๑๐ ปี+ ประสบการ์ณศิษย์พุทธะ : หมวด ๑ เรื่องเล่าจากพี่
- หลวงปู่สิบทัศน์ (ตอน ๑)โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ณ วันที่ 18 มกราคม 2011 เวลา 8:59 น.
...
…วันนั้น เราได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มากมายหลายบท หลายบรรพ หลายคัมภีร์ จวบจนกระทั่งเย็น จึงได้กราบลาด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระอย่างหลวงปู่ ได้เจริญสติปัญญาทางธรรม ได้รู้ ได้เห็นอะไรๆหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนค่ายกล กับดัก และกระบวนท่าต่างๆ ที่หลวงปู่ใช้พิชิตมาร หยิบสิบจากหลวงปู่ (หลวงปู่สิบทัศน์) ก็ได้เริ่มสิบหยิบด้วยกันดังนี้…
ฝนจะตก ลูกจะออก ดอกไม้จะบาน ถึงกาลจะตาย ห้ามมิได้ฉันใด ใครจะห้ามมิให้ข้าพเจ้าได้นมัสการหลวงปู่ ก็คงไม่ได้ฉันนั้น ได้พบแล้วถึงพูดได้ เพราะหลวงปู่ลั่นวาจาไว้บ่อยว่า “ใครอยากพบก็ได้พบ ถ้าไม่อยากพบกูหลบเอง” หมายถึงว่า ไม่ต้องมีต้นห้องคอยห้ามปรามหรือจัดคิว
วันมาฆะบูชา ๗ มีนาคม ๒๕๒๖ เพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าข่าวหลวงปู่ ตอนนั้นพวกเราบุญยังน้อย จึงไม่มีโอกาสไปร่วมในพิธีหุงน้ำมันมนต์และประสะโลหิต ล่วงมาอีกประมาณ ๑๐ วัน จนถึงวันที่ ๑๗ มีนาคม จึงได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการหลวงปู่ เห็นไหมตั้งแต่รู้ข่าวจนถึงวันได้ไป ใช้เวลา ๑๐ วันพอดี (หยิบสิบ) เราไปด้วยกันสามคน ชายหนึ่งหญิงสอง ไม่ต้องกล่าวซ้ำเพราะมีอยู่ในอยู่กับปู่ภาค ๑ ของอาจารย์นารีรัตน์ แล้ววันนั้นเราได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มากมายหลายบท หลายบรรพ หลายคัมภีร์ จวบจนกระทั่งเย็นจึงได้กราบลาด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ที่ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระอย่างหลวงปู่ ได้เจริญสติปัญญาทางธรรม ได้รู้ ได้เห็นอะไรๆหลายอย่าง ที่เป็นเหมือนค่ายกล กับดัก และกระบวนท่าต่างๆที่หลวงปู่ใช้พิชิตมาร หยิบสิบจากหลวงปู่ (หลวงปู่สิบทัศน์) ก็ได้เริ่มด้วยกันดังนี้ คือ
๑. ทศสูตร ๖. ทศวัตรปฎิบัติ
๒. ทศลักษณ์ ๗. ทศรรมนิเทศ
๓. ทศญาณ ๘. ทศบริจาคะ
๔. ทศภพชาติ ๙. ทศนิเสธ
๕. ทศบัญชา ๑๐. ทศนามะ โดยหยิบสิบเรื่องแรกที่หลวงปู่ยื่นให้เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าเรื่องอย่าเชื่ออะไรง่ายนัก จากการที่หลวงปู่ได้ซักถามพวกเราว่า มาทำไม รู้ได้อย่างไร พวกเราตอบว่า มีผู้หวังดีบอกกล่าว ท่านจึงได้ให้ธรรมหยิบแรกแก่พวกเรา เรียกว่า
๑.
