28 มีนาคม 2567 20:38:47
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
นั่งเล่นหลังสวน
สุขใจ ไปรษณีย์
.:::
เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก (อ่าน 1413 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 2303
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก
«
เมื่อ:
13 กรกฎาคม 2559 20:04:46 »
Tweet
เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก
เมื่อกล่าวถึงกีฬาอันเป็นที่นิยมมากที่สุดบนโลกของเราใบนี้เชื่อว่าหลายๆ ท่านจะต้องนึกไปถึงกีฬาชนิดเดียวกันนั่นก็คือ “ฟุตบอล” หรือ “ซอคเกอร์” (
Soccer
) เป็นแน่แท้ เห็นด้วยไหมครับ กีฬาฟุตบอลนั้นถือได้ว่าเป็นที่นิยมและฮิตเป็นอันดับต้นๆ จนบางแหล่งข้อมูลถึงกับเสนอว่ามันฮิตเป็นอันดับแรกแซงหน้ากีฬาชนิดอื่นๆ ไปได้อย่างขาดลอย เป็นกีฬาที่มีคนนิยมเล่นกันมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นั่นจึงทำให้มันเป็นกีฬาที่มีผู้ชมติดตามมากที่สุด อีกทั้งยังมีการรายงานว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่สร้างความร่ำรวยได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยล่ะครับ ว่าแต่กีฬาที่ฮิตที่สุดในโลกนี้เขาเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมัยไหน ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จึงค้นประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬายอดนิยมชนิดนี้มาเล่าให้แฟนานุแฟนได้ทราบกันครับ
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะยืนยันได้ว่ากีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลถือกำเนิดขึ้นมาจากชนชาติใดกันแน่ แน่นอนครับที่ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตามล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการทางการกีฬาของตัวเอง บ้างก็รับวัฒนธรรมมาจากชาติอื่น บ้างก็ลอกเลียนแบบมา หรือบ้างก็กล่าวอ้างว่าประเทศของตนเป็นต้นกำเนิดของกีฬาชนิดนั้นๆ จากมุขปาฐะหรือการเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก ทว่าประเทศที่อ้างว่าเป็นเป็นต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอลกลับไม่สามารถหาหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมายืนยันได้ว่าตนเป็นผู้คิดค้นกีฬาชนิดนี้ขึ้นมาได้ก่อนชนชาติอื่น ดังนั้นเราจึงยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าใครที่เป็นผู้ริเริ่มกีฬาสุดฮิตอย่างฟุตบอลขึ้นมากันแน่
เด็กชาวจีนกำลังเล่นเกมบอลที่น่าจะเป็นเกมซูจู
แต่ถ้าว่ากันตามหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ก็มีการค้นพบว่าในโซนเอเชียของเราเมื่อราวๆ 2,500 ปีที่แล้ว ในอารยธรรมจีนโบราณมีหลักฐานของการเล่นเกมที่มีชื่อเรียกว่า “ซูจู” (
Tsu Chu
) ซึ่งหมายถึงการเล่นเกมที่ต้องใช้ “เท้า” ในการเตะลูกบอล ซึ่งเกมบอลนี้มีทั้งที่เล่นเพื่อความ
สนุกสนานและเล่นเพื่อถวายองค์จักรพรรดิโดยจะมีรางวัลให้ผู้ชนะอย่างงามที่สุด แต่สำหรับผู้แพ้แล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นัก เพราะจากหลักฐานปรากฏว่าพวกเขาอาจจะถูกลงโทษโดยการเฆี่ยนด้วยก็เป็นได้ครับ
ชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณกำลังเตะบอลในเกมเกมาริ
สำหรับแดนปลาดิบหรือประเทศญี่ปุ่นก็มีหลักฐานของการเล่นกีฬาที่คล้ายคลึงกับฟุตบอลเช่นกันครับ พวกเขามีเกมการละเล่นที่เรียกว่า “เกมาริ” (
Kemari
) ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นครั้งแรกราวๆ ช่วง ค.ศ. 644 และเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากเกม “ซูจู” ของจีนโบราณด้วยเช่นกัน เกมบอลชนิดนี้ต้องใช้เท้าในการเล่น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข่งขันกันเพื่อยิงประตูเหมือนกีฬาฟุตบอล ทว่าจะเป็นการใช้อวัยวะของร่างกายเดาะบอลที่มีชื่อเรียกว่า “มาริ” (
Mari
) ซึ่งทำจากหนังกวางและเย็บด้านนอกด้วยหนังม้ากันในสนามรูปสี่เหลี่ยมกว้างยาวราวด้านละ 6 ถึง 7 เมตร โดยไม่ให้บอลหล่นพื้นแล้วจึงเตะส่งต่อให้เพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งก็หมายถึงเกมาริเป็นเกมกีฬาที่ทุกคนช่วยกันเล่นมากกว่าที่จะชิงชัยหาผู้ชนะในการแข่งขัน สำหรับเกมารินี้ ผู้เล่นสามารถใช้อวัยวะส่วนใดเพื่อเดาะบอลก็ได้ยกเว้นก็เพียงแค่แขนและมือเท่านั้น เรียกได้ว่าจะใช้ศีรษะ เท้า เข่าหรือข้อศอกก็ได้เช่นกัน ก็ขึ้นกับกติกา ณ ขณะนั้นที่ตกลงกันระหว่างเล่นครับ
เกมบอลของชาวมายาโบราณ
ในทวีปอเมริกาสมัยโบราณก็มีการเล่นเกมบอลเช่นกันครับ โดยเฉพาะอารยธรรมมายาโบราณในทวีปอเมริกากลาง หรือประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลาที่รุ่งเรืองอยู่เมื่อราวปี ค.ศ.250 ถึงราวๆ ค.ศ.1200 ก็มักจะมีสนามแข่งเกมบอลปรากฏอยู่ในหลายๆ เมืองของพวกเขาด้วยเช่นกัน รูปแบบการเล่นเกมบอลของชาวมายานั้นไม่ได้ช่วยกันเล่น ทว่าแบ่งฝ่ายเพื่อแข่งขันกัน อีกทั้งผู้แพ้ยังอาจจะถูกจับมาบูชายัญด้วยการตัดคออย่างสยดสยองอีกด้วยครับ
เกมบอลของพวกเขาอนุญาตให้ใช้อวัยวะในการสัมผัสบอลได้หลายส่วนไม่ว่าจะเป็นแขนท่อนบน โคนขา เข่า เอวหรือสะโพก แต่อวัยวะที่ห้ามสัมผัสบอลเลยคือ “มือ” ครับ เรียกได้ว่าโอกาสเดียวที่มือสามารถสัมผัสกับบอลได้ก็คือตอนที่โยนบอลเพื่อเริ่มเล่นเท่านั้นล่ะครับ
เกมบอลของชาวมายาประกอบไปด้วยผู้เล่น 2 ทีม ทีมละประมาณ 2 ถึง 3 คน คือมีผู้เล่นในสนามทั้งหมดราว 4 ถึง 6 คน สนามแข่งเกมบอลนั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนอักษรตัวไอในภาษาอังกฤษ (
I
) ทั้งสองข้างประดับด้วยเนินทางลาดหรือบ้างก็เป็นกำแพงตั้งฉาก เพื่อให้ลูกบอลที่กระเด้งไปโดนนั้นสามารถสะท้อนกลับมาได้ และที่สำคัญคือเนินหรือกำแพงนี้จะประดับด้วยหินรูปวงแหวนวางตัวในแนวตั้งด้านละ 1 วงเพื่อเป็นห่วงสำหรับทำแต้มอีกด้วยครับ
