[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 06:18:06 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ” ธงชัย ประสงค์สันติ  (อ่าน 1118 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5068


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.271 Chrome 50.0.2661.271


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 23 สิงหาคม 2559 18:15:13 »



“ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ” ธงชัย ประสงค์สันติ (1)

ในชีวิตของผมเคยคิดไว้ว่า อยากจะทำหนังสือสักเล่มหนึ่ง เพื่อบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของตัวเอง ว่ากว่าจะมายืนตรงจุดนี้ผมผ่าน ความทุกข์ ความท้อ ความเหน็ดเหนื่อย ความสนุกสนาน ความร่าเริงเบิกบาน มาอย่างไรบ้าง

ผมอยากให้แง่คิดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับหนุ่มอีสานที่เข้ามาทำงานในเมืองกรุง อยากบอกเขาว่า  “อย่ามัวหลงระเริง บากบั่นเข้าสิ” เพราะความบากบั่นนี่แหละที่ทำให้คนได้ดีมาเยอะแล้ว

หลายคนอาจจะพอรู้มาบ้างว่าชีวิตวัยเด็กของผมค่อนข้างลำบาก แต่ลำบากขนาดไหนอาจจะจินตนาการยาก เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังเลยดีกว่า

 

ชีวิตรันทด แต่เปี่ยมสุข

แรกเริ่มพ่อผมรับจ้างขี่สามล้ออยู่ที่ตัวเมืองโคราช ส่วนผมอยู่กับน้องอีก 4 คนที่บ้านนอกกับแม่ เมื่อพ่อฐานะดีขึ้นก็มารับพวกเราไปอยู่ด้วยกันที่โคราช เช่าบ้านเดือนละ 600 บาท โดยให้ผมเรียนที่โรงเรียนวัดสระแก้ว สถานที่ที่ผมอยู่อาศัยนั้นเรียกได้ว่าเป็นสลัม แต่มีชื่อสวยหรูว่า ชุมชนถนนราชนิกูล เด็กๆ แถวนั้นส่วนใหญ่ถือถุงปุ๋ยเก็บขยะกันทั้งนั้น

ผมเองก็ถือถุงปุ๋ยไปเก็บพลาสติกตามใต้ถุนบ้าน เก็บทองแดงเวลางานย่าโมเลิกแล้วมีเศษไม้เหลือ ผมก็ไปเคาะเอาตะปูมาชั่งกิโลขายหรือไม่ก็ไปที่ศาลเวลาเขาเผาเอกสาร มีคลิปทองแดงก็ไปเก็บมาขายขีดละสิบสลึง

ผมพยายามทำงานทุกอย่างเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ ทั้งช่วยพ่อขายหนังสือพิมพ์เป็นลูกมือพ่อค้าขายไอศกรีมตอนหลังเลิกเรียนไปขายน้ำที่สนามม้า ถีบสามล้อ ฯลฯ เวลาไปเรียนก็ได้เงินไปแค่วันละ 6 สลึง เพราะหิ้วปิ่นโตเถาเดียวไปกินกับน้องอีก 6 คนที่โรงเรียน

ใครอาจจะคิดว่าชีวิตของผมลำบาก รันทดแต่ตอนนั้นผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยกลับคิดว่าทำไมชีวิตของเราถึงสนุกอย่างนี้ สนุกเหมือนไม่ได้เกิดมาเป็นลูกคนจนเลยละครับ ยิ่งครอบครัวเราอบอุ่น ก็ยิ่งทำให้ผมเป็นคนเฮฮา ร่าเริงแจ่มใส มีอารมณ์ขันมาตั้งแต่เด็ก

เชื่อไหมว่าตอนเด็กๆ ผมเคยเกือบได้เป็นเชียร์ลีดเดอร์มาแล้ว ด้วยความกล้าแสดงออกของผม ตอนเรียนอยู่ ป.5 ผมก็ไปฝึกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ คิดดูนะครับ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ดำๆ ไม่สวมรองเท้า พยายามตะเบ็งเสียงร้องเพลงทำท่าทำทาง สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะดูแปลกๆ เพี้ยนๆ กว่าเพื่อนคนอื่น ครูเลยให้ไปทำอย่างอื่นแทน

