[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 22:19:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย  (อ่าน 2176 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออนไลน์ ออนไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5063


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2559 15:07:58 »



ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย

ยังมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่อยู่ทุ่งหนึ่งยาวยืดไปตามฝั่งแม่น้ำโกหานะอันไหลเชี่ยว ที่นครเพื่อไปสู่ภูมิภาคที่กล่าวนี้ด้วยพาหนะเกวียนเทียมโค จากเมืองพาราณสีซึ่งเป็นเมืองที่วัดมีอยู่มากหลาย ก็ต้องเดินทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลา 5 วันจึงจะถึง ณ เมืองนี้ ซึ่งตลอดปีเดียรดาษไปด้วยปวงบุปผชาติและพุ่มพฤกษชาติที่ทอดเงาไปในน้ำให้มี เป็นสีเขียว มียอดเขาหิมาลัยซึ่งเต็มไปด้วยหิมะลอยเด่นอยู่

ลาดของเขานี้ชุ่มชื้น ต้นไม้กิ่งก้านสาขาซึ่งมีรสสุคนธ์ก็รื่นรมย์ และบัดนี้พระพายแห่งความบริสุทธิ์ก็ยังโชยอยู่ ณ ถิ่นที่นี้ ลมเฉื่อยแห่งสายสนธยากาลพัดมาสัมผัสละเมาะไม้และเหล่าศิลาแดงสลักซึ่งกะเทาะ แตกแยกออกด้วยอำนาจของรากไม้และกิ่งเถาวัลย์ทั้งปวง กับรกรุงรังไปด้วยหญ้าและใบไม้ เหล่าอสรพิษอันสงบเลื้อยคลานออกจากรูในดินและในโพรงไม้ แล้วก็ขดตัวเป็นวงแหวนสีเหลือบเป็นเงาอยู่เบื้องบนศิลากลางแจ้ง กิ้งก่าซึ่งว่องไววิ่งเหนือพื้นศิลาลวดลาย ซึ่งพระราชาเป็นอันมากได้เคยเสด็จดำเนินเหนือศิลานั้นมาแล้ว สุนัขจิ้งจอกนอนโดยสุขสันติภาพ เหนือพระราชบัลลังก์อาสน์ซึ่งปรักหักพังแล้ว มีที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็แต่ยอดเขา แม่น้ำ สนามหญ้า และลมพัดเย็นเฉื่อย

สิ่งทั้งปวงซึ่งงามวิไลตระการตาได้อันตรธานสิ้นไปแล้ว เพระสิ่งที่งามอยู่ที่นั่นนั้น คือพระราชธานีของพระเจ้าสุทโธทนะและภูผาน้อย ซึ่งเย็นวันหนึ่ง ยามเมื่อพระอาทิตย์กำลังฉายแสงสีเขียวและสีทอง องค์พระพุทธเจ้าได้ประทับเพื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนแก่สานุศิษย์ที่ เชื่อฟังของพระองค์

ท่านจงอ่านพระคัมภีร์อันวิเศษดูเถิดก็จะรู้ได้ว่า ณ ภูมิภาคอันเริงรมย์นี้มีประพฤติการณ์มาแล้วอย่างใด คือภูมิภาคซึ่งแต่เดิมเป็นอุทยาน กอปรด้วยวิถีทางซึ่งเทลาด มีตาน้ำ หนอง บึง ลานดินซึ่งมีต้นกุหลาบเป็นขอบ กับห้อมล้อมไปด้วยพระตำหนักอันเกษมสันต์และพระราชสำนัก มีมุขอันวิจิตรบรรจงนั้น ในเมื่อองค์พระศาสดาจารย์เจ้าประทับเป็นสง่าอยู่ต่อหน้าหมู่ชนผู้คารวะซึ่ง ต่างก็คอยให้พระองค์แย้มพระโอษฐ์เพื่อแสดงพระธรรมอันวิเศษซึ่งกระทำให้ทวีป อาเซียของเราร่มเย็นนั้น การซึ่งมนุษย์โลกอันมีจำนวนตั้งสี่พันหลัก ( หลักหนึ่งเท่ากับหนึ่งแสน ) นับถือพระพุทธศาสนานี้ ย่อมเป็นพยานแห่งความจริงเมื่อสมัยครั้งกระโน้นเพียงใดแล้ว

