[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 17:25:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ติช นัท ฮันห์ ‘สนทนากับความว่าง’  (อ่าน 1139 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 05 กรกฎาคม 2559 21:56:43 »



ติช นัท ฮันห์ ‘สนทนากับความว่าง’

โดย มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

หนึ่งเดือนแห่งการจาริกธรรมในประเทศไทยของพระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระแห่งพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน ชาวเวียดนาม ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เชื่อว่า คนไทยไม่น้อยคงจะค้นพบปาฏิหาริย์จากลมหายใจของตนเอง

หลังจากไปภาวนากับท่านในคอร์สใดคอร์สหนึ่ง หรือไม่ก็ไปฟังธรรมจากท่านครั้งใดครั้งหนึ่ง หรือว่ายังไม่เคยพบท่านเลยก็ตาม ณ พื้นที่กายใจตรงนี้จึงขอมอบลมหายใจ รอยยิ้มและความสุขจากท่าน ในชั่วขณะสองชั่วโมงที่ท่านให้สัมภาษณ์เมื่อยามเช้าวันที่ 23 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา ณ สถานปฏิบัติธรรมนานาชาติ หมู่บ้านพลัม ประเทศไทย บ้านสระน้ำใส ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

เราอาจอ่านบทสัมภาษณ์ของใครต่อใครมามาก แต่วันนี้จะขอเล่าบรรยากาศและบทสนทนาเบื้องหลังการให้สัมภาษณ์ของบุคคลระดับโลกที่ทำงานด้านสันติภาพมาตลอดชีวิต หากมีวิถีชีวิตเรียบง่ายดังเช่นพระป่าธรรมดารูปหนึ่ง

ในวันนั้นท่านให้สัมภาษณ์เป็นกันเองอย่างยิ่งบนศาลามุงจากหลังเล็กๆ ที่พระช่วยกันสร้างขึ้นใกล้ๆ กับกุฏิสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ประมาณ 100 รูป อยู่ห่างจากกุฏิของภิกษุณีพอสมควรซึ่งจำพรรษาอีก 60 รูป บนผืนดินที่กำลังก่อสร้างศาลาปฏิบัติธรรมที่ผสานไปกับธรรมชาติรอบๆ เขาใหญ่ที่กำลังจะกลายเป็นวัดเซนให้เราได้เรียนรู้วิถีเซนอย่างต่อเนื่องในไม่ช้านี้

หากเราเคยพบหลวงปู่มาก่อน คงสังเกตการเดินของท่านที่ไม่เหมือนใคร การเดินอย่างสงบทุกย่างก้าวที่อาจจะทำให้ใครบางคนลืมกระพริบตาหรือลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง เช่นเดียวกับขณะนี้ที่ท่านเดินออกมาจากกุฏิ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความสงบ เบา สบายอย่างยิ่ง เมื่อท่านมานั่งลงตรงกลางศาลาเรียบร้อยแล้ว ท่านนั่งสงบอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวว่า เราอาจให้การสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นการสัมภาษณ์ภาวนา นั่นหมายถึงว่าให้เป็นการสัมภาษณ์ในวิถีแห่งสติ ดังนั้น บางครั้ง เมื่อเราได้ยินเสียงระฆัง ขอให้เราผ่อนคลายกลับมาอยู่กับลมหายใจของเราอย่างมีสติ

“เพราะเราอยู่ในประเทศพุทธศาสนา เรามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนี้ และหลวงปู่เองก็ต้องการความสงบและสันติสุขในใจเพื่อที่จะให้สัมภาษณ์ ซึ่งผู้สัมภาษณ์ก็ต้องการสิ่งนี้เช่นเดียวกัน”

