[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 19:14:57 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา  (อ่าน 3504 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5063


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 ตุลาคม 2559 19:01:09 »



ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
(พระมหาบุรุษเห็นเทวทูต)


สมเด็จ พระ พุทธเจ้าของเรา ประทับอยู่ในพระราชสถานเกษมสันต์นี้ ด้วยพระชนมชีพอันสันติสุข และด้วยความปฏิพัทธ์ ไม่ทรงทราบเลยซึ่งความเศร้าโศก ความขัดสน ความกลัดกลุ้ม ความชราภาพ และความมรณะ

ถึงกระนั้นก็ดี ในยามบรรทมหลับก็ทรงพระสุบินว่า พระวิญญาณได้เร่ร่อนไปตามทะเลแห่งความมืด และไปบรรลุถึงฝั่งอันสว่างได้เมื่ออ่อนเพลียแล้ว โดยนำความจำอันแปลกประหลาดในการเดินทางอันขมุกขมัวนั้นมาด้วย และทั้งมีอยู่อีกว่า ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์เกยพระเศียรหลับอยู่บนพระอุระอันวิไลลักษณ์ของพระนางยโสธรา ซึ่งหัตถ์ทั้งคู่เป็นเครื่องกระทำให้ซาบซ่าน ค่อยๆ ประเล้าประโลมให้พระเนตรของพระองค์หลับไป จนพระองค์ทรงละเมอโดยมีพระอุทานออกมาว่า "โลกของฉัน! โอ! โลก! ฉันได้ยิน! ฉันรู้! ฉันจึงมา!"

นางจึงทูลถามด้วยดวงเนตรอันโพลงเพราะความตื่นตกพระทัยว่า "เป็นอะไรไปนะเพคะ ทูลกระหม่อม" เพราะในวาระนั้น พระวิริยภาพซึ่งปรากฏจากแววพระเนตรของพระองค์ซึ่งทอดมาแสดงให้เกิดความกลัว และพระพักตร์ของพระองค์ก็แม้นเหมือนเทพเจ้าพระองค์หนึ่ง ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยิ้มไปใหม่ เพื่อบรรเทาความโหยไห้ของพระเทวี แล้วทรงขอให้นักดนตรีดีดพิณ

แต่ครั้งหนึ่ง มีผู้นำเครื่องดนตรีรูปอย่างผลน้ำเต้ามีสาย(ซอ)มาวางที่ธรณีประตู ณ ที่ซึ่งลมอาจพัดให้มีเสียงเป็นเพลงและบรรเลงไปโดยลำพัง เพราะลมสามารถทำให้สายเงินเหล่านั้นเป็นเพลงอย่างน่าพิศวงได้

บรรดาผู้ซึ่งอยู่รอบๆ นั้น ได้ยินแต่เพียงเสียงเท่านั้น แต่พระสิทธัตถะทรงได้ยินหมู่เทวาบรรเลงเพลงและขับร้องเป็นลำนำมาสู่พระโสต ของพระองค์ว่าดังนี้ "เราเป็นเสียงของลมโชยซึ่งจะโบกพัดแสวงหาความสงบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้พบความสงบอารมณ์นั้นเลย จงดูเถิด ลมเป็นฉันใด ชีวิตที่ต้องตายก็เป็นฉันนั้น คือมีความสลดใจ ความอัดอั้น ความกังวลและความดิ้นรน"

"เราไม่อาจรู้เหตุผลแห่งความเป็นอยู่ของเราและกำเนิดแห่งความเป็นอยู่ของเรา ต้นกำเนิดของชีวิต และผลที่สุดของชีวิตได้ เราก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น คือภาพแห่งความเวิ้งว้าง เราจะมีความสนุกอะไรในความเศร้าโศกซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สุด?"

"ความสำราญอะไรที่ท่านมีอยู่ในความสนุกไม่รู้สร่าง อา! หากความเสน่หายืนยง ความเสน่หาอาจบังเกิดความสุขได้อย่างล้นพ้น แต่ชีวิตเป็นเหมือนลม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่เพียงเสียงซึ่งไม่ถาวร ที่กังวานมาจากสายที่ดังนั้น"

"โอ! โอรสของมายาเอ๋ย เป็นเพราะเราเร่ร่อนอยู่ ณ พื้นปฐพีนั้นเอง เราจึงมีเสียงคร่ำครวญอยู่ที่สาย เราไม่ขับร้องเรื่องปลาบปลื้ม เพราะเราเห็นความทุกข์โศกมากมายในประเทศทั้งหลาย มีแต่ดวงตาที่ร้องไห้และบิดมือด้วยความสิ้นหวัง"

"ตลอดเวลาที่เราพัดเรื่อยไป เราเห็นเป็นที่น่าขบขันเพราะถ้ามนุษย์อาจรู้ว่า ชีวิตที่มีอยู่นั้นเป็นแต่สภาพที่ไม่เป็นแก่นสารแล้ว ถึงจะมีอำนาจบังคับเมฆ หรือกระแสน้ำให้นิ่งได้ก็ดี ก็ยังคงมีชีพที่ไม่เป็นแก่นสารดุจกัน"

"แต่พระองค์ต้องเป็นผู้โปรดสัตว์ เวลาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว โลกอันน่าอนาถคอยพระองค์ด้วยความแร้นแค้น โลกอันมืดมนอนธการกำลังหมุนเคว้งคว้างอยู่ในวงแห่งความเศร้าโศก! จงลุกขึ้นเถิด! พระโอรสของมายา! จงรำพึงถึงพระองค์เถิด จงเลิกพักผ่อนพระองค์เสียเถิด"

"เราเป็นเสียงของลมซึ่งโชยไป จงเห็นตามข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า เพื่อพระองค์จะได้พบการพักผ่อนของพระองค์ จงสละความเสน่หาของพระองค์เสีย เพื่อความเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงที่ควรรัก จงมีความเอ็นดูต่อผู้เศร้าโศกทรมาน และทิ้งพระราชอิสริยยศเพื่อบรรเทาทุกข์ และบำเพ็ญความช่วยเหลือ"

"ซึ่งเราโชยมาสัมผัสบนสายเงินดังนี้ ก็เพราะสำหรับพระองค์ที่ยังไม่ทรงทราบสิ่งทั้งปวงแห่งโลก ซึ่งเรากล่าวดังนี้แหละ เราเยาะเย้ยตามสภาพ ซึ่งพระองค์ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ บัดนี้"

ครั้งหนึ่ง ช้านานต่อมาเป็นเวลาเย็น ขณะพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางแห่งพระราชสำนักอันงามวิจิตรของพระองค์ พลางถือพระหัตถ์พระนางศรียโสธราไว้ สตรีสาวคนหนึ่งขับร้องเพลงดึกดำบรรพ์เรื่องหนึ่ง เพื่อยั่วกามในยามสำราญอย่างอิ่มเอิบ กับมีดนตรีคอยรับ ในเมื่อเสียงอันไพเราะของคนร้องหยุดร้องเป็นบทๆ คือเป็นเสภาเรื่องความรัก ว่าด้วยปัญหาแห่งม้าวิเศษตัวหนึ่งและนครอันน่าพิศวงแห่งหนึ่ง อยู่ไกลซึ่งชนชาวชาติผิวซีดอาศัยอยู่ และซึ่งดวงอาทิตย์เมื่อจวนค่ำก็จมดิ่งลงไปในทะเล

พระองค์จึงตรัสว่า "จิต ทำให้เรานึกถึงการขับร้องของลมตามสายซอซึ่งมีเรื่องราวอันน่าฟัง จงให้ไข่มุกของเธอไปยโสธราเพื่อขอบใจเขา แต่ส่วนเธอ เธอผู้เป็นไข่มุกของฉัน จงว่าให้ฟังทีเถิด! ว่ามีโลกกว้างใหญ่ยิ่งกว่านี้ไปอีกไหม? มีประเทศใดที่เห็นดวงอาทิตย์ใหญ่หมุนอยู่ในคลื่นบ้างหรือ?

