[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 03:40:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ร่วมไขปริศนา "หลวงปู่อิเกสาโร" คือ"หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว  (อ่าน 2253 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 09 ตุลาคม 2559 14:42:38 »



ร่วมไขปริศนา.."หลวงปู่อิเกสาโร" คือ "หลวงปู่เทพโลกอุดร" ภิกษุลึกลับที่มีอายุยืนยาว หรือไม่? หรือเป็น "พระอริยะจากแดนมังกร"

หลวงปู่อิเกสาโร พระอภิญญาผู้ทรงฤทธิ์



    ในบรรดาผู้นับถือหลวงปู่โลกอุดรนั้นคงมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นภาพพระอริยเจ้านั่งเข้าฌานสมาบัติจนเหลือแต่โครงกระดูก ภาพปริศนานี้เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก เพราะต่างเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านหนึ่ง ซึ่งแต่งคนต่างเชื่อถือต่างๆ กันไป บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่โลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “ศิษย์เอกของหลวงปู่เทพโลกอุดร” บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระมหากัสสปะ” ผู้เลิศทางด้านธุดงควัตร เป็นพระภิกษุสมัยพุทธกาล บ้างก็เชื่อว่าท่านคือ “พระอริยะเจ้าท่านหนึ่งมาจากแดนจีน” ทั้งหมดนี้จะได้นำมาเล่าให้สู่ท่านฟังในครั้งนี้ว่าท่านคือใครมีข้อมูล เกี่ยวกับท่านอย่างไรบ้าง

                จากกระแสแรก เชื่อว่าท่านคือ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั้น กระแสความเชื่อนี้มาจากกลุ่มความเชื่อที่ว่านี่คือร่างหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร  โดยเชื่อหลวงปู่โลกอุดรมีด้วยกันสามร่าง ร่างแรกเรียกว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ร่างที่สองคือหลวงปู่อิเกสาโร ซึ่งมีสภาพเป็นโครงกระดูกนี่แหละ ร่างที่สามคือหลวงปู่ธรรมโลกอุดร สามร่างนี้คือบุคคลเดียวกัน แบ่งภาคไปมาได้แสดงร่างได้หลายแบบด้วยอำนาจมโนยิทธิ  ว่ากันว่าร่างของหลวงปู่อิเกสาโรนั้น อยู่ภายในวัดทุ่งสมอ จ.กาญจนบุรี ภายในวัดที่ช่องทางทะลุถึงถ้ำ อดีตเจ้าอาวาสองค์ก่อนชื่อ “หลวงปู่เบี่ยง” รู้เรื่องราวต่างๆ ดีน่าเสียดายว่าปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้ว

                เรื่องที่สองนั้น กล่าวกันดังนี้ว่าท่านคือ “ศิษย์เอกท่านหนึ่งของหลวงปู่โลกอุดร” ชื่อ “อิเกสาโร” เดิมเป็นชาวสุพรรณบุรี บ้านอยู่อำเภอเดิมบางนางบวช บวชในพระพุทธศาสนาและได้เป็นศิษย์ในดงของหลวงปู่โลกอุดร ท่านมีจริตชอบนั่งสมาธิในโพรงต้นโพธิ์ ชาวบ้านหาว่าท่านบ้า บางคนว่าท่านบรรลุแล้ว เรียกท่านตามที่เห็นว่า “หลวงพ่อโพรงโพธิ์”ที่สุดท่านไปนั่งสมาธิมรณภาพในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งที่เมืองกาญจนบุรี เชื่อกันว่าถ้ำที่ท่านไปนั่งเข้านิพพานนั้นชื่อว่า “ถ้ำละโว้” อยู่ในเขตท่าม่วง จ.กาญจนบุรี การเข้าถึงถ้ำแห่งนี้ท่านว่ายากมาก เพราะอยู่ในแดนกระเหรี่ยง ทางไปนั้นไม่มีทางเดินคนต้องนั่งช้างเข้าไป เมื่อถึงปากถ้ำจะมีพวกกระเหรี่ยงเฝ้าอยู่ ถ้าเขารู้ว่าเราจะเข้าไปสักการะเขาจะนอนให้เราเดินเหยียบหลังเข้าไปเพราะเขา ศรัทธาหลวงปู่อิเกสาโรมาก จะไม่ให้เท้าคนสัมผัสพื้นถ้ำเลย เพราะถือว่าเป็นการไม่สมควร

