[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 23:57:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตพัง สังคมรังเกียจ! “ครูจอมทรัพย์” แพะรับบาป ขอทวงคืนความจริง!  (อ่าน 2009 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มกราคม 2560 13:30:26 »




ชีวิตพัง สังคมรังเกียจ! “ครูจอมทรัพย์” แพะรับบาป ขอทวงคืนความจริง!

       ความยุติธรรมอยู่แห่งใด! จับครูผู้บริสุทธิ์ยัดคุก 1 ปี 6 เดือน ในคดีขับรถชนคนตาย เพราะตำรวจจำทะเบียนรถคลาดเคลื่อน สับสนจังหวัด เปลี่ยนแปลงสำนวนฆาตกรจาก “ผู้ชาย” กลายเป็น “ผู้หญิง” รถที่ชนคนตายเป็นสีเขียว แต่รถของครูผู้บริสุทธิ์เป็นสีน้ำตาลบรอนซ์! แม้จะพ้นโทษออกจากคุกแล้วแต่ครูก็ยืนหยัดสู้ต่อเพื่อทวงคืนความจริง กระทั่งคนผิดที่ชนคนตายตัวจริงโผล่ยอมรับสารภาพ สังคมถามหาความรับผิดชอบจากตำรวจผู้ทำคดี และบทลงโทษ เพราะคุณได้ทำชีวิตครูคนหนึ่งพังย่อยยับไปเรียบร้อยแล้ว
       
       สุดช้ำ! หลักฐานพยานชี้ชัดบริสุทธิ์ แต่ต้องติดคุก
       
       จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร
อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร วัย 54 ปี ผู้รับราชการครูมา 31 ปี เป็นที่เคารพนับถือในโรงเรียน ถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต เมื่อปี 2548 และถูกจำคุกเมื่อปี 2556 ก่อนได้รับอภัยโทษออกมาเมื่อปี 2558 รวมเวลาอยู่ในคุก 1 ปี 6 เดือน กับใจที่แสนจะบอบช้ำ
       
       ย้อนไปในคืนวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลาประมาณ 20.00 น. สภ.เรณูนคร จ.นครพนม ได้รับแจ้งว่ามีรถชนคนขี่จักรยานตาย ตำรวจ สภ.เรณูนคร จึงไปเช็กทะเบียนรถ จำได้เพียงว่า ทะเบียน บค 56 แต่จำจังหวัดไม่ได้ จึงสุ่มมาที่ขนส่งสกลนครเพื่อถามหาทะเบียน บค 56 จากนั้นจึงส่งหมายเรียกมาหาครู ผู้เป็นเจ้าของรถ บค 56 สกลนคร รถสีน้ำตาลบรอนซ์ ทั้งที่ครูยืนยันว่า ในวันที่ 11 มี.ค.วันเกิดเหตุ รถจอดอยู่ที่บ้าน ขณะเกิดเหตุกำลังพักผ่อนนอนดูทีวีอยู่กับครอบครัวที่ จ.สกลนคร ยืนยันไม่เคยขับรถชนคนตาย

<a href="https://www.youtube.com/v/lwZSKjA3mK8" target="_blank">https://www.youtube.com/v/lwZSKjA3mK8</a>

      อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้ทำผิดแต่ครูก็ไปพบตำรวจตามหมายเรียกแต่โดยดี และพยายามต่อสู้ปฏิเสธมาตลอด แม้หลักฐานจะชี้ชัดว่า รถที่ชนคนปั่นจักรยานตายจะเป็นรถสีเขียว เพราะมีเศษสีเขียวไปติดอยู่ในซากของรถจักรยาน โดยครูยืนยันว่า รถของตนเองเป็นสีน้ำตาลบรอนซ์ แต่มีสีเขียวเพียงแค่ตัวหนังสือบนป้ายทะเบียนรถ จากนั้นตำรวจจึงถอดป้ายทะเบียนไปตรวจพิสูจน์หลักฐานที่กองพิสูจน์หลักฐาน เจ้าหน้าที่ใช้กล้องจุลทรรศน์ระบบแรงสูงตรวจหลักฐาน พิสูจน์ได้ว่า แผ่นป้ายทะเบียนของครู ไม่มีร่องรอยการบุบ การชน ขูดขีด เป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่มีสภาพสมบูรณ์
       
