[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 20:38:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก  (อ่าน 1413 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 กรกฎาคม 2559 20:04:46 »



เปิดตำนานกีฬาฮิตที่สุดในโลก

เมื่อกล่าวถึงกีฬาอันเป็นที่นิยมมากที่สุดบนโลกของเราใบนี้เชื่อว่าหลายๆ ท่านจะต้องนึกไปถึงกีฬาชนิดเดียวกันนั่นก็คือ “ฟุตบอล” หรือ “ซอคเกอร์” (Soccer) เป็นแน่แท้ เห็นด้วยไหมครับ กีฬาฟุตบอลนั้นถือได้ว่าเป็นที่นิยมและฮิตเป็นอันดับต้นๆ จนบางแหล่งข้อมูลถึงกับเสนอว่ามันฮิตเป็นอันดับแรกแซงหน้ากีฬาชนิดอื่นๆ ไปได้อย่างขาดลอย เป็นกีฬาที่มีคนนิยมเล่นกันมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นั่นจึงทำให้มันเป็นกีฬาที่มีผู้ชมติดตามมากที่สุด อีกทั้งยังมีการรายงานว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่สร้างความร่ำรวยได้เป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยล่ะครับ ว่าแต่กีฬาที่ฮิตที่สุดในโลกนี้เขาเริ่มเล่นกันมาตั้งแต่สมัยไหน ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จึงค้นประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกีฬายอดนิยมชนิดนี้มาเล่าให้แฟนานุแฟนได้ทราบกันครับ

จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถที่จะยืนยันได้ว่ากีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอลถือกำเนิดขึ้นมาจากชนชาติใดกันแน่ แน่นอนครับที่ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตามล้วนแล้วแต่มีวิวัฒนาการทางการกีฬาของตัวเอง บ้างก็รับวัฒนธรรมมาจากชาติอื่น บ้างก็ลอกเลียนแบบมา หรือบ้างก็กล่าวอ้างว่าประเทศของตนเป็นต้นกำเนิดของกีฬาชนิดนั้นๆ จากมุขปาฐะหรือการเล่าสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก ทว่าประเทศที่อ้างว่าเป็นเป็นต้นกำเนิดของกีฬาฟุตบอลกลับไม่สามารถหาหลักฐานอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมายืนยันได้ว่าตนเป็นผู้คิดค้นกีฬาชนิดนี้ขึ้นมาได้ก่อนชนชาติอื่น ดังนั้นเราจึงยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่าใครที่เป็นผู้ริเริ่มกีฬาสุดฮิตอย่างฟุตบอลขึ้นมากันแน่



เด็กชาวจีนกำลังเล่นเกมบอลที่น่าจะเป็นเกมซูจู

แต่ถ้าว่ากันตามหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ก็มีการค้นพบว่าในโซนเอเชียของเราเมื่อราวๆ 2,500 ปีที่แล้ว ในอารยธรรมจีนโบราณมีหลักฐานของการเล่นเกมที่มีชื่อเรียกว่า “ซูจู” (Tsu Chu) ซึ่งหมายถึงการเล่นเกมที่ต้องใช้ “เท้า” ในการเตะลูกบอล ซึ่งเกมบอลนี้มีทั้งที่เล่นเพื่อความสนุกสนานและเล่นเพื่อถวายองค์จักรพรรดิโดยจะมีรางวัลให้ผู้ชนะอย่างงามที่สุด แต่สำหรับผู้แพ้แล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นัก เพราะจากหลักฐานปรากฏว่าพวกเขาอาจจะถูกลงโทษโดยการเฆี่ยนด้วยก็เป็นได้ครับ


ชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณกำลังเตะบอลในเกมเกมาริ

สำหรับแดนปลาดิบหรือประเทศญี่ปุ่นก็มีหลักฐานของการเล่นกีฬาที่คล้ายคลึงกับฟุตบอลเช่นกันครับ พวกเขามีเกมการละเล่นที่เรียกว่า “เกมาริ” (Kemari) ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นครั้งแรกราวๆ ช่วง ค.ศ. 644 และเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากเกม “ซูจู” ของจีนโบราณด้วยเช่นกัน เกมบอลชนิดนี้ต้องใช้เท้าในการเล่น แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข่งขันกันเพื่อยิงประตูเหมือนกีฬาฟุตบอล ทว่าจะเป็นการใช้อวัยวะของร่างกายเดาะบอลที่มีชื่อเรียกว่า “มาริ” (Mari) ซึ่งทำจากหนังกวางและเย็บด้านนอกด้วยหนังม้ากันในสนามรูปสี่เหลี่ยมกว้างยาวราวด้านละ 6 ถึง 7 เมตร โดยไม่ให้บอลหล่นพื้นแล้วจึงเตะส่งต่อให้เพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งก็หมายถึงเกมาริเป็นเกมกีฬาที่ทุกคนช่วยกันเล่นมากกว่าที่จะชิงชัยหาผู้ชนะในการแข่งขัน สำหรับเกมารินี้ ผู้เล่นสามารถใช้อวัยวะส่วนใดเพื่อเดาะบอลก็ได้ยกเว้นก็เพียงแค่แขนและมือเท่านั้น เรียกได้ว่าจะใช้ศีรษะ เท้า เข่าหรือข้อศอกก็ได้เช่นกัน ก็ขึ้นกับกติกา ณ ขณะนั้นที่ตกลงกันระหว่างเล่นครับ


เกมบอลของชาวมายาโบราณ

ในทวีปอเมริกาสมัยโบราณก็มีการเล่นเกมบอลเช่นกันครับ โดยเฉพาะอารยธรรมมายาโบราณในทวีปอเมริกากลาง หรือประเทศเม็กซิโกและกัวเตมาลาที่รุ่งเรืองอยู่เมื่อราวปี ค.ศ.250 ถึงราวๆ ค.ศ.1200 ก็มักจะมีสนามแข่งเกมบอลปรากฏอยู่ในหลายๆ เมืองของพวกเขาด้วยเช่นกัน รูปแบบการเล่นเกมบอลของชาวมายานั้นไม่ได้ช่วยกันเล่น ทว่าแบ่งฝ่ายเพื่อแข่งขันกัน อีกทั้งผู้แพ้ยังอาจจะถูกจับมาบูชายัญด้วยการตัดคออย่างสยดสยองอีกด้วยครับ

เกมบอลของพวกเขาอนุญาตให้ใช้อวัยวะในการสัมผัสบอลได้หลายส่วนไม่ว่าจะเป็นแขนท่อนบน โคนขา เข่า เอวหรือสะโพก แต่อวัยวะที่ห้ามสัมผัสบอลเลยคือ “มือ” ครับ เรียกได้ว่าโอกาสเดียวที่มือสามารถสัมผัสกับบอลได้ก็คือตอนที่โยนบอลเพื่อเริ่มเล่นเท่านั้นล่ะครับ

เกมบอลของชาวมายาประกอบไปด้วยผู้เล่น 2 ทีม ทีมละประมาณ 2 ถึง 3 คน คือมีผู้เล่นในสนามทั้งหมดราว 4 ถึง 6 คน สนามแข่งเกมบอลนั้นมีรูปร่างลักษณะเหมือนอักษรตัวไอในภาษาอังกฤษ (I) ทั้งสองข้างประดับด้วยเนินทางลาดหรือบ้างก็เป็นกำแพงตั้งฉาก เพื่อให้ลูกบอลที่กระเด้งไปโดนนั้นสามารถสะท้อนกลับมาได้ และที่สำคัญคือเนินหรือกำแพงนี้จะประดับด้วยหินรูปวงแหวนวางตัวในแนวตั้งด้านละ 1 วงเพื่อเป็นห่วงสำหรับทำแต้มอีกด้วยครับ

