อ่านโปรดกรุณาอย่าได้คิดว่าผู้เขียนยโสโอหังที่กำแหงอยากจะเป็นนักจักรวาลวิทยาหรือนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ไม่ได้เป็นง่ายๆ ที่เสนอจึงเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเฉยๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นที่จ่าเป็นหัวข้อของบทความวันนี้ว่าเป็นจิตจักรวาลนั้น เพราะผู้เขียนคิดอย่างนั้นจริงๆ แล้วผู้อ่านคอยดูเอาเองว่าในอนาคตจักรวาลวิทยาใหม่ที่สุดในทางวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นผลผลิตของจิตไร้สำนึกหรือจิตจักรวาลกับสมองของจักรวาลจริงหรือไม่  และจักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์ต่อไปในอนาคตก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงโดยหลักการอะไรเลย ในอนาคตไม่ว่าอนาคตนั้นจะยาวนานแค่ไหนก็คงเป็นเช่นนั้นแทบโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะในเวลานั้นผู้เขียนคงจะตายไปจากโลกแล้ว แต่หากเหลือสิ่งใดให้ไว้กับโลกบ้างก็ยังดี โปรดอย่าลืมว่าที่ผู้เขียนจะเขียนต่อไปนี้เป็นแต่เพียงความคิดจินตนาการ (imagination) คล้ายกับว่ามนุษย์ คือ ไมโครคอสมอส (microcosmos) และจักรวาลทั้งหมดก็เป็นแม็คโครคอสมอส (macrocosmos) ที่มหึมากว่ามนุษย์มาก และจักรวาลมีหน้าที่บริหารหรือจัดการเปลี่ยนแปลงจิตไร้สำนึก อันหมายถึงความจริงที่แท้จริง หรือจิตไร้สำนึกร่วมโดยรวมของจักรวาลของคาร์ล ซี จุง (universal unconscious continuum) ให้เป็นจิตรู้  หรือจิตสำนึก เพราะฉะนั้น จักรวาลวิทยาในทางวิทยาศาสตร์ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปตามวิวัฒนาการของจิตสำนึกหรือจิตรู้ของมนุษย์ไปตามสเปกตรัมของวิวัฒนาการของจิต ตรงนี้เราต้องรู้ว่า จริงๆ แล้วที่เราเรียกกันว่าเป็นวิวัฒนาการของจิตไปตามสเปกตรัมของจิตนั้น ที่แท้แล้วเป็นวิวัฒนาการของประสบการณ์  (experiences) ไปตามความรู้ของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความซับซ้อนยิ่งกว่าตลอดเวลา



พุทธศาสนาก็มีจักรวาลวิทยา (Buddhist cosmology) เป็นการเฉพาะถึง 2 คัมภีร์ แสดงถึงความสำคัญที่มนุษย์ต้องรู้ที่มาของเรา  2 คัมภีร์นี้คือ ตันตระกับอภิธรรม ซึ่งองค์ทะไล ลามะ บอกว่า  อภิธรรมนั้นเราไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง ควรอ่านเฉพาะกาลจักรตันตระ เพราะไตรภูมิกถาไม่ใช่พุทธวัจนะ  ส่วนกาลจักรเป็นการอธิบายพุทธศาสนาจักรวาลวิทยาที่คล้ายกับทางวิทยาศาสตร์ คือจักรวาลเป็นสิ่งเดียวกับจิต (consciousness) ที่เป็นสิ่งที่มีมาก่อนจักรวาลอันนี้ที่แยกออกจากพลังงานปฐมภูมิไม่ได้ (ทุกวันนี้นักจักรวาลวิทยาด้านวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยคิดว่าพลังงานและสสารมืดคงจะเกี่ยวข้องกับจิต)  และมิชิโอะ กากุ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยซิตี้แห่งนิวยอร์ก คิดว่าจักรวาลวิทยาใหม่มีจำนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตรงกันกับที่ทะไล ลามะ พูดว่า ในทางพุทธศาสนานั้น “มันมีแต่บิ๊กแบ็ง บิ๊กแบ็งๆๆ ไปเรื่อยๆ”   

