[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 เมษายน 2567 03:25:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ยึดติด  (อ่าน 2793 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 10.0.648.127 Chrome 10.0.648.127


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 12:24:03 »


<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/18.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>



ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาโดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย



อารมณ์ของภาพที่สื่อ - ออกมาควันธูป Background ด้านหลังและผู้ที่เป็นแบบกำลังตั้งจิตขอพรอะไรเราไม่อาจจะทราบได้ จุด

Focus อยู่ที่ผู้เป็นแบบให้ถ่ายเป็นไปตามธรรมชาติและ Background ด้านหลังเบลอ ๆ ทำให้ผู้ที่เป็นแบบให้ถ่ายเด่นชัดขึ้น




ท่านอาจารย์..............แต่ว่ามีใครที่จะพิจารณาอริยสัจจธรรมที่ว่า.....................

ทุกข์นั้นตัณหามิได้สร้างแล้วย่อมไม่มา......................

ถ้าไม่มีตัณหาแล้ว ทุกข์ย่อมเกิดไม่ได้ แม้แต่ความเป็นเราด้วยตัณหา

ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ ความเป็นเราด้วยมานะ ก็ไม่พ้นจากโลภมูลจิตเลย

ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ คือ โลภมูลจิต{ทิฏฐิคตสัมปยุตจิต}เกิดร่วมกับ

สักกายทิฏฐิ ที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรม ว่าเป็นตัวตน ในขณะนั้นก็ควรจะพิจารณา

เป็นทุกข์แค่ไหน  

ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา

ซึ่งขณะนั้นก็เกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจ ในความเห็นในการยึดถือนั้น

เพราะฉะนั้นถ้ามี

ปัญญาที่จะสามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา

เพียรละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน

และสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่ง ๆ

ก็จะทำให้ความทุกข์เบาบางได้แม้ในขั้นของการพิจารณาว่า

สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น ๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

แต่ที่จะดับได้จริง ๆ เป็นสมุจเฉท ก็ต้องถึงโสตาปฏิมัคคจิต จึงจะดับการ

ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตนและความเห็นผิดต่าง ๆ ได้

ถ้ายังไม่ถึงในบางกาลก็จะต้องเป็นทุกข์

เพราะการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน

และถ้ายึดถือเหนียวแน่นมาก

ทุกข์นั้นก็ต้องเพี่มมากขึ้น


อนึ่ง เงินทองนี้ ทำให้เกิดความโลภ

ความมัวเมาความลุ่มหลงความติดดังเครื่องผูก

มีภัย มีความคับแค้นมาก เงินทองนั้นไม่ตั้งอยู่ยั่งยืนเลย

นรชนเป็นอันมาก

ประมาท มีใจเศร้าหมองแล้ว เพราะเงินทองเหล่านี้  

จึงต้องเป็นศัตรู วิวาทบาดหมางกันและกัน.

อาสวะทั้งหลายไม่ใช่หมดสิ้นไปเพราะเงินทองดอกนะ

กามทั้งหลายเป็นอมิตร เป็นผู้ฆ่า เป็นศัตรู เป็นดั่งลูกศรเสียบไว้



พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถาเล่ม 2 ภาค 4 หน้าที่ 416 สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา



สนทนาธรรมมูลนิธิบ้านธรรมะบรรยายโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์สนใจฟังปาฐคาถาธรรมเรียนเชิญที่มูลนิธิ


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 12:47:13 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

wondermay
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 14:44:41 »

ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา
ซึ่งขณะนั้นก็เกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจ ในความเห็นในการยึดถือนั้น
เพราะฉะนั้นถ้ามี ปัญญาที่จะสามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา
เพียรละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน
และสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่ง

อาจารย์คะหนูสงสัย

อย่างคนในวัยทำงาน
มีความมุมานะ เพียรพยายาม ในการทำงานให้ออกมาดี ด้วยความตั้งใจและสุจริต
แต่ลึกๆแล้วเหตุแห่งการกระทำนั้น ทั้งจากปัจจุยของตัวเอง ครอบครัว....ก็
มาจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการนู่นนี่ แม้ว่าอาจจะไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ก็มีบ้าง
มันก็ดูเป็นเรื่องดีทีมีความเพียร แต่ว่ามันก็ดูเหมือนยึดติด
แต่ถ้าไม่ยึดติด ไม่ต้องการ มันจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการกระทำงาน หรือเปล่า เคี้ยว