ณ ที่นั้น มีใจใครเหมือนใจเราบ้าง มีคนมากมายสุดคณนา ที่ไม่รู้จัก บางทีตกทุกข์ได้ยากด้วยซ้ำซึ่งเราอาจช่วยได้ ถ้าเรารู้จักเขาเหล่านั้น! เมื่อดวงอาทิตย์กำลังโผล่มาจากทิศตะวันออก แหวกราชวิถีสีทอง ฉันนึกถามตนเองด้วยความประหลาดใจบ่อยๆ ว่า ณ ปลายที่สุดของโลกนั้น เด็กในจำพวกเด็กทางทิศตะวันออกคนใดเป็นคนที่แรกซึ่งได้กระทำความเคารพรัศมี ของดวงอาทิตย์ จนแม้แต่ในขณะกำลังอยู่ในวงแขนของเธอและเหนืออุระของเธอ อือ! แม่เทวีผู้งามประโลมของฉัน ดวงหทัยของฉันเต้นอย่างร้ายแรงในยามอัสดงคตแห่งดวงอาทิตย์บ่อยๆ ด้วยความต้องการอยากตามดวงอาทิตย์ไปสู่ทิศอัสดงค์ซึ่งมีสีแดงเข้มเพื่อเห็น ชาวชนแห่งทิศตะวันตก ที่นั่นคงต้องมีมนุษย์ใจดีซึ่งเราต้องรักเป็นแน่ คงจะไม่มีอย่างอื่นอยู่ที่นั่นเป็นแน่มิใช่หรือ!"

ในขณะนั้นเอง ฉันมีความกลัดกลุ้มใจ จนแม้แต่จุมพิตริมพระโอษฐ์อันละมุนละไมของเธอก็ไม่สามารถจะบรรเทาถอนได้ เออ! นางสาวธิดา เออ! จิต! เจ้าที่รู้จักเมืองวิเศษ อาชาไนยในนิทานของเจ้านั้นเขาผูกไว้ที่ไหนหนอ! ข้าจักไม่อาจเอาเวียงวังของข้าใส่หลังอาชาไนยนั้นได้สักวันหนึ่ง แล้วเหาะไปเหาะไปเพื่อดูความกว้างแห่งพื้นพิภพทีเดียวหรือ?

หรือมิฉะนั้น ถ้าข้าได้ปีกของแร้งหนุ่มเจ้าซากศพตัวนั้นที่เล็งเห็นสมบัติราชอาณาจักรอื่น ใหญ่ยิ่งกว่าอาณาจักรของข้า ข้าจะบินไปสู่ยอดเขาหิมาลัยซึ่งแวววับไปด้วยหิมะซึ่งมีสีแม้นกุหลาบ เพื่อทอดตาค้นหาประเทศที่อยู่โดยรอบ "แต่นี่ช่างกระไรเลย ข้าไม่เคยได้เห็นเลย และไม่เคยพยายามให้ข้าได้เห็นเลย! จงบอกข้าบ้างเถิดว่า นอกออกไปจากประตูสำริดของเรานั้นมีอะไรบ้าง?"

ดังนั้นจึงมีผู้ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเกษมสันต์ มีพระนคร มีวัดวาอาราม สวนและป่าละเมาะ มีทุ่ง บางทุ่งก็มีลำราง ลำห้วย สนามหญ้า มีป่าทึบ และทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สุดสายตามากหลาย แล้วก็คือพระราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร และในที่สุดก็ทุ่งอันกว้างแห่งโลกซึ่งมนุษย์มากต่อมากอาศัยอยู่..." ดีแล้ว พระสิทธัตถะตรัส "จงบอกนายฉันนะให้เตรียมเทียมรถของเรา พรุ่งนี้เที่ยงเราจะไปดูสิ่งซึ่งมีอยู่ภายนอกพระราชวัง" ดังนี้ จึงมีผู้ไปทูลพระราชบิดาว่า "ข้าแต่พระองค์ พระราชโอรสของพระองค์มีพระประสงค์อยากให้ราชรถได้เทียมพรุ่งนี้เวลาเที่ยง เพื่อจะได้เสด็จออกและทอดพระเนตรมนุษยชาติ"

"เออ" พระผู้ทรงธรรมรับสั่ง "ถึงเวลาที่เขาจะเห็นได้แล้ว แต่จงจัดการให้มีผู้ไปป่าวร้องแก่บรรดาประชาราษฎรทั้งปวงให้ตกแต่งพระนคร จนกระทั่งอย่าให้ได้พบเห็นสภาพอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งกระทำให้บังเกิดความ เศร้าใจ อย่าให้คนตาบอดหรือเท้าด้วนคนใด คนเจ็บคนใด คนที่มีอายุมากคนใด คนที่เป็นโรคเรื้อนคนใด คนพิการคนใด ทั้งหลายเหล่านี้ออกมาให้ปรากฏเป็นอันขาด"

เพราะฉะนั้นก็มีการกวาดถนน ผู้หาบน้ำด้วยครุซึ่งไหลพล่านก็รดถนนทุกๆ แห่ง เหล่าพวกนางแม่บ้านก็โปรยโรยผงแดง ณ ธรณีประตูบ้านของตน ประดับพวงระย้าใหม่ และตั้งพุ่มต้นกะเพรา (ตุลสี-ต้นไม้ ชนิดหนึ่ง ชาวฮินดูเรียกว่าตุลสี มักจะมีไว้ในบ้านเป็นเครื่องรางลัทธิพิเศษอย่างหนึ่ง เวลาที่ชาวฮินดูจะสาบานตนให้การในศาล พราหมณ์ต้องสั่งให้กินใบกะเพราเสียใบหนึ่งก่อน) ข้างหน้าประตู รูปสีตามบรรดาฝาก็มีการระบายป้ายสีซ่อมแซมใหม่ บรรดาต้นไม้ก็มีธงประดับอยู่เต็ม รูปที่เคารพทั้งปวงก็ปิดทองเสียใหม่

ณ สี่แยกสุริยเทวาและเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ก็สุกปลั่งสถิตอยู่เหนือแท่นโดย ประการดังนี้ พระนครก็เป็นเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระนครแห่งพระราชอาณาจักรเกษมสันต์ ผู้ร้องประกาศก็ป่าวร้องทั่วทุกถนนกับตีกลองและฆ้อง พลางร้องอย่างดังๆ ว่า "จงฟัง! ทวยชนทั้งหลาย! พระราชามีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งว่า วันนี้อย่าให้สภาพความเศร้าโศกได้ปรากฏออกมาเป็นอันขาด อย่าปล่อยให้คนตาบอด คนขาด้วน คนเจ็บ คนแก่ คนเป็นโรคเรื้อนและคนพิการใดๆ ออกมาให้เห็นเป็นอันขาด กับห้ามมิให้ผู้ใดเผาศพหรือเอาศพออกจนกระทั่งถึงเวลาค่ำ ทั้งนี้เป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าสุทโธทนะ"

เมื่อเป็นดังนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เจริญเพลินจักษุประสาท และบรรดาเคหะสถานบ้านเรือนทั้งปวงก็ตกแต่งทั่งทั้งพระนครกบิลพัสดุ์ คราวเมื่อพระสิทธัตถราชโอรสเสด็จประพาสโดยรถทรงอันแพรวพรรณรายเทียมด้วยโค คู่ขาวดุจหิมะซึ่งโคลงคอและถูโหนกกับแอกสลักและลงรัก ความร่าเริงของทวยชนซึ่งโห่ร้องรับรองพระราชโอรสกระทำให้เป็นที่น่าทัศนา อย่างยิ่ง พระสิทธัตถะจึงทรงเบิกบานพระทัยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นปวงประชาอันซื่อสัตย์ ของพระองค์สวมเครื่องแต่งกายสำหรับงานฉลองและบันเทิงร่าเริงประหนึ่งว่าการ มีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ดี

"โลกเรานี้ดีงาม"

พระองค์รับสั่ง "เราชอบ และบรรดาทวยชนเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เป็นพระราชาล้วนแต่สวยงามและน่ารัก และน่าเอ็นดูก็คือเหล่าภคินีซึ่งทำงานและอยู่เฝ้าบ้าน เราได้ทำประโยชน์อะไรให้เขาเหล่านี้ เขาจึงร่าเริง? เด็กๆ เหล่านี้รู้ได้อย่างไรว่าเรารักเขา ได้กรุณาเถิด จงเอาศากิยะหนุ่มน้อยซึ่งโยนดอกไม้มาให้เรานั้นขึ้นมาบนรถเราด้วยเถิด ช่างดีนี่กระไรทีได้เถลิงถวัลยราชย์ ณ ราชธานีนี้ เป็นความสุขอันบริสุทธิ์นี่กระไร

