Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5461
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
|
|
« เมื่อ: 04 กุมภาพันธ์ 2560 19:25:31 » |
|
บวบเหลี่ยม สรรพคุณและประโยชน์ของบวบเหลี่ยม ๔๘ ข้อ ! บวบเหลี่ยม บวบเหลี่ยม ชื่อสามัญ Angled loofah บวบเหลี่ยม ชื่อวิทยาศาสตร์ Luffa acutangula L.) Roxb. จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE)[๑],[๒]
สมุนไพรบวบเหลี่ยม มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ ว่า มะนอย หมักนอย เชียงใหม่), บวบหวาน แม่ฮ่องสอน), มะนอยงู มะนอยข้อง มะนอยเหลี่ยม (ภาคเหนือ, ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), บวบเหลี่ยม ไทย), เดเรเนอมู เดเรส่า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), กะตอรอ (มลายู-ปัตตานี), อ๊อซีกวย จีน) เป็นต้น [๑],[๒] ลักษณะของบวบเหลี่ยม
• ต้นบวบเหลี่ยม เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย เนื่องจากพบต้นที่มีลักษณะเป็นพืชป่าในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย [๖],[๗] และมีเขตการกระจายพันธุ์และนิยมบริโภคกันมากในประเทศเขตร้อน เช่น ไทย จีน ฮ่องกง และอินเดีย [๔],[๔] โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุเพียงปีเดียว ชอบเลื้อยพาดพันไปตามต้นไม้อื่นหรือทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน ยอดอ่อนนุ่ม เถาหรือลำต้นเป็นเหลี่ยม ตามข้อเถามีมือสำหรับใช้ยึดเกาะเป็นเส้นยาว บางทีแยกเป็นหลายแขนง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ทนแล้ง ทนฝนได้ดี โรคและเมล็ดไม่มารบกวน พรรณไม้ชนิดนี้มักขึ้นตามที่รกร้าง ตามริมห้วย หนอง คลอง และตามบึงทั่วไป [๑],[๒],[๓],[๑๐]
• ใบบวบเหลี่ยม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบทั่วไปคล้ายกับใบบวบกลมหรือบวบหอม แต่ใบนั้นจะมีรอยเว้าเข้าตื้นกว่ามาก ลักษณะของใบเป็นรูป ๕-๗ เหลี่ยม ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบหยักเว้าตื้น ๆ หลังใบและท้องใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา ก้านใบเป็นเหลี่ยม ยาวประมาณ ๔-๗ เซนติเมตร [๑],[๒],[๑๐]
• ดอกบวบเหลี่ยม ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกจะบานในช่วงเย็น โดยดอกจะเพศผู้จะออกเป็นช่อๆ โดยจะออกตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีเหลือง มีกลีบดอก ๕ กลีบ ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปไข่กลีบ กลีบดอกบางและย่น โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีกลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกเป็นสีเขียวมี ๕ กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกเป็น ๕ กลีบ ด้านนอกมีขนสั้นและอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่ มีขน ดอกเพศผู้จะมีเกสรเพศผู้ประมาณ ๒-๓ อัน มีอับเรณูแบบ ๑ ช่อง ๑ อัน และแบบ ๒ ช่อง ๒ อัน ส่วนดอกเพศเมียมักจะออกดอกเดี่ยว ดอกเป็นสีเหลือง มีลักษณะคล้ายกับดอกเพศผู้ รังไข่เป็นรูปขอบขนาน ท่อรังไข่เป็นรูปทรงกระบอก ปลายแยกเป็นแฉก ๓ แฉก ภายในรังไข่มีช่อง ๓ ช่อง และมีไข่อ่อนเป็นจำนวนมาก [๑],[๒],[๑๐]