ระฆัง

นับเป็นการเริ่มต้นสัมภาษณ์ที่มีความตื่นเต้นอยู่ภายใจเป็นอย่างยิ่ง ฉันสัมผัสได้ถึงภาวะของหัวใจเต้นมากกว่าปกติ และเสียงของลมหายใจของตัวเองที่ดังกว่าใครๆ บนศาลา ทุกอย่างสงบนิ่ง ยกเว้นเสียงนกร้อง เสียงลมพัดใบไม้ไหว และเสียงภายในของฉัน แต่ไม่นานนัก ความสงบก็ค่อยๆ มาเยือนภายในใจของฉัน และพบกับความสงบอย่างยิ่งจนทำให้ลืมการสัมภาษณ์ไปเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลวงปู่ที่ใจดี มีเมตตาในวัย 87 ปี พรรษาที่ 71 กระทั่ง เมื่อหลวงปู่บอกว่า จำเป็นอย่างมากที่ในระหว่างการสัมภาษณ์เราจะต้องภาวนาไปด้วยกันเพื่อรักษาสันติสุขภายในของเรา และเราจะเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเสียงระฆัง

หลวงปู่กล่าวว่า เมื่อเราได้ยินเสียงระฆัง เราจะหยุดพูดคุย หยุดการคิด หยุดการให้สัมภาษณ์และมาเบิกบานกับเสียงระฆังด้วยกันและปล่อยให้ร่างกายของเราได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ให้เราเบิกบานกับสิ่งรอบๆ ข้าง รับรู้ว่า ชีวิตอยู่ตรงนั้นกับเรา เราสามารถให้สัมภาษณ์โดยไม่มีความตึงเครียดและความกังวล ถ้าเราทำเช่นนั้น บทความก็จะออกมาดี

“และคนที่ได้อ่านบทความของเราก็จะได้รับความผ่อนคลายและมีความสงบสุขด้วย ในวิถีพุทธ เวลาเราได้ยินเสียงระฆัง ซึ่งเป็นตัวแทนพระพุทธองค์ เราจะหยุดคิด หยุดพูด และกลับมาอยู่กับเสียงระฆังอย่างเต็มเปี่ยม และเมื่อเธอหายใจออก เธอก็ยิ้มให้กับชีวิตและปลดปล่อยความตึงเครียดทั้งหมดในร่างกายของเ รา ในวัดของเรามักเคยชินกับการทำอย่างนี้โดยไม่ต้องบังคับตังเอง เราไม่จำเป็นต้องเคร่งขรึม เราเพียงแค่เบิกบานแล้วกลับมาตามลมหายใจเข้า หายใจออก

“ในประเพณีทางพุทธศาสนา เราสามารถฝึกปฏิบัติเพื่อที่จะผ่อนคลายร่างกายของเรา เธอสามารถทำอารมณ์ความรู้สึกให้สงบลง เธอสามารถผลิตความสุข ความสงบในปัจจุบันขณะได้ หลวงปู่ทำงานกับนักข่าวมากมายในประเทศทางตะวันตก หลวงปู่จะให้นักข่าวผ่อนคลาย เบิกบาน แล้วสนทนาบนวิถีแห่งสติไปด้วยกัน”

เชิญดื่มชา

เสียงรินน้ำชาของพระอุปัฏฐากหลวงปู่ ทำให้ฉันต้องเหลียวไปมอง ตามวิถีที่ไม่ค่อยมีสติของฉัน ซึ่งมักหันไปหาตามสัญชาตญาณ แต่การหันไปครั้งนี้ทำให้ฉันสงบลงเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นอากัปกิริยาของพระที่ค่อยๆ รินน้ำชาอย่างมีสติจนครบทุกถ้วยแล้วหลวงปู่ก็กล่าวว่า เชิญดื่มชา

ระหว่างการดื่มชาอึกแรก อึกที่สอง และอึกที่สาม ฉันได้ยินเสียงนกร้องรอบๆ ตัวชัดเจนมาก ชั่วขณะนั้น หลวงปู่หายไปจากความคิด ไม่มีศาลา ไม่มีแม้แต่ฉัน มีเพียงรสน้ำชาขมๆ ที่ค่อยๆ ผ่านลำคอลงไปจนหมดเกลี้ยง ถ้วยชาของฉันว่างแล้ว เมื่อเหลียวมองถ้วยชาของหลวงปู่ยังเหลืออยู่และของท่านอื่นๆ ก็ยังเหลืออยู่ ฉันเริ่มกลับมาอยู่กับความคิดใหม่ โอ้โห เราซดจนหมดเลยหรือนี่ เอ้อ ความคิดเริ่มเป็นนายเราอีกแล้ว