พระองค์ประทับอยู่ข้างเบื้องขวาพระราชาและเหล่าศากิยะทั้งปวง พระอานนท์ พระเทวทัต กับบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระราชวังทั้งปวงก็รายเรียงล้อมรอบพระองค์ ข้างหลังพระองค์ก็คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระเถระผู้แรกครอง กาสาวพัสตร์ นับว่าเป็นสานุศิษย์ติดตามพระองค์ ในระหว่างพระชานุของพระองค์ พระราหุลชำเลืองดวงเนตรอันน้อยอย่างตื่น ๆ มองดูพระวรพักตร์ของพระองค์ผู้เป็นพระราชบิดาแล้วแย้มพราย ณ เบื้องพระบาทของพระองค์ก็คือพระนางศรียโสธราผู้สิ้นแล้วซึ่งความปั่นป่วนใน ดวงหฤทัย เพราะได้เล็งแลเห็นความจริงในในความสุขซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยความสนุกที่ ไม่ถาวร คือชีวิตที่ไม่รู้จักแก่และตายซึ่งวัฒนาอันเป็นวาระที่สุดของสิ่งทั้งปวงอัน จักเป็นไปได้ เมื่อความตายได้ถึงแล้วซึ่งสาระที่สุด เพราะได้อาศัยความสำเร็จผลของพระสิทธัตถะและของพระนางเอง

อนึ่งพระนางวางพระหัตถ์ข้างหนึ่งไว้เหนือพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า และโดยเหตุที่พระนางเป็นผู้ซึ่งมีค่ายิ่งของพระองค์ผู้ซึ่งไตรภพรอคอยฟังพระ โอวาทของพระองค์ พระนางเอาชายจีวรของพระพุทธเจ้ามาคลุมทับผ้าสารี ( ผ้าที่สตรีชาวอินเดียใช้นุ่งห่มมีลวดลายที่ขอบ ) ที่ทอเป็นเงิน ข้าพเจ้าไม่สามารถจะลงความเห็นได้แม้แต่เล็กน้อยว่า ตำรับที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้านั้นรุ่งโรจน์กระจ่างแจ้งเพียงใด เพราะข้าพเจ้าเองนี้เป็นผู้แถลงซึ่งเกิดมา ณ กาลภายหลังอันล่วงมานานนักหนาแล้ว แต่รักพระศาสดาจารย์เจ้า และรักพระธรรมเมตตาของพระองค์ซึ่งมีต่อมนุษย์ แล้วพรรณนาประวัติการณ์ของพระองค์ โดยเหตุที่ทราบว่าพระองค์ทรงไว้ซึ่งพระคุณธรรมสมบัติและข้าพเจ้าขอสารภาพว่า ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาพอที่จะพูดโดยไม่อาศัยพระคัมภีร์ซึ่งลายมือเลอะลบลงเสีย แล้วด้วยความเก่าของกาลสมัยที่ล่วงมาช้านาน กระทำให้สำนวนข้อความโบราณนั้นสิ้นสูญไป คือสำนวนข้อความซึ่งเมื่อกาลเก่าก่อนโน้นยังใหม่เอี่ยมทั้งศักดิ์สิทธิ์แพร่ หลาย และได้รับความนิยมนับถือจากมนุษย์ทั้งปวง โดยอาศัยคัมภีร์อินเดียซึ่งควรเรียกว่า แสงทองของอินเดีย ข้าพเจ้าจึงได้ทราบส่วนหนึ่งของแห่งพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้ายังทราบอีกว่า ตามความซึ่งจารึกไว้ในพระคัมภีร์มีอยู่ว่า ผู้ซึ่งเชื่อฟังพระองค์นั้นมีจำนวนมากกว่าที่เราจะนึกเห็นได้มากนัก เพราะเหตุว่าผู้ที่มาฟังพระองค์นั้น มีทั้งพวกยักษ์และอื่น ๆ นับด้วยหมื่นแสน หมู่เทวาทั้งปวงกับทั้งวิญญาณของผู้ที่ตายทั้งหลายต่างได้มาที่นั่น จนสวรรค์ทั้ง 7 ชั้นว่างเปล่า และโลกนรกทั้งสิ้นก็เปิดประตูปล่อยหมู่นรกให้ขึ้นมา

อนึ่ง แสงสว่างของทิวาวารก็นานยิ่งกว่าธรรมดา ส่องแสงกุหลาบเหนือยอดภูผาซึ่งสงบเงียบประหนึ่งว่า ปล่อยให้รัตติกาลนั้นเงี่ยโสตตรับฟังพระองค์อยู่ในหุบเขา และทิวาวารฟังพระองค์อยู่บนเขาฉะนั้น นั่นแหละ ในพระคัมภีร์มีจารึกว่า เงากำบังอยู่ในระหว่างสิ่งเหล่านี้ ประดุจนางฟ้าซึ่งต้องเสน่ห์ในปัจจุบัน มีเมฆซึ่งเป็นละลอกล่องลอยอยู่นั้น เป็นเกสาถักของนาง ดาราทั้งปวงเป็นไข่มุกและเพชรแห่งมงกุฎ ดวงจันทร์เป็นปันจุเหร็จ ( เครื่องรัดเกล้าที่ไม่มียอด ) ของนาง

