[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 08:11:48 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การผูกเสี่ยว ตามจารีตประเพณีของคนอีสาน  (อ่าน 1999 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5458


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 20 กันยายน 2559 17:16:20 »




การผูกเสี่ยว
ตามจารีตประเพณีของคนอีสาน

คนทั่วๆ ไป ยังเข้าใจความหมายของคำว่า “เสี่ยว” ซึ่งเป็นคำที่แพร่หลายที่สุดของ “คนอิสาน” คลาดเคลื่อน, บิดเบือนไปจากความหมายของเขาแทบทั้งสิ้น...

เสี่ยว” ในความรู้สึกของ ‘คนกรุงเทพฯ’ สมัยหนึ่งนั้น คือการดูถูกเหยียดหยามกันอย่างชัดๆ ที่เบาลงมาหน่อยก็เป็นไปในทำนอง ‘เชย’, ‘เปิ่น’, บ้านนอก ฯลฯ ถ้าเอ่ยคำว่า ‘เสี่ยว’ คนกรุงเทพฯ หมายถึงชาวอิสานโดยเฉพาะ รวมไปถึงคำพ่วงอีกคำหนึ่งนำหน้าหรือตามหลังเช่น ‘บักหนาน’ – ‘บักเสี่ยว’ ซึ่งอยู่ในนัยเดียวกัน

คนอิสานเกลียด, โกรธ, ขมขื่นใจ, ที่คนต่างถิ่น ขนานนามเขาว่า ‘เสี่ยว’ โดยไม่เลือกกาลเทศะ ในขณะที่ไม่มีเหตุผลหรือเหตุการณ์อะไรที่ใกล้เคียงเกี่ยวข้องกับ คำว่า ‘เสี่ยว’ แต่คำนี้กลับถูกเรียกออกมาลอยๆ โดดๆ ความรู้สึกของเขาจึงดูประหนึ่งถูกหมิ่นถูกหยามอย่างชนิดเลือดฉ่าไปทั้งตัวทีเดียว แต่ก็อย่างว่าเขาเหล่านั้นมาจากดินแดนที่มีแต่ความทรหดอดทน การข่มขันติ และการรักสันติ เป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา จนพวกเขาได้รับสมญานามว่า “ถิ่นไทยดี” ดังนั้นเขาจึงทนได้ กลั้นได้, แม้ว่าเลือดเขาจะพล่านสักปานใดก็ตาม การข่ม, การเงียบ, การยอมจำนน, คนกรุงเทพฯ ยุคนั้นเลยนึกว่าหมู ว่าได้ว่าเอา ว่าให้แสบใจเล่นๆ งั้นแหละ ทั้งๆ ที่นักมวยมือดีๆ, นักการเมือง, นักการทหาร, รวมไปถึงผู้มีอำนาจในแผ่นดินยุคหนึ่งคือ ‘เสี่ยว’ ของคนกรุงเทพฯ นั่นเอง

เมื่อจอมพลสฤษดิ์ขึ้นเถลิงอำนาจ สามล้อเกือบหมื่นคันพากันไปชุมนุมที่สนามหลวง พากันแห่ขบวนไปรอบๆ ตะโกนกึกก้องไปสู่ท้องฟ้า... “ข้าวเหนียวขึ้นโต๊ะ...ข้าวเหนียวขึ้นโต๊ะ...แล้วเว๊ย...” จากนั้นเป็นต้นมาคำว่า “เสี่ยว” ก็ค่อยๆ จางหายไป คนกรุงเทพฯ เริ่มรู้จักคนอิสานและรักใคร่คบหาสนิทใจขึ้นกว่าเดิม

ที่สมาคมหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย คนหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศแวะผ่านไปมาร่วมสังสรรค์ เมื่อใครพบกลุ่มใครซึ่งเป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน ก็ล่อภาษาพื้นเมืองกันอย่างครื้นเครงและเต็มไปด้วยความภาคภูมิ คนใต้ออกจะเลือดร้อนกว่าเพื่อน คนที่คิดว่าตนเองคือ “คนกรุงเทพฯ” เรียกคนใต้ว่า “ไอ้พวกต้ำปรื้อ” เพียงคำเดียว ปากก็กินน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวัน ต่างกับคนอิสานเรียก ‘เสี่ยว’ เรียก ‘หนาน’ เรียกได้เรียกไปข้อยบ่ถือ เพราะแกไม่ได้ศึกษาถึงที่มาของคำนี้ หากแกรู้และซึ้งถึงความหมายของคำนี้แล้ว...วันนั้นแกจะละอายใจต่อความพล่อยของลิ้นลมปากตนเอง...

