[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 02:58:21 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตคลอเสียงเพลงเคล้าเสียงหัวเราะของ สุเทพ ประยูรพิทักษ์  (อ่าน 1317 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5069


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.272 Chrome 50.0.2661.272


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 26 สิงหาคม 2559 21:50:38 »



ราว 20 กว่าปีที่แล้วใครเคยดูโฆษณา“เสี่ยฮีโน่” ที่มีเพลงฮิตติดหูว่า“…เสี่ยเก่า เสี่ยใหม่ เสี่ยไฮเทค เสี่ยใหญ่เสี่ยเล็ก…เสี่ยฮีโน่ทั้งเมือง” คงจะจำอาเสี่ยในโฆษณานี้ได้แม่นยำเพราะนอกจากหน้าตาจะดูอารมณ์ดีแล้ว ยังแขวนพระเครื่องเต็มคอแถมยังใส่แหวนทองวงใหญ่จนดูเหมือนตู้ทองเคลื่อนที่ให้ผู้ชมได้ยิ้มสนุกไปด้วยทุกครั้ง

หลายคนอาจไม่ทราบว่าเสี่ยฮีโน่คนนี้นอกจากจะแสดงเป็นเสี่ยแล้ว ยังควบตำแหน่งคนแต่งเพลงและร้องเพลงนี้ด้วยคุณอี๊ด - สุเทพ ประยูรพิทักษ์ นักร้องดารานักแสดงที่มีภาพลักษณ์อาเสี่ยติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ เล่าย้อนความหลังให้เราฟังด้วยรอยยิ้มและท่าทางที่ผ่อนคลาย

ชีวิตที่มีเสียงเพลงเป็นเพื่อนมาค่อนชีวิตและเรื่องราวของการเป็นนักแสดงที่ดูเหมือนจะตกกระไดพลอยโจนมากกว่าจะเกิดจากความตั้งใจ รวมถึงสาเหตุที่ชักนำให้เขาชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ไปซ่อมวัดวาอารามเกิดขึ้นได้อย่างไร คุณอี๊ดพร้อมแล้วที่จะเล่าให้เราฟังอย่างเป็นกันเอง

เกาะเรือพ่วง กินข้าววัด

วัยเด็กของผมเป็นความทรงจำที่งดงามมาก ตอนนั้นสังคมไทยยังเอื้อเฟื้อแบ่งปันกันมากกว่านี้ ผมเกิดริมคลองบางหลวง ได้เล่นน้ำคลอง เกาะเรือพ่วงเล่นตามประสาเด็ก สมัยก่อนเวลาปิดเทอมเด็ก ๆ จะมารวมตัวกันแถวบ้านผม เพราะเป็นท่าน้ำใหญ่ มีวัดตั้งอยู่ติดกันหลายวัดทั้งวัดสังข์กระจาย (วัดสังข์กระจายวรวิหาร)วัดมอญ (วัดราชคฤห์วรวิหาร) วัดหงส์ (วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร) ตอนนั้นน้ำในคลองยังใส ชาวบ้านยังตักขึ้นมาต้มดื่มได้ ที่สำคัญ น้ำประปายังไม่มี เวลาจะใช้น้ำก็ตักน้ำคลองมาแกว่งสารส้ม

ตอนเด็ก ๆ ผมใกล้ชิดกับคุณพ่อมากท่านไปไหนผมไปด้วย คุณพ่อทำงานเกี่ยวกับปศุสัตว์ มีหน้าที่ตรวจโรคของหมู ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน

คุณพ่อเป็นคนมีเพื่อนมาก จิตใจดีเพื่อนฝูงรักใคร่ และตัวท่านเองก็รักและมีเมตตากับคนอื่น ไม่เคยสอนให้ลูกหลานไปชกต่อยกับใคร แต่ตัวท่านเองถือว่าเป็น“นักเลง” มาก นักเลงสมัยก่อนหมายถึงคนที่จริงใจ เอื้อเฟื้อกับเพื่อน เวลาพรรคพวกมีปัญหาก็ช่วยเคลียร์ให้