หากว่าทวยประชาเหล่านี้มีความยินดี เพราะเหตุที่เรามาอยู่ในท่ามกลางของพวกเขา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงช่างไร้ประโยชน์แก่เราเสียนี่กระไร หากว่าบรรดาเรือนเล็กๆ เหล่านี้จุความร่าเริงพอที่จะบำเพ็ญเพิ่มพูนพระนครของเรา ให้เปี่ยมไปด้วยความแย้มสรวลได้ "ไปให้เร็วเข้าหน่อยเถิดนายฉันนะ! ออกประตูไปเพื่อเราจะได้เห็นโลกงามซึ่งเราไม่รู้ว่ามีมากขึ้นอีก" ดังนั้นแล้วนายฉันนะผู้เป็นสารถีก็ขับราชรถพาพระราชโอรสผ่านประตูไปในท่าม กลางหมู่ชนซึ่งร่าเริง กำลังตะลีตะลาน หลีกจากวิถีทางล้อแห่งรถทรง บางคนวิ่งไปข้างหน้าโค พลางโยนพวงมาลาให้ บางคนก็ลูบคลำสีข้างอันละมุนละไมของโค บ้างก็นำข้าวและขนมมา แล้วทุกๆคนเปล่งอุทานว่า "ไชโย! ไชโย! สำหรับพระราชโอรสผู้มีวิริยภาพของเรา"

ในขณะที่ทั่วทุกถนนกำลังเต็มไปด้วยหน้าตาที่ร่าเริงและสภาพแห่งความชื่นชม ตามพระราชโองการของพระราชานั้น มียาจกเข็ญใจกระร่องกระแร่ง ตาตื่นและโสมมเต็มไปด้วยเหงื่อไคลคนหนึ่งเดินโซเซออกมาจากหลุมที่ซ่อนตนอยู่ แล้วก็พยุงตัวเองไปสู่กลางถนน ยาจกนี้ทุพพลภาพ ชรามาก และหนังอันยู่ย่นโดยอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ก็ติดกระดูกสนิท เฉกเช่นหนังสัตว์ที่หุ้มอยู่กับกระดูกหลังก็โกงโดยน้ำหนักแห่งกาลอันอเนก อนันต์วัน กระบอกตาก็มีสีแดงช้ำซึ่งถูกเซาะด้วยน้ำอัสสุชลอันโหยไห้ เมื่อกาลนานมาแล้ว ตาก็ตื่นและขากรรไกร ปราศจากฟันก็สั่นเทาด้วยพยาธิและความกลัวที่มาเห็นหมู่ชน และความร่าเริงอันอักโขดังนี้ มือซึ่งผอมข้างหนึ่งจับไม้เท้าอันสึกหรอเพื่อประคองเท้าอันซวนเซทั้งสองข้าง และมืออีกข้างหนึ่งบีบซี่โครงซึ่งผายลมหายใจออกมาได้โดยยาก "โปรดทำทานเถิดเจ้าประคุณเจ้าข้า"

ยาจกชราครวญครางว่า "เพราะกระผมจะตายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้ว" ว่าแล้วก็ไอและแบมือออกยื่นต่อไป พลางหรี่ตาและสั่นเทาด้วยอำนาจแห่งความกระตุกของเส้นประสาทแล้วร้องว่า "ทำทาน!" ดังนั้นบรรดาผู้ซึ่งห้อมล้อมตามเสด็จก็ช่วยกันลากโดยแรงไปให้พ้นเสียจากถนน พลางว่า "พระราชโอรสเสด็จแลไม่เห็นหรือ? จงกลับไปยังที่อยู่ของแกเสียเถิด?"

แต่พระสิทธัตถะทรงรับสั่งว่า "ปล่อยแกเสีย! ปล่อยแกเสีย! นายฉันนะ นั่นสัตว์โลกอะไรที่แม้นเหมือนมนุษย์ แต่ผิดกันก็เพียงที่แกมีอาการหลังโกงแร้นแค้น น่าอนาถและมีอาการตื่นกลัว มีมนุษย์ใดที่พอเกิดก็เป็นเช่นนี้ทีเดียวหรือ? คำที่แกกล่าวว่ากระผม จะตายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วนั้นหมายความว่ากระไร? แกคงไม่ได้ประสพอาหารกระมัง กระดูกจึงแหลมๆ ออกมาดังนั้น? อกุศลกรรมอะไรหนอที่มาพ้องพานสัตว์อันเวทนานี้"

ดังนี้นายสารถีรถทรงจึงทูลสนองว่า "พระองค์ผู้ทรงคุณธรรม นั่นเป็นแต่เพียงคนชราเท่านั้น เมื่อสัก 80 ปีมานี้หลังของแกยังตรงอยู่ ตาก็ยังสว่างและกายก็ยังบริสุทธิ์ บัดนี้อำนาจแห่ความมีอายุมากได้ทำให้เลือดซึ่งหล่อเลี้ยงร่างกายของแกสิ้นไป และคร่าเอากำลังวังชาของแกสิ้นไปและทำให้สติสัมปชัญญะบกพร่องไปด้วย น้ำมันตะเกียงของแกได้หมดเสียแล้ว ไส้เหี่ยวแห้ง สิ่งซึ่งยังเหลือเป็นชีวิตของแกอยู่ก็เพียงแต่แสงมัวสลัวๆ ซึ่งอันธการก่อนที่จะดับลงตามธรรมดาของผลที่สุดแห่งอายุ พระองค์จะไปทรงใฝ่พระทัยทำไม?"

พระราชโอรสจึงรับสั่งว่า "คนอื่นๆ หรือคนทุกคนย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หรือน้อยนักที่จะเป็นแก่คนใดดุจยาจกคนนั้น?" "พระองค์ผู้ทรงปรีชาอันสุขุม" นายฉันนะรีบทูลสนอง "คนทุกคนซึ่งปรากฏอยู่นี้ต่อไปต้องเป็นเหมือนแกทั้งสิ้น หากคนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่นาน" พระราชโอรสจึงตรัสถามว่า "แต่ถ้าข้านี้มีชีวิตยืนนานเข้าก็คงเป็นเช่นนี้ดุจกัน และหากว่ายโสธรามีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึง 80 ปีความชราภาพก็กระทำให้เธอได้รับผลที่สุดเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ! ข้าได้เห็นสิ่งซึ่งไม่ได้นึกว่าจะได้เห็นนั้นแล้ว"

โดยเหตุที่ทรงรำพึงถึงสิ่งที่ได้ทรงประจักษ์มาดังนั้น พระสิทธัตถะซึ่งทรงมีพระอาการซึมเซาจึงเสด็จเข้าสู่พระราชสำนักอันงามวิจิตร ของพระองค์ด้วยพระอาการและพระวรพักตร์อันโศกเศร้า และพระองค์ไม่เสวยขนมขาว (ขนมหิมะแห่งหิมาลัย หรือไอสครีม) และผลไม้ซึ่งใช้เป็นพระกระยาหารเวลาเย็น และพระองค์ไม่ทรงโปรดเหลือบแลดูนางละครตัวที่งามเยี่ยมๆ แห่งพระราชวังซึ่งพยายามทำให้พระองค์ทรงกระสัน พระองค์ไม่ทรงเผยพระโอษฐ์ หากว่าไม่ใช่สำหรับมีรับสั่งอันละห้อยละเหี่ยกับพระนางยโสธราผู้รันทดสลด พระทัย กราบลงยังเบื้องบาทยุคลวิงวอนทูลถามว่า "พระองค์ไม่มีความสุขในข้าพระองค์นี้หรือ?" "โอ! แม่เทพีผู้สุดสวาท" พระองค์ตรัส