แต่การควบคุมลูกบอลของเกมบอลสำหรับชาวมายานั้นเชื่อได้ว่ายากกว่าการเดาะบอลในเกมเกมาริอย่างแน่นอน เพราะลูกบอลของชาวมายาโบราณทำจาก “ยาง” แบบตันๆ ทั้งลูกเลยครับ โดยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกบอลจะอยู่ที่ราวๆ 1 ฟุต จนถึง 1.5 ฟุต และมีน้ำหนักมากกว่า 3.5 กิโลกรัมเลยทีเดียว นั่นจึงจินตนาการได้ไม่ยากว่าถ้าเกิดเล่นพลาดขึ้นมาอาจจะเจ็บตัวกันได้ง่ายๆ และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือถ้าเล่นแพ้ ก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตเพราะถูกบูชายัญเลยก็เป็นได้อีกเช่นกัน ซึ่งบางครั้งกะโหลกศีรษะของผู้แพ้ก็ถูกนำมาฝังเอาไว้ในลูกบอล เพื่อให้ลูกบอลมีน้ำหนักเบาลงด้วยครับ จะว่าไปแล้วเกมบอลของชาวมายาโบราณก็น่าขนลุกขนพองอยู่ไม่น้อย



ภาพสลักของกรีกโบราณแสดงว่ามีการเล่ยบอลด้วยเช่นกัน

ชาวกรีกโบราณก็มีการเล่นเกมบอลที่รู้จักกันในชื่อเอพิสคีรอส (Episkyros) ซึ่งเป็นเกมบอลแบบแข่งขันกันสองทีมโดยมีผู้เล่นทีมละประมาณ 12 ถึง 14 คน เกมนี้สามารถใช้มือได้และจะเล่นโดยการขว้างบอลให้สูงเหนือศีรษะของคู่ต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่กติกาที่ชัดเจนไม่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันสักเท่าใดนัก เราทราบหลักฐานจากนครรัฐสปาร์ตา (Sparta) ว่ากีฬาชนิดนี้เล่นกันค่อนข้างรุนแรงอยู่เหมือนกันครับ ชาวเมืองสปาร์ตาเล่นเอพิสคีรอสกันในงานเฉลิมฉลองประจำปี ซึ่งมีทีมเข้าแข่งขันทั้งหมด 5 ทีม ทีมละ 14 คน สิ่งที่น่าสนใจก็คือถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วนักกีฬาเอพิสคีรอสมักจะเป็นผู้ชาย แต่ก็พบว่ามีสตรีชาวกรีกที่หัดเล่นกีฬาชนิดนี้ด้วยเช่นกันครับ


กีฬาฮาร์พาสตัมของชาวโรมันคล้ายคลึงกับการเล่นรักบี้ในปัจจุบัน

และกีฬาเอพิสคีรอสของกรีกโบราณนี่ล่ะครับที่ส่งอิทธิพลไปถึงสมัยของชาวโรมันในยุคหลัง จนสะท้อนออกมาเป็นเกมกีฬาของโรมันที่เรียกว่าฮาร์พาสตัม (Harpastum) ในที่สุด ฮาร์พาสตัมใช้ลูกบอลทำจากกระเพาะปัสสาวะหมูสูบลม แต่ไม่ได้บังคับว่าต้องใช้เท้าในการเล่นอย่างเดียวเท่านั้น อาจจะเตะด้วยก็ได้ หรือบ้างก็อาจจะใช้วิธีการถือวิ่งหรือขว้างลูกบอลนี้ไปยังที่หมายของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ซึ่งดูไปแล้วก็คล้ายกับกีฬารักบี้สมัยนี้มากกว่าล่ะนะครับ ฮาร์พาสตัมเป็นเกมบอลแบบแข่งขันกันสองทีม จำนวนผู้เล่นไม่คงที่ สามารถเล่นได้ตั้งแต่ 5 ถึง 12 คน ส่วนลูกบอลที่ใช้ในการเล่นจะแข็งและเล็กกว่าลูกฟุตบอลที่ใช้เล่นกันในปัจจุบันเล็กน้อย ส่วนสนามก็จะเป็นสี่เหลี่ยมแบ่งครึ่งเป็นสองฝั่งคล้ายคลึงกับสนามฟุตบอลอยู่เหมือนกันครับ เมื่อเริ่มเล่นแต่ละทีมจะประจำอยู่ในฝั่งของตัวเอง จุดประสงค์ของเกมคือต้องไล่จับคนที่ถือบอลส่วนคนที่ถือบอลก็ต้องขว้างหรือโยนบอลให้เพื่อนร่วมทีมเพื่อนำลูกบอลไปวางไว้ยังจุดที่กำหนด นั่นจึงทำให้มีการเสนอว่าฮาร์พาสตัมน่าจะคล้ายคลึงกับกีฬารักบี้มากกว่าที่จะเป็นฟุตบอลที่เราคุ้นเคยกันอยู่ในปัจจุบันครับ มีการเสนอกันว่าเกมฮาร์พาสตัมที่ชาวโรมันเล่นกันนี่ล่ะครับที่แพร่หลายเข้าไปยังเกาะอังกฤษและเป็นปฐมบทแห่งกีฬาฟุตบอลในเวลาต่อมา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดมาสนับสนุนทฤษฎีนี้ นอกจากนั้นแล้วยังมีเรื่องที่เล่าต่อกันมาว่าในช่วงที่เดนมาร์กบุกอังกฤษนั้น แม่ทัพเดนมาร์กพลาดท่าถูกสังหาร ทางทหารฝ่ายอังกฤษก็ได้ตัดศีรษะของแม่ทัพผู้โชคร้ายมาเตะเล่นในค่ายทหารก่อนที่กิจกรรมอันน่าสยดสยองนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็นการเตะลูกบอลที่ทำจากหนังไปในที่สุด