ทศสูตร (
เกสปุตติยสูตร หรือกาลามสูตร หรือหลักมหาปาเทส) เป็นสูตรของพระพุทธองค์ที่เน้นบทบาททางปัญญา ก่อนที่จะเชื่อถือ ปฎิบัติ อะไรให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนดังนี้
๑.๑ อย่าเชื่อเพราะ ฟังตามกันมา มา อนุสฺ สเวน
๑.๒ อย่าเชื่อเพราะ นับถือสืบต่อกันมา มา ปรมฺ ปราย
๑.๓ อย่าเชื่อเพราะ ข่าวเล่าลือ มา อิติกราย
๑.๔ อย่าเชื่อเพราะ มีอ้างไว้ในตำรา มา ปิฎก สมฺ ปทา เนน
๑.๕ อย่าเชื่อเพราะ อ้างเหตุผลทางตรรก มา ตกฺก เหตุ
๑.๖ อย่าเชื่อเพราะ การตีความตามนัยยะ (อนุมาน) มา นยเหตุ
๑.๗ อย่าเชื่อเพราะ คิดตรองตามอาการที่ปรากฏ ปริวิตกฺ เกน
๑.๘ อย่าเชื่อเพราะ เข้ากับความเห็นของตน มา ทิฎฐินิชฺ ฌานกฺขนฺติยา
๑.๙ อย่าเชื่อเพราะ ผู้พูดน่าเชื่อ มา ภพฺพรูปตาย
๑.๑๐ อย่าเชื่อเพราะ เห็นว่าผู้พูดเป็นครูของตน มา สมโณ โน ครูติ
หยิบสิบจากธรรมะของหลวงปู่ ผ่านมาแล้วหนึ่ง ก็อยากจะเล่าถึงว่าทำไมถึงได้มาถ้ำไก่หล่น มาแล้วได้อะไร จากกล่าวมาแล้วข้างต้นว่า เพื่อนร่วมงานแว่วข่าวมา จากนั้นสิบวันถึงได้มากราบนมัสการหลวงปู่
โดยมีกระแสข่าวมาว่า มีพระดี นัยว่าเป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร จึงได้พากันมากราบนมัสการและดูว่า เท็จจริงประการใด เมื่อได้พบครั้งแรกด้วยตาสัมผัส ก็นึกแปลกใจนิดๆว่า หลวงปู่ทำไมหนุ่มจัง ช่างเถอะหลวงปู่คงมีหลายร่าง จะปรากฎในร่างใดก็ได้ ข่าพเจ้าคิด ก่อนที่จะทราบว่า พระรูปไหนอย่างไร ก็โดนขบวนการของหลวงปู่เล่นงาน โดยมีศิษย์วัยรุ่นและญาติโยมที่คอยปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ร่วมมือกัน แต่พวกเราไม่หวั่นไหว
ในที่สุดก็ได้มีโอกาสกราบนมมัสการและได้ฟังธรรมะจากท่าน ทุกขั้นตอนที่ให้ธรรมะตั้งแต่เที่ยง (หลังเพล) จนพลบค่ำ
จะเต็มไปด้วยกุศโลบาย วิธีการให้ทำแยบยล คำพูดคำจาแบบโบราณๆ ที่ครูมักใช้กับศิษย์รักใกล้ชิด
ด้วยลักษณะท่าทางที่ไม่ยอมรับ แต่ก็รับ ปฏิเสธแต่ก็ให้ ขับไล่ไสส่งแต่ก็เอื้ออาทร ไม่สอนแต่บอก เป็นเช่นนี้ตลอด ไม่มีการให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นขั้นตอนแบบผู้ให้ทั่วๆไป หรือแบบอย่าตำรา ให้เหมือนไม่ให้ ถ้าอยากได้
ต้องใช้สติปัญญาเหมือนกับที่หลวงปู่เน้นอยู่เสมอในภายหลังว่า ความยากลำบากทำให้คนฉลาด หลวงปู่ให้เทคนิคกลยุทธมากมายหลายขบวน อยากจะยกตัวอย่างให้ฟังแต่…ไม่ดีกว่า มันง่ายเกินไป อยากรู้อยากเห็น อยากทราบรายละเอียดจริงๆ ก็ต้องขวนขวายเอาเองบ้าง มันถึงจะมีค่าอันควร จะได้ฉลาดยังไง ไม่รู้ไม่เห็น ไม่เข้าสัมผัสความเยือกเย็น
