[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
27 เมษายน 2567 03:05:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวของภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ  (อ่าน 1456 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1017


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 55.0.2883.87 Chrome 55.0.2883.87


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 20 ธันวาคม 2559 11:16:39 »


http://i617.photobucket.com/albums/tt258/auddy228/picture_resize.jpg
เรื่องราวของภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ


เรื่องราวของภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ


ผู้สอบถามความเห็นในเรื่อง "ภิกษุณี" เข้ามา ก็เหมือนกับโยนเผือกร้อน ๆ มาให้ เพราะเรื่องภิกษุณี แม้คณะสงฆ์ไทยได้มีมติไปแล้ว แต่เรื่องก็ยังไม่จบสักที เนื่องจากคณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับสถานภาพของพวกภิกษุณีที่กำลังพยายามแพร่พันธุ์อยู่ในประเทศไทยเวลานี้ เพราะมหาเถรสมาคมถือว่าพวกที่อ้างตัวเป็นภิกษุณี ได้บวชกันมาจากทางสายมหายาน ซึ่งคณะสงฆ์ไทยเห็นว่าเป็นการบวชที่ไม่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติและขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทยอย่างแรง
.
เพราะได้มีพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ.๒๔๗๑ ห้ามภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยอุปสมบทให้แก่สตรี กับคำวินิจฉัยของมหาเถรสมาคมในการประชุมครั้งที่ ๒๘/๒๕๒๗ และครั้งที่ ๑๘/๒๕๓๐ ห้ามภิกษุสงฆ์ทำพิธีอุปสมบทให้สตรีเป็นภิกษุณี รวมทั้งพระวรธรรมคติ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ก็ห้ามบวชให้แก่สตรีเพื่อเป็นภิกษุณี ก็เหมือนตีตะปูตอกฝาโลง เหล่าผีดิบภิกษุณีก็เลยออกจากโลงไม่ได้
.
พวกที่อยากให้มีภิกษุณีก็เลยไม่ค่อยจะแฮปปี้กันสักเท่าไรนัก และดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับมติของมหาเถรสมาคมด้วย โดยอ้างรัฐธรรมนูญบ้าง อ้างสิทธิมนุษยชนบ้าง อ้างประชาธิปไตยบ้าง อ้างขี้หมูราขี้หมาแห้งบ้าง แล้วแต่ใครจะสรรหาขุดอะไรขึ้นมาอ้างตามใจชอบ ก็ว่ากันไป เอาตามที่สบายใจกันเลย ชื่อว่า นรก ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างแออัด แต่หากจะเพิ่มพวกที่ชอบแต่งกายเลียนแบบภิกษุณีเข้าไปด้วย นรกก็ไม่มีวันเต็ม

นี่ไม่ได้ว่าใครนะ แต่พูดเรื่องจริงให้ฟัง เดี๋ยวจะสาธยายให้ฟัง ว่าจะไปลงนรกกันแบบไหนดี แต่บอกเสียก่อนนะ ว่านี่เป็นเพียงความเห็นของพระป่าบ้านนอกรูปหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านพระไตรปิฎก แต่ก็อุตส่าห์ไปค้นคว้าเรื่องราวของภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ มาแสดงประกอบให้เป็นหลักฐานพอสังเขป แต่ลึกๆ ก็จะแสดงเหตุผลในเชิงภาคปฏิบัติ โดยยึดถือความถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่ได้ยึดถือเอาตามความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ และไม่ผูกขาดความถูกต้อง ผู้อ่านก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับบทความนี้ หรือถ้าอยากจะเห็นด้วยก็ตามใจ

ถ้าพูดถึงเรื่องภิกษุณี ต้องเข้าใจก่อนว่า พระสงฆ์ไทยสืบทอดเชื้อสายมาจากฝ่ายเถรวาท ซึ่งเป็นฝ่ายที่ถือพระวินัยอย่างเคร่งครัด ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ไม่ได้ถือพระวินัยตามแบบฝ่ายมหายาน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงพระพุทธบัญญัติไปตามที่เขาเห็นสมควร ภิกษุณีที่บวชกันมาอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนบวชมาแต่สงฆ์ฝ่ายมหายาน ซึ่งทางฝ่ายเถรวาทเห็นว่า เป็นการบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องตรงตามพระพุทธบัญญัติ จึงไม่มีฐานะเป็นภิกษุณีที่สมบูรณ์ เป็นได้แค่คนแต่งกายเลียนแบบภิกษุณีนั่นเอง

พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ เป็นภิกษุณีปลอมนั่นแหละ คำว่า "ภิกษุณีปลอม" ในที่นี้ คือ ภิกษุณีที่บวชอย่างไม่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ อย่าว่าแต่ภิกษุณีเลย แม้กระทั่งพระภิกษุในฝ่ายมหายานก็ยังประพฤติผิดไปจากพระธรรมวินัยที่คณะสงฆ์ไทยถือปฏิบัติอยู่ คณะสงฆ์ไทยจึงไม่อาจยอมรับสถานะของภิกษุณีปลอมเหล่านี้ได้ เพราะถ้ายอมรับก็จะกลายเป็นการกระทำความผิดต่อพระวินัยอย่างร้ายแรง เท่ากับไปบัญญัติสิกขาบทขึ้นมาใหม่ โดยที่พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติ และถือเป็นการไปเพิกถอนสิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว ซึ่งพระดีที่เป็นศิษย์พระตถาคตแท้ ไม่มีใครกล้าทำอย่างแน่นอน

ถ้าเป็นผู้มุ่งหวังการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นแท้จริง การบวชเป็นแม่ชี ถือศีล ๘ ก็นับว่าพอเพียงที่จะสามารถบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งไม่ผิดต่อพระพุทธบัญญัติอีกด้วย แต่การมาบวชเป็นภิกษุณีที่ขัดต่อพระพุทธบัญญัติ ย่อมไม่อาจเป็นภิกษุณีที่สมบูรณ์ได้ คงเป็นได้เพียงคนแต่งกายเลียนแบบภิกษุณีเท่านั้น อุปมาเหมือนกับคนที่ไม่ใช่พระ แต่มาแต่งกายนุ่งห่มเลียนแบบอย่างพระ ย่อมดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการหลอกลวงผู้อื่น หลอกกินของทานที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์ ย่อมมีทุคติอบายเป็นที่ไปเบื้องหน้า อย่าหวังว่าจะได้ มรรค ผล นิพพาน ใดๆ จากการกระทำเช่นนั้น

ดังนั้น หากจะบวชเป็นภิกษุณีที่ไม่ถูกต้อง ทั้งไม่อาจทรงศีล ๓๑๑ ข้อได้อย่างสมบูรณ์ และขัดต่อพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ก็สู้ไปบวชเป็นแม่ชี แล้วถือศีล ๘ ที่สมบูรณ์ เสียยังจะดีกว่า เพราะยังมีโอกาสได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน จากการตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่การมาบวชเป็นภิกษุณีที่ไม่สมบูรณ์ ต่อให้ปฏิบัติเป็นภิกษุณีปลอมไปจนตายห่าตายโหง ต่อให้เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ต่อให้นั่งสมาธิจนก้นพองก้นแตก ก็ไม่อาจจะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ใดๆ

ด้วยเพราะมิจฉาทิฎฐิครองใจนั่นเอง ทั้งไม่เอื้อเฟื้อในพระวินัยที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว คนพวกนี้จัดเป็นพวกกิเลสหนาสันดานหยาบ ถือรั้นด้วยทิฎฐิมานะ สำคัญตัวว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ไม่ยอมทำตามพระพุทธประสงค์ บางคนเรียนจบเป็นถึงด๊อกเตอร์ได้ปริญญาเอกไม่รู้กี่ใบ แต่ใบปริญญานั้น ก็เป็นได้แค่เศษกระดาษเปื้อนหมึก ที่ไม่อาจช่วยทำให้ใครเกิดปัญญาสัมมาทิฎฐิ ยกตนให้พ้นจากหลุมนรกได้เลย ช่างน่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก

มรรค ผล นิพพาน มันไม่ได้อยู่ที่การแต่งเครื่องแบบภิกษุณีหรอกนะ แต่มันอยู่ที่การปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว หรือไม่ต่างหาก ในเมื่อพระพุทธองค์ ทรงมีพระพุทธประสงค์ ไม่ให้ภิกษุณีตั้งอยู่ได้นาน แม้พระพุทธองค์จะทรงพระอนุญาตให้บวชภิกษุณีได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะพระอานนท์ทูลขอ โดยอ้างพระคุณของพระนางมหาปชาบดีโคตมี ที่ได้ทรงเลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำนมมาแต่เล็ก เป็นเหตุให้กตัญญูกตเวทิตาธรรมผุดขึ้นตักเตือนในพระหฤทัย จึงทรงพระอนุญาต

ถ้าพูดภาษาเราๆ ก็ต้องว่า พระองค์ทรงอนุญาตอย่างเสียไม่ได้ เพราะเล็งเห็นว่า นางภิกษุณีจะเป็นภัยต่อพระศาสนา จะทำให้อายุพระศาสนาสั้นลง จึงบัญญัติครุธรรม ๘ ประการ ให้พวกนางภิกษุณีได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

เมื่อทรงมีพระพุทธประสงค์เช่นนี้ นางภิกษุณีจะอยู่ยงคงกระพันมาถึงกาลปัจจุบันได้อย่างไร? มันจะเป็นการดูหมิ่นดูแคลนพระสัพพัญญุตญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้ามากเกินไปไหม? นางภิกษุณีที่บวชมาถูกต้องตามพระวินัยบัญญัตินั้น มีหลักฐานอยู่แค่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ที่พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศก ไปบวชให้กับพระนางอนุลา ซึ่งเป็นน้องสะใภ้ของกษัตริย์ศรีลังกา ก็อยู่ในราว พ.ศ.๓๐๐ กว่าๆ หลังพระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน

ภายหลังจากนั้นมาก็ไม่มีหลักฐานปรากฎว่า มีนางภิกษุณีหลงเหลืออยู่อีก ด้วยเหตุที่ข้อปฏิบัติของนางภิกษุณีที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้นั้น ยากนักที่จะทำให้นางภิกษุณีตั้งมั่นอยู่ได้ ภิกษุณีที่เกิดขึ้นภายหลัง ล้วนเกิดขึ้นจากการบวชที่ไม่เป็นไปตามพระพุทธบัญญัติ ถึงแม้จะพยายามบอกว่าเป็นภิกษุณีฝ่ายมหายาน ก็หาเป็นภิกษุณีที่แท้จริงของพระตถาคตเจ้าได้ไม่ คงเป็นได้เพียงแค่คนแต่งการเลียนแบบภิกษุณีเท่านั้น

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นภิกษุณีอยู่ในโลกนี้ ล้วนเป็นภิกษุณีปลอมทั้งนั้น การที่ไม่ได้เป็นภิกษุณี แต่มากระทำตัวเป็นภิกษุณี ทั้งกระทำผิดต่อพระพุทธบัญญัติเป็นอาจิณ จัดเป็นมิจฉาทิฎฐิ กอปรด้วยโมหะอันแรงกล้า อยากยกตนเสมอภิกษุณี ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ไม่ได้เป็นพระภิกษุ แต่มาแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ แสร้งทำตัวเป็นพระ หลอกกินของทานของพุทธศาสนิกชน ทำตัวให้เขากราบไหว้โดยไม่มีคุณสมบัติอันควร ย่อมเป็นกรรมอันหนักหนาสาหัส เห็นมีแต่ทุคติอบายภูมิเท่านั้น จะเป็นที่ไปเบื้องหน้าทันทีที่ขาดใจตาย อันเรื่องมรรค ผล นิพพาน นั้น ไม่มีทางจะหวังได้เลย

