[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 เมษายน 2567 23:42:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 'ฝึกจิต' พุทธพลิกโลก บทความพุทธศาสนา โดย พระเฉลิมชาติ ชาติวโร  (อ่าน 2476 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5433


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2559 19:35:56 »

.


บทความทางพุทธศาสนา
'ฝึกจิต'
โดย พระเฉลิมชาติ  ชาติวโร
พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐  

 
อภัยทาน ทำลายเวรกรรม
ประเด็นหนึ่งที่ชาวพุทธมักจะถกเถียงกัน คือ เรื่องของ "อภัยทาน" ยังไม่ต้องว่ากันถึงเรื่องวิธีการปฏิบัติ เอาเพียงแค่อานิสงส์ที่ผู้คนพยายามจับไปเปรียบเทียบกับ "ธรรมทาน" แล้วถูกตั้งเป็นข้อสงสัยว่าอย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากัน เพียงแค่นี้ก็หาข้อยุติได้ยากเย็น แต่เนื่องจากในคอลัมน์นี้จั่วหัวไว้ว่า "ฝึกจิต" ดังนั้นเรื่องประเด็นการแข่งกันใหญ่ระหว่าง อภัยทาน และ ธรรมทาน จึงขอยกไว้ก่อน เพียงจะกล่าวถึง อภัยทาน อันเป็นหนทางแห่งการยุติวงจรแห่งเวรกรรมที่จะผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติเท่านั้น

โดยนัยแห่งคำว่า "อภัยทาน" สามารถตีความจำแนกเพื่อนับอานิสงส์ถึง ๓ จำพวก คือ

๑.อภัยทาน ในแง่ของความเป็น "ทาน" คือ เป็นการให้ความปลอดภัย หรือ ให้ความไม่มีภัยเป็นทาน โดยการจัดของอรรถกถาทานสูตร

๒.อภัยทาน ในแง่ของความเป็น "ศีล" ตามนัยของปุญญาภิสันทสูตร คือ ถ้ามีใจเป็นอภัยทานย่อมไม่เบียดเบียนแก่ชีวิต ทรัพย์สิน ฯลฯ จนสามารถรักษาศีลได้อย่างบริบูรณ์

๓.อภัยทาน ในแง่ของความเป็น "ภาวนา" เพราะการให้อภัย จะเกิดขึ้นได้ ย่อมต้องเจริญในพรหมวิหารธรรม จนจิตใจสงบเยือกเย็น

ดังนั้น อภัยทาน จึงมีอานิสงส์มาก ถ้าสามารถทำได้ย่อมมีอานิสงส์ถึง ๓ ประการ ทั้งในทาน ศีล และภาวนา ไปพร้อมกัน โดยการอภัยนี้ ไม่ได้หมายถึงการไม่โกรธ แต่หมายถึงการมีปัญญาจนสามารถเอาชนะกิเลสของตัวเองได้ และถือเป็นการแสดงออกถึงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ของผู้ชนะ ในสงครามที่ชนะได้โดยยาก

ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส ไว้ว่า "ถึงใครจะชนะผู้อื่นในสงครามได้ถึงพันครั้ง ก็ยังไม่ถือว่ายอดเยี่ยม ส่วนผู้ที่เพียงชนะใจตัวเองได้สักครั้งเดียวนั่นแหละ จึงถือว่ายอดเยี่ยม" เพราะการให้อภัย คือการยอมถอยให้อัตตาของผู้อื่น เพื่อเดินทางสู่ความสิ้นสุดของอัตตาตน" เป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ของปัญหา เพื่อตัดเกมการจองเวรข้ามภพข้ามชาติให้ขาดสะบั้นลง

แต่การให้อภัยที่เป็นบุญใหญ่นี้ ก็มิใช่เรื่องที่อยู่ๆ นึกอยากจะทำแล้วทำได้ในทันที แต่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาด้วยปัญญาก่อนว่า การให้อภัยหรือการยอม ไม่ใช่ความโง่เขลา ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นสิ่งฉลาดล้ำ สำหรับผู้มีปัญญา ที่รู้จักตัดไฟแต่ต้นลม เพราะการจองเวรไม่เลิก หรือการโต้ความร้ายด้วยความร้าย นั่นต่างหาก ที่จะทำให้เสียหายหนักยิ่งกว่าเดิม ทั้งเวลา ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ทั้งทรัพย์สิน และอาจถึงขั้นต้องเสียชีวิต

จึงควรมองให้เข้าใจกฎแห่งกรรมว่า มีแต่การโต้ตอบความชั่วด้วยความดีเท่านั้น ถึงจะสามารถนำธรรมะเข้าสู่ใจ เพื่อพัฒนากายใจนี้ให้สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นการปลดปล่อยตัวเองจากการตกเป็นทาสของวงจรกรรมวิบาก แล้วปล่อยเขาไปตามหนทางที่สร้างไว้เองเพียงลำพัง เพื่อเสวยผลแห่งอกุศลกรรมนั้นด้วยตัวเอง

แต่ถ้าปล่อยไม่ได้วางไม่ลง ยอมตกเป็นเบี้ยล่างของโทสะ ก็เท่ากับว่าเราได้ดันทุรังกระโดดเข้ากองไฟไปร่วมรับบาปอย่างใดอย่างหนึ่งบนเส้นทางของเขาด้วยแล้วในทันที

เมื่อเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้ง แล้วหัดปลดแอกตัวเองโดยการฝึกให้อภัยทานบ่อยๆ เบื้องต้นอาจฝืนใจบ้าง แต่เมื่อคุ้นชิน จิตใจจะพอกพูนขึ้นด้วยความเมตตากรุณา ความอ่อนโยน และความเข้าใจในกฎแห่งกรรม

ซึ่งก็คือพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ และเมื่อนั้นจิตของผู้มีอภัยทาน จะมีความสงบสุขเยือกเย็นถึงที่สุด มองสัตว์ทั้งหลายด้วยความรักและความปรารถนาดี เห็นชัดเจนในโลกว่าไม่มีใครที่สมควรต่อการถูกโกรธเกลียด

เพราะสัตว์ทั้งหลาย คนทั้งหมด ก็ล้วนแต่บ่ายหน้าไปสู่ความตายด้วยกันทั้งหมด

- ทุกคนที่เราเกลียดจะตายจากไป
- ทุกคนที่เรารักจะตายจากไป
- ทุกคนที่เรารู้จักจะตายจากไป
- ทุกคนที่เราไม่รู้จักจะตายจากไป
- แม้แต่ตัวเราก็จะตายจากไป

คงไว้แต่เพียงสัจธรรมว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนต้องจากไป แล้วเราจะมัวโกรธเกลียดทำร้ายกันอยู่ทำไม?.



ความสุขราคาถูกในอินเดีย
หนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของชาวอินเดีย คือ การแต่งกายด้วย "ส่าหรี" ของสุภาพสตรี แม้ในปัจจุบันจะมีวัยรุ่นส่วนหนึ่งที่หันไปแต่งกายตามแบบตะวันตก ด้วยเสื้อยืด กางเกงยีนส์บ้างแล้วก็ตาม แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมของตนไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการใส่ส่าหรีในทุกกิจกรรมของชีวิต ทั้งการออกงานสังคม ทำงานตามบริษัทห้างร้าน เลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน จนไปถึงการทำไร่ไถนา ซึ่งเครื่องแต่งกายประจำชาติอินเดียนี้ มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังไปยาวนานกว่า ๔,๐๐๐ ปี จากหลักฐานคือรูปประติมากรรมที่ขุดค้นพบ ซึ่งคนอินเดียสามารถสืบทอดและรักษาวิถีชีวิตของตนมาได้อย่างน่าทึ่งจนถึงปัจจุบัน

ส่าหรีในอินเดียนี้ มีสีสันฉูดฉาดบาดตาไปอย่างมากมายหลากหลาย และมีสนนราคาตั้งแต่หลักร้อยจนไปถึงหลักล้าน (สำหรับส่าหรีที่ถักทอด้วยส่วนประกอบของทองคำแท้) และนอกจากส่าหรีที่เป็นเครื่องแต่งกายหลักแล้ว ยังมีเครื่องประดับที่สาวชาวภารตะขาดไม่ได้อีกหลายอย่าง เช่น กำไลแขน หรือ ที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า ซูดี ซึ่งทำมาจากวัสดุที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ทองคำ เงิน นาก ไม้ จนถึงพลาสติก ราคาก็ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ กำไลเป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้ในชีวิตของสตรีชาวอินเดีย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

เครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับแต่ละอย่างของคนประเทศนี้ มีความสวยงามหลายหลาก จึงทำให้หญิงชาวอินเดียเกิดความรักสวยรักงามในแบบที่จะหาไม่ได้จากประเทศไหนๆ เพราะคนที่นี่เวลาจะออกจากบ้านแต่ละที ไม่ว่ายากดีมีจน ก็ต้องสวยสะโอดสะองทรงเครื่องให้พร้อมสรรพก่อนออกไป ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจจากวิถีแห่งความสวยงามนี้ คือ "ชาวอินเดียจะสวยอยู่ในขอบเขตฐานะของตน คนรวยก็จะทำสวยแบบคนรวย คนจนก็จะทำสวยแบบคนจน แต่ทุกคนก็จะมีความสวยเป็นความสุขที่เสมอกัน"

ถ้าใครเคยไปประเทศอินเดีย ภาพหนึ่งที่จะเห็นได้จากท้องตลาดอยู่เสมอ คือ ผู้หญิงชาวอินเดียนั่งล้อมวงเลือกเครื่องประดับจากร้านแบกะดิน ส่วนใหญ่ที่วางขายตามพื้นถนนก็มักจะเป็นเครื่องประดับที่ทำจากพลาสติกราคาไม่แพง ซึ่งแต่ละนางจะเลือกกันอย่างเอาจริงเอาจังโดยจ่ายเต็มที่ไม่เกิน ๑๐๐ รูปี แต่จะขอความสวยแบบเต็ม ๑๐๐ จนทำให้ผู้ไปเยือนอดมีสีหน้าเปื้อนยิ้มไม่ได้กับ "ความสันโดษ" ที่เลือกซื้อความสุขได้ในราคาที่เหมาะสมกับตน

ความสันโดษ มีความหมายว่า "พอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้" หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำไปประยุกต์ใช้เป็น "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งเมื่อดูแล้วความสันโดษเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในสังคมของคนอินเดีย จึงทำให้คนอินเดียจำนวนมาก ที่แม้จะมีรายได้น้อย กลับสามารถตักตวงความสุขให้แก่ตนได้เป็นอันมาก โดยความสันโดษ ไม่ได้หมายความว่าต้องยากจน หรือต้องอดมื้อกินมื้อ เหมือนที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่ความสันโดษ คือความสมบูรณ์และความพึงพอใจในสิ่งที่ตนหาได้ตามกำลังและความเหมาะสมของตนเอง เช่น วอน์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลก ก็มีความสันโดษ เพราะรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ทั้งยังนำสิ่งที่เกินพอดีของตนบริจาคเข้ากองทุนช่วยเหลือประชาชนอยู่ตลอด

พระพุทธเจ้าสอนให้บุคคลผู้ปรารถนาความสุข มีความสันโดษ โดยมุ่งเน้นไปที่ความสันโดษในวัตถุบำเรอความสุข สันโดษ ในความฟุ้งเฟ้อที่เกินตัว แต่พระองค์ไม่ให้สันโดษในกุศลธรรม เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่คุ้มค่า การปฏิบัติธรรมะเป็นสิ่งที่ลงทุนน้อย แต่กลับให้ผลมาก ให้ผลเกินราคา ต่างจากของอื่นในโลกที่ต้องลงทุนมาก มีประโยชน์น้อย มีคุณค่าน้อย เพียงความสุขแค่ชั่ววูบแล้วนำมาซึ่งทุกข์อย่างยาวนาน แต่ถึงอย่างนั้นคนในโลกก็ยังไม่ค่อยยอมที่จะลงทุนกับธรรม ไม่เอาจริง กลับไปสนใจเอาแต่สิ่งที่แพงกว่า มีประโยชน์และคุณค่าน้อยกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

ขึ้นชื่อว่า "สันโดษ" ถ้าใครมีก็ย่อม "พอใจ" ซึ่งความพอใจสามารถนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบได้ในทุกเรื่อง ดังนั้นถ้าใครสามารถฝึกฝนจนจิตใจประกอบด้วยความสันโดษได้ ทั้งชีวิตที่เหลือยู่จะมีแต่คำว่า "เกิน" ไม่มี "ขาด" อีกต่อไป



โลกวิปริต เพราะธรรมวิบัติ
หลายครั้งที่โลกได้ส่งสัญญาณถึงความวิปริต ผ่านภัยร้ายแรงของธรรมชาติ ที่ถล่มทลายไปทั่วทุกส่วนของโลก หลายเดือนก่อนเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนคร่าชีวิตทำลายทรัพย์สินไปอย่างมหาศาลที่ประเทศเนปาล ไม่กี่วันนี้ก็เกิดอุทกภัยใหญ่กับประเทศพม่าบ้านใกล้เรือนเคียง จนผู้คนล้มตาย ประชาชนไร้ที่อยู่อาศัยอีกนับแสน และในเวลาเดียวกันที่ประเทศอินเดียซึ่งมีประชากรมากเป็นอับดับสองของโลก ก็โดนพายุไซโคลนโกเมนถล่มในรัฐเบงกอลตะวันตกและมณีปุระ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและมีผู้ได้รับความเดือดร้อนกว่า ๑.๒ ล้านคน ที่ต้องทิ้งบ้านเรือนออกมาอาศัยอยู่ตามค่ายพักพิงชั่วคราว

ที่โลกประสบความปั่นป่วนมากขึ้นอย่างชัดเจนนี้ ถ้าว่ากันตามหลักการของพระพุทธศาสนา สาเหตุเป็นเพราะในปัจจุบันจิตใจของผู้คนมีความวิปริตแปรปรวนมากขึ้น กระทำความชั่วโดยขาดการยับยั้งชั่งใจ เอารัดเอาเปรียบโดยไม่สนลูกเขาเมียใคร ทำลายศีล ๕ ของตนจนกลายเป็นเรื่องปกติ ยิ่งกิเลสตัณหาของผู้คนเร่าร้อนมากขึ้นเท่าไหร่ ดินฟ้าอากาศก็ยิ่งวิปริตแปรปรวนได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะเมื่อ "อยาก" มาก ก็ตัดไม้ทำลายป่า ทำลายชีวิต ถ่ายเทของเสียลงสู่ธรรมชาติ ขุดเจาะทรัพย์ในดินสินในน้ำจนเกินพอดี ทำลายระบบนิเวศ เพื่อแสวงหากำไร มุ่งประโยชน์ตนเป็นใหญ่ โดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคม จนธรรมชาติต้องขาดสมดุล

และนอกจากเหตุที่มองเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว ในพระอรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ยังได้กล่าวอย่างชัดเจนลงไปอีกว่า เมื่อผู้คนในโลกขาดศีลธรรม เหล่าเทวดาอารักษ์ ตลอดจนทวยเทพผู้มีหน้าที่รักษาฤดูกาลก็ย่อมไม่ประกอบด้วยธรรม ทำให้สภาพของโลกเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ลมย่อมไม่พัดไปตามทางลม ฤดูหนาว ฤดูร้อนย่อมไม่เป็นไปตามฤดูกาล เมื่อฤดูผิดแผกไป ฟ้าฝนย่อมไม่ปกติ เมื่อฝนไม่ปกติ ก็ไม่เกื้อกูลต่อข้าวกล้า จนทำให้เกิดภาวะแห้งแล้ง ข้าวกล้าจึงสุกไม่พร้อมกันและจะค่อยๆ ปราศจากกลิ่นและรส การบริโภคข้าวนั้นเข้าไปย่อมเกิดโทษ คือ มีโรคมากและมีอายุน้อยลง

จึงสรุปได้ว่า ความวิปริตแปรปรวนของคน คือ ต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ ยิ่งมนุษย์ละเมิดศีล ทำความชั่วมากขึ้นเท่าไหร่ โลกก็จะยิ่งวิบัติมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการทำความดีมีศีลธรรม จึงไม่เพียงเป็นการทำเพื่อตัวเองเท่านั้น ยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับโลก ช่วยคน ช่วยประเทศชาติ และช่วยในหลวงได้มากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะการทำความดีเป็นหมู่คณะ เช่น การไปร่วมสวดมนต์ที่วัดพระแก้ว การชวนกันรักษาศีลเป็นหมู่คณะ ตามโครงการหมู่บ้านรักษาศีล หรือการเจริญพระกรรมฐานตามสถานปฏิบัติธรรมต่างๆ เป็นต้น

