[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 20:22:38 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “ลูกสาวที่รัก” เตะแม่ของตน (นิทานชาดก เรื่องหนึ่งในหนังสือของ เตชุง ริมโปเช)  (อ่าน 913 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2559 04:31:05 »



มีนิทานชาดกเรื่องหนึ่งในหนังสือของเตชุง ริมโปเชที่น่าสนใจมาก ก็เลยนำมาเล่าให้กันฟังในนี้:-)—

อาตมาจะเล่าเรื่องของพระโพธิสัตว์ผู้มีนามว่า “ลูกสาวที่รัก” เพื่อเป็นตัวอย่าง พระโพธิสัตว์องค์นี้ได้ชื่อมาจากพ่อแม่ของท่าน ซึ่งเชื่อว่าการเอาชื่อผู้หญิงมาตั้งให้ลูกชายของตน จะเป็นเคล็ดให้ลูกชายมีอายุยืนยาว แม้ว่าท่านจะถือกำเนิดเป็นผู้ชาย และมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่บิดามารดาของท่านก็คิดว่าชีวิตของท่านอาจจะสั้น ด้วยเหตุนี้เลยตั้งชื่อให้เป็นเด็กผู้หญิง

ลูกสาวที่รักเป็นบุตรชายของคฤหบดีผู้มั่งคั่งและยึดมั่นในธรรมชาวอินเดีย บิดาของท่านทำการค้าขายเพชรพลอยและต้องออกเรือเดินทางไปยังดินแดนสุวรรณภูมิเพื่อไปซื้อไข่มุกและเพชรนิลจินดาอื่นๆ แต่เมื่อลูกสาวที่รักยังเป็นเด็กทารกอยู่ บิดาของท่านก็จมน้ำตายไปเนื่องจากเรือล่ม มารดาของพระโพธิสัตว์ได้เลี้ยงดูท่านมา และเกรงว่าจะเสียท่านไปในทะเลด้วยอีกคน ดังนั้นแม้ว่าตามธรรมเนียมของอินเดียสมัยก่อน ลูกชายจะต้องประกอบอาชีพเดียวกับบิดา แต่มารดาของท่านก็มิได้บอกแก่ท่านว่าบิดาของตนประกอบอาชีพอะไร

เมื่อเด็กคนนี้เติบโตมาเป็นวัยรุ่น ก็เริ่มรบเร้ามารดาถามว่าบิดาของตนประกอบอาชีพอะไรเพื่อให้ตนเองได้เป็นผู้นำครอบครัวและหาเลี้ยงมารดา แต่เมื่อพระโพธิสัตว์ถามเกี่ยวกับอาชีพของบิดา มารดาของท่านก็ตอบว่าบิดาของท่านเป็นพ่อค้าขายข้าว ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงได้ประกอบอาชีพขาวข้าว กำไรใดๆที่จากการทำธุรกิจพระโพธิสัตว์ก็มอบให้แก่มารดาจนหมดสิ้น หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนรู้จักบางคนมาบอกท่านว่า บิดาของไม่อาจเป็นพ่อค้าข้าวได้ พระโพธิสัตว์จึงมาถามแม่ แม่ก็ตอบไปว่าจริงๆแล้วบิดาของท่านเป็นพ่อค้าขายผ้า พระโพธิสัตว์ก็ยึดอาชีขายผ้า และก็นำกำไรทั้งหมดมามอบให้แม่อีกเช่นเคย จากนั้นก็มีคนมาบอกพระโพธิสัตว์ว่า บิดาของตนไม่ใช่พ่อค้าผ้า พระโพธิสัตว์ก็มาถามแม่อีกเช่นเคย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าบิดามีอาชีพเป็นพ่อค้าขายเพชรพลอย จากนั้นพระโพธิสัตว์ก็ยึดอาชีพนี้และก็ให้กำไรแก่มารดาเหมือนเดิม หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนมาบอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า แท้จริงแล้วบิดาของท่านเป็นกัปตันเรือเดินทางออกทะเลไปเพื่อไปรับซื้อเพชรพลอย ลูกสาวที่รักผู้เป็นพระโพธิสัตว์จึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง และกลับมาบอกเรื่องนี้แก่แม่ของตน แม่ของพระโพธิสัตว์ยอมรับว่าที่ผ่านมาได้ปิดบังความจริงข้อนี้ไว้ไม่ให้บุตรของตนรับรู้ เนื่องจากกลัวว่าจะสูญเสียบุตรชายของตนไปอีกคน