คนอิสานยกย่องเทิดทูนเคารพคำว่า ‘เสี่ยว’ นี้อย่างซาบซึ้ง มันเป็นคำที่ละเอียดอ่อน ยากนักที่จะปฏิบัติตนให้เป็นไปตามคำขาน, คำเรียกของคำๆ นี้ได้ง่ายๆ

‘เสี่ยว’ มิได้หมายความถึง เพื่อนรัก-เพื่อนใคร่ หรือเพื่อนเกลอ ดั่งที่ความเข้าใจสามัญๆ เข้าใจเช่นนั้น ความหมายของมันสูงส่งยิ่งกว่านั้นมากนัก

เสี่ยว คำนี้มีความหมายยิ่งยง เหมือนพงศาวดารสามก๊ก ตอน เล่าปี่, กวนอู เตียวหุย, กรีดเลือดดื่มน้ำสาบาน ร่วมเป็นพี่เป็นน้อง ร่วมเป็นร่วมตาย อย่างไรก็อย่างนั้น แต่ ‘เสี่ยว’ ของคนอิสาน ไม่ถึงขั้นที่ต้องกรีดเลือดกรีดเนื้ออย่างสามก๊ก เขามีพิธีการที่ละมุนละมัยอ่อนโยน ผูกพันจิตใจ กระหวัดรัดรึงกันยิ่งกว่านั้น

เสี่ยว เท่าที่เห็นๆ มีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทแรกได้แก่การ “ผูกเสี่ยว” แบบธรรมดาพื้นๆ ประเภทหลัง ได้แก่การ “ผูกเสี่ยวเหยเพยแพง

เสี่ยวเหยเพยแพง จะเกิดขึ้นแต่ละครั้งจะต้องมีพิธีรีตองกันอึงคะนึง ราวกับจะจัดงานบุญ หรือประกอบนักขัตฤกษ์อะไรๆ ทำนองนั้น มีการตีฆ้องร้องป่าว มีสักขีพยานที่จะต้องรับรู้ในพิธีกรรมอันนี้ คู่ที่จะเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง จักต้องดื่มน้ำพุทธมนต์แทนน้ำสาบานร่วมบาตรหรือขันเดียวกัน ต่อหน้าสักขีพยาน ท่ามกลางการอ่านโองการของปูมปุโรหิต สาปแช่งและให้พรชัยไปพร้อมกัน คนคู่นั้นถึงจะเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง กันได้โดยสมบูรณ์แบบ

‘เสี่ยว’ แบบธรรมดาๆ หรือพื้นๆ มีพิธีรีตองเช่นกัน แต่ย่นย่อลงหลายอย่างจนเกือบจะไม่เป็นพิธี แต่ก็นับเนื่องเข้าเป็น เสี่ยว ได้โดยนัย และส่วนใหญ่ของคนอิสานก็มีเสี่ยวระดับนี้เป็นสโลแกนของสังคมอยู่ทั่วไป ประเภทแรกจึงสูงกว่า หนักแน่นกว่า และเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ประเภท ๒ ดำเนินรอยตามไปสู่จุดหมายปลายทางอันเดียวกัน

การผูกเสี่ยวของคนอิสาน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นชายกับชาย หญิงกับหญิง แม้แต่ชายกับหญิง หรือหญิงกับชาย ก็เป็นเสี่ยวเหยเพยแพงกันได้ ไม่เลือกเพศเลือกวัย เลือกวรรณะ ฐานะ หากมีจิตใจมีแก่นแท้ของการผูกพันรักใคร่ซึ่งกันและกันเป็นสรณะแล้ว การประกอบพิธีการผูกเสี่ยวก็เกิดขึ้นได้

พิธีกรรมของการผูกเสี่ยวเหยเพยแพงจะเริ่มขึ้นด้วยการนัดวันหาฤกษ์ยามที่เหมาะสมกับสมพงษ์ของคนทั้งสอง เมื่อได้โฉลกฤกษ์ยามวันดี การล้มวัว ควาย หมู เป็ด ไก่ ก็ลงมือทันที  การล้มหมู วัว ควาย นี้อยู่ที่ฐานะของบุคคลทั้งสองจะกำหนดเอาเอง ฐานะดีก็เล่นวัวควายให้เอิกเกริก ถ้าหย่อนลงมาก็แค่หมูหรือเป็ดไก่ก็ใช้ได้เช่นกัน

