[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 18:45:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สุขที่เรียบง่าย... เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล สร้างโรงทานช่วยคนพิการ ผู้ยากไร้  (อ่าน 3985 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.272 Chrome 50.0.2661.272


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 08 กันยายน 2559 09:02:16 »

สุขที่เรียบง่าย... เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล สร้างโรงทานช่วยคนพิการ ผู้ยากไร้






 เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล สร้างโรงทานให้เด็กพิการและผู้ยากไร้ ความสุขที่เรียบง่ายอันเกิดจากการแบ่งปัน เกิดเป็นบรรยากาศอิ่มใจ ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก

        เป็นภาพแห่งความสุขที่เกิดจากการแบ่งปันอย่างแท้จริง สำหรับบรรยากาศภายในโรงทานของ วรเชษฐ์ เอมเปีย หรือที่เราคุ้นชินกันในชื่อ เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล ที่ทุกวันนี้ใช้ชีวิตอยู่บนความพอเพียง พร้อมยินดีแบ่งปันความสุขให้แก่ผู้คนรอบด้าน ด้วยการสร้าง "โรงทาน" ในพื้นที่ จ.ชลบุรี เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้และคนพิการ ให้ทุกคนได้อิ่มท้องกันอย่างถ้วนหน้า

         โดยล่าสุด (7 กันยายน 2559) เราก็ได้หยิบภาพการแบ่งปันอันแสนสุขนี้ มาฝากให้เราได้ร่วมอิ่มใจไปด้วยกัน และหากใครที่อยากร่วมทำทาน ก็สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ เฟซบุ๊ก เชษฐ์ เฟซบุ๊ก เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล..Chate Smile Buffalo 










จาก http://hilight.kapook.com/view/141846

เพิ่มเติม “วันนี้ผมรวยกว่าสมัยออกเทปซะอีก” เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11892.0.html

http://www.sookjai.com/index.php?topic=179174.0

<a href="https://www.youtube.com/v/JYojicsa5kE" target="_blank">https://www.youtube.com/v/JYojicsa5kE</a>

















รอดู คนค้นฅน เชษฐ์ สไมล์ควายกลับนา http://www.tvburabha.com/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 กันยายน 2559 09:05:14 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.272 Chrome 50.0.2661.272


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 23 กันยายน 2559 23:55:12 »



คนค้นฅน : เชษฐ์สไมล์ควายกลับนา

หากย้อนเวลากลับไปช่วงปี พ.ศ.2538 ในยุคนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักวงดนตรีที่ชื่อ Smile Buffalo โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือกลองอย่าง เชษฐ์–วรเชษฐ์ เอมเปีย ผู้มีลีลาตีกลองโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป สมาชิกทุกคนแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของตัวเอง Smile Buffalo กลายเป็นอีกหนึ่งวงในตำนานยุคอัลเทอร์เนทีฟ ชีวิตของเชษฐ์ก็เช่นเดียวกัน เขาในวันนี้แตกต่างจากในอดีตเป็นอย่างมาก จากบ้านสุดหรูสู่กระท่อมกลางสวน นอกจากมือที่ยังคงถือไม้กลอง ในวันนี้ยังจับจอบจับเสียม และจับตะหลิวทำอาหารเพื่อผู้อื่น ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน

ติดตามเรื่องราวได้ในคนค้นฅน ตอน “เชษฐ์ สไมล์ฯ ควายกลับนา”

<a href="https://www.youtube.com/v/VTpX_BOK3V4" target="_blank">https://www.youtube.com/v/VTpX_BOK3V4</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/dbuDW8Sx8Rk" target="_blank">https://www.youtube.com/v/dbuDW8Sx8Rk</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/2NU5F5AONms" target="_blank">https://www.youtube.com/v/2NU5F5AONms</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/jFShlZVXIzY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/jFShlZVXIzY</a>
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 07 ตุลาคม 2559 00:44:00 »



ชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ของ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย (1)

เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว วรเชษฐ์ เอมเปีย หรือ เชษฐ์ วงสไมล์บัฟฟาโล มือกลองอารมณ์ดีที่มีฝีไม้ลายมืออันเป็นเอกลักษณ์เป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคที่ดนตรีอัลเทอร์เนทีฟร็อครุ่งเรืองหลังจากนั้นเขากลับหายหน้าหายตาจากวงการไปนาน เราได้พบเขาอีกครั้งในฐานะของ “เกษตรกร”

ซีเคร็ต บุกไปเยี่ยมเยียนคุณเชษฐ์ถึงที่บ้านในจังหวัดชลบุรี เขาต้อนรับเราอย่างเป็นกันเอง พร้อมพาลัดเลาะชมสวนชมต้นไม้ที่ปลูกมากับมือ และพาไปดูท้องนาซึ่งเต็มไปด้วยรวงข้าวที่รอเก็บผลผลิตด้วยความภาคภูมิใจ