หากไม่มีโอกาสได้ไปวัด ก็ให้ชวนคนในครอบครัวสร้างความดีด้วยกัน ร่วมกันสวดมนต์ก่อนนอน ชวนกันรักษาศีล ๕ ร่วมกันนั่งสมาธิภาวนา เพราะบุญเหล่านี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติโดยตรงในแง่ของความสุขความเจริญแล้ว ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมกรรมสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีมากขึ้นอีกด้วย ทั้งยังมีโอกาสได้ช่วยเหลือเยียวยาโลก แม้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาทำดีจะมีน้อย เมื่อเทียบกับอัตราส่วนของผู้คนกว่า ๖,๐๐๐ ล้านคนในโลก แต่กำลังของความดีนั้นสูงกว่ากำลังของความชั่วมาก จึงยังพอระงับยับยั้งหรือบรรเทาเหตุเภทภัยต่างๆ ได้ หรืออย่างน้อย เราและครอบครัวก็ยังสามารถเอาตัวรอดในเหตุวิบัติภัยต่างๆ ได้ตามสมควรด้วยอำนาจของบุญที่ได้กระทำ

ความดีความชั่วที่มนุษย์ทำลงไปนั้นไม่ได้สูญหายไปไหน หากแต่แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบของกระแสพลังงานที่รวมตัวกัน ถ้าใครทำดีก็จะโดนกระแสพลังของความดีนี้ดึงดูด ถ้าใครทำชั่วกระแสความชั่วก็ดึงดูด เป็นการหนุนเสริมทั้งด้านดีและด้านชั่ว แต่ถ้ายังปล่อยให้กระแสเป็นไปในทางชั่วเช่นนี้ต่อไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้ดินฟ้าอากาศวิปริตผิดเพี้ยน เกิดภัยธรรมชาติ ปัญหาเศรษฐกิจการเมือง หรือกระทั่งผู้คนที่โหดร้ายหรือมีอาการทางจิตมากขึ้นเรื่อยๆ

"ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะพินาศอย่างแน่นอน"



ความสงบเย็นของพุทธสถาน
"ดูก่อน อานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี้ เป็นสถานที่อันกุลบุตรผู้มีศรัทธาควรไปทัศนา สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงปฐมเทศนา สถานที่ปรินิพพาน... ชนเหล่าใดเมื่อจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใสแล้ว ชนเหล่านั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์" นี่เป็นพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพุทธสถาน ที่มีความเกื้อกูลต่อประโยชน์และความสุขแก่ผู้คนทั้งหลายที่ได้ไปเยือน

ตั้งแต่อดีตมามีพระสงฆ์เป็นจำนวนมากปลีกวิเวกออกจากเรือนเพื่อแสวงหาโมกขธรรม โดยเที่ยวจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น โคนไม้ เรือนว่าง ถ้ำใหญ่ ป่าอันสงัด หรือตามพุทธสถานสำคัญ ดังเห็นได้จากประวัติของครูบาอาจารย์นักปฏิบัติหลายต่อหลายรูป เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หรือหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนทราบว่า การแสวงหาสถานที่อันวิเวก ย่อมเกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรม ยิ่งถ้าสถานที่แห่งใดเคยมีผู้เคยบรรลุคุณธรรมอันเลิศมาก่อนด้วยแล้ว ที่นั่นย่อมเป็นยอดปรารถนาของผู้แสวงหาวิเวกสถาน เพราะที่เหล่านั้นย่อมมีความเกื้อกูลต่อเข้าถึงธรรมเป็นพิเศษ

เห็นได้ชัดจากสังเวชนียสถานในประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา หรือปรินิพพาน ภายหลังการล่วงไปของพระพุทธเจ้า สถานที่เหล่านี้ได้กลายเป็นวัดหรือพระอารามสำคัญของพระพุทธศาสนา เพราะมีพระสงฆ์หรือผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมากเดินทางเข้าไปปฏิบัติในจุดเหล่านั้นสืบมาจนปัจจุบัน แม้ในยุคของพระนาคเสน ผู้โด่งดังจากมิลินทปัญหา เมื่อประมาณ พ.ศ.๕๐๐ เตียงที่ท่านนั่งบรรลุอรหันตผลนั้น ต่อมาได้เปิดเป็นห้องปฏิบัติธรรม และมีผู้เข้าไปปฏิบัติบนเตียงของท่าน จนมีผู้บรรลุธรรมตาม ณ จุดนั้นนับพันคน คงจะด้วยเหตุนี้เอง ที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระญาณอันกว้างไกล ทรงเล็งเห็นประโยชน์อันจะพึงมีต่ออนุชนในภายหลัง จึงทรงตรัสแสดง "สังเวชนียสถาน" ไว้เป็นมรดกธรรม

เพราะในวัดวาอารามหรือสถานที่สำคัญของพระพุทธศาสนานั้น จะมีกระแสเย็นของสถานที่ที่เกิดขึ้นจากการสวดมนต์ เจริญภาวนาสะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งแตกต่างกับสถานที่ทั่วไปที่จะมากไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เช่น ถ้าไปตามห้างสรรพสินค้า กระแสที่ดึงดูดอย่างชัดเจน คือ กระแสแห่งโลภะ เมื่อเห็นอะไรก็อยากได้ อยากซื้อ แม้เป็นของที่ไม่ต้องการ แต่พอเห็นว่าลดราคา๕๐% ก็รีบคว้าหมับในทันที กว่าจะรู้ตัวก็หมดเงินไปมากมาย หรือถ้าไปตามสนามกีฬา โดยเฉพาะเวทีมวย จะพบกระแสแห่งความเกรี้ยวกราด ดุดัน เมื่ออยู่ในบรรยากาศนั้นจะเกิดอารมณ์ร่วมอย่างเมามันส์จนยั้งไม่อยู่

ในขณะที่วัดหรือพุทธสถานต่างๆ ถึงแม้จะมีกระแสที่เป็นกิเลสอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาเท่าภายนอก ยิ่งวัดไหนมีการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโน หรือมีพระพุทธรูปสำคัญที่ผู้คนกราบไหว้บูชามาอย่างช้านาน ในสถานที่เหล่านั้นก็ยิ่งมีความชุ่มฉ่ำเย็นมากขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เมื่อมีโอกาสพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่แบบนั้น ย่อมสามารถช่วยให้ใจร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความสงบได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเกิดความสบายใจ

พวกเราชาวไทยถือว่าเป็นผู้มีโชค เพราะบ้านเมืองเรามีวัดหรือพุทธสถานสำคัญอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นถ้ามีปัญหาในชีวิต เกิดความเครียดความไม่สบายใจ มองไม่เห็นทางออก อันดับแรกขอให้เดินหน้าเข้าวัด... แต่ถ้าอยู่ที่ไหนก็ยังหนีความวุ่นวายไม่พ้น ยังมีแต่เรื่อง มีแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่วัด ก็พึงสันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า "ต้องเหตุคือเราเองแน่" ดังนั้นไม่ว่าจะหนีไปไหน จะย้ายที่ทำงานสักกี่ครั้ง หรือกระทั่งอยู่ในวัดก็ยังประสบปัญหาเหมือนเดิมอีก การย้ายที่ย่อมไม่ช่วยอะไร ถ้าตราบใดไม่ใช้ "ธรรมะ" แก้ปัญหาที่ตัวเองให้จบ ปัญหาอื่นก็จะไม่มีวันจบอยู่ วันยังค่ำ...



บุญคุณของผู้ให้กำเนิด

ในยุคที่สังคมเต็มไปด้วยการแสดงความคิดต่าง เรื่องหน้าที่และบุญคุณของพ่อแม่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกัน เพราะบางคนมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดกับเรื่องครอบครัว บางคนไม่เคยเจอหน้าพ่อแม่ตั้งแต่จำความได้ บางคนเกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความกดดันและความรุนแรง จึงทำให้พลอยคิดไปว่า พ่อแม่ที่เพียงแค่ให้กำเนิดแล้วทิ้งไปไม่ไยดี หรือพ่อแม่ที่ไม่เอาใจใส่ดูแลลูก หรือกระทั่งพ่อแม่ที่ใช้ลูกเป็นเครื่องระบายอารมณ์ ถือว่ามีบุญคุณกับลูกจริงหรือ

นับตั้งแต่โบราณกาลมา เหล่าบรรดาพราหมณาจารย์ และฤๅษีชีไพรต่างๆ ในแดนชมพูทวีป ได้ศึกษาเรื่องของโลก ชีวิต และธรรมชาติ จนได้บทสรุปว่าแท้จริงแล้ว พลังแห่งการสร้างโลก คือ พลังในการให้กำเนิด ซึ่งบุคคลที่จะให้กำเนิดได้ คือ พ่อและแม่ จึงมีการสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาเป็นศิวลึงค์แทนความเป็นพ่อ และอุมาโยนีแทนความเป็นแม่ ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้ยังคงเป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความเป็นพ่อแม่มาจนปัจจุบัน

ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้กล่าวยกคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไว้อย่างสูงเลิศเลอ คือ หากแม้ว่าลูกได้นำพ่อกับแม่ขึ้นนั่งบนบ่าข้างละคน ตลอดระยะเวลาหนึ่งร้อยปี คอยปรนนิบัติดูแลด้วยปัจจัยสี่ ด้วยการอบกลิ่น ด้วยการนวดเฟ้น ด้วยการอาบน้ำ ด้วยการดัดกาย และให้พ่อแม่ได้ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงบนบ่าของลูกอยู่ตลอดเวลายาวนานเพียงนั้น แม้ทำถึงขนาดนั้นก็ยังไม่นับว่าตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ให้สิ้นสุดได้

เพราะพระพุทธศาสนาสอนเรื่องกรรมว่า "สัตว์ ทั้งหลาย ล้วนมีกรรมเป็นของตน ล้วนเป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และกรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีต" ดังนั้นบุคคลที่จะลงมาสู่ตระกูลเดียวกัน คือ เป็นพ่อแม่กับลูกกันได้ จึงต้องมีสายสัมพันธ์ของกรรมที่เกี่ยวเนื่องผูกพันกันมาอย่างพอดีไม่มีผิดเพี้ยน "ลูกมีบุญบารมีอยู่ในระดับใด ก็จะลงมาสู่ครรภ์ของแม่ในตระกูลที่มีบุญบารมีในระดับเดียวกันนั้น ชนิดไม่ขาดไม่เกิน" จึงส่งผลให้ทั้งรูปลักษณะภายนอกและอุปนิสัยภายในของลูกมีความคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ จะใช้คำว่า "พันธุกรรม" ส่วนพระพุทธศาสนาใช้คำว่า "ผลแห่งกรรม" ซึ่งก็มิได้มีความหมายแตกต่างกัน เพียงแต่ความรู้ของพระพุทธศาสนานั้น สามารถอธิบายได้ก้าวล้ำล่วงลึกเกินไปกว่าสิ่งที่มองเห็นได้จากเนื้อหนังจนทะลุไปถึงต้นเหตุที่นำมาสู่ผลได้อย่างแท้จริง

จึงไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าชีวิตสักชีวิตจะมาเกิดเป็นคนในท้องของแม่ เพราะกว่าจะหาเจอพ่อแม่ที่มีบุญกรรมเสมอกับตัวเองได้นั้น ถือเป็นเรื่องหนึ่งในร้อยล้านพันล้านหรือยิ่งกว่านั้น ลองนึกภาพดูว่าการจะหาบุคคลในโลกที่หน้าตาและอุปนิสัยคล้ายคลึงกันจนแทบมิผิดเพี้ยนเจอนั้น มีโอกาสสักกี่มากน้อย ดังนั้นพ่อแม่แม้เพียงแค่ให้ที่เกิดอย่างเดียว ก็ถือว่าเป็นบุญคุณมากล้นเกินกว่าจะประมาณแล้ว เพราะถ้าไม่มีพ่อแม่คู่นี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องรออีกกี่หมื่นกี่ล้านปี กว่าจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ส่วนว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดนั้น จะเป็นเพราะสิ่งใด จะเจตนาหรือไม่เจตนา นั่นก็มิอาจกลบลบความจริงของการให้ที่เกิดนี้ได้ ยิ่งถ้าพ่อแม่ยังให้ความรัก ให้การเลี้ยงดูอุปถัมภ์อย่างดี นั่นก็ยิ่งสุดจะพรรณนาถึงคุณอันยิ่งใหญ่นั้นได้จนหมดสิ้น

ส่วนที่เด็กสมัยนี้มักกล่าวหาว่าพ่อแม่ไม่ดี ไม่เข้าใจ ไม่เอาใจใส่ดูแล คอยกดดัน หรือกระทั่งใช้ความรุนแรง นั่นเป็นเพราะความไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างแจ่มแจ้ง เพราะที่ไม่ดีจริง มิใช่พ่อแม่ แต่เป็นเหตุที่ตัวเด็กสร้างไว้ในอดีตไม่ดีเองต่างหาก ทุกอย่างไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่เหตุที่คู่ควรกับผล เพราะกฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ สิ่งที่ได้รับในปัจจุบันก็เหมาะสมแล้วกับการกระทำในอดีต ส่วนสิ่งใดที่จะได้รับสืบต่อไปในเบื้องหน้า ก็คู่ควรแล้วกับการกระทำในปัจจุบัน

พระคุณของแม่นั้น ยิ่งใหญ่สุดฟ้าสุดดิน จะหาสิ่งใดมาเทียบเทียมอุปมานั้นหรือก็หามิได้ แค่เพียงพระคุณที่อุ้มท้อง ยอมทุกข์ทนลำบากอยู่ ๙ เดือน และผ่านความเจ็บปวดทรมานจากการคลอด ก็มิอาจกำหนดนับจดจารลงในสิ่งใดๆ ได้หมดสิ้น ถึงแม้บางคนอาจไม่ได้รับความสุขจากพ่อแม่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า "อสาธุง สาธุนา ชิเน พึงชนะความไม่ดีด้วยความดี" คือ ไม่ว่าท่านจะดีกับเราหรือไม่ ก็ควรตอบแทนการให้ที่เกิดด้วยการทำดีกับท่านให้ถึงที่สุด แล้วที่สุดความดีที่ทำให้แก่ผู้มีคุณนั้นจะกลับสนองคืนสู่เราเป็นร้อยเท่าพันทวี ด้วยอานุภาพของกฎแห่งกรรม!

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มีนาคม 2559 16:20:40 โดย กิมเล้ง » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5433


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 10 มีนาคม 2559 16:18:11 »

.



ที่สุดแห่งรัก

ในประเทศอินเดียมีอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยสีขาวสว่างไสวดุจไข่มุกเมื่อต้องแสง ทั้งยังประกอบด้วยตำนานรักเลื่องชื่อ ร่ำลือถึงความผูกพันอันเป็นนิรันดร์ จนทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน เป็นสถานที่ที่ใครต่อใครอยากจะไปเห็นด้วยตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งสถาปัตยกรรมแห่งความรักนี้ มีชื่อว่า ทัชมาฮาล สุสานของพระนางมุมตัส มาฮาล มเหสีของพระเจ้าชาห์ จาฮาน กษัตริย์องค์ที่สี่ในราชวงศ์โมกุล ทัชมาฮาล คือ ประจักษ์พยานความรักล้ำลึกที่กษัตริย์พระองค์นี้มีต่อหญิงอันเป็นที่รักยิ่งของตน

แต่หลังม่านความยิ่งใหญ่ขาวบริสุทธิ์ของทัชมาฮาล กลับซ่อนไว้ซึ่งความจริงที่แสนเจ็บปวดและกลิ่นคาวเลือดของประชาชนเป็นอันมาก เพราะการก่อสร้างสัญลักษณ์ความรักอันใหญ่โตนี้ ได้กะเกณฑ์แรงงานและขูดรีดเงินภาษีจากราษฎรเพื่อนำเงินมาใช้ในการก่อสร้างจำนวนมหาศาล ช่างฝีมือเป็นจำนวนมากที่แกะสลักหินต้องตาบอดเนื่องจากถูกบังคับให้ทำงานกลางแดดจัดเป็นเวลานาน คนงานมากมายต้องล้มตายเพราะถูกบังคับให้ทำงานหนักอย่างทารุณ เมื่อสร้างทัชมาฮาลสำเร็จ สถาปนิกผู้ออกแบบก็ถูกสั่งฆ่า เพื่อป้องกันมิให้ไปสร้างสิ่งก่อสร้างสวยงามที่อื่นอีกต่อไป

"ความรักที่ชโลมด้วยความสูญเสียนี้ จึงไม่ควรจะเป็นความรักที่สูงส่งสวยงาม"

ขณะที่ตำนานรักอีกบทหนึ่งของมหาราชอีกพระองค์ในอินเดีย คือ พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ขยายอาณาเขตแผ่พระราชอำนาจออกไปได้อย่างกว้างขวางมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติอินเดีย พระองค์ได้ก่อสร้างสิ่งอันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักให้แก่พระนางอันเป็นที่รักยิ่งกว่ายอดดวงใจของตัวเองเช่นกัน โดยมหาสถานตำนานรักแห่งนี้มีชื่อว่า "มหาสถูปสาญจี" ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่รัฐมัธยมประเทศ ตอนกลางของประเทศอินเดีย

ในสมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราช ยังเป็นเพียงมหาอุปราช ที่ถูกพระบิดาส่งไปปกครองเมืองอุชเชนี กลับได้พบรักกับพระนางเวทิสา ซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน ลูกสาวของพ่อค้าในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยที่ครั้งแรกพระนางก็ไม่ทราบว่าเจ้าชายอโศกเป็นใคร แต่ก็มอบความรักที่ใสบริสุทธิ์ให้แก่กัน จนนำไปสู่การอภิเษกสมรสเมื่ออายุ ๑๘ ปี จากนั้นทั้งสองพระองค์ได้ครองคู่กัน ช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นกำลังใจให้กันและกันอยู่ไม่ห่าง จนพระนางเวทิสาให้กำเนิดพระโอรส ๑ พระองค์ และ พระธิดา ๑ พระองค์ (ซึ่งในกาลต่อมาทั้งพระโอรสและพระธิดานี้ ได้ออกบวชจนกลายเป็นพระอรหันต์องค์สำคัญแห่งยุคทั้งคู่) เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ขึ้นปกครองราชอาณาจักรสืบต่อจากพระบิดา จำต้องย้ายจากเมืองอุชเชนีไปอยู่ที่เมืองหลวง คือ ปาฏลีบุตร ทั้งคู่ก็ยังรักกันไม่เสื่อมคลาย

แต่ขึ้นชื่อว่าชีวิต ย่อมหาความเที่ยงแท้แน่นอนอันใดมิได้ ในเวลาไม่นานพระนางเวทิสาก็จากพระองค์ไปอย่างไม่มีวันกลับ จึงนำความโศกสลดวิปโยคมาสู่มหาราชผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้เป็นอย่างมาก พระองค์จึงมีดำริให้จัดสร้างพระมหาสถูปสาญจี ขึ้นในบริเวณที่ทรงอภิเษกกับพระนางเวทิสา พระสถูปเจดีย์แห่งนี้ มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระอัครสาวก และพระธาตุของพระอรหันต์อีก ๑๐ องค์ ไว้ในส่วนต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชาเป็นบุญกุศลสืบไป โดยพระเจ้าอโศกมุ่งหวังให้ผลบุญอันเกิดแต่การสร้างเจดีย์นี้ สำเร็จแก่พระนางอันเป็นที่รักของพระองค์

ความรักของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น เป็นไปเพื่อการเกื้อกูลต่อพระนางเวทิสา และประชาชนคนหมู่มากที่มีโอกาสได้กราบไหว้บูชาพระเจดีย์นี้ ทุกครั้งที่ผู้คนได้เห็นพระเจดีย์นี้ ย่อมจะสูดได้ถึงกลิ่นไอรักบริสุทธิ์งดงามที่พระเจ้าอโศกมีต่อนางแก้วของพระองค์ พระมหาสถูปสาญจีนี้ ยังเป็นเพียงพระเจดีย์เดียว ใน ๘๔,๐๐๐ แห่ง ของพระองค์ ที่รอดพ้นจากการถูกทำลาย และอยู่คู่ดินฟ้ามากว่า ๒,๓๐๐ ปี จนถึงทุกวันนี้

ความรักที่งดงาม คือ ความรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี เกื้อกูลต่อบุคคลอันเป็นที่รักและคนหมู่มาก ซึ่งความรักในรูปแบบนี้จะมีได้ก็ต่อเมื่อได้ลองศึกษาและปฏิบัติธรรม จนเมื่อธรรมะผลิดอกออกผล จะทำให้เราได้เห็นโลกในอีกมุมหนึ่งที่แตกต่างไป ซึ่งเป็นแง่มุมที่เต็มไปด้วยความสุขอันลึกซึ้ง ไม่มีการทำลายล้างเพื่อรัก มีแต่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในชีวิต และเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ใครๆ โดยส่วนเดียว ซึ่งลักษณะแบบนี้ต่างหาก จึงจะเรียกว่าเป็น "ที่สุดแห่งรัก" อย่างแท้จริง


โดย พระเฉลิมชาติ  ชาติวโร
พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐
 
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5433


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 54.0.2840.99 Chrome 54.0.2840.99


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2559 14:29:51 »


รอยพระพุทธบาท จ.สระบุรี

ความจริงอิงหลักฐานเรื่อง รอยพระพุทธบาท

รอยพระพุทธบาท เป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาเป็นข้อถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ว่าเป็นของแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล บางกลุ่มก็ปักใจคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในยุคหลัง ส่วนหนึ่งก็พยายามจะเชื่อว่าเป็นของจริง แต่ยังติดใจอยู่ว่าทำไมบางรอยใหญ่ บางรอยเล็ก บางรอยก็เท่ากับขนาดเท้าของมนุษย์ในปัจจุบัน บางรอยมีนิ้วเสมอกัน บางรอยปราศจากนิ้ว บางรอยมีธรรมจักร บางรอยก็เกลี้ยงเกลา หรือบางพวกก็ยังข้องใจว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองไทยเราตอนไหน นานาจิตคิดกันไปสารพัด

ทั้งที่จริงเรื่องของรอยพระพุทธบาทนั้น มีหลักฐานอ้างอิงที่สามารถใช้เป็นข้อยุติได้ คือ พระไตรปิฎก หรือพระอรรถกถา ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ในสมัยพุทธกาลไว้อย่างละเอียดลออที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าน้อยคนนักที่จะเปิดโอกาสให้พระไตรปิฎกได้เปิดเผยความจริงออกมา

ในพระไตรปิฎกและอรรถกถานั้น ได้กล่าวถึงรอยพระพุทธบาทไว้หลายครั้ง เช่น โทณสูตร อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต พระสุตันตปิฎก ที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงประทับรอยพระบาทไว้เพื่อให้โทณพราหมณ์ได้เห็นและเกิดศรัทธา จนในที่สุดพราหมณ์ท่านนี้ก็ติดตามหาพระพุทธเจ้าจนพบ ทำให้สามารถเข้าถึงความดีในพระพุทธศาสนาได้ หรือในพุทธวังสะ-จริยาปิฎก พระสุตันตปิฎก กล่าวถึงการประทับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าในอดีต ที่ทรงประทับไว้เพื่อให้หมู่ชนทั้งหลายได้กราบไหว้หลังการจากไปแห่งพระองค์

ที่ระบุอย่างชัดเจนลงไปถึงการเสด็จเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ในสถานที่ห่างไกล และทิ้งรอยพระพุทธบาทเอาไว้เพื่ออนุเคราะห์แก่บุคคลในรุ่นหลังของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันก็มีกล่าวถึงไว้ในอรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระสุตันตปิฎก ที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่อันห่างไกลจากเมืองสาวัตถี ๓๐๐ โยชน์ คือ ประมาณ ๔,๘๐๐ กิโลเมตร ซึ่งต้องไม่ใช่พื้นที่ในประเทศอินเดียอย่างแน่นอน แล้วทรงไปประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้ ๒ แห่ง คือ เขาสัจจพันธ์ และ ฝั่งแม่น้ำนัมมทานที โดย ต่อมามีความเชื่อว่ารอยพระพุทธบาทที่เขาสัจจพันธ์ คือรอยพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาท จ.สระบุรี

จากหลักฐานในคัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้ยืนยันว่ามีรอยพระพุทธบาทเกิดขึ้นจริงตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล" ซึ่งตามพระคัมภีร์ยังระบุไว้ด้วยว่า ธรรมดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเสด็จพุทธดำเนินไปที่ไหนย่อมไม่บังเกิดรอยพระพุทธบาทขึ้น ไม่ว่าจะเดินบนดินนุ่ม ทรายเปียก หรือโคลนเหลว เนื่องเพราะพระองค์ทรงห่วงใยว่า ผู้ที่เดินตามแล้วเหยียบรอยพระพุทธบาทอาจเกิดโทษขึ้นในใจ พระองค์จึงจงใจอธิษฐานให้การเดินทุกครั้งไม่ปรากฏขึ้นซึ่งรอยพระพุทธบาทใดๆ

เว้นแต่เมื่อใดก็ตามที่พระองค์เสด็จพุทธดำเนินไปในที่ห่างไกลเพื่อไปโปรดเวไนยสัตว์ และเมื่อท่านเหล่านั้นเกิดศรัทธา ทูลขอสิ่งอันเป็นเครื่องระลึก พระองค์จะทรงพิจารณาว่าเหมาะควร เป็นประโยชน์สืบไปในเบื้องหน้าหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์และเทวดา ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายในชั้นหลัง ก็จึงทรงเมตตาประทับรอยพระพุทธบาทเอาไว้ให้

