[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 07:36:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: "ผู่ผู่อ่อง"บรมครูผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ชาวพม่าเคารพเทียบ หลวงปู่เทพโลกอุดร  (อ่าน 7276 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 ตุลาคม 2559 10:21:01 »



"ผู่ผู่อ่อง"ตำนานบรมครูผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ชาวพม่าให้ความเคารพเทียบ คนไทยเคารพ "หลวงปู่เทพโลกอุดร"

ผู่ผู่อ่องตำนานผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ                        

            ถ้าในเมืองไทยรู้จักตำนานเรื่องราวของ “หลวงปู่โลกอุดร” เป็นอย่างดีแล้ว ในเมืองพม่า มอญและไทยใหญ่เขาก็มีตำนานผู้วิเศษคล้ายๆกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรในบ้าน เราเหมือนกัน แต่ทางเขาคือ “ผู่ผู่อ่อง” บุคคลท่านนี้เป็นผู้วิเศษที่มีชีวิตเป็นอมตะ เหาะเหิรเดินอากาศได้ ปรากฏตัวมาหลายยุคหลายสมัย  ผู่ผู่อ่องเป็นบุคคลที่บุเรงนองนับถือมาก ครั้งหนึ่งผุ่ผู่อ่องแสดงฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนยอดเจดีย์ชะเวดากอง จารอักขระยันต์ “สะตะปะวะ” เอาไว้กันภัยพิบัติทั้งปวง



              ตามประวัติเล่าไว้ว่าผู่ผู่อ่อง ออกปฏิบัติบำเพ็ญพรตคราวแรกบรรพชาเป็นพระภิกษุ ต่อมาเห็นว่ามีข้อศีลสิกขามากทำให้เกิดความกังวลจึงลาสิกขาออกมา แล้วออกบวชเป็นผ้าขาว บำเพ็ญตนเป็นนักพรตฝ่ายฤๅษีชีไพร ธุดงค์รอนแรมไปเรื่อยจนพบ “ยอดเขาโป๊ปป้า” ภูเขา เขานี้อยู่ระหว่างเส้นทางจาก “พุกาม” จะไป “มันฑะเลย์” จะมียอดภูเขาไฟอยู่ยอดหนึ่ง เป็นสถานที่เหมาะสมสำหรับทำพวกพรรค์นี้มาก

             “ภูเขาโป๊ปป้า” เขาแห่งนี้เป็นภูเขาไฟเก่ามาก่อน เมื่อผู่ผู่อ่องเห็นชัยภูมิดีเป็นที่สัปปายะจึงใช้เป็นที่บำเพ็ญพรตพร้อมๆ กับใช้เป็นสถานที่ศึกษาเรื่องปรอทสำเร็จ ผู่ผู่อ่องร่ำเรียนทางไตรเพทย์วิทยามาเจนจบ ศึกษาเรื่องว่านยาและกายสิทธิ์จนล่วงรู้ความเร้นลับของธรรมชาติอย่างเหล็กไหลและปรอทเป็นอย่างดี จึงทดลองดักปรอทหมอกจากยอดเขาแล้วนำมาฆ่าด้วยว่านยาอันมีฤทธิ์ จากนั้นหุงด้วยวิทยาอาคมผสมผสานพลังจิตขั้นฌานชั้นสูง ผลออกมาก็ได้ปรอทวิเศษ เมื่ออมแล้วสามารถเหาะลอยไปยังสถานที่ใดก็ได้ การสำเร็จปรอทนั้นผู่ผู่อ่องคงบรรลุธรรมไปพร้อมๆ กัน คือสำเร็จซึ่งสมาบัติสูงสุด ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู่ผู่อ่องกลายเป็น “นักสิทธิวิทยา” ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ ตามตำรานั้นกล่าวว่ามีอายุได้ยาวนานนับล้านปีหรือเป็นเวลา ๑ กัปล์  




   ผู่ผู่อ่องสำเร็จปรอทจนถึงขั้นสูงสุดสำเร็จเป็นแก้วจักรพรรดิ์เรียกว่า “สำเร็จปรอท” พวกที่สำเร็จปรอทนี้พอถึงทำเป็นแก้วแล้ว เรื่องทำทองเป็นเรื่องเล็ก เขาก็จะทำแผ่นทองจารึกชื่อตัวเอง พร้อมกับวันเดือนปีที่สำเร็จปรอท แล้วก็เอาไปถวายบูชาตามเจดีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ “เจดีย์ชะเวดากอง” ถ้าอยากดูก็ต้องปีนขึ้นไปดู ที่เมืองไทยมีอยู่ องค์หนึ่ง แต่ว่าท่านอยู่ในป่า สำเร็จปรอทแล้วท่านก็อมเอาไว้ เวลาธาตุปรอทมันเรืองแสงออกมา จะเห็นแก้มด้านที่อมปรอทสำเร็จไว้เป็นสีแดงๆ ก็เลยเรียกท่านว่า “หลวงพ่อแก้มแดง” เหลือเชื่อไหมว่าธาตุอย่างหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นอีกอย่างได้