ทำไมเขาจึงเลือกหันหลังให้ชีวิตที่เคยฟุ้งเฟ้อ และกลับมาใช้ชีวิตธรรมดา ๆ โดยยึดหลัก “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ที่บ้านเกิดวันนี้เขาพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟังแล้ว

ดนตรีอยู่ในสายเลือด

ผมเกิดและเติบโตที่อำเภอพนัสนิคมจังหวัดชลบุรี ครอบครัวของผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร พ่อเป็นครูสอนดนตรี ท่านจึงสอนให้ผมเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เริ่มจากเล่นดนตรีไทยเกือบทุกชนิด ผมเลือกเอาดีกับระนาดทุ้ม ไปประกวดที่ไหนก็ได้รางวัลกลับมาพอโตขึ้นมาหน่อยพ่อก็สอนให้เล่นดนตรีสากลตอนนี้เองที่ผมเริ่มหลงรักการตีกลองเข้าให้แล้ว

เมื่อขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมเริ่มประกวดดนตรีสากลจนได้แชมป์หลายรายการ และเคยได้แชมป์ระดับประเทศด้วย เรียกว่าดังใช้ได้เลยแหละ ช่วงนั้นมีงานเล่นดนตรีไม่ขาดสายวิชาความรู้ที่พ่อให้มากลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินที่ทำให้ผมส่งตัวเองเรียนได้

แต่ถึงใคร ๆ จะบอกว่าผมเล่นดนตรีเก่งแล้ว แต่ผมคิดว่าแค่มีประสบการณ์อย่างเดียวยังไม่พอ ผมอยากเรียนรู้โน้ตดนตรีและทฤษฎีดนตรีสากลเพื่อให้เข้าใจการเล่นดนตรีอย่างแท้จริง จึงโหมทำงานหนักเพื่อเก็บเงินจำนวนเกือบหมื่นไปลงคอร์สเรียนที่กรุงเทพฯ แม้การเดินทางไป - กลับจะเป็นไปอย่างลำบาก แต่ผมก็ไปเรียนไม่เคยขาดตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวความรู้มาให้ได้มากที่สุดเพราะมีเงินเรียนเพียงแค่คอร์สเดียวเท่านั้น

หลังมีพื้นฐานแล้ว ผมนำมาใช้พลิกแพลงในการเล่นดนตรี ทำให้เล่นได้ดีขึ้นและยิ่งมั่นใจมากขึ้น จนหลงคิดว่า ตัวเองเก่งแบบไม่มีใครสู้ได้แน่ ๆ และด้วยความคิดแบบนี้แหละที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ

ครั้งหนึ่งตอนอยู่ชั้น ม.6 ผมเตรียมตัวเข้าประกวดดนตรีของภาคตะวันออก แต่ด้วยคิดว่าเก่งแล้ว ทะนงตัวว่าอย่างไรก็คงไม่มีใครสู้ได้ เพราะชนะมาหลายรายการแล้ว จึงหนีการฝึกซ้อมไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนสำมะเลเทเมาจนพ่อทนไม่ไหวไปตามตัวจนเจอและตีผมต่อหน้าเพื่อน ๆ ผมอายและเสียหน้ามาก จึงหนีออกจากบ้านไป

แต่ก่อนวันแข่งขันผมรู้สึกกังวลขึ้นมาจึงแอบกลับมาที่บ้าน และได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องการแข่งขัน พ่อพูดขึ้นว่า

“ถ้าไม่มีเชษฐ์ คงต้องล้มเลิกการแข่งไป”

เมื่อผมได้เห็นสีหน้าผิดหวังของพ่อก็รีบวิ่งเข้าไปกราบท่าน และสัญญาว่าจะไม่ทำให้ท่านเสียใจ วันรุ่งขึ้นจึงไปแข่งขันกับวงซึ่งก็ได้รางวัลชนะเลิศกลับมา เหตุการณ์นี้สอนใจผมเสมอว่า อย่าไปคิดทะนงว่าตัวเองเก่ง เพราะจะทำให้ทั้งตัวเราและคนอื่นเสียหายได้ คนที่ล้มเหลวคือคนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว

 

ฝันที่ไม่เป็นจริง

หลังจบ ม.6 ผมมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตามความฝัน ผมและเพื่อนตั้งวงดนตรีด้วยกัน แล้วไปรับจ้างเล่นดนตรีตามผับบาร์แต่ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเราต้องอยู่อย่างขัดสน เพราะโดนโกงค่าจ้างอยู่ซ้ำ ๆ จนอยากเลิกทำอาชีพนี้