"ความสุขสำราญเช่นนั้นเป็นความสุขซึ่งดวงวิญญาณของฉันได้รับความทรมาน เมื่อนึกเห็นว่าจะหมดสิ้น และเราทั้งสองต่างก็จะต้องถึงความชราภาพ ยโสธราเอ๋ย แล้วก็สิ้นตัณหากลับกลายเป็นน่าเกลียด อ่อนแอ และหลังโกงลงไป จริงทีเดียวถึงแม้ว่าริมโอษฐ์ของเราได้ร่วมประสานซึ่งกันและกัน และความปฏิพัทธ์ของเราร่วมกันอย่างสนิทยิ่งซึ่งประหนึ่งว่าลมหายใจของเราแทบ จะระคนกันอยู่ทุกคืนวัน กาลเวลาก็ย่อมเขยื้อนเคลื่อนไปในระหว่างเรา สำหรับช่วงชิงเอาราคะ ตัณหาของฉันและความปรานีของเธอไปด้วย เหมือนราตรีกาลอันดำมืดมาลบล้างรัศมีกุหลาบซึ่งส่องสว่างเหนือภูเขาเหล่า นั้น โดยค่อยๆ กำบังด้วยฉากแห่งความขมุกขมัว นี่แหละสิ่งซึ่งฉันได้ค้นพบ และดวงใจของฉันทั้งมวลก็ทับถมไปด้วยความหวาดหวั่นโดยความอันรำพึงอันนี้ และดวงใจของฉันทั้งมวลก็คิดถึงแต่สิ่งที่จะป้องกันความรักให้พ้นจากความ พ้องพานของกาลเวลาที่จะมาพิฆาตซึ่งความชราภาพให้แก่มนุษย์"

 

เมื่อดังนี้แล้วพระสิทธัตถะก็ประทับนิ่งอยู่ตลอดราตรีโดยไม่สามารถที่จะ บรรทมให้หลับและทรงระงับความกระวนกระวายลงได้

อนึ่งในระหว่างราตรีกาลนั้น ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงถูกรบเร้าด้วยพระสุบินอันทำให้ปั่นป่วนพระทัย

ข้อแรกพระองค์ทรงนิมิตเห็นธงชักขึ้นเป็นสง่าผ่าเผยธงหนึ่ง ซึ่งพระอาทิตย์แจ่มจรัสเป็นสีทอง คือ รัศมีของพรอินทร์ฉายมา แต่ภายหลังก็มีลมพัดมาจนธงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นขาดเป็นชิ้นๆ แล้วก็โบกพัดให้ตกลงในธุลี ต่อมาก็มีเทวดาเหาะลงมาเก็บธงที่เป็นอันตรายนั้นขึ้น แล้วก็นำมาวางที่ทิศตะวันออกแห่งทวารของพระราชธานี

ครั้นแล้วพระสุบินข้อที่ 2 ว่า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคชสาร 10 เชือก งาเป็นเงินซึ่งทำให้พื้นธรณีสนั่นด้วยการดำเนินอันหนัก ช้างเหล่านั้นเดินมาจากทางทิศใต้ ผู้ซึ่งขี่อยู่เหนือคอคชสารตัวที่หนึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ ตัวอื่นๆ เดินตามหลัง

พระสุบินข้อที่ 3 ว่ามีรถอันแพรวพราวด้วยรัศมีอันรุ่งโรจน์เทียมด้วยพาชี 4 ตัว ซึ่งพ่นควันขาวออกมาจากจมูก และเคี้ยวฟองซึ่งเป็นไฟ พระสิทธัตถะประทับอยู่เหนือพระราชรถนั้น

พระสุบินข้อที่ 4 ว่า มีล้อซึ่งหมุน หมุนมิได้หยุด ดุมเป็นทองสลับด้วยรัศมีแห่งมณีรัตน์ซึ่งประดับไว้ และมีสิ่งแปลกประหลาดที่เขียนไว้ ณ กรอบลูกล้อ และล้ออันนี้ ขณะที่กำลังหมุนอยู่ก็ประหนึ่งว่าเกิดเป็นไฟและดนตรี

พระสุบินข้อที่ 5 ว่า มีกลองอันมหึมาตั้งอยู่กลางทางในระหว่างพระราชธานีกับภูเขาซึ่งพระราชโอรส ทรงตีด้วยท่อนเหล็ก จนมีเสียงสนั่นเหมือนความระเบิดแห่งฟ้าร้อง เสียงก้องกระหึ่มไปสู่ระยะไกลในเวหาและที่ว่างเวิ้ง

พระสุบินข้อที่ 6 ว่ามีหอคอยซึ่งสูงขึ้น สูงขึ้นเสมอจนแลเห็นได้ทั่วทั้งพระราชธานี จนกระทั่งยอดอันสูงตระหง่านประหนึ่งว่าห่อหุ้มด้วยก้อนเมฆ และบนยอดหอคอยนั้นพระราชโอรสประทับอยู่ พลางหว่านพรรณอันรุ่งโรจน์เต็มๆ พระหัตถ์ไปทั่วทิศานุทิศดังนี้จนเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระพิรุณบุปผชาติ (ตาม ต้นฉบับ เรียกว่าดอกยาซิงท์ เป็นดอกไม้ที่ยังไม่มีชื่อในภาษาไทย ภาษาอังกฤษเรียกไฮซินท์ (Hyacinth) ต้นและใบคล้ายต้นซ่อนกลิ่น แต่ขนาดต่ำกว่า มีดอกสีขาว) และพลอยทับทิม และปวงชนทั้งหลายก็มาเบียดเสียดกันเพื่อเก็บทรัพย์อันมีค่าซึ่งตกลงมาทุกหนทุกแห่งนี้

และเหตุการณ์ในพระสุบินลำดับที่ 7 ของพระองค์คือ ได้ยินอื้ออึงไปด้วยศัพท์สำเนียงเสียงครวญคราง และทอดพระเนตรเห็นคน 6 คน ร้องไห้ และกัดฟันกับเอามือปิดปาก โศกเศร้าด้วยความสิ้นหวัง

นี่แหละคือพระสุบินทั้ง 7 ข้อ อันน่าหวาดหวั่นซึ่งพระองค์ทรงนิมิต แต่จะได้มีโหราฉลาดคนใดกล้าทำนายถวายได้นั้นก็หาไม่ เพราะฉะนั้นพระราชาผู้ทรงเร่าร้อนในพระทัยจึงทรงเปล่งพระอุทานว่า "คงมีทุกข์อะไรมาพ้องพานวังของเราแน่แล้ว และในบรรดาพวกท่านเหล่านี้ ไม่มีใครเลยจนคนเดียวที่มีความรู้ลึกซึ้งพอที่จะช่วยพิเคราะห์ดูให้รู้สิ่ง ซึ่งเหล่าเทพเจ้าผู้ทรงอานุภาพทั้งหลายมานิมิตให้ปรากฏแก่เราโดยทางสุบิน ทั้งสิ้นนี้เลย" เมื่อเป็นดังนี้พระราชธานีก็มีแต่โศกเศร้า

เหตุที่พระราชาทรงพระสุบินอันร้ายซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำนายถวายได้ แต่ทีนี้ก็มีชายชราคนหนึ่ง นุ่งหนังสัตว์ ประหนึ่งว่าฤษีซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักมาที่หน้าพระทวารและร้องว่า "จงพาเราไปเฝ้าพระราชา เพราะเราอาจสามารถทำนายพระสุบินนิมิตของพระองค์ได้"

ครั้นเมื่อฤษีรูปนั้นได้เข้าไปเฝ้าฟังรับสั่งในเรื่องพระสุบินอันอัศจรรย์ ทั้ง 7 ข้อนั้นแล้ว ก็น้อมกายลงด้วยความเคารพและทูลว่า "โอ มหาราช! ข้าพเจ้าขอเคารพพระราชตระกูลซึ่งจะได้ประสพสวัสดิโชคซึ่งจะมีรัศมีอร่าม เรืองยิ่งกว่าดวงพระอาทิตย์! ขอพระองค์ได้ทรงทราบเถิดว่า พระสุบินอันทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่นนี้เป็นพระสุบินซึ่งล้วนแต่เป็นมงคล ทั้งสิ้น