อีกกรณีคือ
คนป่วยที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต้องยึดเอาคำสอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแหงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เคยได้ยินว่า
ความผูกพันก็สร้างกำลังอันน่าอัศจรรย์ให้อยู่ต่อไปได้อีกนานก็มี
หรือว่าการไม่ยึดติดกับสังขาร ไม่หวงชีวิต กับการที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อ....มันคนละประเด็นกัน
แล้วหนทางที่ถูกที่ควรเป็นยังไง หือ ?
บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.15 Firefox 3.6.15


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 16:45:35 »

ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา
ซึ่งขณะนั้นก็เกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจ ในความเห็นในการยึดถือนั้น
เพราะฉะนั้นถ้ามี ปัญญาที่จะสามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา
เพียรละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน
และสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่ง

อาจารย์คะหนูสงสัย

อย่างคนในวัยทำงาน
มีความมุมานะ เพียรพยายาม ในการทำงานให้ออกมาดี ด้วยความตั้งใจและสุจริต
แต่ลึกๆแล้วเหตุแห่งการกระทำนั้น ทั้งจากปัจจุยของตัวเอง ครอบครัว....ก็
มาจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการนู่นนี่ แม้ว่าอาจจะไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ก็มีบ้าง
มันก็ดูเป็นเรื่องดีทีมีความเพียร แต่ว่ามันก็ดูเหมือนยึดติด
แต่ถ้าไม่ยึดติด ไม่ต้องการ มันจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการกระทำงาน หรือเปล่า เคี้ยว

อีกกรณีคือ
คนป่วยที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต้องยึดเอาคำสอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแหง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เคยได้ยินว่า
ความผูกพันก็สร้างกำลังอันน่าอัศจรรย์ให้อยู่ต่อไปได้อีกนานก็มี
หรือว่าการไม่ยึดติดกับสังขาร ไม่หวงชีวิต กับการที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อ....มันคนละประเด็นกัน
แล้วหนทางที่ถูกที่ควรเป็นยังไง หือ ?

อีกกรณีคือ
คนป่วยที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต้องยึดเอาคำสอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแหง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เคยได้ยินว่า
ความผูกพันก็สร้างกำลังอันน่าอัศจรรย์ให้อยู่ต่อไปได้อีกนานก็มี
หรือว่าการไม่ยึดติดกับสังขาร ไม่หวงชีวิต กับการที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อ....มันคนละประเด็นกัน
แล้วหนทางที่ถูกที่ควรเป็นยังไง หือ ?





อ้า....เอ้อ....แอ้ สัญชาตญาณของมนุษย์มีอยู่คือ ความรักตัวกลัวตาย โรคที่รักษาไม่หาย อาจจะเป็นมะเร็งหรือโรคอื่นล้วนต้อง

ตายทั้งนั้น คนที่ พร้อมจะตายย่อมไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ๆ ที่รออยู่ตรงหน้าคือ{ฉันพร้อมที่จะตายอยู่ทุกเวลา}คนผู้นั้นถ้าไม่ยึดติดสิ่งใด ๆ ถือว่า บรรลุ

ธรรมขั้นหนึ่ง ส่วนหนทางที่ถูกต้องนั้น คือ.....ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเพราะว่าเราหนีไม่พ้นธรรมชาติได้ควรเดินทาง

สายกลาง คำตอบนี้อาจไม่ตรงประเด็นนัก อีก 1 ประเด็นก็คือ.....ยังไม่อยากตายเพราะยังมีห่วงมีธุระต้องทำเช่น ห่วงลูกยังเด็กเล็กนั้นก็คือการยึด

ติดทำให้ใจไม่เป็นสุขหนทางที่ถูกต้องคือ ต้องปล่อยวางก่อนจะตายเพราะว่า ทุก ๆ คนมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ย่อมหนี{กฏแห่งกรรม}ไม่พ้น



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 18:24:21 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.15 Firefox 3.6.15


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 17:07:29 »


อาจารย์คะหนูสงสัยอย่างคนในวัยทำงาน..........................

มีความมุมานะ เพียรพยายาม ในการทำงานให้ออกมาดี ด้วยความตั้งใจและสุจริต

แต่ลึก ๆ แล้วเหตุแห่งการกระทำนั้น ทั้งจากปัจจัยของตัวเอง ครอบครัว........ก็

มาจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการนู่นนี่ แม้ว่าอาจจะไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ก็มีบ้าง

มันก็ดูเป็นเรื่องดีทีมีความเพียร แต่ว่ามันก็ดูเหมือนยึดติด

แต่ถ้าไม่ยึดติด ไม่ต้องการ มันจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการกระทำงาน หรือเปล่า........