แต่แล้วก็มีเพื่อน ๆ ชวนมาเล่นดนตรีแบ็กอัพให้ศิลปิน ตอนนั้นเป็นการรวมวงของสมาชิก 4 คน คือ หนึ่ง - พนัส อภิชาติ-พงศ์บุตร (คีย์บอร์ด) ดิษ - ประดิษฐ์ วรสุทธิ-พิศิษฎ์ (ร้องนำ / เบส) เต็น – ธีรภัค มณีโชติ (กีตาร์) และตัวผมเป็นมือกลอง ซึ่งต่อมาก็คือวงสไมล์บัฟฟาโล (Smile Buffalo) ที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง

การหันมาเล่นวงแบ็กอัพให้ศิลปินทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับ พี่แทนวงเอาท์ไซเดอร์ จากการได้รับคัดเลือกให้เป็นวงแบ็กอัพในช่วงที่มาทัวร์คอนเสิร์ตที่เมืองไทย พอเริ่มสนิทกันพี่แทนจึงแต่งเพลงดีเกินไป และ ฟ้ายังฟ้าอยู่ ให้วงของเรา โดยวางแนวเพลงไว้เป็นแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อคซึ่งเป็นแนวเพลงค่อนข้างใหม่ในสมัยนั้น

เรียกได้ว่าพี่แทนเป็นผู้ปั้น วงสไมล์บัฟฟาโล ขึ้นมา เพราะเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือและชี้แนะให้เราเล่นและร้องแบบมีเอกลักษณ์เป็นที่จดจำของคนฟัง เราทำเพลงกับพี่แทนอยู่เป็นปีจนได้เพลงเดโมครบ 10 เพลง ก่อนที่พี่แทนจะบินกลับออสเตรเลีย จากนั้นเราสี่คนก็ลุยกันต่อ หวังจะไปให้ถึงฝันสูงสุดคือการออกเทป

ผมยังจำวันที่เราสี่คนไปเสนอเทปเดโมกับค่ายเพลงได้อย่างแม่นยำ วันนั้นทุกคนต่างแต่งตัวกันแบบที่เรียกว่าหล่อที่สุดในชีวิตเราเริ่มไปค่ายเพลงใหญ่ ๆ ก่อน แต่ต้องกลับมาด้วยความผิดหวังทุกครั้งไป บางค่ายไม่แม้แต่จะเปิดเพลงของเราฟังด้วยซ้ำ

นั่นคงเป็นเพราะเราไม่ได้หล่อแบบดาราที่มาเป็นนักร้องซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือ ตอนเข้าไปที่ค่ายเพลงแห่งหนึ่งเขาเปิดเพลงของเราฟังและพูดกับเราว่า

“วงของคุณฝีมือดีนะ แต่เราขอเพลงของคุณให้ดารามาร้องได้ไหม แล้ววงคุณก็เล่นแบ็กอัพให้”

พอได้ยินผมถึงกับนั่งกุมขมับต่อหน้าเขาเลย มันรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก ทำไมไม่มีใครเชื่อว่าเราทำได้ ทำไมเขาสนใจแต่รูปร่างหน้าตา โดยไม่มองความสามารถของเราเลย แต่ในใจก็ฮึดสู้ว่า ยังไงเราต้องออกเทปสวนกระแสให้ได้

แล้ววันหนึ่งผมก็ได้เจอคนที่เข้าใจความตั้งใจและเห็นฝีมือของเรา นั่นคือพี่บอย โกสิยพงษ์ แห่งค่ายเบเกอรี่มิวสิคที่ฟังเพลงของเราแล้วชอบ ทั้งยังตกลงจะออกเทปให้เราหลังจาก วงโมเดิร์นด็อก ที่เซ็นสัญญากันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่เราจำต้องปฏิเสธเพราะเพลงของสไมล์บัฟฟาโลเป็นแนวเพลงใหม่เหมือนกันจึงรอเวลาไม่ได้แต่อย่างไรผมก็ซาบซึ้งและขอขอบคุณพี่บอยจากใจและนับถือพี่เขาเสมอมา

เราทั้งสี่คนตระเวนเสนอเพลงตามค่ายต่าง ๆ แต่ทุกที่ก็เงียบหายไปหมด ผมและเพื่อน ๆ เครียดมาก เพราะตอนนั้นไม่ได้รับงานประจำ เงินทองก็ไม่มีใช้จ่าย ต้องอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ไปวัน ๆ ช่วงเวลานั้นผมทั้งท้อและเสียใจ จึงตัดสินใจหนีกลับบ้านไปคนเดียว โดยเขียนจดหมายขอโทษทุกคนว่าจะไม่เล่นดนตรีแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าจะกลับมาพร้อมกับความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างใจหวัง ผมกลับบ้านด้วยสภาพที่โทรมและผอมแห้ง เมื่อเห็นแม่ก็โผเข้ากอดท่านและบอกว่า