พวกครูบาอาจารย์บอกว่าผมเป็นเด็กซื่อๆ และบอกว่าผมเป็นตัวตลก เลยจัดให้ผมไปเล่นตลกในงานกีฬาประจำจังหวัด เล่นไปเล่นมาคนก็ชอบมุกของผม ผมก็เล่นไปเรื่อยทั้งงานลูกเสือ งานวันครู งานวันเด็ก สุดท้ายเริ่มกลายเป็นการเดินสาย วิ่งรอกจากโรงเรียนนั้นไป

โรงเรียนนี้ ก็ได้เงิน 300 – 600 บาท เมื่อเห็นว่าได้เงินดี ผมก็เริ่มมองอนาคตของตัวเองว่าน่าจะไปทางนี้ได้ ประกอบกับตอนนั้นฐานะทางบ้านเริ่มไม่ดี ผมจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนกลางคันตอน ม.ศ.4 เพื่อไปสมัครเป็นนักเรียนการแสดงของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งเปิดรับสมัครเป็นรุ่นแรก

 

สู้ชีวิตในกรุง กินนอนกับยาม

ช่วงนี้ถือได้ว่าชีวิตของผมค่อนข้างลำบากมาก ด้วยความที่ไม่มีเงิน แม้จะสอบติดเข้าเรียนโรงเรียนการแสดงได้แล้วก็จริง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าผมจะพักที่ไหน อย่างไร เพราะลำพังเงินที่ได้ติดตัวมาน้อยนิดเหลือเกิน ต้องประหยัดไว้เป็นค่าอาหาร เมื่อคิดไปคิดมา วันนั้นหลังจากไปร่วมพิธีเปิดโรงเรียนการแสดงแล้ว ผมก็บอกกับคนทำความสะอาดของสถานีโทรทัศน์ว่า พรุ่งนี้จะเปิดเรียนแล้ว ยังไม่มีที่นอนเลย เขาแนะว่าให้ไปนอนที่บ้านพักของยามไปก่อน ผมก็นอนเรื่อยมา

ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น ตอนเข้ากรุงเทพฯมาใหม่ๆ ผมมีเงิน600 บาท แต่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ 3 – 4 เดือนเลยทีเดียว เพราะกินแต่ไข่เค็ม มาม่า และอาศัยกินกับยามบ้าง ก็ถัวเฉลี่ยกันไป บางครั้งผมรับหน้าที่ต้มมาม่าให้ยาม 20 กว่าคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน หรือไม่ก็ไปเด็ดผักบุ้ง ต้มถั่วเขียวมากินกันเป็นกะละมัง

ชีวิตของผมได้อยู่กับคนร้อยพ่อพันแม่ กลางคืนนอนเรียงกันเป็นตับ สนุกสนานไม่ทุกข์ร้อนอันใด แป๊บๆ เวลาก็ผ่านไป 7 ปี ผมเรียนจบจากโรงเรียนการแสดง และเริ่มเข้าสู่วงการด้วยการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ลูกอีสาน

ช่างเป็นบทที่พอเหมาะพอเจาะกับผมจริงๆ เพราะตัวจริงผมก็ลูกอีสาน ตอนนั้นเล่นเป็นลูกชายของ ลุงคำพูน บุญทวี บอกได้คำเดียวว่ามันมาก แต่ด้วยความที่คิดว่าเล่นหนังอย่างเดียวคงไม่ได้เงินมากผมจึงทำงานในกองถ่ายไปด้วย ทั้งเสิร์ฟน้ำ แบกไฟ ช่วยวิ่งหาของ ทำทุกอย่าง  ที่สุดเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จสิ้น ผมก็ได้รับเงินมากที่สุดในชีวิต คือเกือบ 20,000 บาท ผมนำเงินส่วนหนึ่งไปซื้อแหวนนากวงหนึ่งส่วนที่เหลือนำไปให้แม่ทั้งหมด

