ขอขอบคุณ
คุณพิศิษฐ์ ไสยสมบัติ - ผู้ค้นคว้าเรียบเรียง ที่ได้กรุณาอนุญาตให้นำ
ประวัติของท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ผลงานอันเกิดจากกุศลเจตนาของท่านที่ได้ศึกษา สืบเสาะ ค้นหา ติดตาม สอบถามข้อมูล ตลอดจนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติ
ของท่านพระอาจารย์เสาร์ จากผู้ทราบเรื่องราว โดยใช้เวลากว่า ๒ ปี มาเรียบเรียงเป็นหนังสือ เพื่อรักษาและเผยแพร่เกียรติคุณ
ของท่านพระอาจารย์ พระสุปฏิปันโนผู้เป็นพระบูรพาจารย์ที่ก่อกำเนิดพระธุดงค์กรรมฐานของภาคอีสาน ที่หาได้ยากยิ่งรูปหนึ่ง
มาเผยแพร่ในเว็บไซต์ sookjai.com แก่สมาชิกและประชาชนทั่วไปเพื่อเป็นธรรมทาน ได้ตามความประสงค์
kimleng.-----------------------------------------
พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโลวัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานีชมรมพุทธศาสน์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย : พิมพ์เผยแพร่
• เปิดปกท่านพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ชาติภูมิของท่านเป็นชาวจังหวัดอุบลราชธานี ชาตะเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๓ มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ และเป็นพระวิปัสสนาธุระผู้เคร่งครัดในธรรมวินัยอย่างยอดเยี่ยม บุคลิกลักษณะสมบูรณ์ สง่าผ่าเผย เกรงขาม พูดน้อย แต่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรมักจะเป็นอย่างนั้น ดังสมัยหนึ่งท่านเดินธุดงค์ไปในท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นปฐมฤกษ์ที่พระกัมมัฏฐานรุ่นแรกเหยียบย่างเข้าไปสู่ถิ่นนั้น มีประชาชนแตกตื่นเลื่อมใสไปให้ทานทำบุญเป็นจำนวนมาก หลังจากให้ทานแล้วก็ใคร่อยากจะฟังธรรมเทศนาของท่าน ท่านจึงกล่าวธรรมเป็นคติแต่โดยย่อว่า “การให้ทานใครๆ ก็ให้ทานมามากแล้ว มีผลาอานิสงส์มากเหมือนกัน แค่สู้บวชเป็นขาวเป็นชีรักษาศีลอุโบสถไม่ได้ มีอานิสงส์มากกว่าให้ทานนั่นเสียอีก ถ้าใครอยากได้บุญมากขึ้นสวรรค์ไปนิพพานพ้นทุกข์ ก็ควรบวชเป็นขาวเป็นชีรักษาศีลอุโบสถเสียในวันนี้” ปรากฏว่าในค่ำวันนั้นเอง มีญาติโยมชายหญิงบวชชีกันร่วมร้อย อย่างน่าอัศจรรย์
ประการหนึ่ง สถานที่แห่งใด ที่ท่านเที่ยวธุดงค์ไปพักชั่วคราว สถานที่แห่งนั้นมักจะกลายเป็นวัดถาวรและเจริญรุ่งเรืองตามมาภายหลัง เช่น พระธาตุนครพนม ซึ่งแต่ก่อนรกร้างเป็นดง เมื่อท่านเดินรุกขมูลเข้าไปพักอาศัยที่นั้นชั่วคราว ให้คนถากถางทำความสะอาดปัดกวาดอย่างดี ครั้นต่อมาภายหลัง ที่นั่นจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเจริญรุ่งเรืองเป็นที่เลื่อมใสของชาวพุทธทั่วประเทศ มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
และในทำนองเดียวกัน ก็ยังมีสถานที่อีกหลายแห่งที่ท่านธุดงค์ผ่านไปพักชั่วคราว แล้วกลายมาเป็นวัดได้รับความเจริญรุ่งเรืองเหลือเป็นอนุสรณ์สำหรับอนุชนจนกระทั่งทุกวันนี้.....