ในระหว่างที่พระองค์กำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาสั่งสอนอยู่นั้น พระพายก็โชยรสสุคนธ์ให้ขจรมารวยรินและผู้ใดซึ่งฟังพระองค์จะเป็นไท้ต่างด้าว ข้าทาส ผู้มีตระกูลสูงหรือต่ำ มีเลือดเนื้อสืบมาจากอารยชนหรืออนารยชน ชาวป่าชาวดงพงไพรอะไรก็ตาม ต่างก็นึกเสมือนหนึ่งว่า ได้ยินเป็นภาคำพูดแห่งชาติ และตระกูลของตนทั้งสิ้น นอกจากปวงชนใหญ่น้อยทั้งลายซึ่งต่างก็ขมีขมันไปสู่ฝั่งแม่น้ำนั้นแล้ว ยังหมู่สัตว์จตุบาท นกทั้งปวง และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย

พระคัมภีร์ก็กล่าวว่า เมื่อรู้สึกในพระคุณธรรมแห่งองค์พระพุทธเจ้า และถือเอาพระโอวาทของพระองค์เป็นสรณะ จนถึงกับว่าชีวิตของของสัตว์เหล่านี้ จะเป็นลิง เป็นเสือ เป็นเนื้อทราย เป็นหมี เป็นสุนัขใน เป็นหมาป่า เป็นเหยี่ยวที่โฉบซากต่าง ๆ มาเป็นอาหาร เป็นนกพิราบสีเทาเหลือบ หรือเป็นนกยูงที่มีสีงามวิจิตร เป็นกบที่ต่ำเตี้ย หรือเป็นงูสีลาย เป็นกิ้งก่า ค้างคาวหรือปลาซึ่งว่ายอยู่ในแม่น้ำ ก็ดูใกล้เคียงเข้ามากับมนุษย์ซึ่งมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าสัตว์ทั้งหลายเล่า นี้ และด้วยความปลาบปลื้มอันพดไม่ออก สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้เข้าใจว่าเครื่องผูกพันแห่งกรรมของตนได้ขาดสะบั้นแล้ว ในเมื่อพระพุทธองค์ตรัสต่อหน้าพระราชาว่าดังนี้

“ โอม อมิตยะ จงอย่าใช้คำพูดเป็นเครื่องวัดสิ่งที่ไม่สามารถจะกำหนดได้ และจงอย่าพยายามคิดในสิ่งที่เกินความคิด เมื่อผู้ถามก็เข้าใจผิด และผู้ตอบก็เข้าใจผิด อย่ากล่าวอะไรเลยเสียดีกว่า ”

ในคัมภีร์มีกล่าวว่า “ ทีแรกทีเดียวก็มีแต่ความมืดเท่านั้น ฉะนั้นจึงมีแต่พรหมเท่านั้นที่รำพึงพิจารณาอยู่ภายในรัตติกาล อย่าอยากรู้ว่าพรหมนั้นคืออะไรเลย จนแม้แต่เดิมกำเนิดของพรหม พรหมก็ดีหรือแสงสว่างใด ๆ ก็ดีจะมองดูด้วยจักษุประสาทซึ่งย่อมตาย และจะให้รู้จักด้วยดวงจิตแห่งมนุษย์นั้นไม่ได้เลย ฉากแห่งความลับจะเผยออกต่อ ๆ ไปกันได้ก็จริง แต่ต้องพยายามกระทำให้ฉากแรกเผยออก แล้วก็พยายามกระทำให้ฉากอื่นที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นเผยออกต่อไปจนสิ้นเชิง ดาราทั้งปวงโคจรไปตามวิถีทางของตนเป็นนิจนิรันดร โดยมิพักที่จะรั้งรอเพื่อตั้งกระทู้ถามอะไรเลยเป็นกาลพอเพียงอยู่แล้วซึ่ง ความดำรงชีพและความตาย ความสุข และความทุกข์โศกดำรงคงอยู่ เฉกเช่นเดี่ยวกับเหตุและผล กับความดำเนินของกาลเวลาและอาการขึ้นลงซึ่งไม่รู้จักสิ้นของความเกิดซึ่ง เปลี่ยนแปลงเสมอและซึ่งดำเนินเรื่อยไปไม่หยุดหย่อน แม้นเหมือนกับลำน้ำซึ่งกระแสธาราไหลหลั่งไม่ยั้งหยุด จะเป็นเร็วหรือช้าก็ตาม อย่างไรก็ต้องไหลไปถึงซึ่งทะเลอยู่นั่นเอง



ส่วนทะเลนั้นเล่าก็ถูกดวงอาทิตย์ดูดเอาน้ำขึ้นไปเป็นไอ ไอตกมาสู่เหนือภูเขา แล้วจากภูเขาก็ไหลลงมาใหม่ไม่หยุดหย่อนเพียงแต่เท่านี้ ก็พอที่จะกระทำให้เข้าใจไปถึงสภาพแห่งฟ้าและดิน โลกทั้งหลายกับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ อย่าวิงวอนเลย ความมืดจะไม่สว่างขึ้นได้ดอก อย่าขออะไรกับความเงียบสงัดนั้นเลย เพราะความเงียบสงัดนั้นพูดหาได้ไม่ อย่าศรัทธากระทำความทรมานตนด้วยดวงจิตอันปั่นป่วนของตน