จากนั้นมาผมก็ได้บทแสดงมาเรื่อยๆ เป็นตัวประกอบทั้งในละครและภาพยนตร์ และเริ่มเป็นที่รู้จักจากการแสดงเรื่อง ขบวนการคนใช้บุญเติมร้านเดิมเจ้าเก่า ตัวประกอบอดทน กลิ่นสีและกาวแป้ง และบ้านผีปอบ

ต่อมาชีวิตของผมหักเหอีกครั้ง เมื่อได้รับการชักชวนจากคุณประภาส ชลศรานนท์ ให้มาเป็นนักร้องในวง สามโทน ของคีตาเรคคอร์ด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมชอบเขียนเพลงและชอบร้องเพลงทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องดนตรีมากนัก และจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าคนจะจดจำเพลงของเราได้ และมีคนชื่นชอบพวกเรามากขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อน เหมือนหลายๆเรื่องในชีวิตของผมที่ย้อนมองกลับไปแล้วบอกได้คำเดียวว่า “ผมมาไกลกว่าที่คิด”

 

ชีวิตที่ไกลเกินฝัน

ทุกวันนี้สื่อและผู้คนให้นิยามความเป็น “ธงชัย ประสงค์สันติ”ของผมว่า เป็นนักแสดง นักร้อง พิธีกร ผู้กำกับ และเจ้าของบริษัท คำพอดี และบริษัท พอดีคำ เป็นตลกแบบไม่ไร้สาระ มีความสุภาพไม่เกินขอบเขต มีความรู้รอบตัวสูง ซื่อๆ คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น มีอารมณ์ขันแบบคึกคัก พลอยให้คนรอบข้างรู้สึกเป็นกันเอง

หลายคนชื่นชอบบทบาทการเป็นพิธีกรของผม ทั้งในรายการคำพิพากษา Small Talk สู้เพื่อแม่ และ คุณพระช่วย ซึ่งจากการมุ่งมั่นในการทำงานตรงนี้ ทำให้ผมได้รับ “รางวัลพิธีกรแห่งปี ไนน์เอ็นเตอร์เทนอะวอร์ดส 2008”

เมื่อนั่งมองย้อนชีวิตของตัวเอง ผมคิดว่าตัวเองเดินทางมาไกลกว่าที่คิดไว้มาก จากเด็กจนๆ คนหนึ่งกลายมาเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆ มีพนักงานสิบกว่าคน บอกได้คำเดียวว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้เหนื่อยสุดใจขาดดิ้น โดยเฉพาะการมีบริษัทเป็นของตัวเอง ต้องใช้ทั้งประสบการณ์ความอดทน ความตั้งใจจริง การแก้ปัญหา และการเรียนรู้งานเฉพาะหน้า เพราะผมไม่ได้เรียนจบสาขาไหนมาเลย มีเพียงครู เพื่อน และคนรอบข้างมากมายที่ช่วยสอนบทเรียนดีๆ ให้แก่ผม ให้ทั้งความรู้ให้ความเชื่อมั่น ให้โอกาส และให้กำลังใจมากมายจนผมเอ่ยชื่อไม่หมด

อดีตที่ผ่านมามีค่ากับผมมากๆ ผมเชื่อว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ดี ผิดพลาด หรือมีข้อตำหนิบ้าง อย่างไรมันก็เป็นเรื่องราวที่เราต้องผ่าน เป็นบาดแผลที่ทำให้เราแข็งแรง และระมัดระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก

เล่าถึงชีวิตหนักๆ ของผมไปแล้ว คราวหน้าจะเล่าให้ฟังว่า เวลาผมมีความสุขผมทำอะไร ผมสอนลูกๆ อย่างไร และสนใจธรรมะมากน้อยแค่ไหน ฉบับหน้าจะเล่าให้ฟังครับ

 จาก http://www.secret-thai.com/article/10295/thongchai1/




“ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ”ธงชัย ประสงค์สันติ (ตอนจบ)

ชีวิตของผมเดินทางมาไกลกว่าที่เคยนึกฝันไว้ จากตัวประกอบมาเป็นนักแสดง นักร้อง และเจ้าของบริษัท นับวันภาระหน้าที่ของผมก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆมีความท้าทายและความยาก แต่ความสุขของผมกลับเป็นเรื่องง่ายๆ…ง่ายนิดเดียว