ในปัจจุบันครูเวทย์หมอธรรมของทางกระเหรี่ยง ไทยใหญ่ พม่าและมอญ ต่างยังคงนับถือผู่ผู่อ่อง เชื่อกันว่าท่านยังคงดำรงสังขารธรรมของท่าน คอยสอดส่องด้วยอำนาจหูทิพย์ ตาทิพย์ ดูว่าใครเหมาะสมที่จะรับเป็นศิษย์ เมื่อพบแล้วก็จะมาโปรดแบบเดียวกันกับเรื่องหลวงปู่โลกอุดรในไทยเรา

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/206909/






        เรื่องราวของพ่อครูโพมินข่องเป็นที่นับถือในหมู่ชาวไทยใหญ่ พม่าและมอญ และนับเอาดพครูโพมินข่องเป็นหนึ่งในสิบของพ่อครูทั้ง ๑๐ แห่งสายวิชายาแดงอีกด้วย

          รายนามพ่อครูทั้ง ๑๐ นั้นมีดังนี้คือ ๑ พ่อครูพู่พู่อ่อง ๒ พ่อครูโพมินข่อง ๓ พ่อครูบูดออี ๔ พ่อครูบูดอบิวหรือสะยาปิ๋ว ๕ พ่อครูบูดอป๋วย ๖ พ่อครูอุเมี๊ยะขิ่น ๗ พ่อครูสัจจะยามิน ๘ พระมหาโอสถวิชา ๙ เส่วิชา ๑๐ ต่อวิชา  

         ทั้ง ๑๐ ท่านนับเป็นยอดบรมครูแห่งการสักสายยาแดง รวมไปถึงวิชาการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อสำเร็จความเป็นอมตะ ธรรมของพ่อครุทั้ง ๑ๆ นั้นล้ำลึกพิสดาร สมบูรณ์ด้วยธรรมและอิทธิฤทธิ์ พลังเหนือโลก ที่สามัญชนคนธรรมดายากจะเข้าถึง ตามคติความเชื่อนั้นแม้ผู้ใดมีบารมีของพ่อครูท่านใดเพียงท่านเดียวสถิตย์อยู่กับตัว ด้วยลายสักยันต์ยาแดงก็ดี หรือด้วยคาถาที่ท่องจำไว้ในใจก็ดีหรือเพียงระลึกถึงท่านด้วยใจเคารพศรัทธาอันมั่นคงก็ดี คนผู้นั้นไม่มีโดนทำร้ายด้วยคุณไสย คุณคน หรือแม้แต่พิษร้าย สัตว์ร้ายต่างๆก็ไม่สามารถทำอันตรายใดๆได้  

         พ่อครูโพมินข่อง คือหนึ่งในผู้บรรลุอภิญญาฤทธิ์แห่งเมืองพุกาม มีผู้คนบูชาท่านมากมาย ขนาดที่เขาโปปาอันเป็นสิงสถิตของมังมหาคีรีนัต ยังได้จัดห้องของท่าน จำลองที่อยู่ของท่านไว้บนเขาโปปา เพื่อให้คนได้มีโอกาสไปสักการะ ไประลึกถึงอยู่เป็นประจำ

           รูปของพ่อครูโพมินข่อง มักเห็นในรูปของครูที่ปล่อยผมสยาย นั่งไขว้เท้าในท่าขัดสมาธิ และที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งคือท่านมักถือถ้วยน้ำชาในท่ากำลังจิบอยู่เสมอ  

