[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 20:25:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์  (อ่าน 1175 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5469


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 01 พฤษภาคม 2559 19:33:21 »


พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์

พูดถึงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีนิยมของคนไทยมาแต่โบราณ ในโอกาสเปลี่ยนจักรราศีตามโหราศาสตร์ ก็จะมีการทำบุญไหว้พระ สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกิจกรรมการละเล่นต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ปิดท้ายด้วยการเล่นสาดน้ำที่กลายเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติที่ชอบเข้ามาสัมผัสบรรยากาศในช่วงนี้ของทุกปี

กล่าวถึง "การสรงน้ำพระ" นั้น เป็นความเชื่อมาแต่ครั้งโบราณกาลว่า "อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก (สรงน้ำพระ) ผู้ใดได้ถวายเครื่องเถราภิเษกจะพ้นจากทุกข์ภัย ทั้งปวง" จึงกลายเป็นประเพณีสืบสานกันมา ในจังหวัดใหญ่ๆ จะมีการอัญเชิญ "พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง" ซึ่งปกติประดิษฐานอยู่ตามพระอารามหรือสถานที่สำคัญต่างๆ ออกมาแห่แหนให้ประชาชนได้สรงน้ำกันแบบ "หนึ่งปี มีหน" มีอาทิ "พระพุทธสิหิงค์"



 
พระพุทธสิหิงค์ นับเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่วันสงกรานต์ทีเดียว มีตำนานเล่าว่า พระพุทธสิหิงค์ เป็นพระพุทธรูปที่กษัตริย์ลังกาได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๗๐๐ ประดิษฐานอยู่ที่กรุงลังกาเป็นเวลา ๑,๑๕๐ ปี กระทั่งในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรามคำแหง โปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตเชิญพระราชสาสน์ไปขอประทานมาจากพระเจ้ากรุงลังกา พระพุทธสิหิงค์จึงได้มาประดิษฐานในสยามประเทศนับแต่นั้นมา จึงต้องนับว่า "พระพุทธสิหิงค์" เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของสยามประเทศอย่างแท้จริง

ในเมืองไทย พระพุทธรูปที่ทรงพระนามว่า "พระพุทธสิหิงค์" นั้นมีอยู่ ๓ องค์ ๓ แห่งคือ



องค์ที่ ๑ ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธศวรรย์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร]

เป็นพระพุทธรูปปางนั่งขัดสมาธิ ศิลปะสุโขทัย ความสูง ๙๖ ซ.ม. หน้าตักกว้าง ๖๖ ซ.ม. หล่อด้วยโลหะสัมฤทธิ์ ปิดทองคำเปลว พระสรีระได้สัดส่วนงดงาม สุดที่จะหาพระพุทธรูปโบราณใดในเมืองไทยงดงามเท่า ซึ่งในทุกๆ ปีทางกทม.จะอัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๗ เป็นต้นมา


องค์ที่ ๒ ประดิษฐาน ณ วิหารลายคำ วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่

เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะเชียงแสนรุ่นแรก หนักตักกว้าง ๔๐ นิ้ว หล่อด้วยสัมฤทธิ์ลงรักปิดทอง เป็นศิลปะเชียงแสนยุคแรกงดงามมาก ซึ่งทุกๆ ปีทางจังหวัดเชียงใหม่จะมีขบวนแห่พระพุทธสิหิงค์เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันสรงน้ำ เนื่องใน "ประเพณีปี๋ใหม่เมือง" หรือ "งานสงกรานต์ล้านนา" นั่นเอง


องค์ที่ ๓ ประดิษฐานอยู่ในบุษบกไม้ ณ หอพระพุทธสิหิงค์
ข้างศาลากลาง จ.นครศรีธรรมราช

เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะศรีวิชัย ตามแบบสกุลช่างท้องถิ่น เรียกว่า "แบบขนมต้ม" พระพักตร์กลม อมยิ้มเล็กน้อย พระอุระอวบอ้วน ชายสังฆาฏิสั้นระดับพระถัน หน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๑๖.๘ นิ้ว หล่อด้วยสัมฤทธิ์ โดยทางจังหวัดนครศรีธรรมราช จะอัญเชิญมาประดิษฐานที่สวนศรีธรรมาโศกราชก่อน จากนั้นจึงมีพิธีสรงน้ำควบคู่ไปกับงานประเพณีสงกรานต์ "แห่นางดานเมืองนคร" อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะอันโดดเด่นของเมืองนครฯ เป็นการผนวกประเพณีทั้งพุทธและพราหมณ์เข้าไว้ด้วยกัน

ตำนานพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งแต่งโดย "พระโพธิรังสี" นั้น ได้พรรณนาอานุภาพของพระพุทธสิหิงค์ไว้เป็นอันมาก ตัวอย่างเช่น "พระพุทธสิหิงค์หามีชีวิตได้ก็จริง แต่มีอิทธานุภาพด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ อธิษฐานพละของพระอรหันต์ อธิษฐานพละของเจ้าลังกาหลายพระองค์ และศาสนพละของพระพุทธเจ้า" ซึ่งหมายความว่า กำลังใจของพระอรหันต์ และกำลังใจของเจ้าลังกา พร้อมทั้งกำลังแห่งพระพุทธศาสนา กระทำให้พระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธปฏิมากรที่ทรงอานุภาพ เมื่อประทับอยู่ ณ ที่ใด ย่อมทรงทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองดั่งดวงประทีปชัชวาล เหมือนหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่

นอกเหนือจาก "พระพุทธสิหิงค์" ในสามจังหวัดดังกล่าวมาแล้ว ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกมากที่เป็นที่เคารพศรัทธาในแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัด ที่ได้อัญเชิญมาแห่แหนให้สาธุชนได้สรงน้ำขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้



http://www.sookjaipic.com/images_upload/45518952111403_2.JPG
พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์

หลวงพ่อ 'พระใส' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย

ทีนี้ลองมาดูทางภาคอีสานกันบ้าง เริ่มกันที่ จ.หนองคาย ที่ทุกๆ ปีเทศกาลสงกรานต์จะเป็นงานใหญ่ที่สนุกสนานครื้นเครง นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักเดินทางไปร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เพราะต้องการสัมผัสประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ชาวหนองคายทุกคนได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานมาจวบจนปัจจุบัน และความยิ่งใหญ่ของงานจะเน้นที่องค์พระพุทธรูปสำคัญที่เป็นที่เคารพศรัทธาอย่างสูง นั่นคือ "หลวงพ่อพระใส" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของ จ.หนองคาย ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) อ.เมือง ในชื่องาน "สรงน้ำไหว้สาหลวงพ่อพระใส"

หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย พุทธลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง ๒ คืบ ๘ นิ้ว ส่วนสูงจากพระชงฆ์เบื้องล่างถึงยอดพระเกศ ๔ คืบ ๑ นิ้ว หล่อด้วยทองสีสุก ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ วัดโพธิ์ชัย (พระอารามหลวง) เป็นพระพุทธรูปที่ชาวจังหวัดหนองคายนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มากและเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง

ตามประวัติกล่าวไว้ว่า ...พระธิดาสามพี่น้องของกษัตริย์ล้านช้าง ได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น ๓ องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา แล้วขนานนามพระพุทธรูปตามพระนามว่า พระสุก พระเสริม และพระใส มีขนาดลดกันตามลำดับ พระสุกเป็นพระประจำพี่ผู้ใหญ่ พระเสริมประจำคนกลาง และพระใสประจำคนสุดท้อง การสร้างนั้นจัดกันอย่างยิ่งใหญ่ มีคนสูบเตาหลอมทองอยู่ไม่ขาดระยะ จนถึง ๗ วัน ทองก็ยังไม่ละลาย