โอ ! ญาติพี่น้องชายและหญิงทั้งหลาย อย่าได้หวังในความช่วยเหลือของพระเจ้าทั้งปวงซึ่งทารุณ โดยถวายเครื่องสังเวย และแสดงคำเยินยอต่อเขานั้นเลย อย่าพยายามให้ได้รับบำเหน็จจากพระเจ้าด้วยวิธีบูชายัญ อย่าเลี้ยงเขาด้วยผลไม้ และขนมเลย แท้จริงตัวเราเองต่างหากที่จะต้องทำการช่วยตนเองให้พ้นจากทุกข์ มนุษย์ทุกรูปย่อมสร้างคุกคุมขังตัวเอง ทุกผู้คนมีสิทธิในสิ่งทั้งเช่นเดียวกับผู้ที่ใหญ่ยิ่ง เพราะเหตุว่าสำหรับผู้ที่ใหญ่ยิ่งที่อยู่เหนือหรืออยู่รอบตัวเราก็ดี สำหรับธรรมชาติที่มีเลือดเนื้อและที่มีชีวิตก็ดี จะสุขสำราญหรือจะทุกข์ก็ล้วนแต่โดยความประพฤติทั้งสิ้น สิ่งใดที่เป็นมาแล้วสิ่งนั้นแหละเป็นเครื่องจูงนำสิ่งที่กำลังเป็นอยู่และจะ เป็นต่อไปไม่ว่าเลวที่สุด หรือดีที่สุด ผลที่สุดย่อมอำนวยให้เป็นผลเริ่มแรกขึ้นอีก และผลที่เริ่มแรกย่อมอำนวยให้มีผลที่สุด ปวงเทวดาบนเบื้องสวรรค์ซึ่ง เสวยสุขก็โดยผลอันบริสุทธิ์ซึ่งกระทำมาแล้วแต่อดีต ปวงปิศาจ ณ โลกอันต่ำต้อย เสวยทุกข์อันเป็นเวรกรรมที่ตนได้ประพฤติชั่วมาแล้วแต่หนหลัง สารพัดอย่างย่อมไม่คงทน

คุณสมบัติอันงามเสื่อมทรามล่วงสูญไปตามกาลเวลา บาปหนักก็อาจอันตรธานกลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นก็เพราะความไม่เที่ยงตามกาลเวลา เหมือนกัน ผู้ที่มีความลำบากด้วยสภาพแห่งความเป็นทาส ต่อไปอาจได้เป็นเจ้าได้เหมือนกัน เพราะอาศัยบุญกุศลที่ตนกระทำให้ดีและความประพฤติที่ตนมีอยู่ ผู้ที่เป็นพระราชาอาจซัดเซพเนจรไปบนแผ่นดินโดยหุ้มห่อกายด้วยเศษผ้ายาจกก็ เป็นได้ ก็เพราะเหตุแห่งสิ่งที่ตนได้กระทำและที่ละเว้นไม่กระทำ ท่านอาจเชิดชูวาสนาของท่านให้สูงเยี่ยมยิ่งกว่าพระอินทร์ หรือทำให้ต่ำต้อยลงจนเลวยิ่งกว่าตัวหนอนหรือตัวอณูได้ สิ่งอื่นที่มีชีวิตไม่มีประมาณ บางอย่างก็บรรลุถึงซึ่งผลที่สุดในวาระแรกนั้นเอง บางอย่างก็ในวาระที่ 2 ถึงกระนั้นตราบใดที่วัฏสงสารซึ่งมองไม่เห็นยังหมุนอยู่ ย่อมไม่มีสันติภาพการลดหย่อนและการหยุดพักอยู่ตราบนั้น ใครขึ้นอาจตกลงมาได้ ผู้ใดซึ่งตกก็อยากขึ้น กำเกวียนหมุนโดยไม่ยั้งหยุด

หากท่านยังพัวพันติดอยู่กับล้อแห่งความเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากวิธีที่จะหัก โซ่ที่ล่ามท่านให้สะบั้นลงแล้ว ดวงใจของสัตว์ซึ่งมีอิสระก็คงเข้าตาร้าย วิญญาณของสิ่งทั้งปวงย่อมเป็นสิ่งที่ดี ดวงใจของสัตว์โลกก็เป็นที่ตั้งแห่งความสงบได้เหมือนสวรรค์ เจตสิกย่อมมีอำนาจเหนือความทุกข์ อะไรที่ดีก็ดียิ่งขึ้นแล้วก็ดีที่สุด ตถาคต คือ พระพุทธะ ผู้ซึ่งได้เสียน้ำตามามากเท่าน้ำตาของญาติพี่น้องทั้งหลายที่ร้องไห้ ดวงใจของตถาคตได้ชอกช้ำโดยปลงเห็นความทุกข์ของโลกทั้งมวล

