พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์
พูดถึงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีนิยมของคนไทยมาแต่โบราณ ในโอกาสเปลี่ยนจักรราศีตามโหราศาสตร์ ก็จะมีการทำบุญไหว้พระ สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกิจกรรมการละเล่นต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ปิดท้ายด้วยการเล่นสาดน้ำที่กลายเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติที่ชอบเข้ามาสัมผัสบรรยากาศในช่วงนี้ของทุกปี
กล่าวถึง "การสรงน้ำพระ" นั้น เป็นความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณกาลว่า "อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก (สรงน้ำพระ) ผู้ใดได้ถวายเครื่องเถราภิเษกจะพ้นจากทุกข์ภัย ทั้งปวง" จึงกลายเป็นประเพณีสืบสานกันมา ในจังหวัดใหญ่ๆ จะมีการอัญเชิญ "พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง" ซึ่งปกติประดิษฐานอยู่ตามพระอารามหรือสถานที่สำคัญต่างๆ ออกมาแห่แหนให้ประชาชนได้สรงน้ำกันแบบ "หนึ่งปี มีหน" มีอาทิ "พระพุทธสิหิงค์" พระพุทธสิหิงค์ นับเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่วันสงกรานต์ทีเดียว มีตำนานเล่าว่า พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปที่กษัตริย์ลังกาได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๗๐๐ ประดิษฐานอยู่ที่กรุงลังกาเป็นเวลา ๑,๑๕๐ ปี กระทั่งในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหง โปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตเชิญพระราชสาสน์ไปขอประทานมาจากพระเจ้ากรุงลังกา พระพุทธสิหิงค์จึงได้มาประดิษฐานในสยามประเทศนับแต่นั้นมา จึงต้องนับว่า "พระพุทธสิหิงค์" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของสยามประเทศอย่างแท้จริง
ในเมืองไทย พระพุทธรูปที่ทรงพระนามว่า "พระพุทธสิหิงค์" นั้นมีอยู่ ๓ องค์ ๓ แห่งคือองค์ที่ ๑ ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธศวรรย์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร]
เป็นพระพุทธรูปปางนั่งขัดสมาธิ ศิลปะสุโขทัย ความสูง ๙๖ ซ.ม. หน้าตักกว้าง ๖๖ ซ.ม. หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ปิดทองคำเปลว พระสรีระได้สัดส่วนงดงาม สุดที่จะหาพระพุทธรูปโบราณใดในเมืองไทยงดงามเท่า ซึ่งในทุกๆ ปีทางกทม.จะอัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๗ เป็นต้นมาองค์ที่ ๒ ประดิษฐาน ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะเชียงแสนรุ่นแรก หนักตักกว้าง ๔๐ นิ้ว หล่อด้วยสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง เป็นศิลปะเชียงแสนยุคแรกงดงามมาก ซึ่งทุกๆ ปีทางจังหวัดเชียงใหม่จะมีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันสรงน้ำ เนื่องใน "ประเพณีปี๋ใหม่เมือง" หรือ "งานสงกรานต์ล้านนา" นั่นเององค์ที่ ๓ ประดิษฐานอยู่ในบุษบกไม้ ณ หอพระพุทธสิหิงค์
ข้างศาลากลาง จ.นครศรีธรรมราช
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะศรีวิชัย ตามแบบสกุลช่างท้องถิ่น เรียกว่า "แบบขนมต้ม" พระพักตร์กลม อมยิ้มเล็กน้อย พระอุระอวบอ้วน ชายสังฆาฏิสั้นระดับพระถัน หน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๑๖.๘ นิ้ว หล่อด้วยสัมฤทธิ์ โดยทางจังหวัดนครศรีธรรมราช จะอัญเชิญมาประดิษฐานที่สวนศรีธรรมาโศกราชก่อน จากนั้นจึงมีพิธีสรงน้ำควบคู่ไปกับงานประเพณีสงกรานต์ "แห่นางดานเมืองนคร" อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอันโดดเด่นของเมืองนครฯ เป็นการผนวกประเพณีทั้งพุทธและพราหมณ์เข้าไว้ด้วยกัน
ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งแต่งโดย "พระโพธิรังสี" นั้น ได้พรรณนาอานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ไว้เป็นอันมาก ตัวอย่างเช่น "พระพุทธสิหิงค์หามีชีวิตได้ก็จริง แต่มีอิทธานุภาพด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ อธิษฐานพละของพระอรหันต์ อธิษฐานพละของเจ้าลังกาหลายพระองค์ และศาสนพละของพระพุทธเจ้า" ซึ่งหมายความว่า กำลังใจของพระอรหันต์ และกำลังใจของเจ้าลังกา พร้อมทั้งกำลังแห่งพระพุทธศาสนา กระทำให้พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงอานุภาพ เมื่อประทับอยู่ ณ ที่ใด ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดั่งดวงประทีปชัชวาล เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่
นอกเหนือจาก "พระพุทธสิหิงค์" ในสามจังหวัดดังกล่าวมาแล้ว ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกมากที่เป็นที่เคารพศรัทธาในแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัด ที่ได้อัญเชิญมาแห่แหนให้สาธุชนได้สรงน้ำขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์
หลวงพ่อ 'พระใส' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