การรู้จักและรู้จักรวาลวิทยาจริงๆ อย่างน้อยในภาพย่อ แต่ขอให้เป็นจิตวิทยาใหม่จริงๆ นั้นจำเป็นที่สุด และต้องระลึกเสมอว่ามันมีอยู่ 2 อย่างที่ต้องจำและต้องรู้คือ 1.โปรดอย่าคิดว่าจักรวาลวิทยาจริงๆ  เป็นเรื่องไกลตัว มันสำคัญยิ่งกว่าสังคมและตระกูลกับวงศาคณาญาติแม้แต่ลูกหลาน รวมทั้งบ้านที่เราอยู่มากนักจนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง 2.เราจะต้องเลือกจำ เลือกรู้เฉพาะจักรวาลวิทยาที่ใหม่ที่สุดพร้อมกับทิ้งความรู้เก่าๆ ไป และจะให้ดีต้องรู้ถึงจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาด้วย ซึ่งก็ไม่ยากนักหากติดตามอยู่เสมอๆ ประเด็นที่สำคัญยิ่งคือ จะต้องมองว่าไม่เป็นเรื่องที่ไกลตัว รู้ก็ได้หรือไม่รู้ก็ได้  จริงๆ แล้วผู้เขียนอยากจะบังคับให้ประชากรชาวโลกทุกๆคนรู้และจดจำจักรวาลวิทยาใหม่ทางวิทยาศาสตร์และทางจิตเพื่อเรา - ชาวโลกจะได้ไม่คิดหรือทำผิดเลย ความจริงการรู้กับการจำจักรวาลวิทยาใหม่ล่าสุดไม่ต่างกันกับการรู้และการจดจำสังคมประเทศชาติของเรา หรือการรู้การจดจำศาสนาหรือธรรมชาติทั้ง 2 ระดับหรือธรรมะอันเป็นความจริงที่แท้จริงธรรมชาติ

ที่เราจะต้องรู้ต้องจำจักรวาลวิทยาใหม่และล่าที่สุด เพราะเหตุผลที่แสนสำคัญยิ่งคือ มนุษย์เราจำเป็นอย่างที่สุดที่จะต้องรู้จักกำพืดของเราที่แท้จริงที่มีอยู่ 3 ประการ คือ 1.มนุษย์เราคือใคร? (who are  we?) 2.มนุษย์เรามาอยู่ในโลกในจักรวาลนี้ทำไม? (why we are here?) และ 3.เรากำลังจะไปไหน?  (where are we going?) คำถามเหล่านี้ต่างก็มีคำตอบ คำตอบแรกมาก่อนนานนัก เป็นคำตอบทางศาสนาที่ตั้งบนความเชื่อความศรัทธา หรือมีจิตที่มองไม่เห็นเป็นส่วนที่สำคัญ จึงต้องฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กๆ  พุทธศาสนาบอกว่ามนุษย์คือสัตว์โลกที่เกิดมาด้วยกรรม กรรมจึงเป็นเสมือนเหตุปัจจัยของทั้ง 3 คำถามนั้น ฉะนั้นจึงมีความทุกข์ 2.เรามาอยู่ที่นี่เพราะเราต้องเรียนรู้หรือใช้กรรม 3.เพราะกรรมจึงทำให้เราเกิดใหม่ ภพภูมิไหนก็สุดแต่กรรม ต่อมา - ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนที่เรามีการฟื้นฟูศิลปกรรมและวรรณคดี มนุษย์เราเริ่มมีเหตุผลและมีวิวัฒนาการของความรู้ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ที่ตามมาในภายหลัง เราส่วนหนึ่งก็เริ่มจะไม่เชื่อไม่ศรัทธาหรือสงสัยในศาสนานั้นๆ แล้วหันไปเชื่อความรู้ที่ตั้งบนวิทยาศาสตร์ที่ตั้งบนรูปกายวัตถุที่มองเห็น-แทน พร้อมๆ กับพัฒนาเทคโนโลยีที่เอื้อผลประโยชนได้จริงๆ และมองเห็น-แทน สังคมของมนุษย์จึงถูกแบ่งให้แปลกแยกย่อยย่อออกเป็นวัฒนธรรมภาษากับศาสนา จนต่อมาแยกย่อยต่อเป็นชาติประเทศแล้วก็ทะเลาะกัน เพราะต่างก็ไม่รู้กำพืดว่าเป็นใคร? เกิดมาทำไม? ทั้งๆ ที่เป็นมนุษยชาติสปีชีส์เผ่าพันธุ์เดียวกัน นั่น - เป็นเพราะอะไรหรือ? ทุกวันนี้เราตอบทั้งหมดได้ แต่ยากที่จะปฏิบัติได้  เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียว นั่นคือมนุษย์เราไม่รู้จักรวาลวิทยาเลย และยังอาจแยกย่อยไปยิ่งกว่านั้น  เพราะเราคิดไกลๆ ตัวไม่เป็นหนึ่ง เราคิดในสิ่งที่มองไม่เห็นไม่เป็นหนึ่ง และความรู้ที่คนไทยเราส่วนใหญ่รู้ยังไม่พอ คือรู้เฉพาะวิทยาศาสตร์วัตถุนิยมกับเทคโนโลยี แต่เราจำนวนมากๆ ไม่รู้จักรวาลวิทยาใหม่ที่ตั้งบนทฤษฎีควอนตัมและสตริงอีกหนึ่ง
แต่ว่ามนุษย์เราได้มีวิวัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ยิ่งๆ ขึ้นมาตลอด จริงๆ แล้วจักรวาลวิทยาใหม่ที่ตั้งบนควอนตัมเม็คคานิกส์แสะทฤษฎีสตริง โดยเฉพาะซูเปอร์สตริงธีออรีนั้น ในความเห็นของผู้เขียนคิดว่าโดยหลักการต่อไปนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักอีก เพราะอะไรหรือที่ผู้เขียนคิดเช่นนั้น?  เพราะว่าขณะนี้ก็เป็นที่รู้กันในชมรมนักวิทยาศาสตร์ว่า นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์มักจะเป็นนักจิตนิยมมากกว่าวัตถุนิยมมากๆๆ นัก หรือเฉพาะนักจักรวาลวิทยาแล้วแทบจะไม่มีเลย เรารู้ว่าไอน์สไตน์เมื่อทดสอบทฤษฎีของเขา (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ) ในจักรวาลเขาได้พบว่าจักรวาลมันเคลื่อนที่เปลี่ยนแปลง! ในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งไอน์สไตน์ด้วยเชื่อว่าจักรวาลมันคงที่ถาวรอยู่ในสภาพนั้นตลอดเวลา ตอนหลังถึงได้เชื่อว่าจักรวาลอาจมีถึง 3 รูปแบบ คือ นอกจากคงที่ (steady state) ซึ่งไม่มีปัญหากับศาสนาคริสต์และการสร้างสรรค์ (genesis) แล้วก็มีจักรวาลเปิด-จักรวาลปิดที่ขึ้นอยู่กับความแน่นจำเพาะ (density) ของจักรวาลว่ามีน้อยลงหรือมีมากขึ้นแน่นขึ้น (big crunch) ที่สตีเฟน ฮอว์กิง พูดถึงในหนังสือของเขาที่แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเน้นการพองตัวอย่างรวดเร็วของจักรวาล (inflation) ซึ่งทีแรกเข้าใจว่าเกิดจากบิ๊กแบ็ง (แต่ตอนหลังพบว่าอัตราการพองตัวเองของจักรวาลนั้นมันเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใจว่าเพราะสสารกับพลังงานมืดที่เกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงที่กำลังมีการวิจัยอยู่ในขณะนี้)