“หนูกลับมาบวชให้แม่นะ”

จากนั้นผมก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ผมตั้งใจเรียนรู้ธรรมะและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตอนนั้นจิตใจสงบมาก พ่อแม่ก็ชื่นใจ ญาติโยมก็ชื่นชม

แต่บวชได้ไม่นานนัก ชีวิตของผมก็มาถึงทางแยกอีกครั้ง

(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)

จาก http://www.secret-thai.com/category/article/




ชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ของ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย (2)

ผม (เชษฐ์-วรเชษฐ์ เอมเปีย) กลับมาบวชที่บ้านเกิดเป็นเวลาเกือบเดือน ชีวิตในผ้าเหลืองทำให้จิตใจสงบ ร่มเย็นผมมีโอกาสไปเทศน์ให้พ่อแม่ฟังที่บ้าน มองหน้าแม่ก็รู้ว่าท่านมีความสุขอย่างมาก

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่บวช ผมรักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด และรู้สึกเป็นสุขกับความสงบเช่นนี้ แต่แล้ววันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้ง

เพื่อน ๆ วงสไมล์บัฟฟาโลมาเยี่ยมที่วัดและบอกว่า

“หลวงพี่ ตอนนี้ทางค่ายเพลง EMI รับเราเป็นศิลปินแล้วนะ”

ตอนที่ได้ยินหัวใจผมลิงโลดไปแล้ว แต่ต้องพยายามตั้งสติและสงบจิตใจ และถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็พูดคำเดิมว่า ตอนนี้วงสไมล์บัฟฟาโลจะได้ออกเทปแล้ว เพื่อน ๆ บอกว่า เราต้องไปทำเพลงเลยทันที ตอนนั้นผมรู้ว่าเพื่อน ๆ กำลังจะเอ่ยปากขอให้สึก แต่ผมไม่อยากให้เขาพูดออกมา เพราะกลัวเขาจะบาป จึงรีบพูดว่า

“เอาอย่างนี้นะ โยมไม่ต้องพูดอะไรกลับไปกันก่อน เดี๋ยวหลวงพี่จะติดต่อกลับไป”

ตอนนั้นผมคิดว่าความฝันกำลังจะเป็นจริงแล้ว คงต้องขอออกไปสู้อีกสักครั้ง จึงตัดสินใจไปหาพระอาจารย์ กราบเรียนท่านว่าขอสึก ท่านก็ตกใจ เพราะศึกษาและปฏิบัติมาด้วยดีตลอดจนเป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านผมบอกว่าต้องไปทำเพลงเพื่อออกเทป ท่านฟังเหตุผลและเห็นว่าตั้งใจจริงจึงไม่ได้ขัดอะไร จากนั้นผมก็เดินมาบอกพ่อกับแม่ที่บ้านท่านก็อนุญาต วันรุ่งขึ้นจึงสึกออกมา

โลดแล่นไปในความฝันและกิเลส

เมื่อสึกแล้ว ผมเข้ากรุงเทพฯทันทีเพื่อไปเซ็นสัญญากับค่ายเพลง จากนั้นบริษัทก็ส่งวงของเราไปอัดเพลง การอัดเสียงสมัยนั้นเครื่องดนตรีทุกชิ้นต้องเล่นกันสด ๆ คนร้องก็ต้องร้องสด แล้วอัดเสียงกันตั้งแต่ต้นจนจบเพลง ถ้ามีส่วนไหนใช้ไม่ได้ก็ต้องเล่นใหม่ทั้งหมด แต่ละเพลงเราต้องเล่นไม่รู้กี่ร้อยรอบแต่ไม่ผ่านสักที ในใจเริ่มคิดว่า ตายแล้วสึกมาแล้วด้วย นี่โดนหลอกอีกแล้วเหรอจะแห้วอีกแล้วใช่ไหม ทำไมชีวิตเป็นอย่างนี้

ท้ายที่สุดทางบริษัทก็ให้เหตุผลว่า ที่ยังไม่ให้ผ่านเพราะเขารู้ว่าเราทำได้ดีกว่านี้ เราจึงตั้งใจทุ่มเทเต็มที่ ใส่กันอย่างไม่ยั้ง ไม่ว่าต้องอัดเพลงใหม่สักกี่รอบก็ไม่ท้อ ในที่สุดก็ได้ออกอัลบั้มแรกสมใจ พอปล่อยเพลงออกมาก็ดังเปรี้ยง กี่เพลง ๆ ก็ติดชาร์ตตลอด บางทีเราสี่คนแอบไปดูตามร้านเทปใหญ่ ๆ ในกรุงเทพฯ เห็นคนยืนต่อแถวซื้อเทปเพลงของเรา รู้สึกปลื้มใจ สุขใจ และภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งถึงกับมองหน้ากันแล้วน้ำตาซึมเลยก็มี