ชั่วขณะนั้น หลวงปู่ก็กล่าวขึ้นว่า ขณะที่กำลังถ่ายทำก็ขอให้เราเบิกบาน และยิ้มผ่อนคลาย ในระหว่างการสัมภาษณ์ไม่ควรเดินไปเดินมา เพราะจะทำให้เสียสมาธิในการสัมภาษณ์ และให้ถ่ายรูปหลังจากสัมภาษณ์แล้ว แต่ไม่ให้ถ่ายระหว่างการสัมภาษณ์

“ความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญมาก มันจะสะท้อนออกมาในบทความที่เราเขียน หากเราต้องการให้สังคมมีความเข้าใจกัน มีความสมานฉันท์ เราต้องรดน้ำแห่งความเมตตา กรุณาให้เกิดขึ้นในใจเราก่อน บทความนั้นก็จะเต็มไปด้วยความเข้าใจ ความเมตตาและกรุณา ”

แล้วเราก็กลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งสติด้วยกันเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ปลุกพุทธะให้ตื่น

จากนั้นหลวงปู่กล่าวว่า มีหัวข้อสองเรื่องที่อยากจะพูดในวันนี้ หัวข้อแรกก็คือ เราจะช่วยทำอย่างไรที่จะปรับปรุงพุทธศาสนาในประเทศนี้ให้ใหม่

“นั่นคือการคำนึงถึงบุคคลมากมาย ไม่เพียงแต่แวดวงพุทธศาสนา พระ และฆราวาสทั้งหลาย เพราะเมืองไทยเต็มไปด้วยวัฒนธรรมทางพุทธ หลวงปู่อยากให้พุทธศาสนาได้รับใช้ประเทศชาตินี้เหมือนในอดีต แต่เพราะเราไม่รู้วิธีทำให้พุทธศาสนาให้ใหม่ คำสอนและการฝึกปฏิบัติถ้าไม่ร่วมสมัย คำสอนนั้นก็จะสูญเสียความสามารถ การทำงานทางพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องของนักบวชหรือของพระเท่านั้นแต่เป็นเรื่องของทุกคน เป็นมรดกของประเทศชาติ ในประเทศตะวันออกกลางมีน้ำมัน แต่ประเทศเรามีพุทธศาสนา ถ้าเรารู้วิธีใช้พุทธศาสนาให้เป็นประโยชน์ เราจะไปช่วยรับใช้ประเทศชาติของเราได้ เพราะฉะนั้นการทำให้พุทธศาสนาใหม่อยู่เสมอเป็นสิ่งที่สำคัญ

“เราสามารถที่จะรักษาความสงบสุข เราสามารถที่จะถอดถอนการแบ่งแยก เราสามารถให้คนสื่อสารกันและกันมากขึ้น ง่ายขึ้น เราสามารถทำให้คืนสัมพันธภาพกันใหม่ เราสามารถทำให้นักการเมืองเป็นทุกข์น้อยลง ช่วยให้นักธุรกิจทุกข์น้อยลง ประสบความสำเร็จมากขึ้น เราอาจจะช่วยคุณครูเป็นทุกข์น้อยลง ช่วยสอนให้ดีขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ช่วยทำให้นักเรียนในโรงเรียนเป็นทุกข์น้อยลง สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ เราควรทำพุทธศาสนาเข้าไปในทุกวิถีชีวิต เพื่อที่จะหยิบยื่นสันติภาพ ความเข้าใจ ความกรุณา เพื่อที่จะรับใช้ประเทศชาติอย่างลึกซึ้ง”

สิ่งที่ท่านเน้นย้ำก็คือ เราจำเป็นต้องมีนักข่าวที่ภาวนาอย่างลึกซึ้งเพื่อที่จะได้มีคนหนุ่มสาวมาบวชอีก เมื่อก่อนวัดไทยจะต้องเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน วัดเป็นผู้นำทางการศึกษา เยียวยาทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้ วัดไม่ได้เป็นอย่างนั้นและได้สูญเสียความเป็นผู้นำทางพุทธศาสนา เพราะไม่สามารถปรับปรุงพุทธศาสนาให้ใหม่เพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