ดังนั้น ถ้านางภิกษุณีปลอมทั้งหลาย หวังความเจริญในพระธรรมวินัยของพระบรมศาสดา จงเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มไปบวชเป็นแม่ชีถือศีล ๘ เสียยังจะดีกว่า แล้วประพฤติพรหมจรรย์ไปเถิด มรรค ผล นิพพาน ยังพอมีทางจะหวังได้ตามควรแก่บุญวาสนาบารมี แต่ถ้ายังจะฝืนดำรงตนเป็นภิกษุณีปลอมอยู่ นอกจากไม่อาจจะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพานใดๆ แล้ว หากกายแตกขันธ์สลายขาดใจตายเมื่อไร ยังจะมีทุคติอบายภูมิเป็นของแถม รออยู่ในภพข้างหน้าอีกด้วย

ลองสำรวจตรวจตรองดูจิตใจตัวเองดูสิ! ว่าเป็นภิกษุณีปลอมมาคนละกี่ปี แล้วมันได้ทรงศีลทรงธรรมอะไรบ้าง? ถ้ายังคิดเห็นว่า การเป็นภิกษุณีปลอมเป็นของดี ก็จงอยู่ตามประสาภิกษุณีปลอมไปตามสบาย แต่อย่ามาหาเรื่องวุ่นวายให้กับศาสนา โดยการทำความพยายามให้คณะสงฆ์ไทยยอมรับสถานภาพของนางภิกษุณีปลอมก็แล้วกัน

ขอให้ชาวพุทธจงสำเหนียกศึกษา และช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาให้ตั้งอยู่มั่นคงถึง ๕,๐๐๐ ปี สมดังที่พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ไว้ อย่าได้ไปหลงเชื่อคำโกหกหลอกลวงของพวกบ่อนทำลายศาสนา และหลงสำคัญผิดไปส่งเสริมการกระทำที่ขัดต่อพระพุทธบัญญัติ ของเหล่านางภิกษุณีปลอม ให้เป็นบาปเป็นกรรมไปเปล่าๆ เลย
 
ในสมัยพุทธกาลนั้น แรกเริ่มเดิมที สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีได้ เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้อายุของพระพุทธศาสนาไม่ยั่งยืน ต่อมา พระนางมหาปชาบดีโคตมี ผู้เป็นพระน้านางและพระมาตุจฉา หรือพระมารดาเลี้ยงของเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านได้มีศรัทธาอยากออกบวช จึงทูลอ้อนวอนขอบวชต่อพระพุทธเจ้าถึงสามครั้งสามครา แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งพระอานนท์ได้ทูลขอให้พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่า พระนางปชาบดีโคตมี จะต้องรับเอาครุธรรม ๘ ประการ (แปลว่าข้อปฏิบัติที่หนัก และทำได้ยาก) ไปปฏิบัติ ครุธรรม ๘ ข้อ นั้นคือ

๑. ภิกษุณีที่อุปสมบทมาตั้งร้อยพรรษาก็พึงทำการกราบไหว้การลุกรับ การกระทำอัญชลี การทำสามีจิกรรม (การแสดงความเคารพ) แก่ภิกษุที่อุปสมบทใหม่แม้ในวันนั้น
๒. ภิกษุณีจะต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุ
๓. ภิกษุณีจะต้องพึงหวังธรรม ๒ ประการจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน คือการถามวันอุโบสถ และการเข้าไปฟังโอวาท
๔. ภิกษุณีออกพรรษา และพึงปวารณาในสงฆ์ ๒ ฝ่ายคือ ในภิกษุสงฆ์ และในภิกษุณีสงฆ์
๕. ภิกษุณีเมื่อต้องครุธรรมคือ ต้องอาบัติหนักก็พึงประพฤติมานัต (ระเบียบปฏิบัติในการออกจากอาบัติหนัก) ๑๕ วัน ในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย (ทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์)
๖. สตรีที่ศึกษาอยู่ในธรรม ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปี (กล่าวคือรักษา ศีล ๑๐ ของสามเณร ตั้งแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ โดยไม่ขาดตลอดเวลา ๒ ปี) อันเรียกว่า นางสิกขมานา เมื่อได้ศึกษาแล้วดั้งนี้ จึงอุปสมบทในสงฆ์ ๒ ฝ่ายได้
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุโดยปริยายใดๆ
๘. ภิกษุทั้งหลายสั่งสอนห้ามปรามภิกษุณีทั้งหลายได้ แต่ว่าภิกษุณีทั้งหลาย จะสั่งสอนห้ามปรามภิกษุทั้งหลายไม่ได้