แต่บัดนี้ตถาคตหัวเราะและมีความสบาย เพราะได้บรรลุแล้วซึ่งความอิสระ เออ ท่านทั้งหลายผู้ซึ่งมีความทุกข์ จง เข้าใจเถิดว่าท่านรับทุกข์เพราะตัวท่านเองไม่มีอะไรอื่นเลยที่ยุหรือยึด เหนี่ยวท่านเพื่อให้ท่านเกิดและตาย แลทำให้ท่านหมุนบนวัฏสงสารแห่งความทุกข์นั้น กงแห่งวัฏสงสารย่อมมีแต่อาบด้วยน้ำตา กำแห่งวัฏสงสารย่อมไม่มีสาระ

จงฟังเถิด ตถาคตจะแสดงให้เห็นความจริงต่ำลงไปกว่านรก สูงยิ่งกว่าสวรรค์ ไกลไปกว่าดวงดาราที่ไกลที่สุด เกินกว่าความเป็นอยู่ของพรหมไปอีก มีมหานุภาพมั่นคงและศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งซึ่งมีขึ้นโดยไม่มีแรกเริ่ม กำเนิด และทั้งไม่มีที่สิ้นสุดยืนยงอยู่ทั่วทุกแห่ง และมั่นคงเหมือนความจริงซึ่งเคลื่อนไปสู่ความดี และดีอยู่แต่ในกฎโดยตรงของตนเอง

สิ่งนั้นแหละซึ่งทำให้ต้นกุหลาบมีดอก ศิลป์ของสิ่งนั้นเองที่ทำให้บัวมีใบ ภายใต้พื้นดินที่มืดและในเมล็ดพืชอันอยู่นิ่งก็คือสิ่งนั้นแหละที่ส่องแสงใน อากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิ รัศมีที่ก้อนเมฆก็ดี สีมรกตที่ตัวนกยูงก็ดี เหล่านี้อยู่ในอำนาจของมหานุภาพอันศักดิสิทธิ์เหมือนกัน

ดวงเดือนเป็นที่อยู่ของมหาอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้น แสงสว่างและฝนเป็นทาสของมหาอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้นบันดาลให้ใจของมนุษย์ ออกจากความมืด และทำให้ตัวไก่ฟ้ามีคอสลับไปด้วยสีต่าง ๆ ออกจากไข่ที่ไม่มีใครมองทะลุเข้าไปได้ มหาอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักเว้น อาจสามารถกระทำให้สิ่งที่ประกอบด้วยโทษแลภยันตรายกลายเป็นสิ่งที่ชื่นชมได้ ไข่สีเทาของนกคีรีบูนที่มีอยู่ในรังก็เป็นทรัพย์สำหรับมหานุภาพนั้นด้วย

รัง 6 เหลี่ยมของผึ้งนั้นคือเหยือกน้ำผึ้งของมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ มดปฏิบัติตามกฎแห่งมหานุภาพ และนกพิราบขาวก็รู้จักกฎนั้นเหมือนกัน มหานุภาพนั้นบันดาลให้นกอินทรีรู้จักกระพือปีกบินเพื่อนำอาหารของมันมาสู่ รังของมันได้



มหานุภาพนั้นเป็นผู้นำให้นางหมาไนกลับมาหาลูกของมันได้ มหานุภาพนั้นเป็นผู้สร้างอาหารและมิตรสหายให้สัตวโลกซึ่งไม่มีใครรักเลย ไม่มีใครเกลียดชังและบังคับมหานุภาพนั้นให้หยุดได้เลย มหานุภาพนั้นรักทั่วทุกอย่าง นำน้ำนมมาสู่นมแห่งมารดา และนำน้ำขาวซึ่งเป็นพิษมาใส่ในเขี้ยวอสรพิษด้วยมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้น วางระเบียบความเป็นไปของโลกทั้งปวงให้ดำเนินในนภากาศซึ่งไม่มีขอบเขต มหานุภาพนั้นซ่อนทอง เพชร นิลจินดาทั้งหลายไว้ในพื้นปฐพี โดยเหตุที่มหานุภาพนั้นทำความอัศจรรย์ให้มีขึ้นจึงซ่อนสภาพอยู่ในป่าเขียว และยังให้เกิดพฤกษชาติแปลกประหลาด ณ โคนต้นสน ( แซเดร้อะ ) และประดิษฐ์ดอกไม้และใบไม้ทั้งปวง มหานุภาพนั้นพิฆาตและช่วยเหลือโดยไม่มุ่งผลอะไรอื่น นอกจากให้เห็นไปตามโชคชะตา