         ในบรรดาครูทั้ง ๑๐ นั้นเป็นที่เชื่อกันว่า มีอย่างน้อย ๒ ท่านที่มีชีวิตเป็นอมตะ คือพ่อครูพู่พู่อ่อง และพ่อครูโพมินข่อง กล่าวกันว่าพ่อครูพู่พู่อ่อง ท่านใช้วิธีฝึกวิชาไปตามขั้นจนสำเร็จ ส่วนพ่อครูโพมินข่องใช้เคล็ดฝึกวิชาย้อนกลับ หมายความว่าพ่อครูพู่พู่อ่องนั้นฝึกตามลำดับจากขั้นวิชา ๑ ๒ ๓ ๔ ไปจนสำเร็จขั้นสูงสุด ส่วนพ่อครโพมินข่องนั้นเมื่อเรียนวิชาท่านเริ่มจากวิชาที่ยากที่สุดก่อนและไล่ไปจนถึงวิชาขั้นพื้นฐาน ทั้งสองท่านสำเร็จแล้วอธิษฐานรักษาคุ้มครองพระพุทธศาสนา มีชีวิตยืนยาวเป็นกัปล์ รอรับเสด็จพระศรีอาริยะเมตรตรัย เมื่อฟังธรรมจากพระองค์จิตก็จะบรรลุสู่นิพพานธรรมและดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานในทันที การสำเร็จวิชาของท่านพู่พู่อ่องและโพมินข่องนั้น คือสำเร็จทั้งด้านสมาธิจิต คือการเข้าฌานสมาบัติ กสิณ การเพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ จนเข้าอรูปฌานได้ การสำเร็จพระเวทย์คือการท่องมนตราและการตั้งพิธี การสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ทั้งปรอทสำเร็จและเหล็กไหลวิเศษ รวมทั้งการปรุงยาอมตะจากสมุนไพรที่หาได้จากเขาโปปา ด้วยความสามารถความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงเป็นคุณวิเศษเหนือโลก ที่ทำให้ท่านทั้งสองสมบูรณ์ด้วยฤทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใดในปฐพี


     ทุกวันนี้ยังเชื่อกันว่า ทั้งพู่พู่อ่องและโพมินข่องบรมครูผู้วิเศษศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนั้นยังคงดำรงสังขารอยู่ ผู้ที่ระลึกถึงนามท่านจะได้รับพรอันวิเศษ ผู้ที่ภาวนาถึงท่านจะได้รับความเมตตา และทุกวันนี้ชาวพม่ายังเชื่อกันว่าท่านทั้งสองยังสถิตย์อยู่ในเขาโปปา ในส่วนของแดนทิพย์อันเป็นภพภูมิที่เหลื่อมซ้อนกับตัวเขาอย่างลี้ลับ คนธรรมดามองไปจะเห็นเพียงแท่งหินทึบ แต่ผู้บรรลุจตุถฌานหรือได้ฌาน ๔ จะสามารถเห็นถ้ำลี้ลับซ้อนอยู่ภายใน อันเป็นที่สถิตย์ของเหล่าบรมครูทั้งหลายผู้เป็นอมตะ

จาก http://www.suriyanchantra.net/product/8/

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5064


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 04 ตุลาคม 2559 10:22:39 »

บรมครูพูพู่อ่องสย้าต่อ

บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งมอญพม่า

ตำนานพู่พู่อ่อง โดย ทิพยจักร



       บรมครูพู่พู่อ่อง สุดยอดปรมาจารย์แห่งการเล่นแร่แปรธาตุ และยังเป็นหนึ่งในครูทั้งสิบสายยาแดง ท่านสำเร็จวิชาธาตุ ๔ สามารถควบคุมธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้อย่างเด็ดขาด นับเป็นผู้วิเศษแห่งเมืองมอญ ที่พระเจ้าบุเรงนองนับถือสุดหัวใจ

      ตำนานเรื่องพู่พู่อ่องเล่าสืบต่อกันมาว่าท่านได้รับคัมภีร์วิเศษเป็นพระเวทย์วิชาอาคมที่จารึกลงบนแผ่นทอง ท่านได้ศึกษาคัมภีร์เล่มนี้ และเดินจาริกไปที่ต่าง ๆ จนสำเร็จวิชาในที่สุดเล่ากันว่าในขณะที่ท่านเดินจาริกแสวงหาความรู้นั้นท่านเคยจาริกไปถึงเมืองชมพูทวีปคืออินเดียในปัจจุบันคราวที่ท่านไปถึงเมืองอินเดียนั้นได้พบกับพระเจ้าปุดอตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายยังมิได้ทันขึ้นครองราชย์คราวนั้นเมื่อพบกันจึงเกิดคำมั่นสัญยาว่าจะเป็นเพื่อนกันซื่อสัตย์ต่อกันตลอดชั่วชีวิต ต่อมาไม่นานพู่พู่อ่องสำเร็จซึ่งฌานสมาบัติและพระเวทย์วิเศษ สำเร็จปรอทธาตุอันวิเศษ ทำให้เป็นอมตะไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันตาย ประกอบด้วยอิทฤทธิ์พิสดารยิ่งนัก ส่วนเจ้าชายปุดอก็ได้ขึ้นครองราชย์สมใจเป็นกษัตริย์ปุดอแห่งเมืองม่านหรือพม่านั่นเอง