• ผลบวบเหลี่ยม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกระบอก มีขนาดสั้นกว่าบวบกลม แต่ผลจะมีเหลี่ยมเป็นสันขอบคมประมาณ ๑๐ สัน ตามความยาวของผล โดยผลจะมีความยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร ปลายผลโต โคนผลเรียวเล็ก เปลือกของผลหนา พอแก่จะเป็นเส้นใบเหนียว เนื้อในผลมีรสขม ภายในผลมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะแบน [๑],[๒],[๑๐]
สรรพคุณของบวบเหลี่ยม ๑.ผลเป็นยาเย็น มีสรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย ผล) [๒],[๙] ๒.ดอกมีรสชุ่ม ขมเล็กน้อย และเย็นจัด มีสรรพคุณช่วยดับร้อน คลายร้อนในร่างกายได้ดี ดอก) [๑] ๓.ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดี เถา)[๑] ๔.ผล เถา และทั้งต้นของบวบเหลี่ยม สามารถใช้เข้าในตำรับยาแก้ลม บำรุงหัวใจได้อีกด้วย ทั้งต้น)[๙] ๕.หากเหงื่อออกมาก ให้ใช้ใบสดผสมกับเมนทอล นำมาตำแล้วทาหรือใช้พอก ใบ)[๑] ๖.ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้น้ำจากเถาผสมกับน้ำตาลทรายใช้กินพอประมาณ น้ำจากเถา)[๑] หรือหากมีอาการปวดศีรษะข้างเดียว ให้ใช้รากต้มใส่ไข่เป็ด ๒ ฟอง แล้วนำมากิน ราก)[๑] ๗.น้ำคั้นที่ได้จากใบสด ใช้เป็นยาหยอดตาเด็ก เพื่อรักษาเยื่อตาอักเสบ ใบ)[๑] ๘.ใช้รักษาเยื่อจมูกอักเสบและเสื่อมสมรรถภาพ รักษาจมูกอักเสบจนกลายเป็นโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง ด้วยการใช้รากนำมาต้มกับน้ำกิน หรือจะใช้ดอกสดร่วมกับฮั่วเถ่าเช่าสด นำไปตำใช้เป็นยาพอกรักษาโพรงจมูกอักเสบก็ได้ ส่วนเถาก็มีสรรพคุณช่วยรักษาโพรงจมูกอักเสบได้เช่นกัน เถา,ราก,ดอก)[๑] ๙.ใช้รักษาจมูกมีหนองและมีกลิ่นเหม็น หรืออาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ให้ใช้เถาบริเวณใกล้กับรากนำไปเผาให้เป็นถ่าน แล้วบดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากิน เถา)[๑] ๑๐.หากเป็นคางทูม ให้ใช้ใยผล รังบวบ) ที่เผาเป็นถ่านแล้ว ผสมกับน้ำใช้ทาบริเวณที่ปวด หรือจะใช้ผลนำไปเผาให้เป็นถ่าน แล้วบดให้เป็นผงผสมกับน้ำใช้ทาบริเวณที่ปวด ผล,ใยผล)[๑] ๑๑. เมล็ดมีรสหวานมัน ใช้รักษาอาการปวดเสียวฟัน โดยให้ใช้ผลที่แก่แล้วนำไปเผาให้เป็นเถ้าแล้วบดเป็นผง ใช้ทาบริเวณที่ปวด ส่วนเถาก็มีสรรพคุณแก้อาการปวดเสียวฟันเช่นกัน เถา,เมล็ด)[๑] ๑๒.ผลเป็นยาเย็น สรรพคุณเป็นยาลดไข้ ผล)[๒] ๑๓.ผลและเมล็ดมีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนใน ส่วนน้ำจากเถาใช้ผสมกับน้ำตาลทรายกินพอประมาณก็เป็นยาบรรเทาอาการร้อนในได้เช่นกัน (น้ำจากเถา,ผล,เมล็ด)[๑],[๒],[๙] ๑๔.น้ำจากเถาผสมกับน้ำตาลทรายใช้กินพอประมาณเป็นยาแก้หวัดได้ น้ำจากเถา)[๑] ๑๕.ดอกมีรสชุ่ม เย็ดจัด และขมเล็กน้อย ใช้รักษาอาการไอ อาการเจ็บคอ และหอบ ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ ๖-๑๐ กรัม ผสมกับน้ำผึ้ง แล้วต้มจิบกินเป็นยา หรือจะใช้น้ำจากเถาผสมกับน้ำตาลทรายกินพอประมาณก็เป็นยาแก้ไอ แก้อาการเจ็บคอได้เช่นกัน (น้ำจากเถา,ดอก)[๑] หรือหากมีอาการเจ็บคอ จะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะนำรากมาแช่กับน้ำในภาชนะกระเบื้องแล้วเทเอาแต่น้ำกินก็ได้ ราก)[๑],[๙] หรือหากมีการไอ จะใช้เถาเอาไปต้มกับน้ำหรือจะใช้น้ำคั้นจากเถาสดนำมากินเป็นยาแก้ไอก็ได้ (แต่เป็นการทดลองกับหนู) เถา)[๑] ๑๖. ขั้วผลนำไปเผาไฟให้เป็นเถ้า บดให้เป็นผงละเอียดใช้เป่าคอเป็นยารักษาอาการเจ็บคอ และช่วยรักษาเด็กที่ออกหัด ช่วยทำให้ออกหัดได้เร็วขึ้น ขั้วผล)[๑] ๑๗.ผลมีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ ทำให้ชุipecacuanha ได้ดี แต่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เมล็ด)[๑] ๒๓.ผลมีรสชุ่มและเย็น ใช้รักษาโรคบิดถ่ายเป็นเลือด แก้อาการปวดท้องเนื่องจากกินเหล้ามาก โดยให้ใช้ผลแห้งประมาณ ๑ ผล นำไปเผาให้เป็นถ่าน บดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากินครั้งละประมาณ ๖ กรัม ผล)[๑] ๒๔.รากใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย ส่วนผลก็มีสรรพคุณเป็นยาระบายเช่นกัน ราก,ผล)[๒],[๙] รากและเมล็ดบวบเหลี่ยมที่มีรสขม มีฤทธิ์เป็นยาถ่าย ราก,เมล็ด)[๑],[๙] ๒๕.เถาใช้เป็นยาขับพยาธิ เถา)[๑] ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาขับพยาธิตัวกลม โดยนำเมล็ดแก่มาเคี้ยวกินตอนท้องว่าง โดยเมล็ดจะมีรสหวานมัน ถ้าเป็นเด็กให้กินครั้งละประมาณ ๓๐ม็ด หากเป็นผู้ใหญ่ให้ใช้ ๔๐-๕๐ติดต่อกัน ๒วัน หรือจะนำมาเมล็ดบดให้ละเอียดใส่แคปซูลกินวันละครั้ง เมล็ด)[๑],[๒],[๑๐] ๒๖.ผลและเมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (ผลอ่อนนำไปต้มกับน้ำ โดยใส่น้ำพอท่วม แล้วต้มจนเดือด ใช้น้ำที่ได้นำมาดื่มครั้งละ ๑ แก้ว วันละ ๒ ครั้ง เช้าและเย็น) หรือจะใช้ดอกสดเป็นยาขับปัสสาวะก็ได้ เข้าใจว่าใช้ดอกแห้งประมาณ ๖-๑๐ กรัม นำไปต้มกับน้ำกิน ส่วนใบให้ใช้ใบสด ๑ กำมือ นำมาต้มกับน้ำ ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มจนเดือด ใช้น้ำที่ได้ดื่มเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ครั้งละ ๑ แก้ว วันละ ๒ ครั้ง เช้าและเย็น ถ้าเป็นใบแห้งให้ใช้ ๕ กรัม นำมาชงกับน้ำร้อน ๑ แก้ว ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น (ใบ,ดอก,ผล,เมล็ด)[๑],[๒],[๙] ๒๗.เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาขับนิ่ว เมล็ด)[๒] ๒๘.ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้ใบนำมาตำพอกหรือจะบดให้เป็นผงใช้ผสมเป็นยาทาก็ได้ หรือจะใช้ดอกสดผสมกับฮั่วเถ่าเช่าสดนำไปตำพอก หรือจะใช้ใยผลหรือรังบวบนำไปเผาไฟให้เป็นเถ้า แล้วนำไปผสมกับปูนขาวที่เก็บไว้นาน ๆ และผสมกับหย่งอึ้งบดเป็นผง แล้วนำไปต้มกับดีหมู ใส่ไข่ขาวผสมน้ำมันหอม นำมาใช้ทาบริเวณที่เป็น แต่หากเป็นโรคริดสีดวงทวารที่เกิดจากการดื่มเหล้ามาก ๆ ก็ให้ใช้ใยผล รังบวบ) ที่เผาเป็นถ่านแล้ว นำไปบดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากินครั้งละ ๖ กรัม ใบ,ดอก,ใยผล)[๑] ๒๙.หากเลือดน้อย ประจำเดือนของสตรีมาผิดปกติ ให้ใช้ผลนำไปเผาให้เป็นถ่าน ผสมกับเหล้ากินหลังอาหารตอนที่สบายใจ ส่วนใบและเถาก็มีสรรพคุณช่วยแก้ประจำเดือนที่ผิดปกติของสตรีเช่นกัน เถา,ใบ,ผล)[๑],[๒] ๓๐.ใบใช้เป็นยารักษาสตรีที่ตกเลือด ด้วยการนำใบไปคั่วให้เป็นถ่าน แล้วบดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากินครั้งละประมาณ ๖-๑๕ กรัม ใบ)[๑] ๓๑.ช่วยบำรุงม้าม เถา)[๑] ๓๒.ใบนำมาตำใช้เป็นยาพอกทาถอนพิษในคนไข้ม้ามโต ใบ)[๒] ๓๓.ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ด้วยการใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่ม หรือจะใช้น้ำจากเถาผสมกับน้ำตาลทรายกินพอประมาณก็ได้ (ราก,น้ำจากเถา)[๑],[๒],[๙] ๓๔.ใบสดนำมาตำพอกแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย แก้พิษคัน ใบ)[๙] ๓๕.ช่วยรักษาบาดแผลเรื้อรัง แผลจากแมลงสัตว์กัดต่อย ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเอาแต่น้ำใช้ชะล้าง หรือจะตำพอก หรือบดให้เป็นผงละเอียดผสมเป็นยาทาก็ได้ ใบ)[๑] ๓๖.หากเป็นแผลมีหนองและมีเนื้อนูน ก็ให้ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาแต่น้ำผสมกับผงเบญกานี Gall จากต้น Rhus chinensis Mill. แล้วนำมาใช้ทา ผล)[๑] ๓๗.น้ำมันที่บีบได้จากเมล็ดบวบเหลี่ยมสามารถนำมาใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้ บ้างว่าใช้แก้โรคผิวหนังได้บางชนิด และถ้าบริสุทธิ์พอก็ใช้กินได้ (น้ำมันจากเมล็ด)[๑],[๒],[๑๐] ๓๘.หากผิวหนังเป็นผดผื่นคันให้ใช้ใบสดผสมกับเมนทอล นำมาตำแล้วพอกหรือใช้ทาบริเวณที่เป็น ใบ)[๑] ๓๙.ใช้รักษากลากเกลื้อน ด้วยการใช้ใบนำมาต้มเอาน้ำใช้ชะล้าง หรือจะตำพอก หรือจะบดให้เป็นผงละเอียดผสมเป็นยาทาก็ได้ ใบ)[๑] ๔๐.หากเป็นฝีบวมแดงและมีหนอง รักษาฝีไม่มีหัว ให้ใช้ดอกสดผสมกับฮั่วเถ่าเช่าสด นำไปตำใช้เป็นยาพอกบริเวณที่เป็น ดอก)[๑] ๔๑.ช่วยรักษาแขนขาเป็นเหน็บชา เถา)[๑] ๔๒.หากมีอาการปวดเอวเรื้อรัง ให้นำเมล็ดมาคั่วจนเหลือง แล้วบดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากิน และให้นำกากมาพอกบริเวณที่มีอาการปวด เมล็ด)[๑] ๔๓.ผลมีสรรพคุณช่วยขับน้ำนมของสตรีที่มีน้ำนมน้อยหลังการคลอดบุตร หรือจะใช้ใยผล รังบวบ) ที่เผาเป็นถ่านแล้ว นำมาบดให้เป็นผงผสมกับเหล้ากินก็ได้ แล้วห่มผ้าห่มให้เหงื่อออกด้วย ผล,ใยผล)[๑]
หมายเหตุ : จากหนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย ของ ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม ได้ระบุไว้ว่า บวบเหลี่ยมมีสรรพคุณเหมือนกับบวบกลม บวบหอม) ผู้เขียนจึงได้นำสรรพคุณของบวบกลมในหนังสือดังกล่าวมาเขียนไว้ตาม [๑] แต่อย่างไรก็ตามบวบที่นิยมนำมาใช้เป็นยาสมุนไพรนั้น จะนิยมใช้บวบกลมมากกว่า [๑]
ข้อมูลทางเภสัชวิทาของบวบเหลี่ยม • ในเมล็ดมีสารไขมันอยู่ประมาณ ๓๗.๕% มีโปรตีนประมาณ ๓๓.๔% และประกอบไปด้วยกรดอะมิโน และเมล็ดบวบที่มีรสขมจะมีสาร Cucurbitacin B ๐.๑๒%, น้ำมันประมาณ ๑๘.๔%, กรดไขมันไม่อิ่มตัวประมาณ ๘๐.๓%, กรดไขมันอิ่มตัวประมาณ ๑๙.๓๔% unsaponified matters ๑.๕% กรดไขมันได้แก่ Oleic acid, Palmitic acid, Stearic acid, Linoleic acid, และมี Lignoceric acid อีกเล็กน้อย [๑] • เมล็ดบวบเหลี่ยมที่มีรสขมจะมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน มีฤทธิ์เป็นยาระบาย ทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรงเนื่องจากมีสาร Elaterin ที่ทำให้ถ่าย ส่วนรากก็มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายเช่นกัSaponins) มีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจกบ คล้ายกับดิยิลลิส Digitalis) ซึ่งสามารถย่อยเม็ดเลือดแดงสุนัขและเป็นพิษต่อปลาเป็นอย่างมาก และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากเมล็ดบวบที่มา (ภาพ-ข้อมูล) : facebook คุณ Sornchai Thaimongkolratขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
|