ทีนี้ลองมาดูทางภาคอีสานกันบ้าง เริ่มกันที่ จ.หนองคาย ที่ทุกๆ ปีเทศกาลสงกรานต์จะเป็นงานใหญ่ที่สนุกสนานครื้นเครง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักเดินทางไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เพราะต้องการสัมผัสประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ชาวหนองคายทุกคนได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานมาจวบจนปัจจุบัน และความยิ่งใหญ่ของงานจะเน้นที่องค์พระพุทธรูปสำคัญที่เป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูง นั่นคือ "หลวงพ่อพระใส" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของ จ.หนองคาย ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) อ.เมือง ในชื่องาน "สรงน้ำไหว้สาหลวงพ่อพระใส"
หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย พุทธลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว หล่อด้วยทองสีสุก ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากและเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง
ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ...พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น ๓ องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส มีขนาดลดกันตามลำดับ พระสุกเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง และพระใสประจำคนสุดท้อง การสร้างนั้นจัดกันอย่างยิ่งใหญ่ มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ จนถึง ๗ วัน ทองก็ยังไม่ละลาย
จนวันที่ ๘ เวลาเพล เหลือหลวงตากับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ ได้ปรากฏชีปะขาวตนหนึ่งมาขอช่วยทำ หลวงตากับเณรน้อยจึงไปฉันเพล ญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วย แต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่ แต่เมื่อถามพระ ท่านมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จ ทั้งหมดจึงลงมาดู ก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง ๓ เบ้าแล้ว และไม่เห็นชีปะขาวแล้ว...พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์
หลวงพ่อ 'พระสุก' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์
หลวงพ่อ 'พระเสริม' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย
พระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐาน ณ เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้างมาเป็นเวลาช้านาน คราใดที่เกิดสงครามชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควาย ต่อเมื่อเหตุการณ์สงบจึงนำกลับมาไว้ดังเดิม สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ ครั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ปราบกบฏแล้วเสร็จ ก็ได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส มาจากภูเขาควาย ซึ่งชาวเมืองนำไปซ่อนไว้ ประดิษฐานไว้บนแพไม้ไผ่ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงบริเวณหนึ่งก็เกิดอัศจรรย์ "แท่นของพระสุก" ได้แหกแพจมลงในน้ำ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า "เวินแท่น" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขงตรงปากงึม ก็ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง "พระสุก" ได้แหกแพจมลงในน้ำ บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ "เวินสุก" ตั้งแต่นั้นมา
การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใส มาถึงหนองคาย "พระใส" ได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วน "พระเสริม" ได้อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ สำหรับ "พระสุก" ได้มีการสร้างองค์จำลอง ประดิษฐาน ณ วัดศรีคุณเมือง จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ "พระเสริม" ลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหาริย์ พราหมณ์ผู้อัญเชิญไม่สามารถขับเกวียนนำ "พระใส" ไปได้ จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงได้ตกลงกันว่าให้อัญเชิญ "พระใส" มาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริม เมื่ออธิษฐานจิตดังนั้น ปรากฏว่าพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้ และประดิษฐานมาจวบจนปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก" ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองหนองคายยิ่งนักอีกจังหวัดที่ขอปิดท้าย คือ จ.อุบลราชธานี ซึ่งมีพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่เพิ่งจะได้อัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เป็น "พระแก้ว" ซึ่งมี ๔ องค์ด้วยกัน คือ พระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม, พระแก้วโกเมน วัดมณีวนาราม, พระแก้วไพฑูรย์ วัดหลวง และพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง วัดสุปัฏนาราม ซึ่งล้วนเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มีตำนานเล่าขานปรากฏ เป็นที่เคารพศรัทธา
จนเมื่อถึงเทศกาลสำคัญจึงอัญเชิญมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำขอพรเพื่อเป็นกุศลบุญสืบต่อในอนาคตกาลครับผมที่มา: ข่าวสดออนไลน์