ด้วยความที่พ่อเคยเป็นนักมวยคาดเชือกมาก่อน ท่านจึงมีความเป็นนักสู้สูงมาก แม้กระทั่งจะหัดลูกให้ว่ายน้ำท่านก็มีวิธีการไม่เหมือนใคร วันหนึ่งหลังจากที่เห็นผมพยายามหัดว่ายน้ำอยู่เป็นวัน ๆ ก็ยังว่ายไม่ได้ คุณพ่อจึงทำเสาไม้ไผ่ไว้กลางน้ำ แล้วว่ายน้ำกระเตง ผมไปเกาะไว้ที่เสาต้นนั้น พร้อมกับบอกผมว่า “ถ้าอยากกลับมาที่ท่าก็ต้องว่ายกลับมาเอง” มิหนำซ้ำยังโยนลูกหมาตัวหนึ่งลงไปในน้ำด้วย หมาก็ตะกุย ๆ ว่ายน้ำใหญ่จนถึงฝั่ง แต่ผมกลับร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่พักใหญ่ คุณพ่อจึงพูดกับผมว่า “หมายังกลับได้เลย ทำไมแกจะกลับไม่ได้” (หัวเราะ)

จริงอย่างที่ท่านว่า เพราะในที่สุดผมซึ่งอายุราว 5 ขวบก็ตะกุยน้ำกลับเข้าท่าในท่าเดียวกับลูกหมาตกน้ำนั่นเอง และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ว่ายน้ำเป็น

ผมชอบสังคมไทยสมัยก่อนที่ผู้ใหญ่จะให้ความรักความเมตตากับเด็ก แม้จะไม่ใช่ญาติก็รักเอ็นดูเหมือนญาติ เวลาพ่อจะไปไหนทีก็มักจะนำผมไปฝากไว้บ้านญาติหรือไม่ก็ฝากไว้กับพระที่วัด เวลาฝากไว้กับพระที่วัดก็ไม่ต้องให้สตางค์ลูก เพราะคุณพ่อรู้ว่าอยู่วัดไม่อดตายแน่ ๆ

แต่การจะกินข้าววัดได้ต้องใช้ความกล้าเพราะผมต้องแย่งกินกับเด็กวัด ช่วงชีวิตตอนนี้สอนให้ผมรู้ว่า ถ้าเรามัวแต่อายไม่กล้า และเราก็จะไม่มีทางทำสิ่งใดได้สำเร็จรวมถึงยังได้เรียนรู้ระเบียบวินัยจากการกินข้าววัด เพราะกินเสร็จแล้วต้องช่วยเขาเก็บกวาด เช็ดล้างถ้วยชาม และถ้ามีญาติพี่น้องบวช ผมก็จะทำหน้าที่เด็กวัดคอยถือย่ามเวลาพระเดินบิณฑบาต

เย็น ๆ หลวงพ่อก็จะสอนให้อ่านหนังสือสอนให้สวดมนต์ สมัยก่อนยาเสพติดไม่เยอะมากเท่าสมัยนี้ และไม่เป็นที่นิยมในหมู่บ้านใครไปเสพ ไปหยิบจับถือว่าน่ารังเกียจมากกิจกรรมที่วัยรุ่นสมัยนั้นทำคือการเล่นกีฬาอย่างฟุตบอล เล่นเสร็จก็นั่งคุยกันที่ราวสะพาน แต่ต้องไม่เกิน 5 คน เพราะยุคนั้นเป็นยุคที่บ้านเมืองมีความวุ่นวายจึงห้ามชุมนุมกัน



ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก

พอผมอายุได้ 10 ขวบ คุณพ่อก็เสียในฐานะลูกชายคนโต แต่เป็นลูกคนที่สามผมจึงต้องช่วยคุณแม่ทำงานทุกอย่าง เมื่อสิ้นคุณพ่อ คุณแม่พยายามทำงานหารายได้มาเลี้ยงลูก ๆ ทั้ง 6 คน ท่านมีความสามารถในการทำอาหารตำรับชาววัง รวมถึงงานเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ โชคดีที่เราอยู่ใกล้กับหอพักนักศึกษาวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯผมกับพี่สาวจึงช่วยแม่เดินเร่ขายขนมตามหอพัก รวมถึงรับจ้างทำงานสารพัด ทั้งรับจ้างโม่แป้งที่กว่าจะได้เงินสัก 4 บาทต้องโม่แป้งให้ได้ถึง 15 กิโลกรัม แม้กระทั่งรับขายเรียงเบอร์ผมก็เคยทำมาก่อน

สมัยวัยรุ่นผมเล่นฟุตบอลเก่ง จึงสมัครไปเป็นนักฟุตบอลรุ่นเยาวชนของสโมสรธนาคารกรุงเทพพาณิชยการซึ่งดังมากที่สุดในยุคนั้น ที่สำคัญ ยังได้ค่าจ้างวันละ 25 บาทมาช่วยจุนเจือครอบครัว แต่เล่นได้สักระยะ อนาคตของผมกับเส้นทางสายนี้ก็ดับวูบลง เหตุมาจากการที่ผมฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อจะสมัครเข้าทีมชาติไทย ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดจนเกิดการบาดเจ็บมีเลือดช้ำใน คุณหมอจึงแนะนำให้เลิกเล่น เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย

ผมไม่ใช่คนที่รักเรียน แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยเกเร ทำงานได้เงินมาก็ให้คุณแม่อย่างเดียว เพราะรู้ว่ามีคนในครอบครัวอีกหลายปากหลายท้องที่ต้องดูแล มีบ้างที่เคยทำงานได้เงินเยอะ ๆ แล้วฟุ้งเฟ้อ พาเพื่อนไปเที่ยวไปกิน ซื้อข้าวของเครื่องใช้แพง ๆแต่สุดท้ายชีวิตวัยเด็กที่เคยลำบากก็จะคอยดึงให้ผมใคร่ครวญว่าสิ่งที่ทำอยู่สมควรหรือไม่ เราควรจะพอแค่ไหน

ทุกวันนี้ผมอยากให้เด็กไทยรู้จักการประหยัด และที่อยากบอกมากที่สุดคือหากเราเป็นเด็ก ห้ามก้าวร้าวกับผู้ใหญ่เด็ดขาด คนสมัยก่อนอยู่กันอย่างสงบสุขเพราะเด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่สอนให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ผมเชื่อว่าความเท่าเทียมกันเป็นสิ่งที่ดี แต่คงไม่ใช่การเท่าเทียมกันทุกเรื่อง มีบางเรื่องที่ต้องยกไว้ โดยเฉพาะในสังคมไทย ผมคิดว่าการมีสัมมาคารวะ การพูดจานอบน้อมกับผู้ใหญ่ และรู้จักกาลเทศะยังเป็นสิ่งจำเป็นมาก

ฝึกร้องเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์

ตอนผมอายุได้ 23 ปีคุณแม่ก็มาจากไปอีกคน เหลือแต่ลูก ๆ ที่ต้องดูแลตัวเองผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักร้องอาชีพ คิดแค่ว่าชอบเสียงเพลงเท่านั้น

สมัยเป็นเด็กผมนั่งฟังเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ซ้ำไปซ้ำมา ยุคก่อนมีแต่คลื่นเอเอ็มเท่านั้น ยังไม่มีเอฟเอ็มเหมือนยุคนี้และเพลงที่มีให้ฟังก็เป็นเพลงฝรั่ง แม้จะไม่เข้าใจภาษา แต่ผมสัมผัสได้ว่าท่วงทำนองนั้นไพเราะ เพราะมันออกมาจากใจจริง ๆ