” นี่คือปัญหาไม่เพียงแต่ประเทศไทย ประเทศศรีลังกา ประเทศทางพุทธในกระแสหลัก เกาหลี ประเทศจีน พุทธศาสนากำลังตายไปอย่างช้าๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องปกปักรักษาประเพณีทางพุทธศาสนาไว้เป็นมรดกของประเทศชาติเรา นี่คือหัวข้อแรกที่หลวงปู่อยากจะแลกเปลี่ยน”

การเมืองในใจ

อีกหัวข้อหนึ่งที่หลวงปู่แลกเปลี่ยนก็คือ นักการเมืองจะปรองดองกันอย่างไร เพื่อรับใช้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้น ข้อแรกเชื่อมโยงกับข้อที่สอง คือเมื่อพุทธศาสนามีชีวิตก็สามารถที่จะรับใช้สังคมและประเทศชาติได้

“ในประเทศอเมริกา สถานการณ์ในกองทัพและกรมตำรวจนั้น ตำรวจเขาใช้ปืนของเขาฆ่าตัวตาย จำนวนตำรวจที่ตายมีมากกว่าตำรวจที่ถูกพวกแก๊งฆ่า เช่นเดียวกันกับทหารทั้งหลาย จำนวนทหารที่ฆ่าตัวตายนั้น มีมากกว่าบรรดาทหารที่ถูกฆ่าในสงคราม เขาเข้าไปประเทศในตะวันออกกลาง เขาต่อสู้ แต่เขาไม่ได้ถูกฆ่าตายที่นั่น เขากลับมายังประเทศของเขาแล้วเขาทนความทุกข์ของเขาไม่ไหวจนต้องฆ่าตัวตาย เพื่อให้ออกจากความทุกข์ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก เป็นปัญหาที่ร้ายแรง จนเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่มีใครช่วยเขาฝึกสติ ไม่มีใครที่จะเยียวยา

“ทหารผ่านศึกที่กลับมาจากตะวันออกกลาง เราได้จัดภาวนาให้กับพวกที่เคยอยู่ในสงคราม ทหารที่ผ่านสงคราม ทหารผ่านศึก และตำรวจ เป็นการยากมากที่จะจัดภาวนาให้กับบุคคลเหล่านี้ แต่เรารู้จักตำรวจหญิงท่านหนึ่ง ที่มาภาวนาและอยากจะช่วยให้ตำรวจมีความทุกข์น้อยลง และขอให้เราช่วยจัดงานภาวนาให้กับตำรวจ เพราะมีความทุกข์ที่ใหญ่มากในกรมตำรวจ

“ตำรวจมีความทุกข์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตอนเช้าไปทำงาน เขาไม่รู้ว่าตอนเย็นจะได้กลับบ้านแล้วมีชีวิตอยู่ไหม พอเขากลับบ้าน เขาก็ปฏิบัติกับคนในบ้านเหมือนกันคือเต็มไปด้วยอำนาจ เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวเขา เพราะเขาใช้อำนาจกับลูก หลาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในคุก ผู้ที่คุมคุก มีความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ในงานภาวนามีชื่อว่า ‘keeping the peace :รักษาสันติสุข ‘ เมื่อความสันติสุขในตนเองเกิดขึ้น นั่นก็คือสันติสุขในสังคม”