ที่จริงอันว่าธงซึ่งปลิวไสว สง่าผ่าเผย เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นพระอินทร์ ที่ทอดพระเนตรเห็นว่าธงนั้นขาดและปลิวลงมานั้น หมายความถึงวาระที่สุดแห่งความเชื่อถือลัทธิประเพณีเก่า และจักเผดิมเริ่มมีลัทธิประเพณีใหม่ เพราะเทพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เปลี่ยนแปลงน้อยไปกว่ามนุษยโลก และกัลป์หลายกัลป์ย่อมผ่านพ้นมาดุจเดียวกันกับทิวาราตรีที่ล่วงไปสิ้นไป

คชสารทั้ง 10 ทำให้พื้นธรณีสนั่นนั้น หมายความว่า มหาบารมีแห่งธรรมวิเศษทั้ง 10 ซึ่งโดยอำนาจแห่งธรรมวิเศษทั้ง 10 นี้ พระราชโอรสจะสละพระราชธานีของพระองค์ และทรงทำให้โลกสนั่นหวั่นไหวโดยทรงนำให้โลกได้บรรลุถึงซึ่งการรู้จักผลแห่ง ความเที่ยงแท้

อัศดรทั้ง 4 ที่เทียมรถพ่นลมหายใจออกมาเป็นไฟก็คือบุญญาธิการอันเชี่ยวชาญคืออริยสัจจะ ทั้ง 4 ซึ่งนำพาให้พระราชโอรสของพระองค์พ้นจากความกังขา และความมืดไปสู่แสงสว่างแห่งบุญบารมี ล้อซึ่งหมุนด้วยกำกงสุวรรณประดับด้วยจินดาและกุดั่นเป็นล้อวิเศษยิ่งแห่งพระ วินัยอันบริสุทธิ์ซึ่งจะหมุนให้ประจักษ์แก่โลกทั้งมวล

กลองซึ่งพระราชโอรสตีจนเสียงดังสนั่นไปทั่วทุกประเทศ หมายความว่าความก้องกังวานดุจฟ้าร้องแห่งพระธรรมโอวาทซึ่งพระราชโอรสจะทรง สั่งสอน หอคอยซึ่งสูงจนกระทั่งจดฟ้าแปลว่าความเยี่ยมแห่งพระคัมภีร์ของพระพุทธเจ้า และเครื่องเพชรพลอยซึ่งโปรยลงมาจากหอคอยนั้นคือสมบัติอันเกินค่าแห่งพระธรรม วินัยนี้ ซึ่งเป็นที่รักของปวงเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และทุกๆ คนก็ต้องการ นี่แหละเป็นคำทำนายเรื่องหอคอยนั้น

ส่วนคน 6 คนซึ่งครวญครางพลางปิดปากคือศาสดาจารย์ตัวสำคัญทั้ง 6 ซึ่งพระราชโอรสจะทรงกระทำให้รู้สำนึกตัวในความเหลวไหลของเขาโดยพระบารมีแห่ง ความเที่ยงธรรม และพระธรรมเทศนาซึ่งไม่มีข้อเถียงได้ "โอ! พระราชา พระองค์จงสำราญพระทัยเถิด พระคุณสมบัติของพระราชโอรสมีค่าเกินกว่าพระราชอาณาจักรทั้งหมด ผ้า (สบง จีวร) ขาดกะรุ่งกะริ่งของฤษี (พระ) มีค่ายิ่งกว่าผ้าซึ่งทอด้วยทองคำ พระสุบินนิมิตของพระองค์แปลความได้ดังนี้แล และภายใน 7 ทิวา และใน 7 ราตรี สิ่งทั้งปวงนี้มาอุบัติขึ้น" เมื่อบุรุษนักบุญพูดแล้วก็กราบลงอย่างต่ำ 8 ครั้ง พลางแตะพื้นธรณี 3 ครั้ง กลับหลังหันแล้วก็ออกไป แต่เมื่อพระราชาทรงโปรดให้หาตัวเพื่อพระราชทานสิ่งของอันมีค่า ผู้รับพระราชโองการกลับมาทูลว่า "ข้าพระองค์ตามไปจนกระทั่งถึงวิหารจันทราซึ่งเห็นเธอเข้าไป แต่เมื่อไปถึงในนั้น ก็เห็นมีแต่นกฮูกสีเทาตัวหนึ่งบินไปจากแท่น บางครั้งเทพเจ้าก็จำแลงตัวมาเช่นนั้นแหละ"

พระราชาผู้ทรงเศร้าพระทัย เมื่อทรงทราบคำทำนายฝันนั้นแล้วก็ตกพระทัย และทรงโปรดให้จัดการแวดล้อมพระสิทธัตถะโดยความบันทิงร่าเริงใหม่ เพื่อเหนี่ยวรั้งพระทัยให้หมกมุ่นในพระราชสถานอันเกษมสันต์ นอกจากนี้ยังทรงโปรดให้ทวีกองรักษาพระทวารขึ้นอีกด้วย

แต่ใครเล่าอาจสามารถที่จะห้ามมิให้เป็นไปตามโชคชะตาได้?

อันที่จริงพระราชโอรสก็มีประสงค์จะทอดพระเนตรทวยชนและความเป็นไปของชีวิต มนุษย์อีก ซึ่งคงจะเป็นสิ่งที่น่าดูน่าชม หากว่าความเป็นไปของมนุษย์เหล่านั้นไม่ไปสู่ความวิบาก คือความมรณะอันเป็นที่สุดของเวลา

"ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาเถิด จงได้โปรดให้ข้าพระองค์ออกชมดูธานีของเราตามสภาพเป็นอย่างธรรมดา" พระราชโอรสทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะ "ครั้งก่อนนั้น โดยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้สัตว์โลกซึ่งทรมานและสภาพอันเป็นอย่างธรรมดาได้ปรากฏ แต่ให้ทุกๆ คนและสภาพทุกอย่างแสดงอาการร่าเริง เพื่อให้เป็นที่สำราญแก่ข้าพระองค์ กับทั้งทุกถนนหนทางให้มีแต่ความสนุกครึกครื้น ถึงกระนั้นข้าพระองค์ก็ทรงทราบเกล้าแล้วว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหาใช่เป็นไปโดยความเป็นไปซึ่งมีอยู่ทุกวันไม่

และโดยเหตุที่ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และราชอาณาจักรยิ่งกว่า ใครๆ ข้าพระองค์จะใคร่อยากรู้จักอาณาประชาราษฎรและถนนหนทางตามสภาพธรรมดาของสภาพ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น กิจการงานอันเป็นธรรมดาอยู่ทุกวันและอาชีพซึ่งประกอบโดยทวยชนทั้งหลายที่ไม่ ใช่เป็นพระราชา พระองค์ผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐจงทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ออกไปจากพระราช อุทยานอันสำราญของข้าพระองค์โดยไม่ให้มีกิตติศัพท์ ข้าพระองค์จะกลับมาพร้อมด้วยความปราโมทย์ สู่ความร่มรื่นแห่งอุทยาน หรือหากไม่ปราโมทย์ยินดีก็คงได้ความรู้มาสู่ตนด้วย จงได้โปรดให้ข้าพระองค์ออกไปสู่ถนนต่างๆ พรุ่งนี้แต่โดยลำพังของข้าพระองค์กับคนใช้เถิด"

เมื่อพระราชโอรสได้กราบทูลดังนั้นแล้ว พระราชาจึงตรัสในท่ามกลางเสนามุขมนตรีของพระองค์ว่า "บางทีการออกไปคราวนี้อาจแก้ความรู้สึกแห่งการที่ออกไปคราวก่อนนี้ได้ เห็นไหม นี่แหละคือเหยี่ยวซึ่งใฝ่ฝันด้วยสิ่งทั้งหลายที่ตนเห็น ภายหลังที่ได้หลงแล้วในเสน่ห์ จงปล่อยให้ลูกเราได้เห็นทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วจงนำข่าวแห่งลักษณะอาการความรู้สึกของเขามาแจ้งแก่เราด้วย"