คงไม่ถึงใจ หลังจากลงถ้ำวันนั้น เราได้อะไรหลายๆอย่าง ได้ด้วยตนเอง (ปัจจัตตัง) แต่มีอยู่อย่างหนึ่งซึ่งน่าฉุกคิด หลวงปู่สั่งปรามพวกเราไม่ให้ชักชวน บอกเล่าหรือชักนำใครมาอีก นัยว่าท่านต้องการวิเวก ต้องการพักผ่อน ต้องการทำภารกิจบางอย่างที่ท่านตั้งใจมาที่นี่ นี่แหล่ะคือบทเชื่อมโยง ปุถุชนคนเดินดินก็รู้อยู่แล้วว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แล้วห้ามทำไม อ๋อ! เข้าใจแล้วล่ะ เพราะโดยปกติหลวงปู่จะห้ามปรามใครมิให้ทำสิ่งที่ไม่ควร หลวงปู่มักจะส่งเสริมเสมอ เช่น ใช้มีดหั่นพืชพันธุ์ ธัญญาหาร หรือพวกเนื้อสัตว์ในการปรุงอาหาร หลวงปู่มักจะกล่าวว่า เอานิ้วแหย่เข้าไปเลยลูก เป็นการเสริมเชิงประชด พวกเราก็ไม่ทำ
จะเกิดความระมัดระวัง ไม่ประมาททันที นี่เอง ที่สั่งห้ามพวกเรา นี่คิดเอาเองนะว่า ถ้าห้ามอย่างนี้ยิ่งต้องพาคนมา ครับวันรุ่งขึ้นพวกที่ไปด้วยกันก็พาเพื่อนฝูงขึ้นไปกราบอีก ก็ถูกหลวงปู่ดุด่าว่ากล่าวตามธรรมเนียมปฏิบัติของท่าน โดยกล่าวหาข้าพเจ้าว่ายุ่งพาใครต่อใครมาอีก “ใครที่ไหน ลูกเมียผม” ข้าพเจ้าตอบหลวงปู่
จากวันนั้นเป็นต้นมา เราก็ต้องผิดศีลข้อมุสาอยู่เรื่อยๆ เพราะเวลาใครถามว่าไปไหนมา ก็ต้องตอบเลี่ยงๆ ไปเรื่อยๆ บางทีก็ต้องมุสาจริงๆ ความจริงใจอยากจะบอกเล่าเก้าสิบ แต่ใจหนึ่งก็ประหวั่นว่าจะถูกดุอีก จะทำให้เราพลาดโอกาสอันดีงามที่ควรมี
ถ้ามีคนพลุกพล่านมากเกินไป จนหลวงปู่ต้องจร หลังจากนั้นไปอีก ๑๐ วัน ราวๆปลายเดือน ๒๗ มีนาคม ที่วัดอ้อน้อย กำแพงแสน (วัดของหลวงปู่ที่นครปฐม) ได้มีการบรรพชาและอุปสมบทพระเณร ๑๐๐ กว่ารูป และได้นำพระเณรมาปฏิบัติธุดงคกิจที่ถ้ำไก่หล่น ถึง ๑๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ถึง ๑๐ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ถึง ๑๐ เมษายน พวกเราก็ได้มาร่วมช่วยงานทุกอย่างที่พึงมีพึงทำ โดยเฉพาะภรรยาข้าพเจ้ามาพักค้างคืนที่นี่ตลอดงาน ส่วนข้าพเจ้านั้น ขึ้น-ล่อง ระหว่างเพชรบุรีกับถ้ำไก่หล่นทุกวันจนหลวงปู่เปรยว่า ไอ้นี่มันขึ้นล่อง เหมือนอย่างกับบ้านมันอยู่ตีนบันไดถ้ำ