                เรื่องที่สาม สืบเนื่องมาจากเรื่องหลวงปู่อิเกสาโรเช่นกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงพ.ศ. ๒๕๐๐ มี “ร่างทรง” หลวงปู่อิเกสาโรเกิดขึ้น เดิมร่างทรงผู้นี้เป็นคนยากจนต่ำต้อยไม่มีฐานะ ต่อมาหลวงปู่อิเกสาโรมาประทับร่าง ชี้แนะการทำมาหากินจนเกิดความเจริญรุ่งเรือง ผู้อยู่ในเหตุการณ์สมัยนั้นเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อหลวงปู่อิเกสาโรลงประทับทรงแล้วร่างทรงจะนั่งนิ่งตัวตรง พูดค่อยมากๆ ท่านแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย เช่นสามารถคว้าสิ่งของจากกลางอากาศได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีบางท่านเดือดร้อนเงินทอง ต้องการเงินไปทำทุน ๕ แสนบาทท่านก็บอกให้เอากะละมังซักผ้ามาใบหนึ่งเอาผ้าขาวคลุมเข้าไป ท่านนั่งประเดี๋ยวก็บอกเอาผ้าขาวเปิดออกได้ พอเปิดออกเท่านั้นก็พบแบ๊งค์ร้อยเป็นฟ่อนๆ นับดูแล้วได้ ๕ แสนพอดีเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์

              สมัยนั้นท่านบอกว่าเวลาท่านช่วยเหลือใครท่านจะพิจารณาดูว่าแต่ละคนมีเทพ เทวดาท่านใด ที่มีกรรมเกี่ยวเนื่องกัน ท่านก็สื่อให้มาช่วย โดยกำหนดจิตถามไปว่าต้องการให้ข้าวของทำบุญอะไรไปให้เทพเทวดา เจ้ากรรมนายเวรนั้นๆ ก็บอกไปตามความประสงค์ ก็ปรากฏว่าผู้ที่มาขอความช่วยเหลือก็สำเร็จไปทุกราย แต่หลังๆ มานั้นปรากฏว่าคนที่สำเร็จไปแล้วกลับไม่ค่อยไปทำบุญทำทานตามที่สัญญากับเทวดาหรือเจ้ากรรมนายเวร ท่านจึงหยุดช่วยเหลือ เพราะคนไม่มีสัจจะ ต่อมาร่างทรงก็ถึงแก่กาลหมดอายุขัย การทรงการติดต่อจากหลวงปู่อิเกสาโรจึงต้องหยุดไปโดยปริยาย


           ก่อนที่ร่างทรงผู้นี้จะสิ้นชีวิตเคยไปบวชที่วัดตาเจี๋ย จ.สมุทรปราการ ในวาระนั้นได้มีการสร้างรูปหล่อหลวงปู่อิเกสาโรขึ้นที่วัดตาเจี๋ยด้วย เป็นที่กราบไหว้เคารพนับถือของญาติโยมทั้งหลายจนถึงปัจจุบัน ทุกวันนี้ทางเจ้าอาวาสคือ “หลวงปู่โม” ได้จัดสร้างวัตถุมงคลของหลวงปู่อิเกสาโรเป็นเหรียญทองแดงและทองเหลืองขึ้น ผู้สนใจบูชาเชิญได้ที่วัดโดยตรง