ทั้งสองคนที่จะเป็น “เสี่ยวเหยเพยแพง” ไม่จำเป็นที่จะต้องมีฐานะทัดเทียมกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีฐานะเหนือกว่าอีกฝ่ายก็เป็นผู้ออกเงินไป ถ้าฐานะทัดเทียมกันก็ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายคนละครึ่ง พิธีการก็เริ่มขึ้นโดยทางศาสนาและพิธีของพราหมณ์ผสมกัน

ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของคนทั้งสองฝ่าย จะถูกป่าวร้องชวนเชิญให้มาในงาน “เอาเสี่ยว” หรือ “ผูกเสี่ยว” ล่วงหน้า ๑ วัน ไม่ว่าจะเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันหรือคนละถิ่นละแห่ง ก็จักต้องป่าวร้องให้มาเป็นสักขีพยานในการ ‘ผูกเสี่ยว’ ในครั้งนี้โดยทั่วถึง รวมความแล้วทั้งสองฝ่ายมีพ่อแม่ญาติโกโหติกาเท่าไหร่ก็ขนกันมา เพื่อที่จะเป็นวงศาคณาญาติสืบเนื่องกันไปเบื้องหน้า โดยคนทั้งสองเป็นหลักประกันในการผูกสัมพันธ์ของวงศาคณาญาติ

พิธีทางศาสนาเริ่มด้วยการนิมนต์พระมาฉันอาหารเพล เพื่อจะขอน้ำมนต์แทนน้ำสาบาน ต่อจากพิธีทางศาสนาจึงเป็นพิธีของพื้นบ้านซึ่งมีลัทธิของของพราหมณ์เข้ามาผสม มีการตั้งขันโตกบายศรี เรียกว่า ‘ขันแปด’ เมื่อพระเสร็จพิธีของสงฆ์และท่านลงเรือนไปแล้ว พิธีสูตรขวัญก็เริ่มขึ้นด้วยการโอมอ่านโองการเชิญเทวดามาชุมนุมจนสิ้นขบวนความ จึงประกาศการเป็นเสี่ยวเหยเพยแพง ของบุคคลทั้งสอง ต่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้น ให้รับรู้เป็นสักขีพยาน แล้วจึงโอมอ่านคำอวยชัยให้พรและสาปแช่งการตระบัดสัตย์ซึ่งกันและกันควบคู่ไปในเนื้อหาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงให้ญาติพี่น้องมิตรสหายของคนทั้งสองเข้ามาผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ รับเอาความผูกพันเหล่านั้นกระชับเกลียวเข้าไปด้วยก็เป็นอันเสร็จพิธี ต่อจากนั้นก็เปิดรายการกินกันสำราญบานใจ ไปจนกระทั่งตกค่ำย่ำเย็น หรือจนกว่าจะตะบันเข้าไปไม่ไหวโน่นแหละจึงจะเลิกรากัน

บัญญัติของ ‘เสี่ยว’ ที่ได้ตราไว้เป็นกฎเกณฑ์นั้น ตามโอมอ่านของพราหมณ์ปุโรหิตสรุปรวมความแล้วได้ความว่า “สูเจ้าทั้งสอง ได้ประกาศต่อหน้าเทวดาฟ้าดินและสักขีพยานรอบๆ นี้แล้วว่า จะรักซื่อตรงต่อกัน แม้ชีวิตก็จักพลีให้แก่กัน จะไม่ยอมทอดทิ้งกันและกันไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด เจ้าทั้งสองได้ประกาศแล้วว่าชีวิตของเจ้าทั้งสองจะเหมือนเป็นชีวิตเดียวกัน พ่อแม่ญาติพี่น้องของเจ้าทั้งสองจะเป็นเสมือนคนครัวเรือนเดียวกัน ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยามตกทุกข์ได้ยากหรือยามมั่งมีศรีสุข เจ้าทั้งสองจักต้องดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้งกัน จนกว่าชีวิตของเจ้าทั้งสองจะดับสูญ ฯลฯ”