ฉะนั้น พอรุ่งขึ้น ราวเที่ยงวัน พระราชโอรสกับนายฉันนะก็ออกไปจากประตูซึ่งเปิดออก เมื่อคนยามได้เห็นพระราชลัญจกร แต่ผู้ซึ่งเปิดประตูนั้นหาได้รู้ว่าผู้ที่แต่งกายเป็นนายพาณิชออกจากประตูไป นั้นเป็นพระราชโอรสไม่ ทั้งนายสารถีเล่าก็แต่งกายปลอมเหมือนคนธรรมดา เจ้ากับนายสารถีทั้งสองคนเดินไปตามทางหลวง ปนเปไปกับหมู่ศากิยะทั้งปวง พลางทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่สนุก และสิ่งที่ทุกข์ทั้งปวงในพระนคร บรรดาถนนอันงามทั้งปวงก็ปรากฏแต่สรรพสำเนียงเสียงระเบงเซ็งแซ่ของทวยชนซึ่ง ประกอบอาชีพอยู่อย่างนิจนิรันดร์

พวกพ่อค้านั่งยองๆ อยู่ในท่ามกลางแห่งเครื่องเทศและเมล็ดพันธุ์ต่างๆ พวกผู้ซื้อก็มีเงินอยู่ในไถ้ของตนไว้ซื้อของบ้าง ก็เถียงกันในเรื่องซื้อขาย บ้างก็ร้องบอกให้หลีกทาง หลีกที่มีทั้งเกวียนที่มีล้อเป็นหินหนัก ลากด้วยโคแข็งแรง ก้าวอย่างช้าๆ และบรรทุกของที่หนัก มีคนหามแคร่ซึ่งร้องเพลง

พวกกุลีขนของมีคอกว้างกำยำ โซมไปด้วยเหงื่อ เพราะตากแดด หญิงแม่เรือนทูนศีรษะด้วยหม้อดิน หรือทองเหลืองใส่น้ำซึ่งตักมาจากบ่อ ทั้งอุ้มลูกตาดำๆ ที่สะเอวของตนด้วย ร้านจำหน่ายตังเมลูกกวาดก็มีแมลงวันตอมเต็มอยู่

ช่างทอผ้าก็ทำงานของตนโดยเคาะกระสวย ลูกโม่กำลังหมุนเพื่อบดข้าวสาลี สุนัขก็วิ่งพล่านไปเพื่อเที่ยวหาเศษอาหาร ช่างทำอาวุธกำลังทำเสื้อเกราะด้วยปากคีบและค้อน ช่างเหล็กก็กำลังเผาจอบและหอกให้แดงอยู่ในเตา ณ โรงเรียนเหล่าดรุณศากิยะซึ่งเป็นศิษย์ก็นั่งอยู่โดยรอบครูของตนพลางบ้างอ่าน มนต์ บ้างศึกษาตำนานพระผู้เป็นเจ้าและเจ้าทั้งหลาย พวกย้อมผ้าตากผ้าสีส้ม สีกุหลาบ หรือสีใบไม้ ซึ่งพึ่งเอาขึ้นจากถังกำลังเปียกๆ มีทหารซึ่งกำลังเดินมีเสียงดาบกระทบกับโล่ ควาญอูฐนั่งโคลงเคลงอยู่เหนือโหนกของอูฐ ทรงประจักษ์ทั้งพราหมณ์ (ตาม กฎของพระมนูแบ่งพลเมืองอินเดียเป็น 4 ประเภทคือ 1.พราหมณ์ คือพวกปฏิบัติกิจ 2. กษัตริย์ คือนักรบที่เป็นพระราชา 3. ไวศย คือพวกพ่อค้าพานิชและพวกทำการเพาะปลูก 4. ศูทร คือพวกกรรมกร ทั้ง 4 ประเภทนี้แยกตามกำเนิดในตระกูลของบุคคล) ผู้มีธรรม ขัตติยะนักรบซึ่งสง่าองอาจ ชนสามัญคือกรรมกร ณ ที่แห่งหนึ่ง มีคนหมู่เบียดเสียดยัดเยียดกันเพื่อดูหมองูซึ่งพูดพลางก็เอางูพันแขนตนอย่าง เครื่องประดับอันมีชีวิต หรือมิฉะนั้นก็บังคับให้อสรพิษตัวร้ายนั้นรำ พลางชูคอแผ่แม่เบี้ย ทำท่าตามจังหวะกลองซึ่งประดับด้วยเศษแก้วต่างๆ

บางแห่งก็มีขบวนแห่และแตรงอน มีม้าประดับเครื่องอันหรูหราและกลดแพรเพื่อแห่เจ้าสาวไปสู่เรือนหอ บางแห่งก็มีสตรีถวายขนมและพวงมาลัยแก่พระเจ้า เพื่อบนบานให้สามีของตนกลับจากการเดินทาง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้ได้บุตรสักคนหนึ่ง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5063


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2559 19:03:02 »

ไกลออกไปอีกมีช่างทำภาชนะกายดำๆ ตีทองแดงดังลั่นเพื่อทำตะเกียงและหม้อ พ้นจากที่นั้นมา พระโอรสกับนายฉันนะเดินเลียบมาตามกำแพงโบสถ์และใกล้ประตูใหญ่แล้วก็บรรลุถึง แม่น้ำและสะพานซึ่งอยู่ใต้กำแพงพระราชธานี

แต่พอเสด็จข้ามสะพานพ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงครวญครางปรากฏขึ้นที่ริมถนนพร่ำว่า "พระคุณเจ้าขา จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด จงช่วยพยุงข้าพเจ้าด้วย โอ! ช่วยข้าพเจ้าด้วย มิฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นจะตายก่อนถึงบ้าน"

ผู้นี้คือผู้ตกยากเข็ญใจร้องครวญครางเพราะเป็นไข้ทรพิษซึ่งร้ายกาจถึงตาย และกำลังดิ้นรนอยู่กับธุลี เต็มไปด้วยน้ำหนองและเลือดสีแดงสดๆ เสโทอันเย็นไหลออกตามหน้าผากเป็นเม็ดๆ ปากก็สั่นรัวไปด้วยความเจ็บปวด ส่วนตาอันเหลือกลานก็ตกอยู่ในความทรมานแห่งยมทูต ให้ดิ้นรน กระวนกระวาย มือดึงต้นหญ้าซึ่งมีอยู่ตามทางเพื่อลุกขึ้น เมื่อเผยอศีรษะขึ้นแล้วก็ล้มลงไปอีก พลางสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย พร้อมด้วยร้องอย่างเอน็จอนาถว่า "อา! ปวดเหลือเกิน! ท่านผู้มีใจกรุณาได้โปรดช่วยด้วย"

ในทันใดนั้น พระสิทธัตถะก็วิ่งไปประคองผู้ตกทุกข์คนนั้นขึ้นด้วยพระหัตถ์อันปรานี พลางค่อยๆ วางศีรษะคนเจ็บนั้นบนพระชุ ทรงลูบคลำเพื่อให้บรรเทาความเจ็บลงแล้วจึงตรัสถามว่า "พี่! ความทรมานของพี่คืออะไร? ทุกข์อะไรได้มาพ้องพานพี่? ทำไมจึงลุกไม่ไหว ทำไมนายฉันนะ พี่คนนี้แกจึงหอบและครวญคราง พูดไม่ออก แสดงอาการอย่างน่าอนาถใจดังนี้?"

นายสารถีกราบทูลว่า "คนนี้แหละ เป็นคนไข้ทรพิษชนิดหนึ่ง ธาตุทั้งปวงกำลังจะดับ โลหิตอันเป็นประโยชน์สำหรับไหลฉีดไปตามเส้นต่างๆ เพื่อเลี้ยงร่างกายของแกนั้น บัดนี้ได้ปั่นป่วนและเดือดดาลเหมือนห้วงเพลิง หัวใจที่เคยเต้นสม่ำเสมอเป็นปกติ บัดนี้บางทีก็เต้นเร็ว บางทีก็เต้นช้าเหมือนกลองซึ่งมีคนตีโดยปราศจากจังหวะ กล้ามเนื้อทุกส่วนชืดชาเหมือนสายธนูที่หย่อน กำลังวังชาได้สิ้นไปจากน่องเอวและคอของแกเสียแล้ว อันความสง่าและความรื่นเริงของแกตามธรรมดาของมนุษย์ทั้งมวลก็ได้หนีห่างจาก ไปแล้ว นี่เรียกว่าคนเจ็บ และเดี๋ยวนี้โรคกำลังกำเริบ