                นอกจากนี้ตามคำบอกเล่าของคนพื้นที่ที่ได้รับรู้เรื่องนี้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ร่างของหลวงปู่อิเกสาโรนั้นท่านอยู่ที่ถ้ำเขาควายคลอน ลักษณะถ้ำนี้อัศจรรย์มาก เพราะปกถ้ำมีหินก้อนหนึ่งมีลักษณะเหมือนเขาควายเปิดปิดไปมาเองได้ ถึงเวลาก็เปิดเองถึงเวลาก็ปิดเอง ลักษณะนี้เหมือนกับการเปิดมิติอย่างนึ่งคนที่มีวาสนาจึงได้เห็นถ้ำ จึงได้เข้าถ้ำ ดินแดนนี้เข้าใจว่าเป็นดินแดนมิติลับแลเมืองสัจจังบังบด เที่ยวค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอ ครั้งหนึ่งมิติเคยเปิดคนเห็นถ้ำและเข้าไปได้ จึงได้อัญเชิญร่างของหลวงปู่อิ เกสาโร ออกมาถ่ายภาพเก็บเป็นหลักฐานเอาไว้

                จากเรื่องเล่าทั้งหมดนี้ยังมีอีกหนึ่งคำอธิบาย “สังขารอมตะ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านเมตตาเล่าไว้ว่า ร่างที่เห็นนี้คือร่างของ “พระมหากัสสปะ” ท่านไปนั่งนิพพานในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งเขตจังหวัดกาญจนบุรี ตอนกึ่งพุทธกาลมิติเปิดมีนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหลงเข้าไป ถ่ายภาพเก็บมาเป็นหลักฐานได้ทุกวันนี้



                แต่นอกจากข้อมูลทั้งหมดยังมีอีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจ โดยข้อมูลนี้เล่าไว้โดยท่าน ธ . ธีรทาสพาณิช ท่าน เล่าว่าร่างอันอมตะที่เห็นกันอยู่นี้สัณนิฐานว่าเป็นร่างของพระอริยเจ้าชาวจีนนิกายเซน เพราะจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นพบว่าพระนิกายเซนที่บรรลุอรหันต์แล้ว มักจะเดินทางมานิพพานในเถื่อนถ้ำลี้ลับและถ้ำหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ว่าพระนิกายเซนนิยมมานั่งนิพพาน เรียกว่าเข้าไปไม่ออก คือถ้ำแห่งหนึ่งเขตท่าบ๊วย น่าจะตรงกับท่าม่วง และประเพณีสำคัญของพระอริยเจ้านิกายเซนคือการนั่งนิพพาน ซึ่งทำตามกันมานานับพันปีแล้ว ท่านสัณนิฐานไว้เช่นนั้น ผู้อ่านแล้วพึงพิจารณาตามความเชื่อของตน

                อีกเรื่องหนึ่งซึ่งหากไม่กล่าวไว้แล้วก็ย่อมถือว่าไม่สมบูรณ์คือเรื่องราวของ “พระอาจารย์สอน” ท่าน เป็นพระฝั่งลาวท่องธุดงค์ในเขตลาว ภูเขาควาย ปากเซ จำปาศักดิ์ แก่งลี่ผี การเดินธุดงค์ของท่านนั้นพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้เจอร่างปาฏิหาริย์ของพระอภิญญาลึกลับที่นั่งขัดสมาธิ เหลือแต่โครงกระดูก ท่านเรียกของท่านว่า “หลวงปู่โพธิสัตว์”

                เรื่องราวของพระอาจารย์สอนนี้ได้ถ่ายทอดไว้เมื่อคราวที่ “ท่านอาจารย์สิทธา เชตวัน” ได้ ไปกราบพระธาตุพนม คราวนั้นท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี (แก้ว อุทุมมาลา) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมขณะนั้น ได้แนะนำให้ทั้งสองท่านรู้จักกัน จึงเป็นโอกาสอันดีที่ท่านอาจารย์สิทธิเชตวันได้บันทึกและรวบรวมเอาไว้ ผู้ เขียนได้อ่านเรื่องนี้เมื่อยังเล็กตอนนี้ก็ยังจำได้