หลังจากนั้นกีฬาเตะบอลนี้ก็ได้กลายมาเป็นกิจกรรมสำคัญสำหรับชาวอังกฤษไปด้วย โดยกีฬาชนิดนี้ก็ได้แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางจนคนในชนบทของประเทศอังกฤษก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยครับ และด้วยว่ากีฬาชนิดนี้ฮิตติดลมบนมากจนถึงขั้นรบกวนการฝึกยิงธนูซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ชาวอังกฤษต้องฝึกฝนกันในสมัยนั้นเพื่อเตรียมทำสงครามกับสกอตแลนด์ นั่นจึงทำให้ในช่วงปี ค.ศ.1349 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 (Edward III) จึงได้ออกพระบัญชาห้ามไม่ให้มีการเล่นฟุตบอลเสียเลยเพื่อเป็นการตัดปัญหาครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการเล่นฟุตบอลต่อมาเรื่อยๆ จนเมื่อประเทศอังกฤษได้ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้นในปี ค.ศ. 1863 ก็ทำให้กีฬาฟุตบอลเริ่มมีกฎกติกาที่แน่นอนยิ่งขึ้น และถูกพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถ้าจะพูดถึงการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติก็คงจะหนีไม่พ้นฟุตบอลโลกที่ทีมชาติไทยของเราก็เพิ่งผ่านเข้าไปเป็นหนึ่งใน 12 ทีมสุดท้าย รอบคัดเลือกโซนเอเชียฟุตบอลโลก 2018 แต่ฟุตบอลโลกก็ไม่ได้เป็นรายการระดับนานาชาติเพียงรายการเดียวที่เป็นที่นิยมแต่อย่างใดครับ เพราะฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือที่เรียกกันติดปากว่า “บอลยูโร” ก็ถือได้ว่าน่าติดตามไม่แพ้กัน

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเริ่มจัดแข่งขันเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศสตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 โดยสมัยนั้นใช้ชื่อว่า “ยูโรเปียนเนชันส์คัพ” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ” หรือ “ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป” ในอีก 8 ปีให้หลัง ซึ่งบอลยูโรนี้ก็จะจัดขึ้นทุกๆ 4 ปี เรียกได้ว่าเหลื่อมกับฟุตบอลโลกอยู่ 2 ปี และในขณะนี้ฟุตบอลยูโร 2016 จากประเทศฝรั่งเศสก็กำลังฟาดแข้งให้พวกเราได้ลุ้นได้เชียร์กันอย่างสนุกสุดมัน

หลายๆท่านคงยอมอดหลับอดนอนเพื่อรอเชียร์ทีมที่ตัวเองรัก แต่ขอให้เชียร์กันแต่พอดีพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้ไม่กระทบต่อการเรียนหรือการทำงานและได้โปรดหลีกเลี่ยงการพนันกันเถิดครับ แล้วท่านจะเชียร์ทีมที่ท่านรักได้สนุกกว่าทุกปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน.


ณัฐพล เดชขจร
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 กรกฎาคม 2559 20:07:10 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.433 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 07 มีนาคม 2567 10:09:10