พระองค์ดูเถิดนั้นแกช่วยตัวของแกเอง เพื่อหมายถอนพิษความเจ็บปวดของแกออก ดูแกกลิ้งเกลือกเสือกไส มีดวงตาคลอหล่อไปด้วยเลือด ลมหายใจของแกก็ประหนึ่งว่าถูกรมควันให้สำลัก ดูเถิด! แกคงอยากจะตายๆ ไปเสีย แต่แกก็ไม่ตายก่อนที่โรคของแกได้กระทำให้แก่ทรมานจนถึงขนาดแล้ว โดยพิฆาตฆ่าบรรดาเส้นประสาททั้งปวงซึ่งตายก่อนชีวิต และเมื่อบรรดากล้ามเนื้อทั้งปวงสลายลงด้วยอำนาจของตรีโทษ กับเมื่ออวัยวะทั้งปวงสิ้นความรู้สึกในความเจ็บปวด โรคจะพรากไปจากแกแล้วก็ไปผลาญที่อื่นอีกต่อไป โอ! พระองค์ เป็นการมิบังควรเลยที่จะมาประคองแกไว้ดังนี้ โรคนี้อาจเป็นโรคติดต่อและอาจติดถึงพระองค์ได้"

แต่พระราชโอรสตรัสพลางช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้าคนนั้นต่อไป "มีเป็นแต่แกคนนี้คนเดียว หรือมีมากหลายด้วยกันที่เป็นเช่นนี้? แลตัวฉันเองอาจเป็นเช่นนี้ได้เหมือนกันหรือ?"

"พระเจ้าข้า" นายสารถีทูลสนอง "ความเจ็บปวดย่อมเป็นแก่ทุกคนโดยมีลักษณะต่างๆ มากมาย ความป่วยไข้และความเจ็บ พยาธิ ขี้กลาก โรคอัมพาต ขี้เรื้อน โรคบิดลงท้องและโรคฝีต่างๆ ย่อมจักเป็นแก่สรรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกทุกอย่างและลามไปได้ทั่วทุกแห่ง"

"ก็โรคทั้งปวงจะจับใครๆ โดยไม่สามารถจะแลเห็นมันได้อย่างนั้นหรือ?" พระราชโอรสทรงถามและนายฉันนะทูลตอบว่า "มันมาเหมือนอสรพิษร้ายซึ่งขบกัดโดยไม่ให้เห็นตัวมัน เหมือนพยัคฆ์ร้ายซึ่งแอบแฝงอยู่ในพุ่มต้นหนามพรหม (Karounda ตรงกับภาษาละติน Garissa Carandas = ต้นหนามพรหม) ใกล้ๆ ทางแห่งป่าใหญ่สำหรับจ้องคอยเวลาอันเหมาะแก่การที่จะกระโดดตะครุบ หรือเหมือนอสุนีบาตซึ่งพิฆาตแต่บางคน และไม่พิฆาตบางคน สุดแต่โชคชะตาอยู่เรื่อยไป"

"ก็ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ทุกคนก็ดำรงชีพอยู่ด้วยความหวาดเสียวอย่างนั้นหรือ?"
"มนุษย์ดำรงชีพอยู่อย่างนั้นแหละ พระเจ้าข้า"
"เออ! ก็ไม่มีใครเลยที่จะรองรับได้ว่า คืนนั้นฉันนอนสบายและเป็นสุขเมื่อตื่นขึ้น แล้วก็จะสบายแลเป็นสุขเหมือนกัน ดังนี้ใช่ไหม?"
"ไม่มีใครรับรองได้เลยพระเจ้าข้า" "และที่สุดของความทรมานทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งเมื่อจะมาพ้องพานก็โดยมิทันให้ เห็นให้รู้ตัว และมีผลเช่นว่า ให้กายคดงอ วิญญาณทุพพลภาพ แล้วก็แก่ชราลง ดังนั้นหรือ?"
"อย่างนั้นแหละ พระเจ้าข้า ถ้าหากใครมีชีวิตยืนนาน" "ก็หากว่าเราไม่สามารถทนทานอำนาจแห่งพิษของมันได้ และหากเราไม่อยากทนมัน และอยากให้มันหมดไป หรือหากเราต้องทนแล้ว หรือหากเราเป็นเช่นนี้จนอ่อนแอและรู้แต่ครวญครางอย่างเดียว แต่เรายังมีชีวิตอยู่อีก แล้วก็ชราลง ชราลงทุกๆ ทีดังนี้จะมีที่สิ้นสุดอย่างไร?"

"ก็ตายเท่านั้นแหละ พระเจ้าข้า"
"คนเราตายด้วยหรือ?"
"ถูกแล้วพระเจ้าข้า ในที่สุดก็ถึงซึ่งความตายโดยไม่เลือกว่า ณ ที่ใด ในเวลาไหน คนบางคนที่แก่ลง บางคนต้องทรมานและล้มเจ็บลง แต่ทุกๆ คนจะต้องตาย จงทอดพระเนตรเถิด นั่นแหละความตายที่ผ่านไป"

ดังนั้นพระสิทธัตถะเงยพระพักตร์ขึ้น แล้วก็ทอดพระเนตรเห็นกระบวนแห่กระบวนหนึ่งซึ่งมีคนร้องไห้เดินเป็นแถวอย่าง ช้าๆ ทางข้างลำแม่น้ำ ข้างหน้ากระบวนมีคนแกว่งหม้อดินซึ่งเต็มไปด้วยถ่านไฟ ข้างหลังมีพวกญาติเดินตาม ศีรษะโกนเกลี้ยง แต่งกายเต็มไปด้วยเครื่องไว้ทุกข์ เสื้อผ้าไม่สมประกอบและร้องด้วยเสียงอันดังว่า "โอ! รามา รามา โปรดฟัง! พี่น้องทั้งหลายของฉัน จงช่วยกันอ้อนวอนรามา" ถัดจากนั้นก็มีที่ใส่ศพทำด้วยไม้รวก 4 อัน และสานด้วยไม้ไผ่ แล้ววางศพอันปราศจากความรู้สึกในจักษุประสาท สีข้างทั้งสองโบ๋ แยกเขี้ยวยิงฟัน ไว้บนนั้นแลโรยเต็มไปด้วยผงแดงๆ และเหลือง พอถึง 4 แยก พวกคนหามก็หันเอาหัวศพไปไว้ข้างหน้า

แล้วร้องว่า "รามา! รามา!" ครั้นแล้วก็นำศพไปที่ริมตลิ่งซึ่งมีกองฟืนตั้งอยู่และจัดนำศพไปวางบนที่รับ ศพแล้วนั้นก็เอาฟืนทับลงอีก ผู้ใดที่นอนเหนือที่นอนเช่นนี้ย่อมนอนหลับสนิทอย่างลึกซึ้ง ความหนาวไม่ทำให้เขาตื่นได้เลย แม้ถูกเขาตั้งเปลือยๆ อยู่กลางลมจัดดังนี้ก็ดี ครั้นแล้วต่างก็พากันจุดไฟที่มุมทั้ง 4 ด้าน ไฟซึ่งค่อยๆ ติด ก็ลามแลบเอากองฟืนลุกเป็นเปลวขึ้นทันใดจนถึงซากศพ ไหม้ตัวศพนั้นด้วยไฟซึ่งลุกกระพือเป็นเปลวและแตกดังเปรี๊ยะเปรี๊ยะเป็นเสียง เย้ยหยัน ครั้นแล้วหนังซึ่งแห้งก็แยกแยะออก ข้อกระดูกทั้งปวงก็ขาดสะบั้น ในที่สุดควันอันหนาก็จางลง และขี้เถ้าซึ่งมีสีแดงและเทาก็ทรุดลง ปล่อยให้กระดูกอันขาวเป็นเศษซากของมนุษย์ปรากฏอยู่เกลื่อนกลาด

เมื่อปรากฏดังนี้แล้ว พระราชโอรสจึงตรัสว่า "นี่หรือคือวาระที่สุดซึ่งรอคอยทุกผู้ทุกคนซึ่งมีชีวิตอยู่"