ช่วงหนึ่ง วัยรุ่นยุคนั้นจะชอบใส่กางเกงยีนฟิต ๆ สวมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ ๆ เหมือนเอลวิส เพรสลีย์ จนเมื่อเพลงของวงเดอะบีเทิลส์เข้ามา พร้อม ๆ กับหนังตะวันตกเรื่องหนึ่งที่พระเอกสวมรองเท้าผ้าใบ นุ่งกางเกงยีน ใส่เสื้อยืดดังไปทั่ว คราวนี้วัยรุ่นทั่วบ้านทั่วเมืองก็แต่งตาม ที่สำคัญในช่วงสงครามที่มีทหารอเมริกันเข้ามาในประเทศไทย ทหารเหล่านี้ก็มีอิทธิพลต่อการฟังเพลงสากลของคนไทยเช่นกัน

เพลงไหนที่ชอบ ผมก็จะไปซื้อเทปคาสเซ็ตมาอัด ฟังแล้วฟังอีก พยายามถอดเนื้อร้องมาฝึกร้อง ส่วนน้องชายของผมอีกสองคนคือ อ้อย ชอบเล่นเบส ส่วน ติ่งก็ชอบเล่นกีตาร์ วันหนึ่งเราสามคนจึงรวมตัวกันตั้งวงดนตรีเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง
แต่เส้นทางการทำงานของผมไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นนักร้อง แต่เริ่มจากอะไรนั้น คราวหน้าผมจะเล่าให้ฟัง

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Secret Box

ความสุขแท้อยู่ข้างใน ใครที่แสวงหาความสุขจากข้างนอก ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา

ว.วชิรเมธี





ช่วงอายุ 50 กว่า ๆ ผม (สุเทพ ประยูรพิทักษ์) เคยนั่งมองย้อนชีวิตตัวเองไม่เคยนึกฝันว่าดนตรีจะพาเรามาได้ไกลขนาดนี้

ดนตรีทำให้โลกนี้น่าอยู่ ทำให้ชีวิตของคนรื่นรมย์ มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม ต่อให้ร้องเพลงไม่เพราะ เล่นดนตรีไม่เก่ง แต่ถ้ารักในเสียงเพลง ผมก็คิดว่าเพียงพอแล้วที่คนคนนั้นจะรู้จักความอ่อนโยน ผมเชื่อว่าเสียงเพลงกล่อมเกลานิสัยของคน จากหยาบกระด้างให้ละเอียดอ่อน จากคิดถึงแต่ตัวเองให้คิดถึงคนอื่น

หลังเรียนจบด้านครูจากวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จฯ ผมก็เริ่มงานแรกด้วยการเป็นพนักงานในโรงแรมพลาซ่าพัฒน์พงษ์ได้ทำแทบจะทุกหน้าที่ ตั้งแต่โอเปอเรเตอร์รับโทรศัพท์ รูมเซอร์วิส ได้เรียนรู้งานบริการจากประสบการณ์จริง เพราะยุคนั้นแทบจะไม่มีโรงเรียนด้านนี้โดยตรงในประเทศไทย แต่ทำได้ประมาณ 5 - 6 ปีผมก็เริ่มชักชวนน้องชาย อ้อย และ ติ่งให้มาตั้งวงดนตรีด้วยกัน

วงดนตรี “พี่ร้อง น้องเล่น”

ด้วยความที่คุณพ่อเสียตั้งแต่เด็กและคุณแม่ก็มาจากไปตอนผมอายุได้ 23 ปีพวกเราพี่น้องจึงต้องดูแลกันเอง แต่โชคดีที่ท่านทั้งสองอบรมพวกเรามาเป็นอย่างดีเราจึงรักและดูแลกัน ท่านสอนให้น้องเคารพพี่ ไม่พูดจาก้าวร้าวต่อกัน เวลาโกรธกันพวกเราไม่เคยขึ้นคำว่า “ไอ้” แม้แต่ครั้งเดียว น้อง ๆ เรียกผมว่า “พี่” ทุกครั้งไม่เคยเรียกชื่อเฉย ๆ เราให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ผมรักและไม่เอาเปรียบน้อง น้อง ๆ ก็รักและให้ความไว้วางใจผม ผมรู้สึกว่า ครอบครัวของผมโชคดีมากที่มีความรักความผูกพันอย่างเหนียวแน่น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราต่อสู้มาด้วยกัน