ความตายกับความอาดูรเป็นเครื่องมือแห่งกิจการของมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ นั้น กับมีความรักและความดำรงชีพเป็นโอรสมหานุภาพนั้น สร้างและทำลายกับแก้ไขทั่วทุกอย่าง สิ่งใดซึ่งทำขึ้นใหม่ย่อมดีกว่าเก่า ก่อนการงานซึ่งดีเลิศที่มหานุภาพนั้นลงมือทำย่อมค่อย ๆ บริสุทธิ์ขึ้นด้วยฝีมืออันชำนาญทั้งหลายแหล่เหล่านี้แหละที่เป็นฝีมือของมหา นุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านแลเห็น แต่สิ่งที่แลไม่เห็นนั้นแหละสำคัญกว่าสิ่งที่ท่านแลเห็นนั้นอีก ดวงใจและวิญญาณของมนุษย์ ความคิดของปวงชน วิถีและความมุ่งหมายของมนุษย์ทั้งปวงนี้ล้วนแต่อยู่ในบทบัญญัติของมหานุภาพ อันศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกันช่วยท่านโดยมือซึ่งทรงคุณานุคุณ โดยท่านไม่เห็น ไม่มีใครได้ยิน แต่ถึงกระนั้นก็พูดดังเสียกว่าฟ้าร้อง ความเมตตาและความรักพึงเป็นสมบัติของมนุษย์ เพราะความโหดร้ายได้ทำให้หมู่มนุษย์แก่กล้าเป็นตาบอดมานานแล้ว ไม่มีใครเกลียดชังมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ได้เลย

ผู้ใดไม่เคารพต่อมหานุภาพนั้นย่อมมีโทษ ผู้ใดที่รับใช้มหานุภาพนั้นย่อมมีคุณมหานุภาพนั้นรางวัลความดีซึ่งซ่อนเร้น อยู่โดยสันติภาพและสุขสวัสดิ์ และตอบแทนความชั่วที่ปิดบังที่ปิดบังโดยความทรมาน มหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้นมองเห็นทั่วทุกแห่งและสังเกตดูทั่วทุกอย่าง ท่านประพฤติชอบก็ให้บำเหน็จแก่ท่าน ท่านประพฤติชอบท่านก็จะได้รับตอบแทนการกระทำของท่านตามควรแก่หลักธรรมในไม่ เร็วก็ช้า มหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้จักถือโกรธหรือยกโทษ เครื่องวัดตวงของมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นับว่าเที่ยงธรรมอย่างเด็ดขาด ตราชูไม่บกพร่องคลาดเคลื่อนเลย

มหานุภาพนั้นไม่รู้จักแก่ด้วยอำนาจของวันและเวลา เพราะฉะนั้นก็อาจตัดสินอะไร ๆ ได้ในวันพรุ่งนี้หรืออีกช้านานก็ได้โดยอานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งกระทำการฆาตกรรมจึงกระทำให้ตนเองบาดเจ็บด้วยมีดของตนเอง ตุลาการอยุติธรรมก็ถึงแก่ความจำนน ลิ้นโกหกก็ตกหนักเพราะความโกหกของตนเอง ผู้ร้ายและคนคิดคดปลิ้นปล้อนก็ได้รับผลแห่งการทุจริตที่ได้กระทำไป ทั้ง หลายแหล่เหล่านี้แหละคือกฎซึ่งกระทำให้ประพฤติการณ์ทั้งปวงดำเนินเข้าสู่ ความยุติธรรมซึ่งไม่มีใครอาจสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหรือเหนี่ยวรั้งไว้ได้ ดวงใจของมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์นั้นคือความรัก วาระที่สุดของมหานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์คือความสงบและความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ จงเชื่อตามนี้เถิด ”

ตามความซึ่งแจ้งในพระคัมภีร์นั้นเป็นความจริงนะญาติพี่น้องทั้งหลาย ชีวิตของมนุษย์ทุกรูปทุกนามเป็นผลของการกระทำของตนในชาติก่อน ๆ ความผิดที่ล่วงพ้นมาแล้วเป็นเครื่องนำให้บังเกิดความทุกข์ทรมาน ส่วนความดีที่ล่วงมาแล้วเป็นเครื่องกระทำให้บังเกิดบรมสุข ท่านหว่านพืชสิ่งใด ท่านก็หวังเก็บผลของพืชสิ่งนั้น จงดูทุ่งนั้นเถิด งาก็เกิดจากงา ข้าวสาลีก็เกิดจากข้าวสาลีนั้นเอง ถึงแม้จะไม่มีเสียงหรือไม่มีรูป ความจริงก็ต้องเป็นความจริง สำหรับโชคของมนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นแหละ ตนเกิดมาก็เพื่อจะเก็บเกี่ยวงาหรือข้าวสาลี อีกทั้งหญ้าทั้งหลายที่ร้ายและมีพิษซึ่งกระทำตนให้เจ็บป่วยซึ่งตนได้หว่าน เพาะมาแล้วแต่ปางก่อน ก็หญ้าร้ายและมีพิษทั้งหลายนั้น ถ้าตนเอาการงานดีและถอนออกเสียแล้ว ปลูกพืชที่เป็นคุณประโยชน์พื้นที่ก็จะอุดมสมบูรณ์ดีและบริสุทธิ์ ผลซึ่งได้ก็มากมูล