จักรวาลวิทยาใหม่ที่มีอายุยังไม่ถึง 10 ปีนี้ ได้กล่าวมาบ้างบางส่วนแล้วในตอนต้นๆ ของบทความ  เท่าที่ผู้เขียนรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น เรารู้จักจักรวาลของเรานี้เพียงจักรวาลเดียวก็น้อยมากๆๆ อยู่แล้ว คือรู้เฉพาะส่วนอันน้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือก ซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยพันล้านของกาแล็กซีในจักรวาลนี้  และจักรวาลนี้ก็มีเพียง 4% เท่านั้นที่มองเห็น ที่เหลือเป็นพลังงานมืด 73% และสสารมืด 23% ซึ่งนักจักรวาลวิทยาทางวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อยเลยเชื่อว่าพลังงานและสสารมืด (dark energy and dark  matter) คือจิตจักรวาล และผู้เขียนเชื่อว่า จักรวาลวิทยาใหม่ที่รวมทั้งบิ๊กแบ็งๆๆ และจักรวาลที่มีจำนวนไม่สิ้นสุด การพองตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สสารและพลังงานมืด สมองที่มีหน้าที่เปลี่ยนจิตจักรวาล (ไร้สำนึก)  เป็นจิตสำนึกไปตามสเปกตรัมของวิวัฒนาการของจิตสู่ภาวะจิตวิญญาณและนิพพาน พุทธศาสนาจักรวาลวิทยา ฯลฯ ล้วนเป็นความจริงที่แท้จริง มนุษย์ไม่มีทางรู้จักรวาลได้หมดสิ้น นอกจากใช้จิตจนทุกคนได้นิพพาน เรากำลังไปสู่ทางนั้น.

http://www.thaipost.net/sunday/300111/33592

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5036.msg21159.html#msg21159

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2463 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2740 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2047 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1991 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2044 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.383 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 1 ชั่วโมงที่แล้ว