การจะเป็นนักร้องในยุคนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีโรงเรียนไหนสอน และไม่มีโค้ชหรือครูคอยให้คำแนะนำ เราเรียนรู้ทุกอย่างจากประสบการณ์ตรง ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เราตั้งวงดนตรีของเราเองวงแรกว่า“เดอะเปปเปอร์” เล่นเพลงของ Peter,Paul and Mary ซึ่งเป็นนักร้องแนวโฟล์คซองที่มีการเล่นและประสานเสียงที่มีเอกลักษณ์ เราก็นำมาเล่นดู ปรากฏว่าเล่นได้ดี เราเลยเริ่มเห็นทางของตัวเอง จากเล่นในบาร์เล็ก ๆ แถวพัฒน์พงษ์ เราก็เริ่มขยับไปเล่นในโรงแรมแอมบาสซาเดอร์และเปลี่ยนชื่อวงเป็น “ดิอีซี่” จนได้ไปเล่นที่โรงแรมแมนดาริน เราก็เปลี่ยนชื่อวงอีกครั้งเป็น “เดอะแซคส์” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ผมร้องเพลงของเดอะบีเทิลส์และเพลงในยุค 60 - 70 ที่กำลังโด่งดังรวมถึงเพลงไทยอีกหลายเพลง เราอยู่ที่นี่ถึง 26 ปีเต็ม

คนเที่ยวกลางคืนในยุคนั้นส่วนใหญ่จะรู้จักวงของเราเพราะดังมากถึงขนาดหกโมงเย็น คนฟังต้องมาเข้าคิวรอซื้อบัตรทั้งที่ราคาค่าเครื่องดื่มในโรงแรมก็ไม่ใช่ถูก ๆ แล้วคนฟังก็มีหลากหลายอาชีพ ทั้งข้าราชการพนักงานบริษัท พ่อค้าแม่ค้า ผมเชื่อว่านอกจากเสียงเพลง การเอนเตอร์เทนคนฟังด้วยการพูดคุยให้ความสนุกสนานก็เป็นสิ่งสำคัญ แรก ๆ ผมไม่กล้าพูด กลัวว่าจะเป็นการก้าวร้าวผู้ฟัง แต่ตอนหลังก็เริ่มด้วยการเกริ่นให้เขาทราบว่านี่คือการแสดงเพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลาย มีรอยยิ้มเสียงหัวเราะ

“คุณควรมาดูเราด้วยความสนุก ถ้าไม่สนุกอย่ามา” ผมพูดท้าทายไว้อย่างนี้เลย

และคนดูที่มาเที่ยวก็รู้สึกสนุกกับผมจริง ๆ ถึงขนาดที่มีบางคนตะโกนถามผมว่า “ชีวิตมึงนี่ไม่เคยเศร้าเลยนะ” ผมก็ตอบติดตลกไปว่า “ผมไม่เคยเศร้าเลย ที่ทำอยู่ก็ได้เงินทั้งนั้น”

แต่ก่อนจะมีชื่อเสียง วง “เดอะแซคส์”ของเราต้องผ่านการซ้อมมาอย่างหนักสองปีเต็ม เช้าสัก 10 โมงอาบน้ำอาบท่ากินข้าวเสร็จ มาถึงโรงแรมบ่ายสองโมง เราก็ซ้อมดนตรีต่อจนถึงหกโมงเย็น สองทุ่มก็เริ่มเล่นเป็นอย่างนี้อยู่ 2 ปี หลังจากนั้นก็เริ่มอยู่ตัวชีวิตเริ่มสบาย ๆ มากขึ้น