‘ฟัง’ คลายความทุกข์

หลวงปู่ให้ข้อคิดว่า ประเทศไทยเราเป็นชาวพุทธ มีองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่แล้วมากมาย เราจะต้องจัดงานภาวนาให้กับนักจิตบำบัด นักธุรกิจ ครู เราจำเป็นต้องหยิบยื่นคำสอนในวิถีพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวพันกับสังคม จะได้ฝึกคุณครู คุณครูจะได้มีความทุกข์น้อยลง เขาจะปฏิบัติกับนักเรียนได้ด้วยใจที่เมตตากรุณา แม้ว่านักเรียนยังอายุน้อยเป็นทุกข์เพราะอาจจะมาจากครอบครัวที่แตกร้าว มีความรุนแรง คุณครูจะต้องรู้ปัญหา เพื่อที่จะให้เขามีความสงบสุขมากขึ้น และมีความทุกข์น้อยลง เมื่อคุณครูสามารถทำได้ด้วยตนเอง คุณครูก็จะสอนนักเรียนให้ทำได้

“เช่นการรับฟังอย่างลึกซึ้ง คุณครูจะต้องนั่งลงเพื่อรับฟังความทุกข์ของเขา เพียงแค่นั่งและรับฟังก็ช่วยให้มีความทุกข์น้อยลงแล้ว และช่วยจัดตั้งระหว่างคุณครูด้วยกัน กับนักเรียนและคำสอน กับการเรียนก็จะดีขึ้น ถ้านักเรียนนั่งรับฟังคุณครูได้ก็เช่นเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าคุณครูเป็นทุกข์มาก เราจึงต้องเรียนรู้การรับฟังตามแนววิถีพุทธ เพื่อนำสิ่งที่ดีงามมาเยียวยา เราจะต้องฝึกคุณครูมากมายในหลายประเทศ เพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ เราจึงจำเป็นต้องมีธรรมาจารย์อย่างเพียงพอทั้งนักบวชและฆราวาส นั่นคือการทำให้พุทธศาสนาใหม่เสมอ”

ประตูสู่การรู้แจ้ง

สิ่งที่หลวงปู่ฝากให้เรากลับมาหาพุทธศาสนาในใจเราก็เพราะว่า ในพุทธศาสนาเรามีสติ สมาธิ และปัญญารู้แจ้ง

“เวลาที่เรามีสติ มีความสงบสุข เราจะได้รับปัญญารู้แจ้ง เราจะช่วยประเทศชาติเราได้อย่างไร ก็ช่วยโดยการฝึกสติ สมาธิและปัญญารู้แจ้งนี้เพื่อช่วยให้ประเทศชาติออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ปัญญารู้แจ้งนั้นจะบอกเธอ และเธอสามารถนำปัญญารู้แจ้งนี้กลับไปให้สาธารณชนรับทราบ ดังนั้น การจะช่วยประเทศชาติได้ก็มาจากการฝึกสติ สมาธิ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญารู้แจ้ง ถ้าเธอชัดเจนกับปัญญารู้แจ้ง เธอจะเข้าใจอุเบกขาอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ การไม่แบ่งแยก”

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ  5 พฤษภาคม 2556

จาก https://ascannotdo.wordpress.com/category/inspiration-3/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความรักหรือไมตรี โดย ติช นัท ฮันห์
กระบวนการ NEW AGE
เงาฝัน 3 3101 กระทู้ล่าสุด 04 กุมภาพันธ์ 2553 10:18:22
โดย เงาฝัน
ติช นัท ฮันห์ พระสงฆ์ชื่อดัง นำนักบวชแปดสิบรูปเยือนไทย
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 2020 กระทู้ล่าสุด 05 กันยายน 2553 08:52:18
โดย มดเอ๊ก
ศีล 14 ข้อของชาวพุทธ โดย ติช นัท ฮันห์
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1176 กระทู้ล่าสุด 01 กรกฎาคม 2559 01:42:13
โดย มดเอ๊ก
“ประตู ๓ บาน เพื่อการหลุดพ้น” ธรรมบรรยายโดย ท่าน ติช นัท ฮันห์
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1086 กระทู้ล่าสุด 09 สิงหาคม 2559 00:42:22
โดย มดเอ๊ก
คือเมฆสีขาว ทางก้าวเก่าแก่ วรรณกรรมพุทธประวัติในทัศนะใหม่ (ติช นัท ฮันห์)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 2 285 กระทู้ล่าสุด 11 มกราคม 2567 07:50:05
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.455 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 30 มกราคม 2567 08:16:50