โดย พระครูสถิตบุญญารักษ์• ชาติภูมิท่านเกิดที่บ้านข่าโคม
ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ เดือนสิบสอง ปีระกา เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๔ (ตามบันทึกของท่านพระครูพิบูลธรรมภาณ วัดภูเขาแก้ว) หรือ วันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๔ (ตามหนังสือที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพพระอาจารย์เสาร์ฯ โดย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สังฆนายก) ที่บ้านข่าโคม (ชื่อเดิม “บ้านท่าโคมคำ”) ต.หนองขอน อ.เมืองอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ ต.ปะอาว อ.เมือง จ.อุบลราชธานี)
นามเดิมของท่าน ชื่อเสาร์ นามสกุล สมัยนั้นยังไม่มี ภายหลังมีญาติสืบสายกันมาในตระกูล อุปวัน* และพันธ์โสรี**
เป็นบุตรของ พ่อทา และแม่โม่ (ส่วนพ่อใหญ่คำดี ชารีนะ ชาวบ้านข่าโคม กล่าวไว้ว่า ชื่อบิดาของพระอาจารย์เสาร์นั้นไม่ทราบชื่อ มารดาชื่อแม่บัวศรี)
ท่านมีพี่น้องรวมกัน ๕ คน ตามลำดับดังนี้:-
๑.ท่านพระอาจารย์เสาร์
๒.นางสาวแบ (อยู่เป็นโสดตลอดชีวิต)
๓.แม่ดี
๔.แม่บุญ
๕.พ่อพา อุปวัน*นามสกุล อุปวัน นี้ คุณตาบุญเพ็ง คำพิพาก หลานชายผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ (เป็นญาติทางฝ่ายบิดาของพระอาจารย์เสาร์) ให้ข้อมูลข้าพเจ้าไปสืบเสาะจากเครือญาติสายน้องชายพระอาจารย์เสาร์
**นามสกุล พันโสรี นี้ พบว่ามีใช้กันในบ้านข่าโคม พระครูพิบูลธรรมภาณ (โชติ อาภัคโค) เจ้าอาวาสวัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร เป็นผู้ให้ข้อมูลรูปนี้ถ่ายเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๘๐ ที่วัดป่าแสนสำราญ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
ตอนองค์พระอาจารย์เสาร์ เดินทางจากบ้านข่าโคม มาพักที่ศาลาหลังเล็กของวัดป่านี้
ก่อนที่จะเดินทางไปกรุงเทพฯ ทางรถไฟ (สถานีรถไฟอยู่ใกล้กับวัดนี้) ภาพนี้คณะลูกศิษย์
ได้อัดถวายให้พระอาจารย์เสาร์ แจกในคราวงานพิธีทอดผ้าป่าที่วัดป่าหนองอ้อ บ้านข่าโคม
โดยคณะตัวแทนเจ้าจอมมารดาทับทิม เป็นเจ้าศรัทธา เมื่อกลางปี พ.ศ.๒๔๘๐
• ชีวิตเมื่อวัยเยาว์ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล มีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตา ผิวพรรณดีมาก สมัยเมื่อยังเป็นเด็ก ท่านมีความพึงพอใจ ศรัทธา เลื่อมใส ในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างสูงยิ่ง กอปรกับนิสัยสนใจใฝ่ศึกษาหาความรู้ของท่าน ดังนั้น เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี จึงได้ตัดสินใจเข้าวัด โดยได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์วัด เพื่อเตรียมตัวบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใต้ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี• เมืองนักปราชญ์สำนักศึกษาในสมัยก่อนคือวัด ถือว่าวัดเป็นแหล่งรวมความรู้ เป็นที่ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการด้านต่างๆ และเป็นแหล่งเนื้อนาบุญ เป็นที่อยู่ของคนดี คนมีบุญ พ่อแม่ผู้ปกครองในสมัยนั้นจึงนิยมส่งบุตรหลานอันเป็นที่รักของตนให้ “เข้าวัด” และ “บวชเรียน” เพื่อที่ว่าจะได้เป็น “คนสุก” ลบเสียซึ่งคราบของ “คนดิบ” แลยังเป็น “ญาคู” ผู้รู้ เป็น “มหาเปรียญ” ผู้ปราดเปรื่อง หรือสึกออกมาเป็น “ทิด” เป็น “นักปราชญ์” มีความรู้รับราชการ “ได้เป็นเจ้าเป็นนาย” ต่อไป