จนวันที่ ๘ เวลาเพล เหลือหลวงตากับสามเณรน้อยรูปหนึ่งสูบเตาอยู่ ได้ปรากฏชีปะขาวตนหนึ่งมาขอช่วยทำ หลวงตากับเณรน้อยจึงไปฉันเพล ญาติโยมที่มาส่งเพลจะลงไปช่วย แต่มองไปเห็นชีปะขาวจำนวนมากช่วยกันสูบเตาอยู่ แต่เมื่อถามพระ ท่านมองลงไปก็เห็นเป็นชีปะขาวตนเดียว พอฉันเพลเสร็จ ทั้งหมดจึงลงมาดู ก็เกิดความอัศจรรย์ใจยิ่ง เหตุเพราะได้เห็นทองทั้งหมดถูกเทลงในเบ้าทั้ง ๓ เบ้าแล้ว และไม่เห็นชีปะขาวแล้ว...


http://www.sookjaipic.com/images_upload/89706342791517_3_1.jpg
พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์

หลวงพ่อ 'พระสุก' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย

http://www.sookjaipic.com/images_upload/18018950646122_4_1.jpg
พระพุทธรูปคู่วันสงกรานต์

หลวงพ่อ 'พระเสริม' วัดโพธิ์ชัย จ.หนองคาย

พระสุก พระเสริม และพระใส ได้ประดิษฐาน ณ เมืองหลวงอาณาจักรล้านช้างมาเป็นเวลาช้านาน คราใดที่เกิดสงครามชาวเมืองก็จะนำพระพุทธรูปทั้งสามไปซ่อนไว้ที่ภูเขาควาย ต่อเมื่อเหตุการณ์สงบจึงนำกลับมาไว้ดังเดิม สมัยรัชกาลที่ ๓ ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ ครั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ปราบกบฏแล้วเสร็จ ก็ได้อัญเชิญพระสุก พระเสริม และพระใส มาจากภูเขาควาย ซึ่งชาวเมืองนำไปซ่อนไว้ ประดิษฐานไว้บนแพไม้ไผ่ล่องมาตามลำน้ำงึม เมื่อล่องมาถึงบริเวณหนึ่งก็เกิดอัศจรรย์ "แท่นของพระสุก" ได้แหกแพจมลงในน้ำ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า "เวินแท่น" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขงตรงปากงึม ก็ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง "พระสุก" ได้แหกแพจมลงในน้ำ บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ "เวินสุก" ตั้งแต่นั้นมา

การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใส มาถึงหนองคาย "พระใส" ได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วน "พระเสริม" ได้อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ สำหรับ "พระสุก" ได้มีการสร้างองค์จำลอง ประดิษฐาน ณ วัดศรีคุณเมือง จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ "พระเสริม" ลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหาริย์ พราหมณ์ผู้อัญเชิญไม่สามารถขับเกวียนนำ "พระใส" ไปได้ จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงได้ตกลงกันว่าให้อัญเชิญ "พระใส" มาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยแทนพระเสริม เมื่ออธิษฐานจิตดังนั้น ปรากฏว่าพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้ และประดิษฐานมาจวบจนปัจจุบัน ความอัศจรรย์ของหลวงพ่อพระใสจนได้สมญาว่า "หลวงพ่อเกวียนหัก" ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเมืองหนองคายยิ่งนัก



อีกจังหวัดที่ขอปิดท้าย คือ จ.อุบลราชธานี ซึ่งมีพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่เพิ่งจะได้อัญเชิญออกมาให้ประชาชนได้สรงน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์กันเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เป็น "พระแก้ว" ซึ่งมี ๔ องค์ด้วยกัน คือ พระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม, พระแก้วโกเมน วัดมณีวนาราม, พระแก้วไพฑูรย์ วัดหลวง และพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง วัดสุปัฏนาราม ซึ่งล้วนเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ มีตำนานเล่าขานปรากฏ เป็นที่เคารพศรัทธา

จนเมื่อถึงเทศกาลสำคัญจึงอัญเชิญมาเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำขอพรเพื่อเป็นกุศลบุญสืบต่อในอนาคตกาลครับผม


ที่มา: ข่าวสดออนไลน์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.409 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 14 มีนาคม 2567 11:46:21