โดยลักษณะแห่งการประทับรอยพระพุทธบาทนี้ เป็นการประทับด้วยการอธิษฐานจิตให้บังเกิดรอยขึ้นเป็นอัศจรรย์ ไม่ใช่รอยที่พระองค์ไปเหยียบปั๊มลงบนพื้นดินหรือแผ่นหิน ดังนั้นขนาดจะเล็กใหญ่ มีรอยนิ้วเสมอกันหรือไม่ มีธรรมจักรหรือเปล่า จึงขึ้นอยู่ที่พระองค์ทรงอธิษฐาน โดยพระองค์จะตรวจสอบกำลังใจของผู้ทูลขอว่าต้องการรอยขนาดใด แล้วพระองค์ก็จะทรงอธิษฐานรอยพระพุทธบาทให้บังเกิดขึ้นตามกำลังใจนั้นๆ

ส่วนว่าทำไมรอยพระพุทธบาทหลายแห่งที่มีประวัติรองรับและมีคำกล่าวยืนยันจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบว่าเป็นรอยจริง จึงกลับดูเหมือนสิ่งที่ทำขึ้นมาโดยฝีมือของมนุษย์ นั่นเป็นเพราะหลายแห่งได้เทปูนหรือหล่อรอยจำลองทับรอยจริงเอาไว้ เพื่อเป็นการรักษารอยพระพุทธบาทความเชื่อของบุคคล ผู้ดูแลในแต่ละยุคสมัย หรือบางรอยซึ่งเป็นพระพุทธบาทจริงตามธรรมชาติ ก็อาจดูเหมือนรอยที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะถ้าไม่ให้ออกมาในรูปแบบนั้นจะให้ออกมาในลักษณะใด?

ดังนั้น เรื่องของรอยพระพุทธบาทจึงไม่ได้มีเพียงแค่รอยจำลองที่สร้างขึ้นในภายหลังเหมือนที่หลายท่านเข้าใจ แต่มีทั้งของจริงตั้งแต่สมัยพุทธกาล รอยจำลอง และรอยจำลองที่สร้างครอบรอยจริง ซึ่งรวมกันนับหมื่นพันรอย แต่ทั้งนี้ สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่รอยจริง หรือรอยจำลอง หากแต่สำคัญที่การตรึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้มากขนาดไหนจากการได้เห็นรอยพระพุทธบาทต่างหาก



ทำงานเป็น เห็นทั้งเงิน เห็นทั้งบุญ
การสร้างบุญต้นทุนต่ำชนิดหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ต้องใช้เงินมาก ไม่ลำบากเรื่องขาดเวลา คือการเลือกประกอบสัมมาชีพ ซึ่งเป็นหนทางแห่งอริยมรรคมีองค์แปดที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้

โดยสัมมาชีพของพระพุทธองค์นั้น คือการประกอบอาชีพสุจริตที่ถูกด้วยกฎหมาย ชอบด้วยสังคม ใช้เลี้ยงชีพได้โดยไม่สร้างโทษให้แก่ใคร และเกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรมจนสามารถบรรลุมรรคผลนิพพาน โดยที่พระพุทธเจ้ายังทรงเน้นย้ำให้ชาวพุทธของพระองค์ ละเว้นจากการเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิดจนกลายเป็นการสะสมโทษสร้างบาปกรรมให้แก่ตน เช่น โกงเขา หลอกลวง สอพลอ บีบบังคับขู่เข็ญ ซึ่งรูปแบบของการโกงในเรื่องอาชีพการงานนี้ นอกจากจะโกงกินเงินยักยอกทรัพย์สินหรือขโมยลิขสิทธิ์ทางปัญญาแล้ว การโกงเวลา หรืออู้งานก็ถูกจับมัดรวมไว้ในข้อหานี้ด้วย

คนที่ชอบโกงเวลางาน เช่น งานเข้า 9 โมง แต่ถึงที่ทำงาน 10 โมง หรือในเวลางานก็เอาแต่นั่งจับโปเกม่อน ออนเฟซ เล่นไลน์ พอ ๔ โมงกว่าๆ ก็เลิกงานไปเที่ยวต่อ ทั้งที่จริงเวลาเลิกงาน คือ ๕ โมงเย็น ทำผิดข้อตกลง ไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งที่ได้ตกลงเอาไว้กับบริษัทหรือราชการ ซึ่งถ้าลองสังเกตดูอย่างจริงจัง จะพบว่าคนอู้งาน โกงเวลางาน มักจะไม่ค่อยได้รับความเจริญเท่าไหร่ ในขณะที่ผู้อุทิศเวลาให้กับการทำงาน ยอมลำบากทำงานเกินเวลาด้วยความเต็มใจ เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงด้วยดี ก็มักจะเจริญในตำแหน่งหน้าที่ มั่งมีการเงิน และประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะนี่คือผลบุญอันเกิดจากการประกอบสัมมาชีพที่ทำงานอย่างเต็มที่ เต็มเวลา เต็มความสามารถด้วยความซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ซึ่งทุกอาชีพสามารถสร้างบุญแห่งความเจริญในลักษณะนี้ได้ เช่น ถ้าเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็สามารถสร้างบุญด้วยการพูดจาให้ไพเราะขึ้นกับผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ พยายามทุ่มเททำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน เอาประโยชน์ของคนหมู่มากเป็นที่ตั้ง ไม่ละเลยความเดือดร้อนของใครๆ

ถ้าเป็นหมอรักษาผู้ป่วยก็อาจมาเข้างานให้เร็วขึ้น พร้อมทั้งให้เวลาแก่คนไข้เพิ่มมากอีกสักนิด วินิจฉัยโรคให้ละเอียดยิ่งขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อความมีประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะคนไข้หลายคนเดินทางมารอคุณหมออยู่หลายชั่วโมง แต่คุณหมอ กลับมีเวลาให้เพียง ๕ นาที หรือน้อยกว่านั้น ถ้าเป็นพ่อค้าแม่ขายก็อาจลงทุนใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ลงแรงล้างทำความสะอาดวัตถุดิบให้สะอาดปลอดภัย มีหลักประกันเพื่อให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ ทำทุกอย่างเหมือนกับของที่ตนสามารถบริโภคเองได้ ไม่เพียงสักแต่ว่าขายทำกำไร คุณภาพจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจถ้าเป็นพนักงานออฟฟิศก็สามารถสร้างบุญให้ตนได้ด้วยการตั้งใจทำงาน เลิกอู้ เลิกนินทา หยุดแทงข้างหลังเพื่อนร่วมงาน และไม่แอบทำอย่างอื่นนอกเวลางาน พยายามทุ่มเทเพื่อพัฒนาองค์กรของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะการเติบโตของบริษัท คือการพัฒนาศักยภาพการทำงานของเรา

"คนฉลาดมักใช้ความลำบากและอุปสรรคในการงานเพื่อฟูมฟักตัวและหัวใจให้แข็งแกร่ง ในขณะที่คนโง่จะวิ่งหนีปัญหา หลบลี้หนีงาน มุ่งแต่หาความสบายที่จะกลับมาทำลายตน" และควรตระหนักว่าไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ลงแรงไปเกินกว่าค่าจ้างหรือรายได้ที่ได้รับ นั่นไม่ใช่การขาดทุนและไม่ใช่ความสูญเปล่า เพราะส่วนเกินเหล่านั้นได้กลายสภาพไปอยู่ในรูปแบบของบุญที่จะเกื้อหนุนให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานได้อย่างมั่นคงและยาวนาน



ไหว้เทพเจ้าให้ถึงธรรม
วันที่ ๑๗ กันยายน ของทุกปี ชาวฮินดูนับพันล้านในประเทศอินเดีย โดยเฉพาะตระกูลช่างจะจัดแจงนำเครื่องไม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการช่างทุกชนิด ตลอดจนเครื่องจักรกลที่ถูกสร้างขึ้น เช่น รถยนต์ รถบรรทุก และรถไถ มาทำความสะอาดขัดถูจนเงางาม งดการใช้งานตลอดทั้งวัน แล้วนำมาเรียงรายรวมกันเพื่อประกอบพิธีบูชาในเทศกาล "วิศวกรรมบูชา" หรือ เทศกาลบูชาองค์ "พระวิศวกรรมา" ผู้เป็นเทพแห่งการช่างและการออกแบบ ซึ่งในพิธีกรรมนี้จะมีการเชิญพราหมณ์ที่ตนนับถือมาทำพิธีเจิมผงแป้งและสาธยายมนตราให้แก่เครื่องมือทุกชนิดภายในบ้านหรือห้างร้าน เพื่ออัญเชิญองค์เทพให้ลงมาสถิตอยู่ในเครื่องมือทำมาหากินเหล่านั้น