อ้า......เอ้อ......แอ้......สำหรับข้อนี้นั้นมนุษย์ทุกผู้ - ทุกนามย่อมมีกิเลสเพราะฉะนั้น.....กิเลสตัณหาจึงเป็นแรงขับเคลื่อน
เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเช่น บ้าน - รถ - สิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งบำรุง - บำเรอพูดตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าทำเพื่อสนองตัณหามันเป็น
ส่วนหนึ่งจะว่าเป็นแรงบันดาลใจมันก็ใจแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็ควรใช้หลัการเศรษฐกิจพอเพียงในยุคก่อนโน้นไม่มีสิ่งอำนวยควมสะดวกมนุษย์ก็อยู่กันได้ กิเลสนี่แหละน่ากลัวหมายเหตุ.......คำตอบนี้อาจมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนัก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 17:26:31 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.15 Firefox 3.6.15


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 17:17:51 »

ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเรา
ซึ่งขณะนั้นก็เกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจ ในความเห็นในการยึดถือนั้น
เพราะฉะนั้นถ้ามี ปัญญาที่จะสามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา
เพียรละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตน
และสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่ง

อาจารย์คะหนูสงสัย

อย่างคนในวัยทำงาน
มีความมุมานะ เพียรพยายาม ในการทำงานให้ออกมาดี ด้วยความตั้งใจและสุจริต
แต่ลึกๆแล้วเหตุแห่งการกระทำนั้น ทั้งจากปัจจุยของตัวเอง ครอบครัว....ก็
มาจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ต้องการนู่นนี่ แม้ว่าอาจจะไม่ได้คาดหวังไว้มาก แต่ก็มีบ้าง
มันก็ดูเป็นเรื่องดีทีมีความเพียร แต่ว่ามันก็ดูเหมือนยึดติด
แต่ถ้าไม่ยึดติด ไม่ต้องการ มันจะไม่เกิดแรงบันดาลใจในการกระทำงาน หรือเปล่า เคี้ยว



อีกกรณีคือ
คนป่วยที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้
แน่นอนว่าคนเหล่านี้ต้องยึดเอาคำสอนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแหงๆ แต่ในขณะเดียวกันก็เคยได้ยินว่า
ความผูกพันก็สร้างกำลังอันน่าอัศจรรย์ให้อยู่ต่อไปได้อีกนานก็มี
หรือว่าการไม่ยึดติดกับสังขาร ไม่หวงชีวิต กับการที่ยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อ....มันคนละประเด็นกัน
แล้วหนทางที่ถูกที่ควรเป็นยังไง หือ ?




ทุกข์ทั้งหมดย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเราซึ่งขณะนั้นก็เกิดร่วมกับโลภะ ความยินดีพอใจ ในความเห็นในการยึดถือนั้นเพราะฉะนั้นถ้ามี ปัญญาที่จะสามารถรู้ความจริงว่าไม่ใช่เราเพียรละคลายการยึดถือนามธรรมและรูปธรรมว่าเป็นตัวตนและสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในวันหนึ่ง



การเจริญสติปัฏฐานในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ยากแต่ควรเจริญถ้าไม่มีความเข้าใจถูก

มั่นคงตามลำดับ แล้วได้ยินคำว่า{สติปัฏฐาน}ก็หลงทางเพราะคิดว่าจะต้องไปทำ

หรือว่าทำแล้ว ปัญญาจะเกิด แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดของพระธรรมเพื่อให้เกิด ความเข้า

ใจถูก เห็นถูกตามลำดับขั้นในสิ่งซึ่งกำลังปรากฏถ้ามีการพูดเรื่องสติปัฏฐานแล้วก็มี

การเชิญชวนให้มีการปฏิบัติแล้วก็ คิดว่าอย่างนั้นเป็น{สติ}อย่างนี้เป็นสติอย่างนี้เป็น

กาย ต้องรู้ที่กาย อย่างนี้เป็นความรู้สึก ต้องรู้ที่ความรู้สึก นั่นไม่ใช่ความเข้าใจถูก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 17:25:40 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

wondermay
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 17:43:08 »

คิดว่าอย่างนั้นเป็น{สติ}อย่างนี้เป็นสติอย่างนี้เป็น

กาย ต้องรู้ที่กาย อย่างนี้เป็นความรู้สึก ต้องรู้ที่ความรู้สึก นั่นไม่ใช่ความเข้าใจถูก







อ่ออออ อื่มมมม
บันทึกการเข้า
時々๛कभी कभी๛
สมาชิกถูกดำเนินคดี
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +9/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Nepal Nepal