การที่วงมีชื่อเสียงทำให้ได้ไปออกรายการ ทไวไลท์โชว์ ของ ป๋าต๋อย - ไตรภพลิมปพัทธ์ ซึ่งเป็นรายการที่ดังมากในสมัยนั้นเราสี่คนไปอัดเทปรายการกันไว้สักพัก แต่ไม่รู้ว่ารายการจะออกอากาศเมื่อไหร่ เพราะช่วงแรก ๆ ยังไม่มีเงินใช้มากนัก จึงไม่มีทีวีที่บ้าน โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี จนวันหนึ่งผมเดินออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถเมล์ เห็นวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นมองและก็หันไปคุยกันจากนั้นเขาก็เรียกผมว่า

“ไอ้เชษฐ์ ๆ”

ผมตกใจมากว่าไปทำอะไรผิดหรือเปล่าจึงรีบเดินหนีไปขึ้นรถเมล์ พอขึ้นมาบนรถคนก็หันมามอง แล้วเข้ามาจับไม้จับมือพูดคุยกับผม เลยรู้ว่าตอนนั้นคนเริ่มรู้จักเราจากการที่ได้ออกรายการ ทไวไลท์โชว์ แล้ว แต่ก็ยังไม่คิดว่าเราดัง จึงชวนกันไปเดินห้าง คนก็เข้ามารุมเต็มไปหมด คงเป็นเพราะในยุคนั้นไม่ค่อยมีคนดังเยอะเหมือนสมัยนี้

การที่ผมเป็นที่รู้จักของแฟนเพลง คงเป็นเพราะเอกลักษณ์ความบ้าดีเดือด ทุกครั้งที่ออกคอนเสิร์ต ผมจะหวดกลองแบบไม่คิดชีวิต คือต้องสะใจทั้งตัวเองและคนดูต่างจากนักร้องสมัยนั้นที่เป็นดาราหน้าตาหล่อสวยกันทั้งนั้น

เมื่อคิดย้อนไปถึงชีวิตช่วงนั้น ก็เห็นว่าการที่เด็กหนุ่มอายุ 22 ปีอย่างผมได้รับชื่อเสียงเงินทองในชั่วข้ามคืน ทำให้เป็น“โรคติดความดัง” ไปโดยธรรมชาติ หลงตัวเองว่าเก่งว่าดัง หรือที่โบราณเขาว่า “วัวลืมตีน” พอสังคมเชิดชูว่าเป็นคนดัง ต้อนรับเราอย่างดี พาไปกินข้าวภัตตาคารหรู นอนโรงแรมห้าดาว ยิ่งทำให้หลงระเริงไปกันใหญ่ลืมไปเลยว่าตัวเองมาจากไหน

พอยิ่งดัง งานก็ยิ่งเยอะ เล่นดนตรีวันละสามงาน เงินทองเข้ามาเหมือนกับเสกได้ วันหนึ่ง ๆ แบ่งกันในวงแล้ว ได้อย่างต่ำวันละเจ็ดหมื่นบาท ผมฝากธนาคารหกหมื่นบาท อีกหนึ่งหมื่นบาทก็ใช้กับน้องชายที่มาทำงานด้วยกัน ตอนนั้นพอเล่นดนตรีเสร็จ เราก็เที่ยวต่อ เหนื่อยแค่ไหนก็จะเที่ยวไปให้คนกรี๊ด รู้สึกว่ามันเท่เหลือเกิน

ตลอดสี่ห้าปีที่มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย ผมใช้เงินเป็นว่าเล่นเช่นกัน จากที่เคยเป็นเด็กยากจน ก็อยากได้อยากมีมากขึ้นเรื่อย ๆ บ้านที่ซื้อตอนแรกเป็นบ้านหลังใหญ่ แต่อยู่ไปกลับรู้สึกว่าใหญ่ไม่พอ ก็ดั้นด้นสรรหาซื้อให้มันใหญ่เข้าไปอีก รถที่ใช้อยู่ก็ไม่เคยถนอม อยากได้คันใหม่ก็รีบใช้ให้มันพังแล้วมีรถคันเดียวก็ไม่พอด้วยนะ ซื้อเข้าไปหลาย ๆ คัน ตอนนั้นมันไม่มีสติ มีแต่กิเลสอยากได้โน่นอยากได้นี่ไม่มีที่สิ้นสุด และคิดไปว่าสิ่งเหล่านี้คือความสุข ลืมไปเลยว่าเมื่อก่อนอยู่ห้องแคบเท่ารูหนูก็อยู่ได้ รถเมล์ก็นั่งไปทำงานได้ ลืมตัวไปหมดทุกอย่าง