หากผู้ซึ่งมีชีวิตศึกษาให้รู้ได้ว่าทุกข์มาจากไหนแล้วพยายามอดกลั้นด้วยความ เพียรข่มตน ให้ได้ใช้หนี้เก่าทั้งปวงของตนซึ่งตนได้มีหนี้ค้างมาแต่ปางก่อน เพราะเหตุแห่งความผิดของตน กระทำตนแต่ในความเมตตาและความเที่ยงธรรม หากไม่กระทำให้บังเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใดแล้ว ตนก็จะชำระล้างพันธุกรรมอันเลวทรามไม่น่าเชื่อถือให้บริสุทธิ์ได้ ยอมทนทรมานทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจเย็น โดยถือว่าเวรย่อมไม่ระงับด้วยก่อเวรต่อและตอบแทนโทษด้วยคุณ หากตนประพฤติอยู่ในธรรมสังเวค บริสุทธิ์ ยุติธรรม น่ารัก และซื่อสุจริตได้มากขึ้นทุกวัน ๆ และกำจัดตัณหาซึ่งมีรากอันเป็นโลหิตติดอยู่ไม่ว่า ณ ที่ใด ๆ ได้แล้ว จนกระทั่งความรักในชีวิตได้ถึงซึ่งที่สุด ถ้าประพฤติได้ดังกล่าวมานี้ แล้วเมื่อตายไปก็จะได้กำเนิดใหม่ตามผลของตนที่ได้กระทำมาตามบัญชีความดีและ ชั่วในชีวิตนั้น ๆ ตนผู้ซึ่งสิ้นทุกข์แล้ว และความดีที่พึงมีหรือแม้แต่ยังห่างก็ดีก็ย่อมมีชีวิตและบุญกุศลที่ตนจะได้รับผลภายในไม่ช้า

ผู้ใดซึ่งบรรลุถึงผลดังกล่าวนี้ย่อมไม่พะวงถึงชีวิตจนเกินไป ชีวิตซึ่งได้เคยมีมาแล้วและเริ่มมีอีกดังเช่นก่อนก็ถึงแล้วซึ่งความสิ้นสุด นับว่าตนได้ชนะแล้วซึ่งเคราะห์กรรมที่มนุษย์จะต้องมี พ้นแล้วซึ่งความทรมาน บาปจะไม่มาพัวพันอีกเลย ความทรมานแห่งความยินดี หรือทุกข์โศกในทางโลกมิอาจมาเกี่ยวข้องความสงบอันมั่นคงนั้นได้ทุกชั่ว นิรันดร อีกทั้งความตายและความเกิดจะไม่มีใหม่แก่ตนอีกเลย ตนได้ถึงแล้วซึ่ง นิพพาน นับว่าตนได้บรรลุถึงซึ่งชีวิตใหม่อีกอย่าง หนึ่ง แต่ถึงกระนั้นหาใช่เป็นความดำรงอยู่ในชีวิตไม่ ตนได้สุขแล้ว เพราะที่สิ้นแล้วซึ่งความเกิด



โอม มณีปัทเม โอม ( โอม มณีรัตน์ในประทุม เป็นคำสวดมนต์ของพระพุทธศาสนิกชนแห่งชาวธิเบต พระพุทธรูปนั้นโดยมากมักมีดอกบัวซึ่งมีมณีรัตน์ประดับอยู่ในดอก ) หยาดน้ำค้างได้หายไปในท้องมหาสมุทรอันกระจ่างใสแล้ว

ทั้งนี้แล คือบัญญัติแห่งกรรม จงศึกษาให้ทราบเถิด ความตายจะดับสูญได้โดยเด็ดขาดก็ต่อเมื่อมูลทั้งปวงแห่งบาปได้สูญสิ้นไปแล้ว และเมื่อชีวิตได้อันตรธานไปเหมือนเปลวไฟอันรุ่งโรจน์ได้ดับลง จงอย่าได้กล่าวว่า ฉันเป็นหรือฉันได้เป็นมาแล้ว หรือฉันจะเป็นต่อไปอีก อย่าได้นึกว่า ท่านได้ผ่านจากที่อาศัยที่มีเลือดเนื้ออันหนึ่งแล้วก็มาอาศัยที่ ๆ มีเลือดอีกอันหนึ่ง เหมือนคนเดินทางที่จำหรือลืมว่าตนเองนั้นได้เคยพักแรมสบายหรือไม่สบายฉะนั้น ผลแห่งความเกิดปางก่อนซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดอีกย่อมกลับมามีแก่โลกอีกเสมอ มันสร้างสำนักที่อาศัยของมันเหมือนตัวไหมซึ่งมันพันตัวของมันเองด้วยรังของ มัน มันได้สิ่งที่สำคัญและรูปทรงต่าง ๆ เหมือนไข่ของงูซึ่งเมื่อไข่ตกแล้วก็ได้เกล็ดและเขี้ยวเฉกเช่นพืชพันธุ์ของต้นอ้อสีต่าง ๆ ปลิวไปเหนือศิลา ดินเหนียวและทรายจนกระทั่งได้บรรลุถึงซึ่งหนองอันเหมาะแล้วจึงทวีพืชพันธุ์อีกต่อไป