ผมชอบความเงียบครับ ความเงียบคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ผมเคยอ่านหนังสือ เขาบอกว่า คำว่า ฟัง (listen)ในภาษาอังกฤษนั้น ใช้ตัวอักษรชุดเดียวกับคำว่า เงียบ (silent)ต่างเพียงการจัดวางตัวอักษรเท่านั้น แต่คำว่า “ฟัง” และ “เงียบ” ผมคิดว่ามีความหมายลึกซึ้งครับ คนที่จะฟังคนอื่นได้ต้องรู้จักเงียบ รู้จักที่จะฟังคนอื่นด้วยใจ

ผมเป็นคนตื่นเช้า ตื่นแล้วก็จะมานั่งนิ่งๆ ดื่มกาแฟ มองออกไปที่สวนเล็กๆ หน้าบ้าน เห็นหน้าบ้านรกๆ ของตัวเองที่มีทั้งราวตากผ้ารองเท้าลูก รองเท้าภรรยา และรองเท้าของผมวางอยู่เต็มไปหมดแค่นี้ชีวิตในหนึ่งวันของผมก็มีความสุขแล้ว

แต่ถ้าช่วงไหนพอมีเวลาว่างหรือวันหยุดยาว ผมก็มักจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ้านพักเขาใหญ่ ที่นี่ผมได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่ บางครั้งผมนั่งอยู่ 5 ชั่วโมงเต็ม นั่งมองนิ่งๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับทบทวนเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งมีทั้งความเหนื่อย ทั้งความสุข

หลายคนไม่ทราบว่านั่นเป็นความสุขของผม เพราะส่วนใหญ่เวลาเห็นภาพผมในจอทีวีมักจะมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ แต่ตัวจริงของผมเป็นคนชอบความเงียบครับ และชอบนั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย ในหัวสมองของผมไม่เคยว่างเว้นจากเรื่องราวต่างๆ ก็ว่าได้ บางครั้งผมไปเล่นกอล์ฟแทนที่จะได้พักผ่อน ผมก็กลับคิดงานนั่นคิดงานนี่ไปเรื่อย

เมื่อก่อนผมมีสมุดจดงานอยู่สองสามเล่ม ใช้เขียนเพลง เขียนพล็อต เขียนรายการทีวีในอนาคตว่าปีหน้าจะทำอะไร หรือปีนี้พระวัดไหนที่เราอยากไปกราบไหว้แล้วยังไม่ได้ไป ครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราควรโทร.ไปหาแล้วยังไม่ได้โทร. ผมจะกลับมานั่งทบทวนตัวเองแบบนี้ทุกสิ้นปี เพื่อจะได้ประมวลชีวิตตัวเองว่าปีที่แล้วเราทำอะไรหรือยังปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง และปีต่อไปเราควรทำอะไรอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเรียกว่า การสำรวจจิตตัวเอง

 

ความสำเร็จที่มาพร้อมกับธรรมะ

จะว่าไปแล้ว ชีวิตของผมก็อยู่ใกล้ธรรมะมาตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งในชีวิตสมัยยังเด็ก เคยวิ่งเล่นซุกซนอยู่ใกล้วัดบ้านไร่ของหลวงพ่อคูณ ตอนนั้นผมกับเพื่อนเล่นเตะฟุตบอลกันเสียงดังเอะอะ หลวงพ่อคูณท่านลงจากกุฏิมาเอ็ดว่า “ไอ้หนู เงียบๆ หน่อย” ได้ยินอย่างนั้น พวกเพื่อนๆของผมก็วิ่งหนีกระจิง มีแต่ผมที่ตัวเล็กสุด วิ่งหนีไม่ทันเพื่อน เลยโดนท่านจับตัวไว้ ท่านใช้ไม้เคาะหัวผมเบาๆ แล้วพูดว่า “นี่ อย่าดื้อนะไอ้หนู”ผมจดจำคำนี้ของท่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ และเมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตของตัวเอง ผมรู้สึกขนหัวลุก เพราะคิดได้ว่า “ตอนนั้นผมได้รับพรจากหลวงพ่อคูณมาเลยนะ จากเด็กบ้านนอกจนๆ ผมถึงมีวันนี้”