อุบลราชธานีในอดีตจึงเป็นแดน “ตักกศิลา” เป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษาของภาคอีสาน มีวัดวาอารามสวยงามตระการตา แพรวพราว หลากหลายเต็มไปหมดทุกแห่งแหล่งถนนในตัวเมืองอุบล ก่อให้เกิดพระเถรานุเถระ พระอุปัชฌายาจารย์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต อย่างมากมาย อันเป็นค่านิยมของสังคมสมัยนั้น จนมีคำกล่าวว่า
• อุบล เมืองนักปราชญ์
• โคราช เมืองนักมวย
• เชียงใหม่ เมืองคนบุญ
• ลำพูน เมืองคนสวย• วัดใต้วัดใต้ท่า และวัดใต้เทิง
“วัดใต้” หรือ “วัดใต้เทิง” เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนที่สูงริมฝั่งแม่น้ำมูลตอนใต้ ทางทิศตะวันออกของเมืองอุบลราชธานี เป็นบริเวณแถบที่อยู่ทางท้ายเมือง ด้วยแม่น้ำมูลไหลไปทางทิศตะวันออกผ่านอำเภอเมืองไปอำเภอพิบูลมังสาหาร แล้วไปบรรจบกับแม่น้ำโขงที่ตะวันออกสุดของประเทศไทย ที่อำเภอโขงเจียม
ตามประวัติวัดในเมืองอุบลราชธานี มีอยู่ว่าวัดใต้เทิงนี้ ญาท่านบุญศรี เป็นผู้สร้างเมื่อ จ.ศ.๑๑๗๖ ตรงกับ พ.ศ.๒๓๗๗ โดยครั้งนั้นเป็นวัดในคณะมหานิกาย
เดิมทีนั้นที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่ลาดลงไปจนจรดแม่น้ำมูลนั้นเป็นที่ตั้งของวัดใต้เช่นกัน มีชื่อเรียกขานกันว่า วัดใต้ท่า เดิมพระมหาราชครูเจ้าท่านหอแก้ว ผู้เป็น “หลักคำเมืองอุบล” (หลักคำ คือตำแหน่งประมุขสงฆ์เดิมของทางอีสาน) หลบไปนั่งกรรมฐานที่ป่าบริเวณนี้ ครั้นมีพระสงฆ์ตามไปอยู่ปฏิบัติมากขึ้น จึงได้สร้างเพิ่มขึ้นเป็นวัด ชื่อว่าวัดใต้ท่า ต่อมาถูกยุบร้างไป เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๙
ส่วนประวัติวัดใต้ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๒๙ กล่าวไว้ว่า “การริเริ่มก่อสร้างนั้น จะเป็นเมื่อไรไม่มีใครทราบ วัดใต้ได้จดทะเบียนเป็นทางการเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๒๒ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๑๗ ตรงกับ พ.ศ.๒๔๔๑ โดยมีท้าวสิทธิสารกับเพียเมืองแสนพร้อมราษฎรได้กราบบังคมทูลพระกรุณา ขอเป็นที่วิสุงคามสีมา ตามหนังสือที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาที่ ๑๐๓/๓๗๘ อันเป็นวันที่ ๑๐๙๗๖” ในรัชกาลที่ ๕
ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ก็ยังกล่าวถึงประวัติวัดใต้ไว้อีกว่า “เดิมทีนั้นวัดใต้มีอยู่ ๒ วัด คือวัดใต้ท่า กับวัดใต้เทิง เพราะเหตุที่วัดทั้งสองนั้นอยู่ติดกัน ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ซึ่งเป็นผู้ปกครองสังฆมณฑลในสมัยนั้น จึงได้ยุบวัดใต้ท่าที่ร้างไปให้รวมกับวัดใต้เทิง กลายเป็นวัดใต้วัดเดียวในปัจจุบัน แล้วโอนมอบที่ดินวัดใต้ท่าให้เป็นศาสนสมบัติกลางในกรมศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาที่ดินบริเวณนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างเป็นสำนักงานไฟฟ้าบริษัทส่วนบุคคล ทำการผลิตไฟฟ้าโดยใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง (เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานไอน้ำ) โดยมีนายวิเชียร ศรีสมบูรณ์ เป็นเจ้าของผู้จัดการนับแต่นั้นเป็นต้นมา”
เรื่อง วัดใต้ นี้มีท่านผู้รู้อีกท่านหนึ่งของเมืองอุบลฯ คือ คุณตาบำเพ็ญ ณ อุบล กล่าวยืนยันว่า “วัดใต้นี้มี ๒ วัด คือ วัดใต้ท่า และ วัดใต้เทิง (เทิง แปลว่า ที่สูง, ข้างบน) ทั้งสองวัดนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ต่อมาไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใดที่ทำให้วัดใต้ท่ากลายเป็นวัดร้างไป ซึ่งต่อมาที่ตรงนั้นได้เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของเมืองอุบลฯ ใช้เครื่องจักรฉุดเครื่องกำเนิดกระแสไฟฟ้า จนต่อมาใช้ไฟฟ้าจากเขื่อนกั้นน้ำจึงได้เลิกใช้เครื่องจักรปั่นไฟ เหลือเป็นที่ตั้งสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.อุบลราชธานี ส่วนวัดใต้เทิงนั้นยังคงอยู่และเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั่งบัดนี้เรียกขานกันว่า “วัดใต้”
ก่อนดำเนินเรื่องต่อไป ข้าพเจ้าขอแทรกเรื่องประเทืองความรู้จาก “ทำเนียบสมณศักดิ์ของชาวเมืองเวียงจันทน์โบราณ” โดย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ดังนี้
ธรรมเนียมการจัดสมณศักดิ์ของวัฒนธรรมล้านช้าง แบ่งออกเป็น ๘ ขั้น คือ สำเร็จ ซา คู ฝ่าย ด้าน หลักคำ ลูกแก้ว ยอดแก้ว
ธรรมเนียมการจัดสมณศักดิ์ของหัวเมืองอีสานโบราณ แบ่งออกเป็น ๖ ขั้น คือ สำเร็จ ซา คู ฝ่าย ด้าน หลักคำ สมณศักดิ์ชั้นลูกแก้ว ยอดแก้ว นั้นไม่มีในหัวเมืองอีสาน เพราะเป็นสมณศักดิ์เทียบเท่าชั้น สังฆราชา และ รองสังฆราชา• สมณศักดิ์ฝ่ายปริยัติสำเร็จ เป็นครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการ
ซา
คู
สมณศักดิ์ฝ่ายปกครอง
ฝ่าย - ปกครองในหมวด
ด้าน - ปกครองในแขวง
หลักคำ - ประมุขสงฆ์• บวชเณรท่านเป็นสามเณรที่ครูบาอาจารย์รักและไว้วางใจ
พระอาจารย์เสาร์ได้เข้าไปพำนักรับใช้เป็นศิษย์วัดใต้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี จวบจนกระทั่งอายุ ๑๕ ปี ใน พ.ศ.๒๔๑๗ ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรโดยสมบูรณ์ในคณะมหานิกาย
ด้วยความยึดมั่นแน่วแน่ในพระพุทธศาสนา เมื่อบวชเณรแล้ว ท่านมีความอุตสาหะขยันขันแข็ง พากเพียรเรียนศึกษา หมั่นท่องมนต์บทสวด เรียนมูลกัจจายนะ ศึกษาพระวินัยทั้งห้าคัมภีร์พระธรรมบท ทศชาติ มงคลทีปนี วิสุทธิมรรค อภิธัมมัตถสังคห อีกทั้งอักษรไทยน้อย ไทยใหญ่ “ตัวธรรม” อักษรขอม ก็ล้วนชำนาญการ แตกฉานไปทุกอย่าง
พระอาจารย์เสาร์เคยเล่าชีวประวัติเมื่อครั้งเป็นสามเณรให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอ ถึงการปฏิบัติครูบาอาจารย์ของท่านว่า...