ดังนั้น ภิกษุณีที่ทรงอุปสมบทให้องค์แรกได้แก่ พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ซึ่งบวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในโลก ด้วยการรับ ครุธรรม ๘ ประการ (ท่านเป็นรูปเดียวที่บวชด้วยวิธีเช่นนี้)
 
ต่อมาพระพุทธองค์ได้ทรงวางหลักเกณฑ์ในการรับผู้ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี และวางวินัยของภิกษุณีไว้มากมาย เพื่อกลั่นกรองผู้ที่ประสงค์จะบวช และมีศรัทธาจริงๆ เช่น ภิกษุณี เมื่อบวชแล้วต้องถือศีลถึง ๓๑๑ ข้อ มากกว่าพระภิกษุ ซึ่งถือศีลเพียง ๒๒๗ ข้อ (วินัยของภิกษุณีที่มีมากกว่าพระภิกษุ เพราะผู้หญิงมีข้อปลีกย่อยในการดำรงชีวิตมากกว่าผู้ชาย เช่น ต้องมีผ้ารัดถัน (ผ้ารัดอก) ซึ่งผู้ชายไม่จำเป็นต้องมี เป็นต้น)
 
การบวชเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้นั้น ต้องบวชเป็น "สิกขมานา" เสียก่อน สิกขมานา เป็นผู้ที่ต้องถือศีล ๖ ข้อ อย่างเคร่งครัดเป็นเวลา ๒ ปี หากศีลขาดแม้แต่ข้อเดียว จะต้องเริ่มนับเวลาใหม่ และจะบวชเป็นสิกขมานาได้ก็ต้องอายุครบ ๑๘ ปี หากอายุไม่ครบ ๑๘ ก็ให้บวชเป็นสามเณรีไปก่อน และคนที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้นั้น ต้องมีอายุครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์

การบวชเป็นภิกษุณีนั้น เมื่อผู้ที่ประสงค์จะบวชเป็นภิกษุณี ได้เป็นสิกขมานาถือศีล ๖ ข้อ ครบ ๒ ปีแล้ว จึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าพิธีอุปสมบท โดยต้องอุปสมบทในฝ่ายของ ภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วไปเข้าพิธีอุปสมบทในฝ่ายภิกษุสงฆ์ อีกครั้งหนึ่ง จึงจะเป็นภิกษุณีได้โดยสมบูรณ์ (บวชในสงฆ์สองฝ่าย)
 
วงศ์ของภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้สูญสิ้นไปนานแล้ว ปัจจุบันผู้หญิงผู้ศรัทธาออกบวชในฝ่ายเถรวาท นิยมโกนหัวนุ่งขาวห่มขาว ถือศีล ๘ บวชเป็นแม่ชีแทน ก็สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ ทั้งไม่ขัดต่อพระวินัยบัญญัติ และไม่เกิดความเสื่อมเสียแก่การพระพุทธศาสนา เห็นว่า เป็นการดีเสียกว่า เป็นภิกษุณีปลอมอย่างมากมาย

ก่อนที่ภิกษุณีสงฆ์จะหมดไปจากอินเดียนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระธรรมทูตออกไป ๙ สาย ๑ ในนั้นคือ พระมหินทรเถระ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์เอง ในสายพระมหินทรเถระนี้ไปศรีลังกา การเผยแผ่ศาสนาพุทธประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พระนางอนุลา น้องสะใภ้ของกษัตริย์ศรีลังกา ทรงอยากผนวช จึงนิมนต์ พระนางสังฆมิตตาเถรี พระธิดาของพระเจ้าอโศก มาเป็นปวัตตินีให้