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมภูมิใจคือ พอลืมตาอ้าปากได้แล้ว ผมไม่เคยลืมพ่อแม่พี่น้อง ผมรีบพาแม่ไปรักษาโรคตาจนหายดีส่งเงินมาจ่ายค่าผ่อนรถกระบะของพ่อจนหมดช่วยเหลือพี่น้องจนอยู่กันสุขสบายทุกคนแต่ก็เป็นแค่การส่งเงินกลับมา ไม่ได้ส่งความรักด้วยการกลับมาดูแลเยี่ยมเยียนพ่อแม่สักเท่าไหร่

ก้าวที่พลาด

เมื่อแต่ละคนในวงมีชื่อเสียง มีฐานะกันแล้ว ต่างคนก็ต่างอยากแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก สุดท้ายวงสไมล์บัฟฟาโลก็แตก ตัวผมเองออกมาเปิดโรงเรียนสอนดนตรี แล้วก็ชวน หนึ่ง สมาชิกของวงมาลงทุนด้วยกัน ตอนนั้นผมเปิดแบบยิ่งใหญ่เลย ทุ่มสุดตัวแบบทุบหม้อข้าว กะว่าสบายไปอีกนาน เงินมันเคยได้ยังไงมันก็ต้องได้อย่างนั้น

แรก ๆ ธุรกิจก็ไปได้สวย เพราะเรามีชื่อเสียง ใครก็อยากมาเรียนด้วย แต่ต่อมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมืองทำให้ธุรกิจซบเซาไม่ค่อยมีคนมาเรียน รายได้หดหาย เงินที่มีก็ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็พังกันทั้งผมและหนึ่ง เพราะเหตุที่ทำอะไรเกินตัว ตอนนั้นผมเครียดมากเงินไม่รู้กี่ล้านที่หายไป ใจไม่อยากกลับไปลำบากเหมือนเดิมแล้ว คิดจะหางานอะไรทำก็ไม่ได้ เพราะเรามาทางสายนี้ จะไปทำอาชีพอื่นก็ตามเขาไม่ทันแล้ว

ทางออกที่ต้องทำคือขายโรงเรียนให้ได้เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ และเหลือเงินก้อนมาตั้งหลักใหม่ ระหว่างที่เครียดกับเรื่องของตัวเอง ผมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่ป่วยหนักมาก

ผมทิ้งทุกอย่างแล้วขับรถกลับบ้านที่ชลบุรีทันที มาถึงแม่ก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วอาการของแม่ค่อนข้างหนัก จึงต้องทำเรื่องย้ายไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า หมอบอกว่าแม่อาจไม่รอด แต่ผมขอให้ช่วยรักษาให้เต็มที่ดูก่อน แม้จะหวังแค่เปอร์เซ็นต์เดียวผมก็สู้

ความทุกข์เรื่องแม่ถือเป็นความทุกข์ที่ใหญ่หลวงที่สุด ผมนึกเสียใจว่าที่ผ่านมาไม่ได้กลับมาดูแลท่าน ในใจภาวนาขอให้ท่านมีชีวิตรอด แม้ต้องแลกกับอะไรก็ยอม

(โปรดติดตามตอนต่อไปฉบับหน้า)


จาก http://www.secret-thai.com/article/15482/worachet2/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ตุลาคม 2559 16:22:38 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 09 ตุลาคม 2559 16:23:03 »



ชีวิตในแบบ “ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา” ของ เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย (จบ)

ระหว่างนั่งรอแม่อยู่ที่หน้าห้องไอซียู ผม (เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย) ทรมานใจมาก ความทุกข์ถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง ทั้งเรื่องของตัวเองและความเจ็บป่วยของแม่

ผมทุกข์มากจนคิดหาที่พึ่งทางใจ ซึ่งผมนับถือหลวงพ่อโสธร จึงอธิษฐานหน้าพระพุทธรูปที่โรงพยาบาล ขอพรให้ท่านคุ้มครองแม่ให้ปลอดภัย ถ้าแม่ฟื้นผมจะบวชอีกครั้ง

วันรุ่งขึ้นแม่ก็ฟื้นขึ้นมาเหมือนปาฏิหาริย์แม้ท่านยังพูดไม่ได้ แต่เห็นจากสายตาก็รู้ว่ายังมีสติอยู่ ผมจึงสบายใจขึ้น แต่เนื่องจากแม่อายุมากแล้วและเป็นโรคเบาหวาน จึงต้องพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล และต้องอยู่ห้องพักคนไข้รวมเพื่อให้แพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด

ไม่นานหลังจากนั้นผมก็โชคดีที่มีคนมาซื้อโรงเรียนดนตรีและบ้านที่ประกาศขายไว้ผมขายสมบัติทุกอย่างที่กรุงเทพฯ เหลือแค่รถคันเดียวสำหรับใช้เดินทาง เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็รีบกลับมาดูแลแม่ พอท่านดีขึ้น ผมจึงบวชตามที่อธิษฐานไว้

ช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่บวช ทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านมามีแต่ความวุ่นวายจมอยู่กับกิเลส ที่ทำให้อยากมี อยากได้อยากเป็น จึงตั้งใจว่านับจากนี้ไปจะน้อมนำธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และขอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลพ่อกับแม่ตลอดไป

ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา

ผมเห็นความเป็นจริงของชีวิตมากที่สุดเมื่อได้มาเฝ้าไข้แม่ที่โรงพยาบาลนาน 6 เดือน ตอนแรกผมทั้งกลัวทั้งหดหู่ที่ต้องเห็นคนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บป่วย บางครั้งก็เห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา แต่นานเข้าก็คิดได้ว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็น “ธรรมดา” ของชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น

ในช่วงเวลานี้เองที่ผมเริ่มเข้าวัดไปสวดมนต์ปฏิบัติธรรม จนได้สัมผัสถึงความร่มเย็นในจิตใจ จึงตั้งปณิธานว่า ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามหลัก “ธรรมะ ธรรมชาติธรรมดา” ซึ่งก็คือมีธรรมะในใจ ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และอยู่อย่างธรรมดา ไม่ต้องหวือหวาฟุ่มเฟือย

ผมเข้ามาปรับที่ดินรกร้างที่มีอยู่ มุ่งมั่นจะทำพื้นที่แห่งนี้ให้ห้อมล้อมด้วยต้นไม้และธรรมชาติที่สวยงาม ผมปลูกบ้านไม้หลังเล็ก ๆ แค่พออยู่อาศัย ปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดด้วยสองมือของผมเอง โดยไม่มีความรู้เรื่องการปลูกต้นไม้และการทำไร่ทำสวนเลย เมื่อพ่อเห็นก็สงสาร แบกจอบมาช่วยขุดดินและปลูกต้นไม้ด้วยกัน จนในที่สุดพื้นที่รอบบ้านก็ร่มรื่น กลายเป็นสวนผสมที่มีทั้งพืชสวนครัวและผลหมากรากไม้ ที่หลายปีต่อมาผมสามารถเก็บผลผลิตมากินได้สบาย ๆ แถมยังเหลือขายเป็นรายได้อีกด้วย

ผันตัวเองเป็น “ชาวนา”

การเป็นชาวนาของผมเกิดจากการเห็นแปลงนาที่บ้านรกร้างมานาน จึงเข้าไปปรับปรุงที่ดินและปลูกข้าว หวังว่าจะมีผลผลิตไว้กินในครอบครัว โดยเริ่มจากปลูกข้าวหอมนิลปลอดสารพิษที่เกษตรตำบลแนะนำ การทำนาครั้งแรกได้ผลผลิตดีมาก เมล็ดข้าวอ้วนโตแถมยังได้ปริมาณเยอะกว่าที่คาดไว้ ผมจึงแจกจ่ายให้คนรู้จักและนำข้าวไปทำบุญที่วัดพระบาทน้ำพุ เพราะเห็นว่าข้าวชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย เหมาะกับผู้ป่วยที่วัด

แต่การปลูกข้าวครั้งต่อ ๆ มาไม่ราบรื่นนักผลผลิตเสียหายบ้าง ขาดทุนบ้าง ซ้ำยังได้ยินคำพูดที่ทำให้เสียกำลังใจว่า

“ทำนาอย่างมึงเนี่ย ถ้าเป็นกู กูขายข้าวอย่างเดียวไม่พอ ต้องขายที่นาไปด้วยถึงคุ้ม”

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงถอดใจไปแล้วแต่ครั้งนี้ผมไม่ย่อท้อ พยายามหาความรู้และหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ประจวบเหมาะพอดีกับที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งสุขภาพไม่ดี ได้กินข้าวหอมนิลของผมแล้วกลับแข็งแรงขึ้นมาทำให้ผมมีกำลังใจว่า อย่างน้อยข้าวที่เราปลูกก็มีประโยชน์ต่อคนที่เจ็บป่วย ซึ่งถ้าเขาหายป่วยได้ก็เท่ากับเราได้บุญด้วย