แต่การควบคุมลูกบอลของเกมบอลสำหรับชาวมายานั้นเชื่อได้ว่ายากกว่าการเดาะบอลในเกมเกมาริอย่างแน่นอน เพราะลูกบอลของชาวมายาโบราณทำจาก “ยาง” แบบตันๆ ทั้งลูกเลยครับ โดยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกบอลจะอยู่ที่ราวๆ 1 ฟุต จนถึง 1.5 ฟุต และมีน้ำหนักมากกว่า 3.5 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นจึงจินตนาการได้ไม่ยากว่าถ้าเกิดเล่นพลาดขึ้นมาอาจจะเจ็บตัวกันได้ง่ายๆ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือถ้าเล่นแพ้ ก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเพราะถูกบูชายัญเลยก็เป็นได้อีกเช่นกัน ซึ่งบางครั้งกะโหลกศีรษะของผู้แพ้ก็ถูกนำมาฝังเอาไว้ในลูกบอล เพื่อให้ลูกบอลมีน้ำหนักเบาลงด้วยครับ จะว่าไปแล้วเกมบอลของชาวมายาโบราณก็น่าขนลุกขนพองอยู่ไม่น้อย
ภาพสลักของกรีกโบราณแสดงว่ามีการเล่ยบอลด้วยเช่นกัน
ชาวกรีกโบราณก็มีการเล่นเกมบอลที่รู้จักกันในชื่อเอพิสคีรอส (
Episkyros
) ซึ่งเป็นเกมบอลแบบแข่งขันกันสองทีมโดยมีผู้เล่นทีมละประมาณ 12 ถึง 14 คน เกมนี้สามารถใช้มือได้และจะเล่นโดยการขว้างบอลให้สูงเหนือศีรษะของคู่ต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่กติกาที่ชัดเจนไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันสักเท่าใดนัก เราทราบหลักฐานจากนครรัฐสปาร์ตา (
Sparta
) ว่ากีฬาชนิดนี้เล่นกันค่อนข้างรุนแรงอยู่เหมือนกันครับ ชาวเมืองสปาร์ตาเล่นเอพิสคีรอสกันในงานเฉลิมฉลองประจำปี ซึ่งมีทีมเข้าแข่งขันทั้งหมด 5 ทีม ทีมละ 14 คน สิ่งที่น่าสนใจก็คือถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วนักกีฬาเอพิสคีรอสมักจะเป็นผู้ชาย แต่ก็พบว่ามีสตรีชาวกรีกที่หัดเล่นกีฬาชนิดนี้ด้วยเช่นกันครับ
กีฬาฮาร์พาสตัมของชาวโรมันคล้ายคลึงกับการเล่นรักบี้ในปัจจุบัน
และกีฬาเอพิสคีรอสของกรีกโบราณนี่ล่ะครับที่ส่งอิทธิพลไปถึงสมัยของชาวโรมันในยุคหลัง จนสะท้อนออกมาเป็นเกมกีฬาของโรมันที่เรียกว่าฮาร์พาสตัม
(Harpastum
) ในที่สุด ฮาร์พาสตัมใช้ลูกบอลทำจากกระเพาะปัสสาวะหมูสูบลม แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องใช้เท้าในการเล่นอย่างเดียวเท่านั้น อาจจะเตะด้วยก็ได้ หรือบ้างก็อาจจะใช้วิธีการถือวิ่งหรือขว้างลูกบอลนี้ไปยังที่หมายของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ซึ่งดูไปแล้วก็คล้ายกับกีฬารักบี้สมัยนี้มากกว่าล่ะนะครับ ฮาร์พาสตัมเป็นเกมบอลแบบแข่งขันกันสองทีม จำนวนผู้เล่นไม่คงที่ สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 5 ถึง 12 คน ส่วนลูกบอลที่ใช้ในการเล่นจะแข็งและเล็กกว่าลูกฟุตบอลที่ใช้เล่นกันในปัจจุบันเล็กน้อย ส่วนสนามก็จะเป็นสี่เหลี่ยมแบ่งครึ่งเป็นสองฝั่งคล้ายคลึงกับสนามฟุตบอลอยู่เหมือนกันครับ เมื่อเริ่มเล่นแต่ละทีมจะประจำอยู่ในฝั่งของตัวเอง จุดประสงค์ของเกมคือต้องไล่จับคนที่ถือบอลส่วนคนที่ถือบอลก็ต้องขว้างหรือโยนบอลให้เพื่อนร่วมทีมเพื่อนำลูกบอลไปวางไว้ยังจุดที่กำหนด นั่นจึงทำให้มีการเสนอว่าฮาร์พาสตัมน่าจะคล้ายคลึงกับกีฬารักบี้มากกว่าที่จะเป็นฟุตบอลที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบันครับ มีการเสนอกันว่าเกมฮาร์พาสตัมที่ชาวโรมันเล่นกันนี่ล่ะครับที่แพร่หลายเข้าไปยังเกาะอังกฤษและเป็นปฐมบทแห่งกีฬาฟุตบอลในเวลาต่อมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดมาสนับสนุนทฤษฎีนี้ นอกจากนั้นแล้วยังมีเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่าในช่วงที่เดนมาร์กบุกอังกฤษนั้น แม่ทัพเดนมาร์กพลาดท่าถูกสังหาร ทางทหารฝ่ายอังกฤษก็ได้ตัดศีรษะของแม่ทัพผู้โชคร้ายมาเตะเล่นในค่ายทหารก่อนที่กิจกรรมอันน่าสยดสยองนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็นการเตะลูกบอลที่ทำจากหนังไปในที่สุด