ความเกิดก็เช่นนี้แหละ ถ้าไม่เกิดสำหรับรับความสุขก็เกิดสำหรับรับความทุกข์ เมื่อมัจจุราชมาคร่าอาผู้โหดร้ายไป ส่วนแห่งความบาปอันแปดเปื้อนไปด้วยโลหิตก็ปลิวว่อนไปตามลมซึ่งมืดมนอันธการ แต่ถ้าคนที่ดีและมีธรรมตายลงก็มีลมเฉื่อยพัดโชยให้ผาสุก โลกก็งามยิ่งขึ้นเหมือนแม่น้ำแห่งทะเลทรายซึ่งลับตาไปแล้วก็มีขึ้นใหม่ใส บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเก่า

นี่แหละคือความประพฤติอันดีซึ่งให้ผล ย่อมกระทำให้ได้รับผลสันติสุขข้างหน้าต่อไป ซึ่งนัยว่าห่างจากความประพฤติที่ไม่ดี ถึงกระนั้นก็ดี ต้องใช้กฎแห่งความเมตตาดำรงไพศาลไปทั่วทั้งโลก ก่อนที่กัลป์จะสิ้นสุดลง อะไรเล่าจะเป็นอุปสรรค ญาติพี่น้องทั้งหลาย ก็คือความมืดที่พอกพูนอวิชชาเข้าไว้ ที่ทำให้ท่านหลง และทำให้ท่านถือเอาแต่เงาต่าง ๆ ที่ท่านแลเห็นนั้นว่าเป็นของจริง แล้วก็บังเกิดความต้องการอย่างแรงกล้า เพื่อให้สิ่งที่ท่านแลเห็นได้เป็นของท่าน และเมื่อท่านมีสิทธิ์ในสิ่งนั้นแล้วมันก็ผูกพันท่านให้ติดราคะตัณหาซึ่ง กระทำให้ท่านได้รับความอาดูร ท่านผู้ซึ่งอยากดำเนินไปตามทางสายกลางซึ่งตกแต่งโดยสัมปชัญญะอันสว่าง และปราบให้ราบรื่นด้วยสุขารมณ์อันสงบ ท่านผู้ซึ่งอยากดำเนินให้บรรลุถึงทางสูงแห่งนิพพาน จงฟังความจริงที่สุขุมทั้ง 4 ต่อไปนี้

ความจริงประการที่ 1 คือ ความทุกข์ อย่าปล่อยตัวให้หลงระเริงชีวิตซึ่งท่านรักนั้น เป็นการทรมานไม่รู้จักสิ้นสุดความลำบากในชีวิตยังมีอยู่เสมอ แต่ ความสนุกแห่งชีวิตนั้นประดุจเหมือนนกงามที่บินผ่านไป ความทรมานในเวลากำเนิด ความทรมานในวาระที่เดือดร้อน ความทรมานในขณะเมื่อยังเป็นหนุ่ม เดือดร้อนและมีอายุมากแล้ว ความทรมานในฤดูหนาว และในปีที่แก่ชรา และความทรมานสุดท้ายคือความตาย สิ่ง เหล่านี้แหละจะบังเกิดขึ้นในชีวิตอันน่าอนาถของท่าน ความรักเป็นสิ่งที่อ่อนหวาน แต่เปลวไฟแห่งเชิงตะกอนก็ต้องแปลบปลาบ สัมผัสหัวอกอันท่านเคยซบหน้าตลอดจนแก้มของผู้ซึ่งท่านเคยจุมพิต ความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติแห่งนักรบก็จริง แต่เหล่าแร้งก็ยังได้ฉีกอวัยวะของแม่ทัพและเจ้าผู้เป็นประมุขได้ แผ่นดินงามตระการตาก็ดี แต่ผู้อาศัยในป่ายังกระทำการฆาตกรรมซึ่งกันและกัน เพราะเหตุแห่งความกระหายในการที่จะดำรงชีพ

จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/08.html

http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 0 2998 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 18:44:09
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 3505 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 19:03:02
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2475 กระทู้ล่าสุด 03 ตุลาคม 2559 19:11:47
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2652 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 14:28:43
โดย มดเอ๊ก
The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มดเอ๊ก 1 2720 กระทู้ล่าสุด 07 ตุลาคม 2559 15:00:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.752 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 21:13:59