ทันทีที่ลูกสาวที่รักรู้ว่าอาชีพที่แท้จริงของบิดาของตนคืออะไร ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งท่านได้ ท่านตระเตรียมการกับเพื่อนๆเพื่อออกเดินเรือในทันที ค่ำวันหนึ่งพระโพธิสัตว์บอกแก่มารดาว่ากำลังจะออกเดินเรือในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น มารดาของท่านก็อ้อนวอนขอว่าอย่าไป และเล่าเรื่องของบิดาของพระโพธิสัตว์ให้ฟังว่าได้เรือล่มและเสียชีวิตไปอย่างไร อย่างไรก็ตาม พระโพธิสัตว์ไม่ฟังมารดาของตน ดังนั้นมารดาจึงได้นอนขวางประตูเอาไว้ เพื่อที่จะได้อ้อนวอนบุตรชายของนางอีกครั้งหนึ่งในตอนเช้า อย่างไรก็ตาม พระโพธิสัตว์ได้แอบหนีออกจากบ้านในตอนดึกและก็ได้เดินข้ามร่างของแม่ไป เมื่อพระโพธิสัตว์ก้าวข้ามร่างของแม่ไปนั้น ก็บังเอิญเท้าของท่านไปเตะถูกศีรษะของแม่เข้า เมื่อพระโพธิสัตว์ออกเดินเรือไปแล้ว ก็ได้เพชรพลอยมามากมาย แต่ระหว่างทางกลับบ้านมีพายุเกิดขึ้น และทุกคนบนเรือเสียชีวิต

ลูกสาวที่รักพบว่าตนเองกำลังลอยคออยู่บนทะเลลึก ท่านลอยอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งมาถึงเกาะแห่งหนึ่งซึ่งสวยงามมาก มีหญิงสาวสวยจำนวนมากคอยเชื้่อเชิญให้ท่านพำนักอยู่บนเกาะต่อไป ซึ่งท่านก็ทำเช่นนั้น ท่านมีความสุขกับการเยือนเกาะนี้มาก ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งอันน่าพึงพอใจต่างๆ แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาจากบนฟ้าว่า “จงไปยังทิศใต้” แม้ว่าหญิงสาวเหล่านี้จะเตือนท่านว่าทิศใต้มีภัยอันตรายอย่างไรก็ตาม ท่านก็เดินทางไปยังทิศใต้ และได้พกับเกาะอีกแห่งหนึ่งใหญ่กว่าเกาะแรก มีคฤหาสน์งดงามและมีหญิงสาวสวยจำนวนมาก ท่านพำนักและเป็นผู้ปกครองอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงดังมาจากบนฟ้าอีกว่าให้ท่านเดินทางไปทางทิศใต้ต่อไปอีก

ในตอนนี้ลูกสาวที่รักเดินทางมาถึงเกาะหน้าตาแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเรือนทำด้วยเหล็กตั้งอยู่ เมื่อท่านเข้าไปข้างในก็มองเห็นชายคนหนึ่งซึ่งสมองของท่านกำลังถูกบดขยี้ด้วยเครื่องจักรเหล็กที่หมุนอย่างรวดเร็วบนหัวของเขา ชายคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีความเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลูกสาวที่รักถามชาวคนนี้ว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร ชายคนนั้นก็ตอบว่าเป็นผลของกรรมที่ครั้งหนึ่งได้เคยเตะแม่ของตนที่ศีรษะ ในขณะนั้นเองพระโพธิสัตว์ก็จำได้ว่าตนเองก็ได้เคยเตะแม่ของตนเองโดยไม่ตั้งใจเข้าที่ศีรษะเหมือนกัน ท่านกังวลเป็นอันมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่ท่าน และก็เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ

สิ่งดีๆที่เกิดแก่พระโพธิสัตว์บนเกาะสองแห่งนั้น เป็นผลกรรมจากการที่ท่านทำดีให้แก่แม่ด้วยการมอบกำไรจากการค้าขายให้แก่ท่าน แต่ในท้ายที่สุดอกุศลกรรมก็ตามมาถึงตัวท่าน ท่านไม่เชื่อฟังคำอ้อนวอนของมารดาและยังปฏิบัติต่อมารดาในทางที่ไม่สมควร กรรมนี้ทำให้ท่านต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ เมื่อท่านเริ่มรู้สึกเป็นกังวล ก็มีเสียงดังมาจากท้องฟ้าว่า “บัดนี้ถึงตาของเจ้าแล้ว” ทันใดนั้นกงจักรเหล็กที่ปั่นอยู่บนหัวของชายคนนั้น ก็ลอยออกมาปั่นบนหัวของพระโพธิสัตว์แทน และท่านก็เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ศีรษะของท่านถูกบดขยี้และแยกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่มีการจบสิ้นมีแต่จะแย่ลง

เนื่องจากไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรือหลบหนี เลยเกิดความคิดหนึ่งในใจของพระโพธิสัตวว่า “ไหนๆเรื่องนี้ก็เกิดแก่เราแล้ว เราไม่อาจหนีออกจากความทุกข์นี้ไปได้ แต่อาจจะมีผู้อื่นที่เป็นแบบเดียวกับเรากับของชายคนนี้ ที่ได้ปฏิบัติต่อแม่ในทางที่ไม่ดี เนื่องจากเราเองต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้ ก็ขอให้ความเจ็บปวดทั้งหมดมาอยู่ที่ตัวข้าพเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และขอให้สัตว์โลกอื่นๆจงอย่าได้ประสบกับความเจ็บปวดเช่นนี้เลย” ทันทีที่พระโพธิสัตว์ตั้งจิตปรารถนาเช่นนี้ กงจักรก็หยุดหมุน และท่านก็ได้ไปเกิดใหม่เป็นเทวบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งท่านก็ได้เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่

จาก https://soraj.wordpress.com

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ฝันเห็นเสือ (จาก “การเห็นทางธรรมสามระดับ” ของเตชุง ริมโปเช)
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 2851 กระทู้ล่าสุด 26 พฤศจิกายน 2553 18:47:58
โดย หมีงงในพงหญ้า
การละวางจากตัวตน โดย ท่านกุงกา ซังโป ริมโปเช
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 2173 กระทู้ล่าสุด 26 พฤศจิกายน 2553 18:50:10
โดย หมีงงในพงหญ้า
พลังแห่งกรุณาคือการเยียวยาสูงสุด ( ผู้เขียน ลามะโซปะ ริมโปเช )
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1417 กระทู้ล่าสุด 15 มกราคม 2554 09:32:46
โดย มดเอ๊ก
ปาฐกถาธรรม ศิลปะแห่งการอยู่และการตาย โดย ท่านโซเกียล ริมโปเช
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 1 1859 กระทู้ล่าสุด 29 มิถุนายน 2559 21:38:00
โดย มดเอ๊ก
การเจริญปัญญาแบบทิเบต โดย พระอาจารย์กุงกา ซังโป ริมโปเช
จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
มดเอ๊ก 0 1136 กระทู้ล่าสุด 06 กรกฎาคม 2559 13:20:28
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.33 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 15 มีนาคม 2567 19:47:29