       แม้พยานในที่เกิดเหตุจะยืนยันว่า ผู้ก่อเหตุขับรถชนจะเป็นผู้ชาย ร่างสูงใหญ่ เพราะในวันเกิดเหตุพยานขับรถมอเตอร์ไซค์ตามมาเห็นว่า คนขับเปิดประตูรถลงมาดูหลังชนคนตาย ทว่า สิ่งที่ต้องตกใจมากกว่านั้น คือ ตำรวจได้ลบคำว่า “ผู้ชาย” ออกจากสำนวนส่งฟ้อง
       
       “วันที่นัดครูไปโรงพัก ครูก็ไปยืนหน้าคอมพ์ที่เขาทำสำนวน ไปยืนอยู่ข้างหลังของตำรวจ เห็นเขาลบคำว่า ผู้ชายออก จึงทักท้วงว่า ลบคำว่า ผู้ชายออกทำไม เขาก็ไม่พูด เขาก็ลบออก และก็พิมพ์อย่างอื่นต่อ”
ครูจอมทรัพย์ เปิดเผยข้อมูลในรายการทุบโต๊ะข่าว
       
       แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังยืนยันให้ครูไปต่อสู้คดีในชั้นศาล ในที่สุดศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ครูยื่นอุทธรณ์สู้ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ญาติผู้ถูกรถชนเสียชีวิตปักใจเชื่อว่า ครูเป็นคนขับรถชน ญาติผู้เสียชีวิตจึงไม่ยอม จึงฟ้องต่อ กระทั่งศาลฎีกา มีคำสั่งยึดตามศาลชั้นต้น ครูต้องติดคุก 3 ปี 2 เดือน โดยไม่รอลงอาญา
       
       มรสุมชีวิต! สังคมตราหน้า “ฆ่าคนตาย”
       
       3 เมษายน 2558 ครูได้รับการอภัยโทษ หลังออกจากคุก ไปที่ไหนสังคมก็ตราหน้าครูว่า "ฆาตกร" ลูกศิษย์ที่เคยเคารพนับถือก็เมินหน้าหนี

<a href="https://www.youtube.com/v/7Nzb2blX7-Q" target="_blank">https://www.youtube.com/v/7Nzb2blX7-Q</a>

       ชีวิตพัง ถูกสังคมรังเกียจ ลูกไม่ได้เรียนทั้งที่สอบติดมหาวิทยาลัยเพราะไม่มีเงินเรียน เนื่องจากครูเป็นเสาหลักครอบครัว ถูกธนาคารฟ้อง หลังออกจากเรือนจำยังไม่สามารถกลับเข้ารับราชการครูได้ แม้จะได้ยื่นเรื่องขอกลับเข้ารับราชการไว้กับสำนักงานเขตการศึกษาฯในพื้นที่  เนื่องจากต้องรอคำพิพากษาของศาล ว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด
       
      "เป็นชีวิตที่ตกต่ำมากๆ พอออกจากเรือนจำ ก็มาอยู่ในพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน แต่ต้องเก็บตัว อยู่แต่ในบ้าน เพราะอาย รอวันศาลตัดสิน ถูกสังคมตราหน้า แทบจะไม่มีที่ยืน ไปไหนก็อับอาย จากที่ลูกศิษย์ลูกหาหลายรุ่นเคารพนับถือนับหน้าถือตา ในสังคมเหมือนเมินเฉย คือเค้าไม่ให้ความเคารพเราแล้ว"
       
       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ครูจะถูกพิพากษาจากศาลว่าเป็นฆาตกรทั้งที่บริสุทธิ์ แต่ครูยืนยันว่า จะไม่มีวันยัดเงินตำรวจเพื่อแลกอิสรภาพทั้งที่ตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะไม่อยากให้ตำรวจได้ใจ วงจรอุบาทว์จะไม่จบไม่สิ้น เชื่อ กระบวนการยุติธรรมต้องยุติธรรม
       