ผมจึงไปปรึกษากับเกษตรตำบล และหารือกับชาวนาในชุมชนเพื่อร่วมกันปลูกข้าวหอมนิลและข้าวไรซ์เบอร์รี่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นข้าวปลอดสารพิษเท่านั้น ซึ่งก็มีหลายคนที่เข้ามาร่วมมือร่วมใจกัน ผลผลิตที่ได้เราขายในราคาไม่แพงเพื่อให้ชาวบ้านได้กินข้าวดี ๆ มีประโยชน์ เมื่อคนซื้อไปกินเห็นผลว่าข้าวของเรามีประโยชน์จริง ๆ จึงพูดกันไปปากต่อปากว่า

“ข้าวของเจ้าเชษฐ์สุดยอดไปเลย กินแล้วหายป่วย”

เท่านั้นแหละ คนก็แห่มาซื้อข้าวผมไม่ขาดสาย ยิ่งพอผมถ่ายรูปช่วงทำนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตลงเฟซบุ๊ก คนก็ยิ่งรู้จักในวงกว้างและมาอุดหนุนกันตลอด ตอนนี้เราขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน ผลผลิตได้มากี่ตัน ๆก็ขายได้หมด ชาวนาในชุมชนก็มีความสุขเพราะมีรายได้เข้ามาไม่ขาด

การปลูกข้าวถือเป็นความภาคภูมิใจของผม ครั้งหนึ่งมีคนติดต่อมาให้เราปลูกข้าวเพื่อส่งออกนอก แต่ผมปฏิเสธ เพราะผมอยากเก็บข้าวดี ๆ ไว้ให้คนไทยได้กินและซื้อในราคาถูก

ความสุขที่แท้จริง

เมื่อก่อนผมเคยคิดเสียดายเงินทองบ้าน และรถ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเลย ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนให้เหนื่อย ทุกวันนี้ผมสุขใจกับการได้เดินดูต้นไม้รอบบ้าน ใช้ชีวิตอย่างสมถะในบ้านหลังเล็ก ๆและได้อยู่ดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด

ส่วนเรื่องคู่ครองตอนนี้ก็ไม่ได้คิดหวังแล้ว แต่ก็มีคนที่อยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจกันมานาน ดูแลผูกพันกันทางใจ ผมเปรียบเขาเหมือนกับท้องฟ้าสีฟ้า ส่วนผมเป็นเงาใต้ฟ้าเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันตลอดไป ส่วนชีวิตที่เหลืออยู่ ผมตั้งใจทำบุญสะสมไว้ให้มากที่สุด และอุทิศตนทำประโยชน์คืนสังคมในวันที่แรงกายเรายังไหว

เรื่องดนตรีผมก็ไม่ได้ทิ้งไปไหน ยังพอมีงานบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนมากเป็นการเล่นคอนเสิร์ตการกุศลหรืองานระดมทุนงานบุญต่าง ๆ ผมเคยจัดมินิคอนเสิร์ตที่บ้านเพื่อระดมเงินไปมอบให้สถานเลี้ยงหมาแมวจรจัดในจังหวัดชลบุรีและนำไปทำบุญที่ต่าง ๆเป็นประจำ ซึ่งก็มีแฟนเพลงมาร่วมทำบุญกันอยู่เสมอ

ในวันที่ผมเข้าใจธรรมดาของชีวิต ได้สัมผัสความร่มเย็นของชีวิตที่เดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็อยากแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้คนอื่น จึงแต่งเพลงที่ชื่อว่า ฆ่ากิเลสขึ้นมา อยากให้คนฟังฉุกคิดได้เหมือนกับผมว่า

เพียงฆ่ากิเลสให้ตายไปหมดสิ้น ด้วยการน้อมรับธรรมะมานำทาง ปล่อยวางให้ใจว่างแล้วจะรู้ว่าสุขใดก็ไม่เท่าที่มีธรรมะในใจ

จาก http://www.secret-thai.com/article/15486/worachet3/
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
คุณครูริมคลอง ขอเชิญหนุ่มสาวชาวกรุงร่วมแบ่งปันความรู้สู่น้องๆ ผู้ยากไร้
ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
หมีงงในพงหญ้า 0 1750 กระทู้ล่าสุด 21 มกราคม 2553 14:56:05
โดย หมีงงในพงหญ้า
เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่ : ค.ว.ย. (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ)
หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
หมีงงในพงหญ้า 0 3452 กระทู้ล่าสุด 03 กรกฎาคม 2553 15:07:58
โดย หมีงงในพงหญ้า
“วันนี้ผมรวยกว่าสมัยออกเทปซะอีก” เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1337 กระทู้ล่าสุด 26 สิงหาคม 2559 23:29:08
โดย มดเอ๊ก
คนมันส์พันธุ์อาสา : ภารกิจ โรงทานวันเด็ก ( เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล)
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
มดเอ๊ก 0 1281 กระทู้ล่าสุด 22 มกราคม 2560 20:28:38
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.769 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 23:49:43