กระทู้: 1921


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 3.6.15 Firefox 3.6.15


ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 11 มีนาคม 2554 18:13:15 »

คิดว่าอย่างนั้นเป็น{สติ}อย่างนี้เป็นสติอย่างนี้เป็น

กาย ต้องรู้ที่กาย อย่างนี้เป็นความรู้สึก ต้องรู้ที่ความรู้สึก นั่นไม่ใช่ความเข้าใจถูก.....................อ่ออออ อื่มมมม




(:BH:)โอ้.....เอ้า......อื้อ.....โอย.......เอ๋ง......เอ๋ง......เอ๋ง......อืม......ม.....เอียง อกหัก

......................โปรดอ่านข้อความโดยตรง.......................

.......ปัญญาจักษุ..............



จักษุ มี 2 อย่างคือ..........................

มังสจักษุ ๑

ปัญญาจักษุ ๑

ในจักษุทั้ง 2 นั้นปัญญาจักษุมี 5 อย่าง คือ..................

พุทธจักษุ ๑

สมันตจักษุ ๑

ญาณจักษุ ๑

ทิพยจักษุ ๑

ธรรมจักษุ ๑

คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเมื่อตรวจดูสัตวโลกได้เห็น

แล้วแลด้วยพุทธจักษุ ดังนี้ชื่อว่า พุทธจักษุ

คำนี้ว่า{สัพพัญญุตญาณ}เรียกว่า สมันตจักษุ ดังนี้ชื่อว่า.................

สมันตจักษุ

คำนี้ว่า{ดวงตาเห็นธรรม}เกิดขึ้นแล้วญาณเกิดขึ้นแล้ว ดังนี้

ชื่อว่า{ญาณจักษุ}

คำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุเราได้เห็นแล้วแลด้วยทิพยจักษุอัน

บริสุทธิ์ดังนี้ชื่อว่า{ทิพยจักษุ}

มรรคญาณเบื้องต่ำ 3 นี้มาในคำว่า{ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี}

ไม่มีมลทินเกิดขึ้นแล้วดังนี้ชื่อว่า{ธรรมจักษุ}

ฝ่ายมังสจักษุมี 2 อย่าง คือ........

สสัมภารจักษุ ๑

ปสาทจักษุ ๑.

ก้อนเนื้ออันใดตั้งอยู่ที่เบ้าตาพร้อมด้วยหนังหุ้มลูกตาภายนอก

ทั้ง 2 ข้างเบื้องต่ำกำหนดด้วยกระดูกเบ้าตา เบื้องบนกำหนดด้วยกระดูก

คิ้วผูกด้วยเส้นเอ็นอันออกจากท่ามกลางเบ้าตาโยงติดไปถึงสมองศีรษะ

สสัมภารจักษุ

ส่วนความใสอันใดเกี่ยวในสสัมภารจักษุนี้เนื่องในสสัมภารจักษุนี้อาศัยมหาภูต

รูป 4 มีอยู่ความใสนี้ชื่อว่า{ปสาทจักษุ}ใน

ที่นี้ท่านประสงค์เอา{ปสาทจักษุ}นี้

ปสาทจักษุนี้นั้นโดยประมาณก็สักเท่าศีรษะเล็นอาศัยธาตุทั้ง 4

อาบเยื่อตาทั้ง 7 ชั้นดุจน้ำมันที่ราดลงที่ปุยนุ่น 7 ชั้นอาบปุยนุ่น

ทุกชั้นอยู่ฉะนั้นให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวารตามสมควรแก่จิตใน

วิถีมีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้นตั้งอยู่ ณ .ตำแหน่งเป็นที่เกิดขึ้นแห่ง

{สรีรสัณฐาน}ที่อยู่ตรงหน้าในท่ามกลางแววตาดำที่แวดล้อมด้วยมณฑล

ตาขาวแห่งสสัมภารจักษุนั้น

ธรรมชาติใดย่อมเห็นฉะนั้น....ธรรมชาตินั้นชื่อว่า{จักษุ}


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม 7 ภาค 1 หน้าที่ 214

(:BH:)โอ้...โอย....โหย......หิว เอ้า......พอเข้าใจหรือยัง อกหัก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มีนาคม 2554 18:28:51 โดย 時々sometime » บันทึกการเข้า

โลกเรานี้หนอช่างเหมือนความฝันเสียนี่กระไร ?

คำค้น: ยึดติด 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.465 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 31 มีนาคม 2567 17:24:10