"ปวัตตินี" คือพระอุปัชฌาย์ที่เป็นผู้หญิง ซึ่งจะต้องมีพรรษาไม่ต่ำกว่า ๑๒ พรรษา และเป็นผู้ที่ได้รับสมมติจากภิกษุณีสงฆ์ให้เป็นปวัตตินี นางปวัตตินีรูปเดียวจะอุปสมบทให้แก่สหชิวินี (ผู้อยู่ร่วม) ได้เพียง ๒ ปี ต่อหนึ่งครั้ง และอุปสมบทให้ได้ครั้งละ ๑ รูป เท่านั้น พูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ อุปัชฌาย์ภิกษุณี จะบวชนางภิกษุณีได้แค่ ๑ รูปในรอบ ๒ ปี เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุณีจึงไม่อาจเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ และมีจำนวนน้อยลงไปเรื่อยๆ จนสูญสิ้นไปในที่สุด

จากศรีลังกา ภิกษุณีสงฆ์ได้ไปสืบสายไว้ในจีน ไต้หวัน และอื่นๆ อีกมาก จนกระทั่งพุทธศาสนาที่อินเดีย และศรีลังกาเสื่อมลงไปในช่วงหลัง ทำให้ภิกษุณีฝ่ายเถรวาท ซึ่งมีศีล และข้อปฏิบัติที่ยุ่งยาก ไม่สามารถรักษาวงศ์ของภิกษุณีเถรวาทไว้ได้ จึงทำให้ไม่มีผู้สืบทอดการบวชเป็นภิกษุณีสายเถรวาทในปัจจุบัน

ในปัจจุบันมีความพยายามที่จะรื้อฟื้นภิกษุณีสายเถรวาท ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะมีความเชื่อว่า ยังมีภิกษุณีสายเถรวาทเหลืออยู่ และอ้างหลักฐานยืนยันว่า ภิกษุณีทางสายมหายาน วัชรยาน นั้น สืบสายไปจากภิกษุณีสายเถรวาท โดยถือกันว่า หากภิกษุณีสายเถรวาทสืบสายไปเป็นมหายานได้ (ภิกษุณีจากลังกาไปบวชให้คนจีน) ภิกษุณีมหายานก็สืบสายมาเป็นเถรวาทได้เช่นกัน

ในกรณีนี้เคยมีประเด็นถกเถียงกันอยู่ช่วงหนึ่งว่า ปัจจุบันนี้สามารถบวชภิกษุณีได้หรือไม่ มีข้อสรุปจากทางพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ว่า พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้มีการบวชเป็นภิกษุณีได้ ก็ต่อเมื่อบวชต่อสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือต้องบวชทั้งฝ่ายพระภิกษุสงฆ์และฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ เป็นการลงญัตติจตุตถกรรมวาจาทั้งสองฝ่าย จึงจะสามารถเป็นภิกษุณีได้

ดังนั้นมในเมื่อภิกษุณีสงฆ์เถรวาทได้เสื่อมสิ้นลงไม่มีผู้สืบต่อ จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถทำการบวชผู้หญิงเป็นภิกษุณีฝ่ายเถรวาทได้ การที่มีข้ออ้างว่าสายมหายานสืบสายวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ไป ก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะการสืบสายทางมหายานมีข้อวินัยและการทำสังฆกรรมบวชภิกษุณีที่ไม่ถูกต้องกับพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท

ปัจจุบันศรีลังกาพยายามฟื้นฟูภิกษุณีสงฆ์ จนมีหลายร้อยรูป ที่เมืองไทยเองก็มีคนบวชเป็นภิกษุณีหลายรูปแล้วเช่นกัน แต่คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับเป็นภิกษุณีสงฆ์ เพราะมหาเถรสมาคม ถือว่าการบวชของนางภิษุณีเหล่านั้นไม่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติและขัดกับระเบียบของคณะสงฆ์ไทย ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง


พระอาจารย์วิทยา กิจฺจวิชฺโช
วัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน


http://www.bpct.org/test/admin/plugins/ckfinder/userfiles/images/1417414636125.jpg
เรื่องราวของภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระพุทธบัญญัติ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ธันวาคม 2559 11:32:05 โดย Maintenence » บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.53 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 22 เมษายน 2567 14:46:21