อีกครั้งคือตอนที่ผมกำลังจะก่อตั้งบริษัทของตัวเอง ตอนนั้นยังหวั่นๆ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะตัวเองประสบการณ์ยังน้อย เราตัวเล็ก ใหญ่แต่ชื่อเท่านั้น ทุนรอนก็ไม่มี มีแต่อารมณ์อยากทำ ภรรยาก็แนะนำว่า ไปกราบหลวงพ่อคูณเสียหน่อยก็ดี เพราะก่อนออกเทปชุดสามโทนก็ไปกราบท่าน วันที่ผมไป มีคนคนหนึ่งกำลังพูดอยู่กับท่านนานมาก ส่วนผมนั่งอยู่ข้างๆ ผมก็ร้อ…รอ ยังไม่ได้คุยสักที แต่อยู่ดีๆ หลวงพ่อคูณก็หันมาพูดกับผมว่า “สำเร็จ” โอ้โห…ผมยังไม่ทันได้ถามอะไรเลยสักคำ แต่ท่านทราบว่าเราจะคุยอะไร

บางคนอาจจะคิดว่านี่เป็นความเชื่อที่งมงาย แต่ผมกลับคิดว่าบางอย่างเราสามารถพิสูจน์ได้ มีความเป็นเหตุเป็นผล แต่บางอย่างก็เหมือนเงา เราสัมผัสไม่ได้ แต่รู้ว่ามีจริง

ส่วนพระอาจารย์อีกท่านที่ผมเคารพนับถือคือ พระอาจารย์ไก่วัดตรีญาติ ที่จังหวัดราชบุรี ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สอนการฝึกจิต ท่านเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ และเรียนจบปริญญาโทด้านจิตวิทยา เป็นพระอาจารย์ที่เก่งในด้านการสอน สอนแบบพุทธ สอนปรัชญา สอนการใช้ชีวิต ผมไปวัดนี้กี่ครั้งก็รู้สึกสบายใจ ได้ข้อคิดและกำลังใจกลับมาใช้ในการดำเนินชีวิตมากมาย

ครั้งหนึ่งท่านเคยพูดกับผมว่า “มาดีแล้วนะ รักษาไว้ รักษาสิ่งที่มีอยู่ในใจ รักษาสิ่งที่มันติดกายเราไว้ให้ดี” ผมก็ตีความคำพูดของท่านว่า การได้มาในสิ่งต่างๆ ทำให้เราดีใจก็จริง แต่การรักษาไว้นี่สิเป็นเรื่องยาก เราต้องมีทั้งสติ ปัญญา และจิตใจที่ดีงามเพื่อรักษาไว้

อีกครั้งหนึ่งผมเคยปรึกษาท่านเรื่องงาน ท่านพูดกับผมว่า“ความสำเร็จมันไม่รอวันพรุ่งนี้ แต่มันมารออยู่ตอนนี้ นาทีนี้แล้ว ถ้าเราพร้อมทั้งใจกาย มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” ฟังแล้วผมขนลุกเลยครับ ตอนขับรถกลับบ้านวันนั้น คำสอนของท่านอีกมากมายก็พรั่งพรูอยู่ในสมอง

“อุปสรรคก็เป็นความสำเร็จ ปัญหาก็เป็นความสำเร็จ ความสำเร็จมาอยู่ข้างหน้าเราแล้ว เราข้ามมันไปสิ เราสู้มันไปสิ” เป็นคำพูดของท่านที่พูดแล้วน้ำตาจะไหลครับ เพราะซาบซึ้ง ชีวิตคนเราต้องสู้สู้ด้วยสติปัญญาและกำลังใจของตัวเองจริงๆ

 

ชวนคนใกล้ตัวเข้าวัด

ผมชอบอ่านหนังสือแนวธรรมะ ปรัชญา และชอบดูหนัง บางครั้งอ่านหนังสือธรรมะสักเล่มหรือดูหนังสักเรื่อง ก็นำมาคุย นำมาตีความกับลูกน้องที่บริษัท นอกจากนั้น ผมชอบชวนลูกน้องให้ไปเข้าวัดทำบุญถวายสังฆทาน ผมคิดว่าการนำพาหมู่คณะไปทำสิ่งดีๆ ร่วมกันอย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความสามัคคี

ส่วนลูกๆ ทั้งสามคน แม้ผมจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน แต่อย่างน้อยๆก่อนลูกเข้านอน ผมจะเข้าไปคุยกับพวกเขาสัก 30 นาที เล่าให้เขาฟังว่าพ่อทำงานอย่างไร ตอนนี้การเงินของบ้านเราเป็นแบบนี้ ลูกต้องช่วยกันประหยัดนะ ส่วนลูกๆ ก็เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง หรือบางครั้งถ้ามีถ่ายละครต่างจังหวัด ผมก็พาพวกเขาไปด้วย เจอวัดไหนที่ร่มรื่นก็พาลูกไปไหว้พระ อย่างน้อยๆ ก็น้อมใจของเขาให้มาทางนี้ หรือเวลาผมพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจก ก็ขอความคิดเห็นจากลูกๆ ว่าทำหน้าปกสีนี้ แบบนี้ดีไหม เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมด้วย

ส่วนสิ่งที่ผมสอนลูกๆ อยู่เสมอคือเรื่องความเสมอต้นเสมอปลายและให้มีความเป็นมิตรกับคนทุกคน เจอใครก็ตาม อย่ามองแต่มุมไม่ดีของเขา ให้มองลึกลงไปว่า เขามีเหตุผลอะไรบ้างจึงต้องทำแบบนั้นแบบนี้ คนเรามีความจำเป็นไม่เหมือนกัน ชีวิตมีสองด้านเสมอ และเวลาไปโรงเรียน ใช่ว่าจะไปเรียนหนังสืออย่างเดียว ให้ไปเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นด้วย ทั้งกับเพื่อนและกับคุณครู เพราะในชีวิตของเราเราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ทุกอย่างต้องทำเป็นทีม ต้องอาศัยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สำหรับภรรยา เราแต่งงานกันมาประมาณ 15 ปีแล้ว ผมอยากบอกว่า คนเราถ้าอยากเห็นนิสัยแท้ๆ ของตัวเอง ให้แต่งงานแล้วจะเห็นเลย ใครเป็นอย่างไร ส่วนคู่ของผม เรามีทั้งโลกส่วนตัวและโลกกลมๆ ร่วมกัน คือมีคำว่าครอบครัว มีลูก มีภาระหน้าที่การงานร่วมกัน เพราะภรรยาเข้ามาช่วยงานในบริษัท  ณ ตอนนี้เมื่อเราข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ มาด้วยความอดทนอดกลั้นและความเข้าอกเข้าใจ ชีวิตคู่ ทุกวันนี้จึงมีความสุขมาก

ชีวิตของคนเรา บางครั้งก็มีทุกข์ บางครั้งก็มีสุข ไม่ต่างกับฤดูกาลต่างๆ บางครั้งฝนก็ตกหนัก บางครั้งอากาศก็หนาวจัด แต่ถ้าเรามีสติ รู้ว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญกับฤดูไหน ผมคิดว่าปัญหาไหนๆเราก็แก้ไขได้

สุดท้าย ต่อให้การศึกษาสูงแค่ไหน ผมคิดว่าสิ่งที่คุณไม่ควรลืมศึกษาคือใจของตัวเอง หมั่นศึกษาเรียนรู้ใจของตัวเองบ้าง อย่าปล่อยให้ลอยเคว้งคว้างไปกับกระแสของโลกมากนัก เพื่อวันหนึ่งคุณจะได้ไม่ต้องมานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความสุขที่แท้จริงในชีวิตอยู่ที่ไหนกันแน่…ไงล่ะครับ

 

(เรื่อง ธงชัย ประสงค์สันติ เรียบเรียง เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ

ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี / สไตลิสต์ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด)


จาก http://www.secret-thai.com/article/10308/thongchai2/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.433 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 01 กุมภาพันธ์ 2567 02:43:32