        พู่พู่อ่องครั้งนึงจึงเคยเป็นเพื่อนกับกษัตริย์ปุดอ ต่อมาเมื่อพู่พู่อ่องสำเร็จเป็นผู้วิเศษ พอกษัตริย์ปุดอรู้เข้าว่าเพื่อนของตนสำเร็จเป็นผู้วิเศษสมปรารถนาแล้วก็เกิดความระแวงว่าพู่พู่อ่องจะมาชิงราชบัลลังค์ เลยประกาศจับตัวแล้วประหารโดยฝังทั้งเป็น ทหารยกกองทัพออกตามหาพู่พู่อ่องจนเจอแล้วจับมัดตัวขึ้นเรือเพื่อพากลับมายังวังของกษัตริย์ เมื่อเรือเริ่มออกจากท่าทหารก็แทบหัวใจวาย เพราะพู่พู่อ่องไปยืนยิ้มอยู่ที่ฝั่ง พวกทหารต้องกลับขึ้นฝั่งไปใหม่เพื่อจับพู่พู่อ่องอีกครั้ง คราวรี้พวกทหารวิงวินว่า ถ้าพู่พู่อ่องไม่ไปด้วยคนที่จะตายคือพวกเขาแน่นอน พู่พู่อ่องสงสารเลยบอกว่าพวกเจ้าจงกลับไปหากษัตริย์ของเจ้าเถอะเราสัญญาว่าจะให้เจ้าจับตัวส่งกษัตริย์ของเจ้าอย่างแน่นอน



            ทันทีที่ทหารพาเข้าเฝ้ากษัตริย์ปุดอ พู่พู่อ่องก็ปรากฏขึ้นในรูปของผู้โดนพันธนาการด้วยการมัด แต่เมื่อกษัตริย์ปุดอสั่งให้ไปฝังทั้งเป็น พู่พู่อ่องก็เนรมิตรตนลอยขึ้นไปกลางอากาศ อะไรก็จับไม่อยู่โซ่ตรวน เชือกมัดต่างหลุดลุ่ยออกทั้งหมด พู่พู่อ่องประกาศว่า การจะประหารเรานั้นท่านต้องลบอักขระที่ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวังให้ได้ ทันใดนั้นอักขระวิเศษก็ปรากฏขึ้นบนพื้นของพระราชวัง ทหารทุกคนต่างช่วยกันลบ แต่ยิ่งลบอักขระนั้นกลับยิ่งเพิ่ม มากขึ้น มากขึ้น จนเต็มพระราชวังไปหมด สุดท้ายก็ไม่มีใครลบอักขระวิเศษออกได้ พู่พู่อ่องกล่าวกับกษัตริย์ปุดอว่า ท่านตระบัดสัตย์ เพราะท่านเคยสัญญาว่าจะเป็นมิตรแก่เรา แต่บัดนี้ท่านกลับคำคิดสังหารเราเสีย ด้วยอคติที่โง่เขลา ด้วยความสามารถของเรานั้นสามารถทำให้ท่านปกครองโลกทั้งโลก พู่พู่อ่องกล่สวก่อนที่จะจากไป ในขณะที่กษัตริย์ปุดอสำนึกผิด ได้แต่เพียงวิงวอนว่า ขอให้พู่พู่อ่องช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านสืบไป จากนั้นพู่พู่อ่องก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตากษัตริย์ุดอและปวงทหารทั้งหลาย ทิ้งไว้แต่ความเสียดายที่ไม่สามารถนำผู้มีความสามารถอย่างพู่พู่อ่องมาช่วยราชการบ้านเมืองเพื่อความผาสุกยิ่งๆขึ้นไป



     จากนั้นมาพู่พู่อ่องได้กลายเป็นผู้วิเศษที่ล่องหนหายตัวไปตามสถานที่ต่างๆคอยดูว่าผู้ใดมีบุญวาสนามีใจสุจริตก็จะไปโปรดสอนวิชากรรมฐานและเล่นแร่แปรธาตุ เชื่อกันสืบมาตราบจนบัดนี้ว่าเดี๋ยวนี้พู่พู่อ่องก็ยังคงมีชีวิตสังขารเป็นอมตะ ท่านอยู่ที่เขาโปปา แต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็นเพราะท่านอยู่อีกมิติหนึ่งเหลื่อมซ้อนอยู่ต้องได้อภิญยาตาทิพย์มองเข้าไปจึงเห็นท่านได้ ดังนั้นผู้ใดปรารถนาจะพบพู่พู่อ่องท่านว่าให้พึงเจริญพระกรรมฐานจนได้ฌาน ๔ ประกอบด้วยพรหมวิหาร และคำสัตย์มีสีลเป็นที่รักในใจท่านก็จะได้พบพู่พู่อ่องตามปรารถนาที่สำคัญคือให้อธิษฐานถึงท่านเป็นประจำ



