[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 05:58:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "ไม่พอใจล่ะสิ เจ้าตกนรกแล้ว ทำบุญก็ไม่ได้บุญหรอก"!! คำพูดนี้จึงมี หลวงพ่อเทียน  (อ่าน 1411 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.272 Chrome 50.0.2661.272


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 09 กันยายน 2559 02:26:29 »



"ไม่พอใจล่ะสิ... เจ้าตกนรกแล้ว... ทำบุญก็ไม่ได้บุญหรอก"!! คำพูดประชดของภรรยาที่ทำให้ชายคนหนึ่งกลายเป็น "ปรมาจารย์ด้านการเจริญสติ"!!

"หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ" ซึ่งได้รับการยกย่องจากนายแพทย์ประเวศ วะสี ว่าเป็น "ปรมาจารย์แห่งการเจริญสติ" นั้น ชื่อเดิมของท่านคือ "พันธ์ อินทผิว" ส่วน "เทียน" นั้นเป็นชื่อบุตรชายของท่าน ซึ่งธรรมเนียมของเชียงคานบ้านเกิดของท่านนิยมเรียกผู้ใหญ่ตามชื่อของลูกคนหัวปี (หรือคนโตที่ยังมีชีวิตอยู่) ใครต่อใครจึงรู้จักท่านในนามของ "หลวงพ่อเทียน"

นายพันธ์ อินทผิว เป็นคนที่ใฝ่ในการทำบุญมาตั้งแต่เล็ก  เมื่อโตขึ้นแล้วได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้านก็เป็นผู้นำชาวบ้านในการทำบุญเสมอมา  นอกจากนั้น ความที่ท่านเป็นพ่อค้า มีเรือค้าขายล่องตามลำน้ำโขงขึ้นไปจนถึงเมืองลาว และประสบความสำเร็จพอสมควร จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมาก


หลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ

เมื่ออายุราว ๔๐ ปี ก็ได้เกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้ท่านหันมาสนใจปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง

ครั้งนั้น ท่านเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่เมืองลาว  ในงานมีมหรสพต่าง ๆ มากมาย เช่น หมอลำ ภาพยนตร์  ท่านได้ตกลงกับภรรยาว่า การใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดจนการจัดอาหารเลี้ยงแขก ยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยา ส่วนตัวท่านเองจะรับอุโบสถศีลและรับแขกทางไกล

ครั้นถึงเวลาเช้า ภรรยาของท่านมาถามว่าจะต้องจ่ายค่าหมอลำเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกโกรธมาก  ท่านเล่าความรู้สึกตอนนั้นว่า "มันหนักจนลุกแทบจะไม่ได้ ... มันตำเข้าในใจ" แต่ท่านก็ข่มอารมณ์ไว้และตอบด้วยสีหน้าปกติว่าเป็นหน้าที่ของภรรยา

อย่างไรก็ตาม  ความโกรธนั้นยังคงคุกรุ่นในจิตใจของท่าน

เมื่อเสร็จงานกฐินแล้ว ระหว่างรับประทานอาหารมื้อเย็นกับภรรยา ท่านจึงเปรยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้าว่า

"คนไม่รู้จักเคารพนับถือก็อย่างนี้แหละ!"

ท่านกล่าวซ้ำหลายหนจนภรรยาเอะใจ  เมื่อสอบถามจนรู้ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรก็พูดขึ้นว่า

"เจ้าไม่พอใจล่ะสิ ... โอ! เจ้าตกนรกแล้ว  แม้ทำกองกฐินก็บ่ได้บุญดอก"!!

คำพูดของภรรยากระทบใจท่านมาก ทำให้ได้คิดขึ้นมาว่า การทำบุญให้ทานนั้นไม่ได้ช่วยให้ท่านหายทุกข์เลย ... ท่านจึงหันมาสนใจการทำกรรมฐาน และตั้งใจว่า "หากยังเอาชนะความทุกข์ไม่ได้ก็จะไม่เลิกละการทำกรรมฐาน"




นับแต่นั้นมา ท่านได้ตัดสินใจว่าจะเลิกทำมาค้าขายเพื่อทำกรรมฐานอย่างเดียว  แต่กว่าจะสะสางการงานและจัดการเรื่องเงินทองต่าง ๆ จนแล้วเสร็จก็ใช้เวลาถึงสามปี  จากนั้นท่านก็แสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อแนะนำการปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่พบวิธีที่จะช่วยแก้ทุกข์ของท่านได้

จนในที่สุด ท่านได้ทดลองปฏิบัติตามแบบของท่านเองด้วยการยกมือเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ...พร้อมกับมีสติรู้กายตามไปด้วย  ในยามที่ใจเผลอไปคิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ ก็มีสติรู้ทันอาการของใจ แล้วพาใจกลับมารู้กาย จนเกิดความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง

ท่านทำเช่นนี้อยู่นาน ... จนกระทั่งเช้าวันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งเจริญสติอยู่ จู่ ๆ แมงป่องแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งก็ตกลงมาที่ขาของท่าน แล้วลูกของมันก็ออกมาวิ่งตามขาของท่าน  พอท่านเอาไม้มาแตะที่ขา แมงป่องก็เกาะไม้นั้นไว้  ระหว่างที่ท่านเอาไม้และแมงป่องไปวางไว้ที่คันนา ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นที่ใจของท่าน... เกิดปัญญาเห็นรูปนาม รู้สมมติ และเข้าใจไตรลักษณ์ ... เมื่อถึงตอนเย็นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอีกจนท่านรู้ชัดในอริยสัจและปรมัตถสภาวะ

นับแต่วันนั้น ท่านก็มั่นใจว่าได้พบสิ่งที่แสวงหามานาน ความทุกข์ใจที่เคยมีดับไปอย่างสิ้นเชิง ท่านจึงหยุดการแสวงหา และเริ่มแนะนำญาติมิตรให้รู้จักการเจริญสติด้วยวิธีดังกล่าว

ในเวลาต่อมาก็มีคนมาเรียนกับท่านมากขึ้น ซึ่งทำให้ท่านเห็นถึงข้อจำกัดของเพศคฤหัสถ์ในการสอนผู้คน  ในที่สุดจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ด้วยวัย ๔๘ ปี

เป็นเวลา ๒๘ ปี ที่ท่านสอนลูกศิษย์อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยด้วยวิธีการที่เป็นแบบฉบับของท่านเอง ... จนกระทั่งมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริรวมอายุได้ ๗๗ ปี
 
จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/203787/

เพิ่มเติม อัตโนประวัติ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือ

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,12016.0.html

http://www.sookjai.com/index.php?topic=179552.0


<a href="https://www.youtube.com/v/yy_UZGFL9bY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/yy_UZGFL9bY</a>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.293 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 16 มีนาคม 2567 13:24:46