             สมัยก่อนได้เคยพิมพ์เผยแพร่ในเรื่องพระอาจารย์สอน ท่องมิติเร้นลับ โดย ท่านอาจารย์สิทธา เชตะวัน เผยแพร่ใน “นิตยสารโลกลี้ลับ” ในเนื่อเรื่องนั้นมีอยู่ว่าพระอาจารย์สอนธุดงค์ไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ทันที่ที่เข้าสำรวจในถ้ำก็ตกใจเพราะเจอร่างพระธุดงค์รูปนึ่งนั่งขัดสมาธิ เหลือแต่โครงกระดูกเข้าใจว่าสิ้นใจมานานแล้ว ตั้งใจว่าเมื่อเช้ารุ่งขึ้นจะฌาปนกิจศพท่านให้ คืนนั้นท่านนั่งภาวนาแต่จิตไม่รวม เพราะมีเสียงเสือหน้าถ้ำมารบกวนตลอดเวลา จิตประหวัดกลัวเสือขึ้นจับใจ มองไปหน้าถ้ำเห็นเสือถึงสามสี่ตัว ขณะนั้นเองท่านเห็นพระรูปหนึ่งเดินมายังหน้าถ้ำ ไล่เสือทั้งสามสี่ตัว ท่านไล่ว่าไปๆ ไอ้พวกนี้พระท่านจะนั่งภาวนามารบกวนท่าน ท่านไล่เพียงเท่านี้เสือทั้งหมดก็กระโจนไปคนละทิศคนละทาง เป็นที่น่าอัศจรรย์ พระอาจารย์สอนเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไป พบว่าร่างพระที่เหลือแต่โครงกระดูกหายไปแล้ว แต่แล้วก็พบว่าพระที่ออกมาไล่พวกเสือที่แท้ก็เป็นพระที่เหลือแต่โครงกระดูกนั่นเองเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมาก


           แต่แรกเข้าใจว่าตนเจอผีหลอก แต่พระอภิญญาท่านรู้วาระจิตจึงบอกว่า “อาตมาเป็นพระหาใช่ผีไม่” พระอาจารย์สอนคิดในใจ “เรื่องใดท่านก็ล่วงรู้หมด” เช่นนี้พระอาจารย์สอนก้มลงกราบ พร้อมทั้งนึกในใจว่าเป็นวาสนาที่เราได้กราบพระอริยเจ้า ท่านก็ยกมือปรามว่า ท่านไม่ใช่พระอริยเจ้าแต่บำเพ็ญเป็น “พระโพธิสัตว์” ปรารถนาพุทธภูมิ พระอาจารย์สอนปลาบปลื้มมาก เพราะท่านรู้วาระจิตทุกประการ พระอาจารย์สอนถามว่าท่านมีอายุเท่าใด ท่านตอบว่าจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าตอนที่ท่านบวชนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเพิ่งขึ้นครองราชย์ ถ้าคิดคำนวณก็หลายร้อยปีอยู่ไม่ต่ำกว่า ๔ ร้อยปีมาแล้ว