พระวิศวกรรมาพระองค์นี้ คนไทยเรานิยมเรียกสั้นๆ ว่า "พระวิศวกรรม" หรือเรียกตามความคุ้นเคย ซึ่งพ้องกับชื่อของพระวิษณุ หนึ่งในสามมหาเทพของศาสนาฮินดูว่า "พระวิษณุกรรม" จนทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพระวิษณุเป็นเทพแห่งวิศวะ หรือเทพแห่งการช่าง สำหรับเทพแห่งวิศวะตัวจริง คือพระวิศวกรรมา หรือพระวิษณุกรรม นั้น ท่านเป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรที่มีความชำนาญในงานช่างทุกแขนง และมีผลงานปรากฏอยู่ทั้งในคัมภีร์ของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ

แม้แต่ "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทรฯ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" ชื่อเมืองหลวงของประเทศไทยก็มีความหมายว่า กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งเทวดา ที่พระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้าง ตามพระบัญชาของพระอินทร์

แต่ทั้งนี้ไม่ว่าท่านจะสร้างกรุงเทพฯ หรือไม่อย่างไร คงไม่นำมาเป็นประเด็นในบทความนี้ เพราะสาระน่าสนใจอยู่ที่คุณธรรมอันถอดออกมาจากรูปลักษณ์แทนตัวของท่าน ตามตำนานฮินดูกล่าวว่าท่านมีพระเนตร ๓ ดวง มีกายสีขาว ทรงอาภรณ์สีเขียว โพกผ้า มือถือคทา แต่คนไทยนิยมวาดหรือปั้นรูปพระวิศวกรรมาให้ทรงชฎา มือถือลูกดิ่ง และจอบ หรือผึ่ง หรือไม้เมตร อันสื่อถึงเครื่องมือทางช่าง ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาในวิถีแห่งช่างว่า "ต้องมีความชื่อตรง ไม่คดโกง เที่ยงตรง และแม่นยำ จึงถือเป็นสุดยอดแห่งช่างฝีมือ"

และไม่เพียงคุณธรรมที่ต้องยึดถือปฏิบัติเมื่อยอมรับนับถือเทพเจ้าแล้วเท่านั้น คนอินเดียที่ทำพิธีกรรมบูชาพระวิษณุกรรมนี้ ยังให้ความเคารพต่อเครื่องมือของตนเองเสมือนหนึ่งว่ามีเทพสิงสถิตอยู่ การจะจับวางทุกครั้งต้องระมัดระวัง เวลาจะใช้งานก็ทำด้วยความเคารพ เมื่อจะเก็บต้องทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะถือว่ามีครูอยู่กับเครื่องมือ จึงกลายเป็นว่าช่างอินเดียจะหวงแหนและทะนุถนอมเครื่องมือทำมาหากินของตัวเองอย่างมาก

วัฒนธรรมอินเดียนั้น มีความเกื้อกูลธรรมชาติผ่านการเคารพนับถือเทพเจ้า คนอินเดียกราบไม้ ไหว้เหล็ก บูชาค้อน ถ้ามองอย่างไม่ลึกซึ้ง อาจมีอคติแล้วเผลอไปดูถูกดูแคลนเขา ทั้งที่จริงการกราบไหว้เป็นการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนลง ทำลายสักกายทิฏฐิ คือ ความถือตัวถือตน เพื่อยอมให้ความดีหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจ เคารพกันและกัน เคารพครูบาอาจารย์ เคารพธรรมชาติ คนอินเดียไม่ทิ้งขว้างอุปกรณ์ เพราะเชื่อว่าของทุกชิ้นมีครู คนอินเดียไม่กล้าทำชั่ว เพราะเกรงกลัวว่าเทวดาทั้งหลายจะรู้เห็นความผิดของตน

ในพระพุทธศาสนา การกราบไหว้นับถือเทวดาหรือเหล่าเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องผิด พระพุทธเจ้าทรงตรัสแสดงคุณงามความดีที่ควรนับถือของเทวดาไว้ใน อนุสติ ๑๐ คือ เทวตานุสสติ หมายถึงการระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ เพราะการจะเป็นเทวดาได้ต้องมีหลักธรรมที่สำคัญ ๒ ประการ

ได้แก่ ๑.หิริ คือมีความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ๒.โอตตัปปะ คือมีความเกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ดังนั้นคนทั่วไปก็สามารถเป็นเทวดาได้ ถ้าหมั่นปฏิบัติในธรรมของเทวดาให้ชินเป็นนิสัยจนพาติดตัวข้ามภพชาติ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำต่อไปว่า ที่สูงส่งและมีอานุภาพยิ่งกว่าเทวดา คือ "พรหม" อันมีหลัก "พรหมวิหาร ๔" เป็นคุณธรรม ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้าใครสามารถปฏิบัติในธรรมทั้ง ๔ นี้ได้ ก็เท่ากับการมีคุณธรรมเสมอด้วยพรหม และที่สูงยิ่งไปกว่านั้น คือ "พระ" ผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง อันถือเป็นยอดแห่งความสูงส่งกว่าสิ่งทั้งปวง มีอานุภาพยิ่งใหญ่เหนือทุกภพทุกภูมิ ซึ่งสามารถเป็นได้ด้วยการปฏิบัติในศีล สมาธิ และปัญญา

ปฏิบัติน้อยทำลายทุกข์ได้เล็กน้อย ปฏิบัติมากทำลายทุกข์ได้มาก ดังนั้นทั้งหมดก็อยู่ที่เลือกเองว่าชีวิตของเราจะเป็นอะไร...



๗ เหตุผลของคนน่าคบ

ยุคสมัยเปลี่ยน คนก็เปลี่ยนตาม ด้วยสภาพแห่งการแก่งแย่งแข่งขันที่เบียดกันขึ้น แย่งกันใหญ่ ใส่หน้ากากเข้าหากัน อาจทำให้ความจริงใจในสังคมหาพบได้ยากขึ้น รื่อยๆ เพื่อนดีน่าคบหาที่จะพากันไปสู่ความเจริญยิ่งเจอได้ยากเย็นกว่าเดิม ดังนั้นวันนี้จึงขอหยิบเอาหลักการเลือกคบคนที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเอาไว้กว่า ๒,๕๐๐ ปีมาเล่าสู่กัน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันในการเลือกสรรเวลาจะคบหาพาทีกับใครๆ ในสังคมยุคปัจจุบัน

ทั้งนี้พระพุทธองค์ทรงตีค่าให้ราคาเพื่อนดีเอาไว้อย่างสูงเลิศ จนถึงกับกล่าวได้ว่า "เพื่อนดีเป็นหนทางสู่พระนิพพานของผู้ประพฤติธรรม" โดยลักษณะของเพื่อนดีที่น่าคบนั้น ประกอบด้วย ๗ อย่าง คือ

๑.น่ารัก หมายถึงเป็นคนคบง่าย มีเมตตากรุณา มีน้ำใจต่อผู้อื่น ไม่รานผลาญประโยชน์ของใคร และมักให้ความสนิทสนมเป็นกันเอง อยู่เสมอ

๒.น่าเคารพ หมายถึงเป็นคนพูดจริงทำจริง มีความหนักแน่น ไม่เหลาะแหละ มีความประพฤติเหมาะสมแก่ฐานะ ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ และเป็นที่พึ่งได้

๓.น่าเจริญใจ หมายถึงมีความรู้จริง ทรงภูมิปัญญา ไม่พูดในสิ่งที่ไม่รู้ ไม่แสดงในสิ่งที่ไม่เห็น เป็นผู้ฝึกฝนปรับปรุงตนอยู่เสมอและเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง

๔.รู้จักพูด หมายถึงรู้ว่าเมื่อไรควรพูดหรือทำอะไร มีความเฉลียวฉลาดในการแนะนำให้คำตักเตือนและเป็นที่ปรึกษาที่น่าไว้วางใจ

๕.อดทนต่อถ้อยคำ หมายถึงพร้อมรับฟังคำปรึกษา ใครตักเตือนมาก็ไม่โมโห ใครจะล่วงเกิน ใครจะด่า ใครจะว่า ก็ฉลาดพอที่จะไม่โกรธ

๖.ทำเรื่องยากให้ง่าย คือเก่งในการเปลี่ยนเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย ทำเรื่องวุ่นให้เกิดความว่าง มีความสามารถในการสะสางปัญหา ชี้แจงแถลงไขเรื่องต่างๆ ที่ยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจได้โดยง่าย