หลังจากนั้นกีฬาเตะบอลนี้ก็ได้กลายมาเป็นกิจกรรมสำคัญสำหรับชาวอังกฤษไปด้วย โดยกีฬาชนิดนี้ก็ได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางจนคนในชนบทของประเทศอังกฤษก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยครับ และด้วยว่ากีฬาชนิดนี้ฮิตติดลมบนมากจนถึงขั้นรบกวนการฝึกยิงธนูซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ชาวอังกฤษต้องฝึกฝนกันในสมัยนั้นเพื่อเตรียมทำสงครามกับสกอตแลนด์ นั่นจึงทำให้ในช่วงปี ค.ศ.1349 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 (
Edward III
) จึงได้ออกพระบัญชาห้ามไม่ให้มีการเล่นฟุตบอลเสียเลยเพื่อเป็นการตัดปัญหาครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการเล่นฟุตบอลต่อมาเรื่อยๆ จนเมื่อประเทศอังกฤษได้ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นในปี ค.ศ. 1863 ก็ทำให้กีฬาฟุตบอลเริ่มมีกฎกติกาที่แน่นอนยิ่งขึ้น และถูกพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าจะพูดถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติก็คงจะหนีไม่พ้นฟุตบอลโลกที่ทีมชาติไทยของเราก็เพิ่งผ่านเข้าไปเป็นหนึ่งใน 12 ทีมสุดท้าย รอบคัดเลือกโซนเอเชียฟุตบอลโลก 2018 แต่ฟุตบอลโลกก็ไม่ได้เป็นรายการระดับนานาชาติเพียงรายการเดียวที่เป็นที่นิยมแต่อย่างใดครับ เพราะฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือที่เรียกกันติดปากว่า “บอลยูโร” ก็ถือได้ว่าน่าติดตามไม่แพ้กัน
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเริ่มจัดแข่งขันเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 โดยสมัยนั้นใช้ชื่อว่า “ยูโรเปียนเนชันส์คัพ” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ” หรือ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” ในอีก 8 ปีให้หลัง ซึ่งบอลยูโรนี้ก็จะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี เรียกได้ว่าเหลื่อมกับฟุตบอลโลกอยู่ 2 ปี และในขณะนี้ฟุตบอลยูโร 2016 จากประเทศฝรั่งเศสก็กำลังฟาดแข้งให้พวกเราได้ลุ้นได้เชียร์กันอย่างสนุกสุดมัน
หลายๆท่านคงยอมอดหลับอดนอนเพื่อรอเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก แต่ขอให้เชียร์กันแต่พอดีพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้ไม่กระทบต่อการเรียนหรือการทำงานและได้โปรดหลีกเลี่ยงการพนันกันเถิดครับ แล้วท่านจะเชียร์ทีมที่ท่านรักได้สนุกกว่าทุกปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน.
ณัฐพล เดชขจร
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม 2559 20:07:10 โดย 自由人
»
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...