ผมคิดว่า เราอยู่ในวงการนี้ได้นานเพราะเรามองว่านี่คือสิ่งที่เรารัก เป็นอาชีพเป็นความศรัทธา เราอยากทำให้คนฟังมีความสุขทุกครั้งที่ขึ้นเวที จนวันหนึ่งผมก็ได้รับความสนใจจากค่ายเพลง ได้ออกเทปครั้งแรกกับค่าย นิธิทัศน์โปรโมชั่นร้องเพลง “ป่าลั่น” ที่ คุณสุเทพ วงศ์กำแหงเคยร้องไว้จนกลายเป็นเพลงที่สร้างชื่อเสียงอย่างสูงสุดให้ผม ส่วนเพลงที่เป็นของผมเองคือ “หิ่งห้อย” ซึ่งฮิตติดหูผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เข้าสู่วงการแสดง ได้เล่นละครกับ คุณคณิต คุณาวุฒิเล่นภาพยนตร์กับ คุณบัณฑิต ฤทธิ์ถกลทั้ง “คนดีที่บ้านด่าน” และ “บุญชู”

ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะเล่นละครเพราะร้องเพลงอย่างเดียวก็หนักพอแล้วแต่คุณคณิตผู้กำกับเห็นบุคลิกของผมแล้วชอบ อยากให้มาแสดงละคร จึงตื๊อผมอยู่หลายครั้งให้ผมรับเล่นเป็นคนสุพรรณในเรื่อง “สาทร ดอนเจดีย์” ของไนท์สปอตคู่กับคุณญาณี จงวิสุทธิ์ ตอนแรกผมเล่นไม่ได้เลย จนผู้กำกับบอกว่าให้เล่นเป็นตัวของตัวเอง เท่านั้นแหละก็ลื่นปรื๊ด ๆ คนดูชอบมาก ดังจนต้องมีภาคสอง ยิ่งเมื่อได้สนิทกับคุณญาณีซึ่งเรียนการแสดงมาโดยตรงช่วยชี้แนะ ผมก็ยิ่งมีความสุขกับงานนี้ ผมนับถือเป็นครูคนหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ก่อนแนะนำอะไรผม เธอจะยกมือไหว้แล้วพูดว่า “พี่อี๊ด หนูว่าพี่ทำได้แล้วละ แต่มีอีกนิดหนึ่ง พี่จะต้องทำอย่างนี้นะคะ” ทุกวันนี้ผมเล่นละครแบบลื่นไหลไปเรื่อย ๆ ทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ สบาย ๆ ง่าย ๆ ไม่เครียด เมื่อปีที่แล้วผมมีคอนเสิร์ตใหญ่ “Remember by สุเทพ & เดอะแซคส์” จัดโดย คุณเป็ดเชิญยิ้ม รวมถึงยังมีงานละครเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แค่นี้ผมก็พอใจกับชีวิตของตัวเองมากแล้ว



ทำบุญด้วยการซ่อมแซมวัด

เรื่องราวการทำบุญของผม เรียกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ว่าได้ แต่บังเอิญไปตรงกับจริตของผม มีอยู่วันหนึ่งผมไปเล่นฟุตบอลกับรุ่นน้องที่จังหวัดลพบุรี เล่นเสร็จเขาก็ชวนไปซ่อมแซมวัดใกล้ ๆ ที่พักด้วยกันชื่อ วัดธรรมิกาวาส ตอนแรกผมไม่ทราบว่าจะต้องช่วยอย่างไร รุ่นน้องก็พาไปดูบอกว่าให้ช่วยทาสีวัด ลงรักปิดทองหลวงพ่อองค์ใหญ่ ผมไม่เคยทำมาก่อน แต่ครั้งแรกที่ทำมีความสุขมาก

ผมรู้สึกว่านี่เป็นหนทางดี เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง คนทำบุญในสมัยนี้อาจจะใช้เงินกันเยอะ แต่การทำอย่างนี้ต้องใช้ใจต้องไปช่วยกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ทาสีปูพื้นกระเบื้อง ผมไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ทำด้วยความศรัทธา