       "เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งนักโทษหญิงด้วยกันที่อยู่ในเรือนจำ ต่างบอกว่า ทำไมไม่เสียเงินให้ตำรวจตั้งแต่แรก ถ้าเสียเงินให้ตำรวจตั้งแต่แรกก็ไม่ติดคุก ก็ตอบเขาไปว่า ถ้าเสียเงินให้ ตำรวจอย่างนี้ทุกๆคน กระบวนการยุติธรรม มันก็ไม่ยุติธรรม ตำรวจก็ได้ใจ ระบบวงจรอุบาทว์นี้ก็จะมีขึ้น เรื่อยๆ ประชาชนก็ตกเป็นเหยื่อของตำรวจสิ แล้วผู้ร้ายตัวจริงก็ต้องลอยนวลใช่มั้ยคะ แล้วผู้บริสุทธิ์ก็ต้อง เป็นแพะ ยอมติดคุกดีกว่า แล้วก็มารื้อฟืนสู้คดีที่หลัง ก็ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อน และญาติในการ ต่อสู้ข้างนอกระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ"
       
       พ้นมลทิน ฆาตกรตัวจริงรับสารภาพ!




       ทว่า ยังมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์เพราะกระทรวงยุติธรรมและศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือครูทำให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่
       
       นายนิธิต ภูริคุปต์ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ กล่าวว่า ติดตามผู้กระทำผิดตัวจริงได้แล้ว และผู้กระทำผิดตัวจริงเป็นผู้ไปให้การรับสารภาพต่อหน้าศาลด้วยตัวเอง ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ที่สำคัญ และมีน้ำหนักให้ศาลพิจารณา หลังจากนี้ศาลได้นัดสืบพยานใหม่ในวันที่ 16 ม.ค.นี้  เวลา 13.00 น.
       
       สำหรับการช่วยเหลือใน ฐานะเป็นจำเลยในคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญานั้น เบื้องต้นต้องรอให้ศาลมีคำพิพากษาว่า ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดจริงก่อน จากนั้นจึงสามารถยื่นคำร้องขอรับการเยียวยาได้ โดยคดีดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ส่วน  ส่วนแรก คือ การรื้อฟื้นคดีหากคดีสิ้นสุดแล้ว จึงจะสามารถสอบสวนเพื่อหาคนผิดในคดีขับรถชนคนตายได้
       
       นอกจากนี้ เลขานุการศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ฯ ยังแนะนำให้ประชาชนที่เดือดร้อนและต้องการรับความช่วยเหลือในการต่อสู้คดีควรขอรับความช่วยเหลือในระหว่างที่คดียังไม่สิ้นสุด เพราะหากการรอจนคดีสิ้นสุดแล้ว การจะรื้อฟื้นคดีใหม่ตามเงื่อนไขของศาลเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะคดีที่ผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดควรต่อสู้คดี อย่ามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิดแล้วไม่ ทำอะไร เนื่องจากหลักการพิจารณาของศาลจะอาศัยตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนส่งฟ้อง
       
       ทนายชี้ เอาผิดตำรวจยาก!
       
       สำหรับบทลงโทษของตำรวจผู้ทำคดีนี้จนจับแพะนั้น ทนายยืนยัน เอาผิดตำรวจยาก เพราะพนักงานสอบสวนมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องดุลยพินิจ โดยระบุใน เพจเฟซบุ๊ก ทนายคู่ใจ ไว้ว่า

อ้างถึง
คดีนี้ครูเขาสู้คดีนะไม่ได้รับสารภาพ
ศาลชั้นต้นลงโทษ
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง
ศาลฎีกาลงโทษ

เหตุเกิดปี 2548 หรือประมาณ 11 ปีที่แล้ว

ถามว่าจะเอาผิดตำรวจได้หรือเปล่า พนักงานสอบสวนมันมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องดุลยพินิจ (ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา131-134 ) ถ้าเขาชี้แจงว่าไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ทำสำนวนไปตามพยานหลักฐาน ก็ยากที่จะเอาผิดได้

อาจจะมีคนถามว่าแบบนี้ตำรวจนึกว่าแกล้งก็ฟ้องใครก็ได้นะซิ ไม่ต้องเสี่ยงถูกฟ้องกลับด้วย เรื่องนี้ก็ต้องดูเป็นเคสๆไปนะ ผมว่า คือว่าจะว่าศาลก็ไม่ได้หรอกเพราะศาลก็ว่าตามพยานหลักฐาน เพียงแต่คดีนี้มันมีพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยบริสุทธิ์เท่านั้นเอง คือเพื่อนครูเขาไปสืบจนเจอว่าใครเป็นคนขับรถชน แล้วคนชนก็มายอมรับสารภาพว่าเขาชนภายหลัง