๗.ไม่ชวนให้เสียคน หมายถึงไม่ชักจูงไปในทางที่เสื่อมเสีย ผิดศีลธรรม หรือทำเรื่องเหลวไหล ไร้ประโยชน์ต่อความเจริญของชีวิต

คุณสมบัติทั้ง ๗ ประการนี้ แม้พระพุทธองค์จะทรงพูดไว้นานนับพันปี แต่หลักการเหล่านี้ล้วนเป็นสัจธรรม คงความเป็นจริงอยู่คู่กาลเวลา และถึงจะดูเหมือนหาบุคคลที่มีคุณสมบัติให้ครบถ้วนในคนเดียวแบบนี้ได้ยาก แต่ก็เชื่อว่าคุ้มที่จะลงทุนมองหา เหมือนดังสุภาษิตที่ว่า "อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา เหมือนมีเกลือนิดหน่อยน้อยราคา ยังดีกว่าน้ำเค็มเต็มทะเล" เมื่อเราต้องการเดินทางกับชีวิตที่ดีและอยู่อย่างราบรื่นมีความสุข ก็ควรมีมิตรดีคอยเสริมเติมสิ่งที่ขาดหายแล้วพากันทำแต่เรื่องดีงาม

ดังนั้นถ้าใครได้เจอเพื่อนที่มีลักษณะนิสัยสอดคล้องต้องตาม ตำราทั้ง ๗ ข้อ ขอให้พึงทราบว่าท่านนั้นมีโชคยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลใหญ่ จึงควรรีบตะครุบไว้อย่าปล่อยให้หลุดมือ

แต่ถ้าควานหาเท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่เจอ ทุกท่านก็สามารถนำคุณธรรมเหล่านี้ มาสร้างสรรค์ปั้นเสกให้แก่ตน จนกลายเป็นผู้มีเหตุที่พรั่งพร้อมสู่การเป็นมิตรที่ดีที่สุดของใครๆ ได้ด้วยตนเอง



สุขเลิศเกิดจากการเลือก
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ถ้ามองจากภายนอกอาจเห็นเพียงแค่กฎข้อห้ามเกณฑ์ข้อบังคับ เช่น ห้ามกินเหล้า ห้ามพูดโกหก เห็นแต่การเสียเงินสร้างวัด สร้างโบสถ์ กฐินผ้าป่า หรือเห็นเพียงการสวดมนต์อ้อนวอน เช้าสวดมนต์ เย็นสวดมนต์ แต่จะไม่อาจรู้ได้เลยว่าความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่และความสงบเย็นของคนผู้ปฏิบัติจนสัมผัสกับธรรมะที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมีมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ อย่าง โดยทั้งหมดนั้นแบ่งออกเป็นธรรมะที่นำไปสู่ความเจริญอันเหนือโลก ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา และธรรมะที่นำไปสู่ความเจริญในทางโลก ถ้าใครไม่ศึกษาธรรมะให้ละเอียดจะไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องการมีคู่อย่างไรไม่ให้ ๓ วันดี ๔ วันเลิก สอนวิถีทางสู่การสร้างลูกที่ประเสริฐล้ำ สอนมาร์เก็ตติ้งทำมาหากินให้ประสบความสำเร็จ สอนจิตวิทยาวิชาอยู่ร่วมกันในสังคม สอนหลัก MBA จนนักบัญญัติทฤษฎีฝรั่งหลายคนต้องยอมสยบ สอนหนทางสู่ความร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี สอนว่าทำอย่างไรถึงจะมีรูปร่างหน้าตาดี มีสุขภาพแข็งแรง และมีอายุยืน เป็นต้น

เพราะเหตุนี้จึงทำให้นักปราชญ์ชาติต่างๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฝั่งตะวันตกจำนวนมาก หันมากล่าวคำสดุดีและยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เช่น แม็กซ์ มึลเลอร์ (ค.ศ.๑๘๒๓-๑๙๐๐) ศาสตราจารย์ทางนิรุกติศาสตร์คนดัง ชาวเยอรมัน ผู้นำในการศึกษาความรู้เกี่ยวกับตะวันออก กล่าวว่า "ประมวลศีลธรรมของพระพุทธเจ้า สมบูรณ์มากที่สุดที่โลกเคยรู้จักมา"

เอช.จี.เวลส์ (ค.ศ.๑๘๖๖-๑๙๔๖) นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ และนักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มการเขียนนวนิยายทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า "พระพุทธศาสนาได้กระทำไว้มาก ยิ่งกว่าอิทธิพลอื่นใดที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพื่อความก้าวหน้าแห่งอารยธรรมของโลกและวัฒนธรรมที่แท้จริง"

เบอร์ทรันด์ รัสเซล (ค.ศ.๑๘๗๒-๑๙๗๐) นักปรัชญา นักเขียน นักคณิตศาสตร์ และนักต่อสู้คัดค้านอาวุธนิวเคลียร์ ชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี ๑๙๕๐ กล่าวว่า "พระพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังหาทางไปได้ไม่ เพราะความ จำกัดแห่งเครื่องมือของวิทยาศาสตร์ ชัยชนะของพระพุทธศาสนาเป็นชัยชนะทางจิตใจ"

ศาสตราจารย์คาร์ล กุสตาฟ จุง (ค.ศ.๑๘๗๕-๑๙๖๑) นักจิตวิทยา ชาวสวิส กล่าวว่า "ในฐานะเป็นนักศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สมบูรณ์มากที่สุดที่โลกเคยพบเห็นมา ปรัชญาของพระพุทธเจ้า ทฤษฎีวิวัฒนาการและกฎแห่งกรรม (ทำดีได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว) ยิ่งใหญ่เหนือลัทธิอื่นอย่างห่างไกล"

พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตมนุษย์ได้อย่างครบวงจร แต่น่าเสียดายที่ชาวพุทธไทยส่วนใหญ่แทบไม่เคยเปิดอ่านพระไตรปิฎก ไม่แม้กระทั่งคิดจะทดลองรักษาศีลเพียงสัปดาห์ละ ๑ วัน หรือทดลองนั่งสมาธิวันละ ๑๐ นาที คนจำนวนมากฟังธรรมแล้วก็ปล่อยให้ทะลุหูออกไป จึงทำให้หลายคนต้องตายไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่คำตอบทุกอย่างที่หามาทั้งชีวิตอาจอยู่ในพระพุทธศาสนานี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

คุณหมอ ศ.ดร.คาโรลา แอนดูโจ อดีตผู้เชี่ยวชาญในมหาวิทยาลัยแม็กซิโก ซึ่งมีดีกรีปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นผู้หนึ่งซึ่งหันมาศึกษาและปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ซึ่งเธอได้ดั้นด้นเดินทางมาฝึกการปฏิบัติถึงเมืองไทย พร้อมทั้งให้ข้อคิดเห็นไว้ว่า

ส่วนเหตุที่ทำให้คนไทยไม่สนใจศึกษาและปฏิบัติธรรมนั้น เพราะคนไทยเห็นพระ เห็นวัด ได้รับการปลูกฝังเรื่องหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เกิด จึงมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่สำคัญคือสิ่งเหล่านี้เป็นของฟรีทุกคนสามารถเข้าถึงได้ จึงเห็นเรื่องการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะที่ชาวต่างชาติต้องดิ้นรนแสวงหาเท่านั้น หนังสือธรรมะดีๆ สักเล่มก็หาอ่านยาก รวมทั้งอาจารย์ผู้สอนก็ยากยิ่งกว่า นอกจากนี้แล้วทุกอย่างต้องเสียเงินซื้อทั้งนั้น การได้เดินมาปฏิบัติธรรมจึงมีความพิเศษมาก แม้ว่าจะต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาคนละซีกโลก แต่มันคุ้มเกินคุ้มที่จะแสวงหาประโยชน์จากการ่วมปฏิบัติธรรม

ดังนั้น จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสดีที่จะทดลองแง้มประตูของธรรมะ หยิบเอาหลักธรรมหมวดใดหมวดหนึ่งมาเริ่มทดลองปฏิบัติ เพราะความสุขที่ซุกซ่อนอยู่ในธรรมะเป็นสิ่งล้ำค่าน่าลิ้มลองยิ่งกว่ารสใดๆ

"ความสุขไม่ได้เป็นผู้เลือกที่จะอยู่กับใคร มีแต่เราเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้สร้างความสุขให้เกิดขึ้นด้วยมือตน"



พระเฉลิมชาติ ชาติวโร
พระธรรมทูตเชิงลึกแดนพุทธภูมิ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย ๙๘๐
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.876 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 12 เมษายน 2567 15:46:16