ตอนนี้เองที่ภรรยาของข้าพเจ้าซึ่งชอบทางโหงวเฮ้ง ได้ศึกษาด้วยตนเองและจากปรมาจารย์หลายท่าน ทั้งตำรา ทั้งเทป และยังแอบพักลักจำจากหลวงปู่เสมอๆ ไม่ใช่มดหมออะไร สมัครเล่น ดูเป็นครั้งคราวเพื่อนฝูงที่รู้จักมักจะสอบถาม แบมือให้ดูด้วย รู้สึกเขาก็ไม่ค่อยชอบนัก มันน่ารำคาญ ในที่สุดก็ได้ละวางเสียแล้วหลังจากที่หมอดูโหงวเฮ้งของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้มากราบหลวงปู่ในวันหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าและภรรยาก็อยู่ด้วย หมอดูท่านนี้ได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็เลยมาทาบทามดู ในที่สุดก็ยอมรับว่าหลวงปู่เก่งจริง และยังได้ซักถามเรื่องครอบครัวลูกเต้าเขาด้วย เขาพอใจมาก หลังจากที่เขากลับไปแล้ว หลวงปู่ได้หันมาทางภรรยาข้าพเจ้า และขอร้องให้เลิกเถอะ ซึ่งความจริงท่านก็พูดมาหลายครั้งแล้วว่า ศึกษาเพื่อรู้ไว้ แต่อย่าไปจริงจังนัก ครั้งนี้ท่านอธิบายว่า
การที่เราฝืนลิขิตสวรรค์ แก้ให้คนอื่นได้พ้นจากสิ่งที่เขาไม่ปารถนา สิ่งที่ไม่ดีนั้นจะไปไหน ถ้าดวงเราไม่แข็งแรง ไม่ดีพอเราก็จะต้องเป็นฝ่ายรับเอง ในเรื่องนี้ขอแถมนิดหนึ่ง แต่ต้องใช้วิจารณญาณของตนเองด้วยหลวงปู่สอนหมอฮวงจุ้ยท่านนั้นว่า ถ้าจะถ่ายทอดวิชาให้กับลูก ถ่ายทอดได้ถ้าลูกคนโตเป็นหญิง แต่ถ้าไม่ใช่ลูกคนนั้นจะสูญเสียไป บังเอิญลูกของหมอฮวงจุ้ยก็ได้เสียไปแล้วจริงๆ เขาถามหลวงปู่ว่าแล้วคนที่สองจะถ่ายทอดได้ไหม หลวงปู่บอกว่าได้ เอาละกลับมาได้แล้วไปไกลเลยเถิดไปแล้ว ภรรยาของข้าพเจ้าได้แอบดูลักษณะของหลวงปู่ และกำหนดลักษณะเป็นทศลักษณ์ดังนี้
๒.
ทศลักษณ์ ตามลักษณะของหลวงปู่นั้น ถ้าดูเผินๆ จะเหมือนคนธรรมดาทั่วๆไป ไม่เห็นจะน่าเป็นที่ยำเกรงหรือน่าบูชาเลย มองดูเชยๆ เชื่องช้า ไร้มาด ไร้รูปแบบ ที่แท้ซ่อนรูปหรือที่หลวงปู่รียกว่า งำประกาย
๒.๑ ศรีษะ เป็นรูปกระดองเต่า ตั้งแต่หน้าผากเลยไปถึงกลางกระหม่อม สมองดี
๒.๒ คิ้ว มีลักษณะหักมุมตรงกลาง เหมือนสามเหลี่ยมหน้าจั่ว แสดงถึง ความมุ่งมั่น จริงจัง ทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด
๒.๓ ตา โตเรียวยาว แววตาบ่งบอกถึงความซื่อและจริงใจ
๒.๔ จมูก โด่งตรง ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา
๒.๕ ปาก กว้างโค้งลง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบเลียนแบบใคร พูดจริงทำจริงทำได้
๒.๖ หู มีหยักขอบบน เป็นหูคนมีศิลป์
๒.๗ โครงสร้างของคาง เป็นสี่เหลี่ยม อดทน อนุรักษ์นิยม
๒.๘ ท่าทางการเดิน ดูระหง งดงาม
๒.๙ ไร้เหงื่อ ไม่ว่าจะร้อนระอุ เพียงใด ทำงานหนักแค่ไหน ไร้เหงื่อ กลิ่นตัว หอม ไร้กลิ่นอื่นๆ หมด แต่มีกลิ่นหอม
๒.๑๐ ลายมือมีชีวิต ตัวอักษรมีลักษณะของสิ่งมีชีวิต ทั้งพืชและสัตว์ บางคำคล้ายตัวด้วง บางคำเหมือนใบไม้