จนมีการนำเรื่องไปยื่นไต่สวนต่อศาล ตาม พรบ.การรื้อฟื้นคดีอาญา ในมาตรา 5 เมื่อพบพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้กระทำความผิด โดยผู้มีสิทธิยื่นนั้นตามมาตรา 6 จะมีญาติ/อัยการ/จำเลย (คร่าวๆนะ) การรื้อฟื้นคดีนี้ได้เฉพาะคดีอาญานะครับ

คือก็อยากให้มองหลายๆมุมด้วยว่าคดีชนแล้วหนีตามจับคนร้ายยากมากเพราะสมัยนั้นไม่ได้มีกล้องชัดขนาดนี้(ขนาดมีกล้องยังหาตัวยากเลย) แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การต่อสู้คดีของทนายความจำเลยนั้นแหละว่าวางแผนการสู้คดียังไง ถามค้านพยานหลักฐานอัยการ ตำรวจได้แค่ไหนนั้นแหละ

ไม่มีใครโชคดีเหมือนครูบ่อยๆหรอกครับที่หาพยานหลักฐานมาได้แบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดช่องทางกระบวนการยุติธรรมไทยเหมือนกันว่าขนาดตรวจสอบกันละเอียดแล้วยังมีแพะลอยเข้าเรือนจำจนได้

https://www.youtube.com/watch?v=7Nzb2blX7-Q

      "คดีนี้ครูเขาสู้คดีนะไม่ได้รับสารภาพ ศาลชั้นต้นลงโทษ ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ศาลฎีกาลงโทษ เหตุเกิดปี 2548 หรือประมาณ 11 ปีที่แล้ว ถามว่าจะเอาผิดตำรวจได้หรือเปล่า พนักงานสอบสวนมันมีกฎหมายคุ้มครองเรื่องดุลยพินิจ (ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131-134 ) ถ้าเขาชี้แจงว่าไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ทำสำนวนไปตามพยานหลักฐาน ก็ยากที่จะเอาผิดได้ อาจจะมีคนถามว่าแบบนี้ตำรวจนึกว่าแกล้งก็ฟ้องใครก็ได้นะสิ ไม่ต้องเสี่ยงถูกฟ้องกลับด้วย เรื่องนี้ก็ต้องดูเป็นเคสๆไปนะ ผมว่า
       
       คือว่าจะว่าศาลก็ไม่ได้หรอกเพราะศาลก็ว่าตามพยานหลักฐาน เพียงแต่คดีนี้มันมีพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยบริสุทธิ์เท่านั้นเอง คือเพื่อนครูเขาไปสืบจนเจอว่าใครเป็นคนขับรถชน แล้วคนชนก็มายอมรับสารภาพว่าเขาชนภายหลัง จนมีการนำเรื่องไปยื่นไต่สวนต่อศาล ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญา ในมาตรา 5 เมื่อพบพยานหลักฐานใหม่ว่าจำเลยไม่ใช่ผู้กระทำความผิด โดยผู้มีสิทธิยื่นนั้นตามมาตรา 6 จะมีญาติ/อัยการ/จำเลย คร่าวๆ นะ การรื้อฟื้นคดีนี้ได้เฉพาะคดีอาญานะครับ
       
       คือก็อยากให้มองหลายๆ มุมด้วยว่า คดีชนแล้วหนีตามจับคนร้ายยากมากเพราะสมัยนั้นไม่ได้มีกล้องชัดขนาดนี้(ขนาดมีกล้องยังหาตัวยากเลย) แต่สุดท้ายก็อยู่ที่การต่อสู้คดีของทนายความจำเลยนั่นแหละว่าวางแผนการสู้คดียังไง ถามค้านพยานหลักฐานอัยการ ตำรวจได้แค่ไหนนั้นแหละ
       
       ไม่มีใครโชคดีเหมือนครูบ่อยๆหรอกครับที่หาพยานหลักฐานมาได้แบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดช่องทางกระบวนการยุติธรรมไทยเหมือนกันว่าขนาดตรวจสอบกันละเอียดแล้วยังมีแพะลอยเข้าเรือนจำจนได้"
       
      ...เมื่อไหร่หนอ “การจับแพะ” จะไม่มีในสังคมไทย เพราะสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในกระบวนการยุติธรรม ก็คือการจับคนบริสุทธิ์เข้าคุกนั่นแหละ!
       
      ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก รายการทุบโต๊ะข่าว

จาก http://astv.mobi/AnZjLLS





เพิ่มเติม

<a href="https://www.youtube.com/v/p7a4ITqltxc" target="_blank">https://www.youtube.com/v/p7a4ITqltxc</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/gjc52A2rOnY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/gjc52A2rOnY</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/WFHqyJ5TrLk" target="_blank">https://www.youtube.com/v/WFHqyJ5TrLk</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/BRY4nNA08tY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/BRY4nNA08tY</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/vrWdBvkkyy8" target="_blank">https://www.youtube.com/v/vrWdBvkkyy8</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/4RF0f-S1LTo" target="_blank">https://www.youtube.com/v/4RF0f-S1LTo</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/DDldxHAdTc8" target="_blank">https://www.youtube.com/v/DDldxHAdTc8</a>

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5062


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Chrome 50.0.2661.273 Chrome 50.0.2661.273


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มกราคม 2560 04:24:02 »



"แพะรับบาป" ความอัปยศของกระบวนการยุติธรรมไทย

โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด

ข่าวครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร กำลังกลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในสังคมไทย

หลังเธอถูกกล่าวหาว่าขับรถยนต์ชนผู้อื่นเสียชีวิตที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน ซึ่งต่อมากระทรวงยุติธรรมได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานจนประจักษ์ว่าผู้ที่กระทำความผิดไม่ใช่เธอ ส่งผลให้ศาลรับคำร้องรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง

มีคำถามดังๆต่อกระบวนการยุติธรรมไทย อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งตกเป็นแพะ.....

เร่งปิดคดีจนผิดพลาด

กระบวนการพิสูจน์ความจริงให้เกิดความยุติธรรมตามกฎหมาย ประกอบด้วย “ตำรวจ” ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานในคดีอาญา “อัยการ” ทำหน้าที่ฟ้องร้องคดีแทนตำรวจ  “ศาล” ทำหน้าที่รับฟังพยาน ตรวจดูหลักฐานและพิจารณาตัดสินคดี และ “ทนายความ” มีหน้าที่ทำให้รูปคดีส่งผลดีหรือก่อประโยชน์ต่อลูกความของฝ่ายตนให้มากที่สุด

เกิดผล แก้วเกิด ทนายความ มองว่า สาเหตุของการจับผิดตัวหรือจับแพะนั้น เริ่มมาจากกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นอย่างการสืบสวนสอบสวน การรวบรวมพยานหลักฐานและการปิดสำนวน ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ตำรวจขาดความรอบคอบ ประมาท ละเลยไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริงอย่างถี่ถ้วน ก็อาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้ โดยแรงกดดันที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งปิดสำนวนมาจากหลายทาง ได้แก่ อิทธิพลของผู้เสียหาย อิทธิพลของจำเลย กระแสสังคม จนถึงผลงานส่วนตัว  

"ผู้เสียหายบางคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แบบนี้ช้าไม่ได้ ตำรวจต้องเร่ง หาคนผิดไม่เจอก็ต้องรีบจับใครสักคนมาเชือดเพื่อรับผิดชอบให้ได้ก่อน หรือตัวจำเลยเอง หากมีอิทธิพล ก็ไปจับใครสักคนมาเป็นแพะแทน ต่อมากระแสสังคม ถ้าคดีนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ก็ต้องรีบปิดให้ไว หรือผลงานส่วนตัว พวกที่สุกเอาเผากิน เร่งปิดคดีให้พ้นมือ คิดหวังแต่ประโยชน์ของตัวเอง ก็มีโอกาสสร้างความผิดพลาดได้มากขึ้น”

ทนายความชื่อดัง เล่าว่า มีหลายครั้งที่ชาวบ้านโดนเกลี้ยกล่อมจากตำรวจให้ยอมรับสารภาพไปก่อนทั้งที่ตัวเองไม่ได้กระทำความผิด เพื่อลดความยุ่งยากในการทำคดี ประหยัดเวลาและหวังให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว

"บางทีชาวบ้านไม่รู้หรอกว่าโทษคดีนี้มันสูงขนาดไหน ตำรวจก็กล่อมๆไปว่ารับๆ ไปเถอะ จะได้จบ เดี๋ยวศาลก็ลดโทษให้และสั่งให้รอลงอาญา สู้ไปก็เสียตังค์เปล่าๆ ต้องจ้างทนายความ จ่ายเงินประกัน ถ้าไม่มีเงินก็รับสารภาพไปดีกว่า บางคนบอกอีกว่าความผิดฐานประมาท ยังไงศาลก็สั่งให้รอลงอาญา รับผิดไปเถอะ ทีนี้ท้ายสุด เกิดศาลพิจารณาสั่งลงโทษขึ้นมาโดยไม่รอลงอาญา เขาค่อยมาคิดกันได้ว่า โถ รู้อย่างงี้ไม่น่ารับเลย เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นเยอะ”

นอกจากตำรวจ เจ้าหน้าที่อัยการและศาลก็มีส่วนสำคัญมากในกระบวนการยุติธรรม เมื่อท่านผู้ดำรงตำแหน่งเหล่านั้นต้องพิจารณาคดีอย่างรอบคอบ ใส่ใจ หากเห็นความบกพร่องของพยานหลักฐาน ก็จำเป็นต้องให้โอกาสผู้ต้องหาโดยเรียกมาสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากอาจได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่าก็เป็นได้



"ระบบกล่าวหา"ทำจำเลยตกเป็นมวยรองเสมอ

ธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า วิธีพิจารณาคดีในเมืองไทยเป็นระบบกล่าวหา ทำให้ศาลไม่มีบทบาทและอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดีเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ศาลถูกจำกัดกรอบให้พิจารณาเฉพาะจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คู่ความเสนอต่อศาลเท่านั้น

"ระบบกล่าวหาทำให้ศาลไม่สามารถจะสอบถามอะไรได้ นอกเหนือจากหลักฐานที่พยานทั้งสองฝ่ายเอามา ต้องทำตัวเป็นกลาง ชั่งน้ำหนักพยานที่แต่ละฝ่ายเอามาเท่านั้นเอง ผิดกับระบบไต่สวนศาลจะมีบทบาทและอำนาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ หากสงสัยตรงไหนก็ถามได้เลย"

ธวัชชัย บอกว่า ในระบบกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาเสมือนตกเป็นเบี้ยล่างตั้งแต่เริ่มต้น ต้องพยายามไปหาหลักฐานมาต่อสู้ ซึ่งแม้จะเป็นผู้บริสุทธิ์ในหลายกรณีก็มีความลำบากในการไปแสวงหาหลักฐานมาประกอบข้อเท็จจริง

"บางคดีมีการชี้ตัวผู้กระทำความผิดเรียบร้อย ไม่มีผู้เสียหายชี้ตัวคุณเลย แต่พนักงานสอบสวนกลับไม่ได้บันทึกไว้ พอพยานหลักฐานถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาล จำเลยก็ไม่มีประเด็นในการต่อสู้ ศาลก็ตัดสินพิจารณาได้เพียงแค่หลักฐานที่มี"

ทั้งนี้ สิ่งที่ธวัชชัยเห็นว่าจะป้องกันความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมได้คือ การพิสูจน์หลักฐานอย่างรอบคอบชนิดสิ้นกระแสความสงสัย โดยนำนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ควบคู่กับกระบวนการยุติธรรม เพื่อลดการโต้แย้งและความหวาดระแวงระหว่างผู้ควบคุมกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องหลักการและเหตุผลที่สามารถพิสูจน์ได้ ขณะเดียวกันอาจถึงเวลาที่เมืองไทยต้องแยกการทำหน้าที่ระหว่างพนักงานสอบสวนและสืบสวนออกจากกัน เหมือนในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความโปร่ง รอบคอบ ทั้งยังเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่อีกด้วย

"เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ผู้บริสุทธิ์ถูกละเมิดด้วยกระบวนการของรัฐ ทั้งที่รัฐเองมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองผู้บริสุทธิ์และให้ความเป็นธรรม ผมคิดว่ากระบวนการยุติธรรมในเมืองไทยเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนและปฎิรูป"รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ยืนยัน