ยิ่งทำก็รู้สึกว่าใจเราเกิดปีติ จึงทำมาเรื่อย ๆ เดือนหนึ่งก็ชวนเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รักในการทำบุญแบบนี้ไปลงมือลงแรงด้วยกัน เราใช้ชื่อกลุ่มว่า “เพื่อนร่วมทาง” เราเดินทางไปทั่วประเทศ ทั้งอ่างทอง นครปฐม ลำปาง ฯลฯ เสาะหาวัดที่ทรุดโทรมเข้าไปขออนุญาตเจ้าอาวาส แล้วซ่อมแซมมากว่า 200 วัด ยกเว้นวัดที่ขึ้นทะเบียนเราก็จะไม่เข้าไปทำ ทำเสร็จแล้วเราก็จะฉลองด้วยการทำบุญทอดผ้าป่า

ผมซ่อมแซมวัดก็เพราะอยากให้วัดเป็นที่พึ่งของคนยุคนี้ อยากให้เด็กรุ่นใหม่หันหน้าเข้าหาวัด เพราะพระธรรมคือความสุขที่แท้จริง ผมคิดว่า“เดินไปเถอะ เดินไปหาพระธรรม”ทำเสร็จแล้วชาวบ้านก็ได้เข้ามากราบไหว้มาสำรวมจิตใจ แค่มองเห็นพระพุทธรูป ผมว่าเราเองก็ได้ธรรมะแล้ว เพราะท่านนั่งนิ่ง ๆ เพื่อจะบอกเราว่า ความสงบเป็นความสุขที่แท้จริงของชีวิต เมื่อเราสงบเราก็สบาย ใครจะทำอย่างไร ใครจะด่าอย่างไรก็ไม่สน นั่งภาวนาไปอย่างนี้ คนอื่นเอากิเลสมาให้เรา เราไม่ไปแตะ เราก็ไม่ทุกข์

สำหรับหลักในการใช้ชีวิตของผมคือทำอะไรก็ตั้งใจให้ดีที่สุด ส่วนชีวิตที่จะมีความสุขได้ หนึ่งคือ มีพระธรรมในหัวใจ สอง มีพ่อแม่ก็ต้องกตัญญูรู้คุณ สาม ไม่มีหนี้สิน สี่ ไม่อิจฉาริษยา ห้าคือ ไม่หักหลังเพื่อน

คนเรามีห้าอย่างนี้ไปไหนก็สบาย ลองดูไหมครับ

Secret Box

วางความคิด ชีวิตสงบ

ฟุ้งตามความคิด ชีวิตไม่สงบ


ว.วชิรเมธี


จาก http://www.secret-thai.com/article/5213/suthep1/

http://www.secret-thai.com/article/5219/suthep2/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา- สุเทพ
หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
เงาฝัน 0 1487 กระทู้ล่าสุด 07 พฤษภาคม 2553 14:28:14
โดย เงาฝัน
ใครพอจะมีไฟล์เสียงหรือซีดีการบรรยายธรรม อ.สุเทพ โพธิสัทธา บ้างไหมคะ
เสียงธรรมเทศนา
Chutimon3033 0 680 กระทู้ล่าสุด 12 มิถุนายน 2564 13:26:45
โดย Chutimon3033
[ไทยรัฐ] - “สุเทพ” แจงยิบเหตุผลเชียร์ “สกลธี” นั่งผู้ว่าฯกทม. ชี้ไม่อยากให้คนระบอบทักษิณกลั
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 153 กระทู้ล่าสุด 12 พฤษภาคม 2565 19:49:14
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวด่วน] - “สุเทพ”เดินทางไปไหว้ศาลหลักเมือง หลังศาลยกฟ้องคดีโรงพักทดแทน
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 148 กระทู้ล่าสุด 20 กันยายน 2565 13:45:16
โดย สุขใจ ข่าวสด
[ข่าวมาแรง] - ศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกฟ้อง 'สุเทพ' คดีทุจริตก่อสร้างโรงพัก
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 179 กระทู้ล่าสุด 23 สิงหาคม 2566 05:03:49
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.427 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 06:16:08