"เป็นวาระที่สุด ซึ่งสงวนไว้ให้แก่ทุกๆ คนแหละพระเจ้าข้า" นายฉันนะทูลสนอง "ผู้ซึ่งอยู่บนกองฟืนเมื่อกี้นั้นและซึ่งมีเศษซากน้อยจนแต่กาหิวก็ยังร้อง บินไปไม่ใยดีจะอยากได้เป็นอาหาร แต่เดิมคนนั้นก็กิน ดื่ม หัวเราะ รัก มีชีวิตรักและชีวิตเหมือนกัน แต่ภายหลังกลับเป็นอย่างไร? จะมีใครรู้ได้? พายุแห่งป่าทึบ ก้าวเท้าพลาดบนทางเดิน ความสกปรกในบ่อ งูเงี้ยวขบกัด เหล็กมีพิษตำ ความหนาว ก้างปลา หรือกระเบื้องตก"

เหล่านี้อาจทำให้ชีวิตให้ทำลายลงได้ แล้วมนุษย์ก็ถึงซึ่งความตาย ทีนี้ก็เป็นอันสิ้นความรู้ในรส ในความสนุกรื่นเริง และในความเจ็บปวด ใครจะจุมพิตริมฝีปากของเขา ถึงเปลวไฟจะลามไหม้เขาก็ตาม เขาหาได้เกิดความรู้สึกอย่างใดไม่ เขาไม่รู้สึกในการที่เนื้อของเขาถูกเผาและในกลิ่นของกำยานและไม้หอมซึ่งเผา ระเหย ปากของเขาสิ้นแล้วซึ่งรส หูก็สิ้นแล้วซึ่งการได้ยิน ตาก็ไม่เห็นอะไร คนที่รักของผู้ตายก็ได้แต่ร่ำร้องไห้ครวญครางข้างเดียว เพราะต้องทำลายซากศพนั้นเพื่อไม่ให้กายเป็นอาหารอันน่าอนาถของหนอน

กายซึ่งดำรงอยู่ได้ก็โดยชีวิต ชีวิตซึ่งเป็นตะเกียงภายในนี่แหละ คือโชคอันเป็นธรรมดาสำหรับเลือดเนื้อของมนุษย์ แม้ว่าใครจะมีอานุภาพหรือยากจนข้นแค้นก็ตาม ดีหรือชั่วก็ตามก็ต้องตายกันทั้งสิ้น และตามที่ปรากฏตามคำที่สอนกันมา ก็ว่าเมื่อตายแล้วก็ไปเกิดใหม่อีก ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าไปเกิดที่ไหนและเกิดอย่างไร เมื่อเกิดแล้วก็ต้องเผดิมเริ่มด้วยความหวาดเสียวและในวาระที่สุดก็เข้าสู่ กองไฟเผากายเช่นเดียวกัน นี่แหละคือวัฏสงสารของมนุษย์

เมื่อได้สดับดังนั้น พระสิทธัตถะจึงเงยพระพักตร์มีพระเนตรอันคลอหล่อไปด้วยอัสสุชลอัน ศักดิ์สิทธิ์ ทอดดูฟ้าแล้วก็มองดูดิน เต็มตื้นไปด้วยธรรมเมตตา พระองค์ทอดพระเนตรดูฟ้าบ้าง ดูดินบ้าง ประดุจว่า พระทัยของพระองค์กำลังเพ่งเล็งค้นคว้าหาความเห็นอะไรอย่างหนึ่งอันลึกซึ้ง และซึ่งเกี่ยวเนื่องติดต่อระหว่างฟ้าและดิน คือความเห็นซึ่งล้ำความเห็นและมองไม่ได้ด้วยตา แต่เมื่อค้นคว้าหาแล้วก็อาจพบเห็นและรู้จักได้

ครั้นแล้วโดยพระอาการอันสง่าซึ่งปั่นป่วนโดยอำนาจแห่งความดิ้นรนอย่างเดือด ดาล ด้วยความเมตตาอย่างเหลือล้นพ้นประมาณ และความเชื่อแน่ในความหวังอันหาที่สุดและสิ้นสูญมิได้ พระองค์จึงเปล่งพระอุทานว่า

"โอ! โลกซึ่งทรมาน! โอ! พี่น้องที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งหลาย ซึ่งล้วนแต่ติดอยู่ในข่ายแห่งความทุกข์ยากและความตาย ตายแล้วก็เกิดใหม่อีกเพราะถูกหน่วงเหนี่ยวโดยวิญญาณ! เราเห็น เรารู้สึกแล้วในเหตุแห่งความวุ่นวายทรมานของโลก ความเย่อหย่งในความสำราญ ความเย้ายั่วในความสุข ความหวาดเสียวในความป่วยเจ็บของโลก ความสนุกรื่นเริงนั้นสิ้นสุดลง เมื่อประจวบเข้ากับความแร้นแค้น ความหนุ่มย่อมสิ้นลง เมื่อประจวบเข้ากับความชราภาพ ความรักทำให้เกิดทุกข์ เมื่อสิ่งที่ตนรักได้หายไป เป็นแล้วก็มีความตายมาตอบแทน และเมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นอะไรที่รู้ไม่ได้เข้าอีกซึ่งกระทำให้มนุษย์ได้ รับความเป็นไปใหม่อีกตามวัฏสงสาร สำหรับให้หมุนในวงแห่งความเบิกบานที่ไม่เที่ยง และในความทรมานอันแท้จริง เราเองก็เหมือนกันย่อมถูกหลอกด้วยเหยื่อเช่นเดียวกันนี้ และชีวิตก็ดูเหมือนว่าเป็นของรักของเรา และแม้นเหมือนกับกระแสน้ำกลางแดด ซึ่งไหลโดยสันติสุขปราศจากขุ่นมัวชั่วนิรันดร

แต่แท้จริง แม่น้ำอันปราศจากเดียงสา ถึงจะได้ไหลหลั่งผ่านสนามอันเต็มไปด้วยบุปผชาติก็ดี ในที่สุดน้ำซึ่งใสดุจแก้วเจียระไนก็ไหลอย่างรวดเร็วลงไปสู่ทะเลซึ่งเค็ม ไม่บริสุทธิ์เท่านั้น นี่แหละสิ่งซึ่งทำให้เรามืดมัวได้ประจักษ์แจ้งแก่เรา แล้วเราก็เป็นอย่างมนุษย์ทั้งหลายซึ่งอ้อนวอนพระเจ้าโดยพระเจ้าไม่เห็นฟัง

แต่อย่างไรก็ดี ต้องมีทางหนึ่งทางใดที่จะช่วยเหลือเขา และช่วยเรา และใครๆ ทั้งมวลที่ต้องการความช่วยเหลือ สำหรับท่านเองก็ว่าไม่ได้และไฉนหนอท่านจึงอ่อนแอนัก อ่อนจนไม่สามารถช่วยเหลือปวงชนที่ร่ำร้องวิงวอนถึง เราไม่ประสงค์จะปล่อยให้ผู้ที่เราสามารถเกื้อกูลต้องตกอยู่ในความร่ำไห้ ทำไมพรหมเทพจึงได้สร้างโลกขึ้นแล้วสละละทิ้งไว้ในห้วงแห่งภัยร้าย ถ้าท่านมีฤทธานุภาพเปี่ยมแท้ แต่ปล่อยให้โลกคงอยู่ในสภาพด้วยลักษณะฉะนี้แล้ว ท่านก็ไม่นับว่าดีตามทำนองธรรม ท่านก็คงมิใช่พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน "แน่ะ! นายฉันนะ กลับวังเถอะ พอแล้ว ฉันได้ประสบพบเห็นเหตุต่างๆ พอแล้ว"

ครั้นสมเด็จพระราชบิดาได้ตระหนักในกรณีที่เกิดขึ้นโดยประการดังกล่าวมาแล้ว นั้น พระองค์จึงให้เพิ่มหมวดรักษาการประจำตามทวารต่างๆ ขึ้นสามเท่าจำนวนเดิม ทั้งมีพระราชกฤษฎีกาห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเวลากลางวันหรือกลางคืน ทั้งนี้จนกว่าจะล่วงพ้นกำหนดจำนวนวันที่ได้ทรงทราบไว้ในพระสุบิน

จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/03.html

http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 ตุลาคม 2559 19:06:08 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 0 2997 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 18:44:09
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2721 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 18:54:15
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2475 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 19:11:47
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2651 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 14:28:43
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2691 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 14:42:03
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.291 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 17 มีนาคม 2567 18:16:13