ทัศนคติต่อความยุติธรรมต้องพัฒนา

ขณะที่ ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด แสดงความเห็นว่า นอกจากปัญหาในการสืบหาพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนแล้ว ข้อเสียในกระบวนการยุติธรรมไทยก็คือ บทบาทและทัศนคติของศาลไทยที่คุ้นเคยกับการวางบทบาทและอำนาจไปในทางระบบกล่าวหา

"ศาลไม่ค่อยรับฟังพยานจำเลย มักฟังแต่พยานโจทย์ ซึ่งจริงๆแล้ว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 175 ก็บอกชัดว่า เมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว ถ้าเห็นสมควรให้ศาลมีอำนาจเรียกสำนวนการสอบสวนจากพนักงานอัยการมาเพื่อประกอบการวินิจฉัยได้ หมายถึงให้ชั่งน้ำหนัก อย่าพิพากษาจนกว่าจะเชื่อ ฟังทั้งโจทย์และจำเลย แต่ในทางปฎิบัติพยานจำเลยได้รับความสำคัญน้อย ทุกคนถูกสอนให้ฟังแต่พยานฝ่ายโจทย์ มีทัศนคติว่าเราอยู่ในระบบกล่าวหา แต่จริงๆแล้ว ต้องฟังความทั้งสองฝ่าย"

ปรเมศวร์ บอกต่อว่า เงื่อนไขเรื่องเวลาก็เป็นอีกปัจจัยให้เกิดความผิดพลาด เมื่อเจ้าหน้าที่หลายคนมีความเชื่อว่าต้องรีบทำสำนวนและสั่งฟ้องให้ทันเวลากำหนดฝากขัง 84 วัน ซึ่งความเร่งรีบอาจทำให้เจ้าหน้าที่ขาดความรอบคอบและประมาทได้

"หลายคนพยายามเร่งให้ทันเวลา ทั้งที่จริงๆแล้ว หากหลักฐานไม่พอ ฟ้องไม่ทัน ก็ปล่อยตัวไปก่อนได้ เหมือนในต่างประเทศ เขาปล่อยไปก่อนเลย พร้อมเมื่อไหร่ค่อยฟ้องภายในอายุความ บ้านเราหลายครั้งคำนึงถึงแต่ระยะเวลาควบคุมตัว กลัวปล่อยไปแล้วผู้ต้องหาจะหลบหนี ทั้งที่ตามหลักยุติธรรม ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ผู้นั้นต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์"

หนึ่งในวิธีพัฒนากระบวนการยุติธรรมที่ข้าราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดรายนี้บอก ก็คือ คนในสังคมต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และเปิดโอกาสให้ศาลทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ โดยเพิ่มบทบาทในการไต่สวน

“ทุกวันนี้ศาลถูกจำกัดให้พิจารณาเฉพาะเพียงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คู่ความเสนอต่อศาล ทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดีไม่ได้ เพราะในเมืองไทยถ้าศาลทำอย่างนั้นจะถูกครหา มองในแง่ร้ายทันทีว่าศาลไม่ยุติธรรม เปิดโอกาสให้รับสินบนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ พอไปมองในแง่ร้ายกันเช่นนั้น ระบบยุติธรรมมันก็เบี่ยงเบนและไม่สมบูรณ์”



ตัวอย่างคดีเปลี่ยนผู้ร้ายเป็นผู้บริสุทธิ์

สถิติรับเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากคดีอาญา ตั้งแต่ปี 2558 – 2559  โดย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมนั้นมีสูงถึง 250 คดี สามารถรื้อฟื้นคดีอาญาและประกอบฎีกาที่สำเร็จแล้ว 10  เรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือ คดีที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางล่าสุดอย่าง คดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ส่วนคดีอื่นๆ มีตัวอย่างดังนี้

- คดีนายพัสกร สิงคิ ถูกกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ที่อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี กระทั่งศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้จำคุก 20 ปี กระทรวงยุติธรรมได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงจนทราบว่า นายพัสกรไม่ใช่ผู้กระทำความผิด และมีคนร้ายตัวจริงรับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำความผิด จึงได้ฟ้องดำเนินคดี จนศาลพิพากษาให้จำคุก 12 ปี 6 เดือน จนกระทั่งสรุปผลยื่นขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ และศาลอุทธรณ์ภาค1 มีคำสั่งให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาคดีใหม่ นายพัสกรจึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาระหว่างการพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งเป็นคดีแรกของประเทศไทย ที่ให้มีการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาคดีใหม่