นี่แหละครับการเป็น เสี่ยวเหยเพยแพง ต้องอยู่ในสูตรเหล่านี้และจะต้องอยู่อย่างเคร่งครัดจริงๆ

คนเหมืองหลวงหรือทั่วๆ ไปก็มีคำนี้เช่นกัน เช่น เพื่อนน้ำมิตร เพื่อนตาย เพื่อนยาก เพื่อนเกลอ ฯลฯ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่าไม่หนักแน่นจริงจังเหมือนคำว่า เสี่ยว ของคนอิสานเองเลย

ความหมายอันยิ่งใหญ่ของคำว่า เสี่ยว นี้ มีเรื่องเล่าเป็นคติไว้โลนๆ หลายเรื่อง เป็นการลองใจหรือล้อกันเล่นระหว่าง ‘เสี่ยว’ คือมี ‘เสี่ยว’ คู่หนึ่งภายหลังจากการผูกเสี่ยวกันแล้วก็แยกย้ายกันไปมีเมีย ความห่างเหินในการไปมาหาสู่ก็เป็นไปโดยธรรมชาติ จนกระทั่งวันดีคืนดี ‘เสี่ยว’ ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ลงทุนไปเยี่ยมอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งคู่โผเข้ากอดรัดตบหัวหูซึ่งกันและกันแสดงออกถึงน้ำใจยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอยู่เช่นเดิม แล้วฝ่ายที่ถูกเยี่ยมก็เรียกเมียสาวออกมารู้จักกัน พอเห็นหน้าเมียของเสี่ยว ผู้ไปเยี่ยมก็ออกปากเอาตรงๆ เลยว่า “เฮ้ย เสี่ยว เมียมึงสวยจริงๆ ขอกูได้ไหมวะ!...”  เสี่ยวที่ถูกเยี่ยมสะอึก  ยังไงๆ โอมอ่านบัญญัติของพราหมณ์ปุโรหิตในวันผูกเสี่ยวก็ยังกึกก้องอยู่เสมอ หมอก็ตอบเสียงดังฟังชัดไปทันทีว่า “ตกลงๆ ๆ” เสี่ยวฝ่ายที่ลองใจก็ถอนหายใจเฮือกกอดเพื่อนแน่นกว่าเก่า ซึ้งในน้ำใจที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

และทำนองเดียวกัน ฝ่ายถูกเยี่ยมไปเยี่ยมตอบแทนบ้าง พอเจอหน้า ‘แม่เสี่ยว’ (เมียของเสี่ยว) ก็ออกปากเอาดื้อๆ เหมือนกัน ฝ่ายนั้นก็หัวเราะก๊ากๆ ‘เอาเลย เอาเลยเพื่อน’

เป็นแต่เพียงการเปรียบเปรยให้เห็นความล้ำลึกของจิตใจของคำว่า “เสี่ยว” ว่าล้ำลึกเพียงใด โดยนัยแล้วเขาผนึกชีวิตเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สำมะหาอะไรกับทรัพย์หรือสิ่งประกอบอื่นใดที่เป็นของภายนอก เขาจะปรารมภ์แม้แต่เมีย

คนกรุงเทพฯ เพื่อนรุ่นพี่ของผู้เขียนคนหนึ่ง ชอบล้อเลียนผู้เขียนอยู่ทุกบ่อยๆ จนดูๆ คล้ายกับเป็นการเหยียดหยามกันไปในเชิง โดยพบหน้าผู้เขียนคราวใดจะต้องทักทายออกมาลอยๆ ด้วยเสียงอันดังอยู่เสมอว่า ‘เฮ้ยเสี่ยว’ ‘ว่ายังไงบักเสี่ยว’ ฯลฯ บ้าง  วันหนึ่งผู้เขียนทนไม่ไหวก็เลยตอบโต้ไปด้วยเสียงอันดังพอๆ กันว่า “พี่รู้บ้างไหมที่เรียกผมว่าเสี่ยว, บักเสี่ยวหน่ะ เสี่ยวนี้มันหมายถึงเพื่อนเป็นเพื่อนตาย แม้แต่เมียก็ยังเปลี่ยนกันนอนได้ พี่พร้อมแล้วหรือที่จะเป็นเสี่ยวกับผม...”