         ตลอดเวลาที่พระอาจารย์สอนอยู่กับหลวงปู่โพธิสัตว์นั้น ท่านภาวนาดีมาก แต่ที่สุดหลวงปู่โพธิสัตว์ให้ท่านธุดงค์ต่อไปอย่าได้ติดถิ่นที่ภาวนา ท่านจึงตัดสินใจไปแก่งหลี่ผีหมายจะไปเห็น “ต้นไทรมณีโครธ” ระหว่างทางพบผีเปรตเดชห่าจะหลอกลวงท่านให้เสียพรหมจรรย์ แปลงร่างเป็นหญิงสาว มายั่วยวนท่านเกือบเสียทีแล้ว หลวงปู่โพธิสัตว์มาทางจิตกระซิบในใจว่า “ให้เพ่งเทียนสู้” ท่านได้สติรีบเพ่งเทียน กำหนดภาวนาเป็นดวงไฟไปยังร่างของหญิงสาวนั้นปรากฏว่ามันแสดงร่างจริง เป็นผีเปรตรูปร่างน่าเกลียด พร้อมทั้งส่งกลิ่นเหม็นเน่าอย่างน่าสะอิดสะเอียน เพราะหลวงปู่มาโปรดแท้ ๆ ท่านจึงรอดมาจากปีศาจมาได้

 
          พอท่านเดินทางออกมาจากดงภูตผีมาได้ก็ป่วยเป็นไข้ป่า หลวงปู่ก็กระซิบทางใจ “ให้อดทนอีกหน่อยข้างหน้ามีไม้พุ่มขึ้นอยู่เด็ดใบกินเสียก็จะหายดี” ปรากฏก็จริงตามที่ท่านกระซิบบอก เดินทางต่อไปจวนจะถึงแก่งหลี่ผีพบพวกคนป่าข่าระแด สมัยนั้นมันยังกินคนอยู่ พบว่ามันจับพระรูปหนึ่งมัดเอาไว้เป็นพระชรา พิจารณาดูแล้วหาใช่พระธรรมดาไม่ เพราะรูปร่างสูงอย่างกับยักษ์ พิจารณาแน่ชัดจึงรู้ว่านี่คือ “หลวงปู่โพธิสัตว์” แปลงร่างมาเพื่อสั่งสอนคนป่าไร้วัฒนธรรมเป็นแน่ และก็จริงดังนั้นท่านทำฟ้าฝน ทำฟ้าผ่าใส่พวกคนป่าเหล่านั้น จนกลัวอย่างลนลาน จากนั้นหายตัวมาปรากฏต่อหน้าพระอาจารย์สอน พร้อมทั้งบอกกล่าวว่าท่านมาดักพระอาจารย์สอนไว้ เพราะจะเกิดเหตุอันตรายแก่ท่านได้

            จากนั้นท่านให้พระอาจารย์สอนจับจีวรท่านให้มั่นคงห้ามลืมตาจนกว่าจะบอก พระอาจารย์สอนทำตามทุกประการ เมื่อหลวงปู่โพธิสัตว์อนุญาตให้ลืมตาท่านจึงเปิดตาขึ้นดู พบว่าบัดนี้ตนเองมาอยู่กลางลำน้ำแก่งหลี่ผี เบื้องหน้าเป็น “ต้นไทรมณีโครธ” หลวงปู่ให้โอวาทว่าแท้จริงมันก็ไม่ธรรมดา ไม่เกี่ยวข้องกับมรรคนิพพานแต่อย่างใด จึงไม่ควรเข้าหลงยึด จากนั้นท่านบัญชาให้กลับและท่านพระอาจารย์สอนธุดงค์แสวงหาโมขธรรมต่อไป

          เรื่องนี้อยู่ในใจพระอาจารย์สอนตลอดมา ถือว่าเป็นวาสนาในชีวิตที่พบกับพระโพธิสัตว์เจ้า ผู้ทรงอภิญญาเช่นท่าน นำมาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เกิดศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาสืบไป เรื่องของ “หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร” เป็นอจินไตยผู้ใดพบธรรมโลกอุดรในใจผู้นั้นแลได้พบหลวงปู่โลกอุดร

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือ บารมีเหนือโลก หลวงปู่เทพโลกอุดร,ทิพยจักร

จาก http://panyayan.tnews.co.th/contents/199541/


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 ตุลาคม 2559 14:44:15 โดย มดเอ๊ก » บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.454 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 07 เมษายน 2567 21:35:47