- คดีนางจารุพรรณ วุ่นสุวรรณ  ถูกกล่าวหาว่าจ้างวานฆ่าสามี ที่อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช กระทั่งศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้จำคุกตลอดชีวิต กระทรวงยุติธรรมได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงจนทราบว่า คนร้ายที่ฆ่าสามีนางจารุพรรณถูกบังคับให้ใส่ร้ายนางจารุพรรณฯว่า เป็นผู้จ้างวานให้ฆ่าสามี แต่ภายหลัง รับสารภาพกับเจ้าที่กระทรวงยุติธรรมว่าไม่ใช่เรื่องจริง จนกระทั่งสรุปผลยื่นขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ และศาลอุทธรณ์ภาค8 มีคำสั่งให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาคดีใหม่ จึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาระหว่างการพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งเป็นคดีที่สองที่ให้มีการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาคดีใหม่

- คดีนายวุฒิชัย  ใจสมัคร หรือ ปุ๊ วอร์มอัพ ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมแฟนสาวที่จ.เชียงใหม่  ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต กระทรวงยุติธรรมได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงจนทราบว่า นายวุฒิชัยไม่ใช่ผู้กระทำความผิด โดยมีพยานหลักฐานสำคัญคือ DNAในซอกเล็บของผู้ตาย  ไม่ตรงกับDNAของนายวุฒิชัย  และมีพยานยืนยันได้ว่าในคืนเกิดเหตุคนร้ายที่น่าจะเป็นผู้ก่อเหตุได้พาผู้เสียชีวิตไปร้านอาหารทานข้าวต้มที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ร้านข้าวต้มย้ง  ตามสำนวนของการฟ้องก่อนหน้านี้ จนกระทั่งสรุปพยานหลักฐาน เสนอศาลฎีกา จนกระทั่งศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง นายวุฒิชัยจึงได้รับการปล่อยตัว หลังจากถูกจำคุกไป 3 ปี 6 เดือน

- คดีที่นายทรงกลด ทรัพย์มี ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายข่มขืนกระทำชำเรา เด็กหญิงอายุ 16 ปี เหตุเกิดที่อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี   ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต กระทรวงยุติธรรมได้สืบสวนหาข้อเท็จจริงจนทราบว่า นายทรงกลดไม่ใช่ผู้กระทำความผิด โดยมีพยานหลักฐานสำคัญคือ ผู้เสียหายในคดีนี้ยอมรับว่า ชี้คนร้ายผิดตัว ซึ่งมีชื่อว่าทรงกลดเหมือนกันแต่คนร้ายนามสกุล เกลี้ยงน้อย  และมีพยานยืนยันได้ว่านายทรงกลด ทรัพย์มี ไม่เคยมาพื้นที่บริเวณที่เกิดเหตุเลย แต่นายทรงกลด เกลี้ยงน้อย ได้มีภูมิสำเนาอยู่ที่เกิดเหตุมานานแล้ว  จนกระทั่งสรุปพยานหลักฐาน เสนอศาลฎีกา และศาลฎีกาได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากถูกจำคุกไป 1 ปี 2 เดือน  

เรื่องราวอันน่าเห็นใจของแพะรับบาปในเมืองไทยทั้งหมดนี้ เป็นเสมือนบทเรียนให้ผู้บังคับใช้กฎหมายและผู้มีอำนาจในวงการยุติธรรมได้ทบทวนการทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง
 
จาก http://www.posttoday.com/analysis/report/475355

เพิ่มเติม

<a href="https://www.youtube.com/v/6_rc2OGj4qY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/6_rc2OGj4qY</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/l5_SEeynccw" target="_blank">https://www.youtube.com/v/l5_SEeynccw</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/bIBTUmcQNJU" target="_blank">https://www.youtube.com/v/bIBTUmcQNJU</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/GEL7fNPwO-0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/GEL7fNPwO-0</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/GDQqOf7hWp4" target="_blank">https://www.youtube.com/v/GDQqOf7hWp4</a>

<a href="https://www.youtube.com/v/meORsvh3Fo4" target="_blank">https://www.youtube.com/v/meORsvh3Fo4</a>
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.782 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 06:14:02