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เพื่อนรุ่นพี่คนนั้นก็เลิกคำว่า เสี่ยว กับผู้เขียนชนิดเงียบกริบไปเลย เพราะผู้เขียนว่าไปยังงั้นแล้วก็อธิบายให้แกรู้ที่มาของคำว่าเสี่ยวและจารีตประเพณีเกี่ยวกับการเป็นเสี่ยวอย่างยืดยาว รู้สึกว่าแกนิ่งฟังด้วยความสนใจและเข้าใจ ผู้เขียนจึงทราบว่าที่แท้นั้นแกรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่าที่จะจงใจล้อเลียน เราก็ยังรักใคร่นับถือกันเรื่อยมาจนบัดนี้

คนอิสานวางกฎเกณฑ์ของการเป็น เสี่ยว ไว้ละเอียดและรัดกุมมาก หากเสี่ยวทั้งสองฝ่ายมีลูกเต้าเป็นหญิงชายคนละคน หากเด็กมันเกิดรักกันขึ้น “พ่อเสี่ยว-แม่เสี่ยว” จักต้องโอเค จัดการให้เกิดการผนึก “เสี่ยวกำลังสอง” กำลังสามเพิ่มขึ้นไปให้เป็นปึกแผ่นแผ่ขยายออกไปไม่มีขัดข้อง

แต่หากในกรณี เสี่ยวผู้ชายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเป็นพ่อหม้ายหรือพ่อร้าง ดันเสือกไปชอบพอลูกหลานหรือน้องสาวของเสี่ยวอีกฝ่ายหนึ่งเข้าให้ อันนี้จารีตไม่อนุมัติอย่างเด็ดขาด ถือว่าเป็นเสนียดและทรยศต่อน้ำสาบาน และเสี่ยวผู้นั้นจะถูกคนถุยสาปแช่งทั่วไป  หรือว่า ผู้หญิงกับผู้ชาย หรือผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งคูใด ได้เข้าพิธี “ผูกเสี่ยว” ตามคำโอมอ่านโองการของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว ต่อมาเสี่ยวหญิงชายทั้งคู่นี้เกิดรักกันฉันท์หนุ่มสาวขึ้น...เสียใจจริงๆ ที่คนคู่นี้จะแต่งงานกันไม่ได้ เพราะบัญญัติของเสี่ยวได้เป็นกำแพงกั้นไว้ เขาจะหาทางออกกันยังไง ผู้เขียนเองก็งุนงงอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เท่าที่ได้ฟังและได้เห็นมา เห็นเสี่ยวทั้งคู่นี้ทำพิธีลบล้างหรือถอนคำว่า ‘เสี่ยว’ ออกโดยกรรมวิธีของพราหมณ์เสียก่อน แล้วเขาจึงจัดทำพิธีแต่งงานกัน...ยังงี้ก็มีด้วย...

ความจริงหญิงกับชายหรือชายกับหญิงคู่ใดจะผูกเสี่ยวกันขึ้นนั้น ชายที่เป็นเสี่ยวกันอย่างตรงไปตรงมาตามแบบฉบับ ส่วนมากมักจะหนีธรรมชาติไปไม่พ้น การผูกเสี่ยวจึงเห็นการอำพรางทดสอบจิตใจกันในระยะต้น ต่อเมื่อความรักและธรรมชาติเรียกร้องจนสุกหง่อมแล้ว เขาก็ทำพิธีถอนเสี่ยวออกแล้วแต่งงาน ดูๆ ไปก็ไม่น่าจะแปลกอะไรที่เสี่ยวแต่งงานกับเสี่ยว แต่ถ้าจารีตหรือบทบัญญัติไม่วางไว้เช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์ของคำว่า เสี่ยว ในภาคอิสานก็ไม่มีเป็นสัญลักษณ์มาจนถึงปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน

หากว่าท่านหนึ่งท่านใดได้ถูกคนอิสานขอ “ผูกเสี่ยว” ด้วย มันหมายถึงเขาให้เกียรติท่านอย่างสูงส่งที่สุดแล้ว และท่านจงเชื่อเถิดว่า ท่านกำลังมีมหามิตรเพื่อนร่วมตายที่แสนซื่อและเซ่อจนน่าสงสาร จนท่านไม่ควรจะลืมความสูงส่งของคำว่า “เสี่ยว” ที่เขามอบให้เป็นอันขาด

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.421 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 16 เมษายน 2567 23:40:35