“สมัยนั้นท่านเป็นสามเณรใหญ่ ถ้ามีกิจนิมนต์พระไปฉันภัตตาหารนอกวัดแล้ว ท่านจะต้องได้ไปช่วยรับใช้เสมอ เพราะเป็นสามเณรใหญ่ที่ครูบาอาจารย์รัก และไว้เนื้อเชื่อใจมาก ไปไหนจะต้องเอาท่านไปด้วยเสมอ เพื่อคอยปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์ กิจการทุกอย่างของครูบาอาจารย์นั้น ท่านรับหน้าที่ทำหมด โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลำบากยากเข็ญใดๆ ทั้งสิ้น เป็นต้นว่า ตอนรับบาตร ท่านจะรับภาระองค์เดียวหมด หิ้วบาตรและสะพายบาตรรอบกายเลยทีเดียว”
ท่านเล่า “ในสมัยนั้นท่านฉันภัตตาหารได้มากนัก พอถึงเวลาไปติดตามฉันอยู่ในบ้านเหล่าญาติโยม เจ้าภาพจะต้องคอยดูแลภัตตาหารตักเติมให้ท่านเสมอ ท่านก็ยิ่งฉันฉลองศรัทธาเขาได้มากเท่านั้น บางคนสงสัยว่าท่านฉันได้จุมากกว่าพระอย่างนี้ ท่านเอาท้องที่ไหนมาใส่ไหว” และนี่ก็คือประวัติตอนที่ได้รับการถ่ายทอดจาก พระครูพิบูลธรรมภาณ (โชติ อาภัคโค) วัดภูเขาแก้ว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี• บวชพระญาคูเสาร์หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ๕ ปี จวบจนอายุของท่านได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ครบเกณฑ์ที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ตามพระวินัยบัญญัติ ในปี พ.ศ.๒๔๒๒ ท่านก็ได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์ในคณะมหานิกาย
ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดใต้ ในเพศบรรพชิต ปฏิบัติกิจพระพุทธศาสนามาถึง ๑๐ พรรษาได้เป็น “ญาครู” เป็นครูผู้อรบรมหมู่คณะสืบต่อซึ่งชาวบ้านเรียกท่านว่า “ญาคูเสาร์”•เมื่อญาคูเสาร์จะสึกในสมัยที่ท่านบวชได้สิบกว่าพรรษา ณ วัดใต้นี้ เป็นช่วงเวลาที่ท่านมีความคิดอยากจะลาสิกขาเป็นกำลัง ท่านเตรียมสะสมเงินทอง อีกทั้งวัตถุข้าวของเป็นจำนวนมาก บนกุฏิของท่านเต็มไปด้วยสิ่งของเครื่องใช้ มีทั้งผ้าไหม แพรพรรณ ท่านเตรียมตัวที่จะเป็นพ่อค้าวานิชไปทางน้ำ เพราะท่านมีความชำนาญในการดำรงชีวิตตามลำน้ำตั้งแต่วัยเยาว์ สมัยอยู่ที่บ้านข่าโคม อันเป็นบ้านเกิดนั้นก็ใช้เส้นทางสัญจรทางลำน้ำเซบาย-ลำน้ำชี-ลำน้ำมูล เป็นสายใยเส้นทางชีวิต
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านข่าโคม ปรากฏว่ามีลุงของท่านทำการค้าประสบผลสำเร็จ มีกิจการเดินเรือใหญ่โต อันเป็นแนวทางแห่งจินตนาการของท่านที่วาดไว้ว่า เมื่อลาสิกขาแล้วจะใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้า ของกินของใช้เบ็ดเตล็ด บรรทุกเรือล่องไปขายตามลำแม่น้ำชี ลัดเลาะออกลำน้ำแม่มูลเรื่อยไปจนจรดแม่น้ำโขง – จำปาศักดิ์ – เมืองโขง – สีทันดร ถึงบ้านไหนก็แวะบ้านนั้น ซื้อสินค้าบ้านนี้ไปขายบ้านนั้น เอาของบ้านนั้นไปขาย พอกะว่าค้าขายได้เงินพอสมควรแล้วจึงจะหวนกลับมาบ้านเกิด สร้างครอบครัว – แต่งงาน ตั้งหลักปักฐานทำไร่ทำนา ค้าขายหาเลี้ยงครอบครัวไปตามวิถีของชาวโลกต่อไปรูปนี้ได้รับจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งองค์ท่านเล่าว่า
มีญาติโยมทางแถบ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม นำมาถวายให้ท่านเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๑