แน่นอนว่าประเด็น #MeToo กำลังโด่งดังไปทั่วโลก และทรงอิทธิพลจนทำให้หลายประเทศมีความกระตือรือร้นต่อประเด็นดังกล่าวมากขึ้น อย่างเช่นที่ประเทศเกาหลีใต้เพิ่งออกมาเพิ่มมาตรการลงโทษคดีล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากที่มีผู้หญิงออกมาฟ้องร้องเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงานมากขึ้น รวมถึงข่าวการลาออกของ จุนอิจิ ฟุคะดะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังประเทศญี่ปุ่น เพื่อรับผิดชอบต่อการโดนข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว การรับผิดชอบต่อคดีดังกล่าวอาจยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก ซินดี้ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่า
“กฎหมายบ้านเรายังไม่มีไปถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มต้นจากการลุกขึ้นมาต่อต้าน หรือลุกมาขอร้องให้มีกฎหมายตรงนี้เสียก่อน แต่เอาจริงๆ แค่กฎหมายที่มันมีอยู่ตอนนี้ ขอให้ได้ใช้จริงก่อน ซินดี้รู้มาว่า จากสถิติการข่มขืน 4,000 กว่ารายปีที่แล้ว มีน้อยกว่า 100 รายที่มีการดำเนินคดี มันน่ากลัวมาก เพราะพอผู้หญิงไปแจ้งความก็จะเจอเจ้าหน้าที่ผู้ชาย ต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆ รอบจนท้อใจ รู้สึกว่าตัวเองถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันหดหู่นะ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหามานานแล้ว เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่พูดถึง เพราะฉะนั้นมันก็ควรได้รับการแก้ไขไปจนถึงระบบและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ส่วนอีกประเด็นที่สำคัญคือการเปลี่ยนทัศนคติของสังคมโดยรวมที่ยังมีความคิดว่าผู้ชายเป็นใหญ่”
ในประเทศไทย กฎหมายหรือหน่วยงานที่ดูแลกรณีการล่วงละเมิดทางเพศยังมีน้อยเกินไป ทั้งยังไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้ตกเป็นเหยื่อไม่สามารถหาที่ปรึกษาหรือช่วยเหลือได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด
ซินดี้ได้แนะนำว่า หากพบเหยื่อหรือตกเป็นเหยื่อในการล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน หรือปัญหาอื่นที่เกี่ยวข้อง สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้จาก
มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
www.wmp.or.th หรือโทร 02 513 2889
มูลนิธิพิทักษ์สตรี
www.facebook.com/AATSaveGirls] [url=http://www.facebook.com/AATSaveGirls]www.facebook.com/AATSaveGirls[/url] หรือโทร 09 4403 7037
ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 1300thailand.com หรือโทร 1300
อย่างไรก็ตามซินดี้ยังให้ข้อมูลว่า เร็วๆ นี้อาจมีการรวมตัวกันของหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดตั้งแคมเปญ ‘Safe City Bangkok’ กรุงเทพฯ เมืองปลอดภัยสำหรับผู้หญิง ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานภายในกรุงเทพฯ เป็นที่แรก ก่อนที่จะขยายไปยังจังหวัดอื่นๆ ของประเทศ
“มีคนรณรงค์เรื่องสิทธิสตรีเยอะมากนะ แต่ทำกันแบบเงียบๆ ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้มีแสงแฟลชนู่นนี่นั่น แต่พอซินดี้มาอยู่ตรงนี้ คือเราสามารถเรียกสื่อ เรียกความสนใจได้บ้าง เมื่อมาเจอกัน ร่วมมือกันก็เป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้อย่างมีความหวัง จากจุดเริ่มต้นที่เราของขึ้น ออกไปพูดในประเด็นที่เราต้องพูด จนถึงตอนนี้เราได้ลงมาทำจริงแล้ว ในปีนี้มีหลายอย่างที่จะทำ ทั้งการเวิร์กช็อป หนังสือ สอนเด็กๆ ว่าอะไรคือการถูกเนื้อต้องตัวที่ถูกต้อง”
ซินดี้ ได้ทิ้งท้ายประเด็นการถูกเรียกว่าเป็น ‘เฟมินิสต์’ ในยุคนี้เอาไว้ว่า
“ซินดี้ไม่ชอบการใช้คำนี้มาอธิบายทุกสิ่งอย่างที่เราเป็น เพราะ ‘เฟมินิสต์’ หมายความถึงการเป็นคนคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่เห็นพลังของผู้หญิงคนอื่น และก็เห็นคุณค่าของความเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นคุณค่าที่ควรได้รับเกียรติ สุดท้ายแล้วเรามีความรู้สึกว่าผู้หญิงไม่ได้เหนือกว่าผู้ชาย เราเท่าเทียมกัน และควรได้รับเกียรติเหมือนกัน”
อ้างอิง:
www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/elaw_parcy/ewt_dl_link.php?nid=1740