       ท่านผู้อ่านเมื่อได้อ่านมาถึงตรงนี้อาจเข้าเค้าว่าเรื่องพู่พู่อ่องนั้นคล้ายๆกับเรื่องของหลวงปู่เทพโลกอุดรทางฝั่งไทยเรา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงและอาจเป็นไปได้ด้วยว่าในความเป็นจริงโลกของอริยะหรือผู้ทรงฌานสมาบัตินั้นท่านเหล่านี้ย่อมรู้จักซึ่งกันและกัน ในโลกทางวัตถุเราสามารถสื่อสารเชื่อมโยงกันด้วยสัญญาณดาวเทียม สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณวิทยุฉันใดก็ดีในโลกแห่งพลังจิตท่านย่อมเชื่อมโยงติดต่อกันด้วยจิตอันทรงพลานุภาพ อันว่าอำนาจจิตนั้นมีศักยภาพสูงยิ่งว่าคลื่นสัญญาณใดๆที่พวกเราใช้อยู่ในปัจจุบัน มีอานุภาพความชัดเจนความเร็วยิ่งกว่าคลื่นดาวเทียม โทรทัศน์ โทรศัพท์เป็นไหนๆ แต่ทั้งนี้ผู้ปรารถนาจะติดต่อสื่อสารด้วยอำนาจจิตพิเศษก็ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญมีสมาธิแก่กล้า จนสามารถรับคลื่นและส่งคลื่นจิตได้ตามปรารถนา
 
      พู่พู่อ่องนั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สำเร็จซึ่งวิชาปรอทวิชาเลขยันต์ วิชาการทำประคำ และวิชาการทำตัวยาวิเศษ ทั้งนี้ท่านทรงฌานสมาบัติสูงสุด ทั้งมีฤทธิ์อภิญญาอย่างเยี่ยมยอด กล่าวกันว่าท่านดำรงสังขารอยู่ได้ด้วยอำนาจจากฌานสมาบัติที่ท่านทรงไว้ เรียกว่าการทรงอิทธิบาท ๔ และประกอบกับท่านสำเร็จปรอทวิเศษและตัวยาวิเศษจึงทำให้ท่านอยู่ได้ชั่วกัปล์ คำว่ากัปล์นี้ไม่ได้หมายถึงระยะเวลา ๑๒๐ ปีตามกำหนดอายุมนุษย์ทั่วไป แต่หมายถึงระยะเวลาที่ยาวนานมากๆอาจเป็นหมื่นปี แสนปี ล้านปี หรือยาวนานกว่านั้นก็ทำได้ดังใจของท่านปรารถนาทุกประการ เล่ากันว่าพู่พู่อ่องนั้นท่านอธิษฐานรอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศรีอริเมตรตรัยมาอุบัติเมื่อท่านได้ฟังธรรมจากพระศรีอาริย์แล้วท่านก็จะเข้านิพพาน ณ กาลบัดนั้นเลยทีเดียว ดังนั้นดวงจิตดวงใจของท่านบรมครูพู่พู่อ่องนั้นเป็นดวงจิตที่พร้อมจะบรรลุธรรมขั้นสูงเพียงแต่ท่านอธิษฐานขอเข้าเฝ้าองค์พระศรีอาริย์ไว้เท่านั้นจึงชะลอจิตยั้งจิตไว้ยังไม่เข้าสู่มรรคผลขั้นสูงสุดและระหว่างนี้ท่านก็ทำหน้าที่โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พึงจะสงเคราะห์ได้ตามวาสนาบารมี


จาก http://www.rusi-sitta.com/article/60/ บรมครูพูพู่อ่องสย้าต่อ

มีอีก เพิ่มเติม ท่านพ่อครูโพมินข่อง บรมครูผู้อยู่เหนือสมมุติ http://aseanline.blogspot.com/2016/09/blog-post_69.html

พ่อครูโพมินข่อง  http://aseanline.blogspot.com/2014/04/blog-post_4.html

พ่อครูพู่พู่อ่องและพ่อครูโพมินข่อง สายวิชาปะฐะมะสิทธิหรือวิชาสายยาแดง http://aseanline.blogspot.com/2014/04/blog-post.html

พ่อครูโพมินข่อง สิทธาผู้สำเร็จแห่งเขาโปปา http://aseanline.blogspot.com/2014/08/2557.html
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.501 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page วานนี้