[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 08:20:46 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุฒาจารย์(มา) อดีตสมภารวัดสามปลื้ม  (อ่าน 1277 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2319


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 มีนาคม 2560 16:03:27 »





พระพุฒาจารย์(มา) อดีตสมภารวัดสามปลื้ม

เมื่อปีพ.ศ.2345 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สถาปนา "วัดสามปลื้ม" เป็นพระอารามหลวง พร้อมพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดจักรวรรดิราชาวาส"

วัดแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองในด้านการศึกษาภาษาบาลี ถึงขั้นได้รับการยกย่องว่า "วัดสามปลื้มเป็นคลัง พระปริยัติ" เป็นคำนิยมที่เคียงคู่ไปกับนามของ พระพุฒาจารย์ (มา อินทสโร) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า "ท่านเจ้ามา"

พระเถระรูปเอกในฝ่ายกรรมฐาน ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชศรัทธา

พระพุฒาจารย์ (มา อินทสโร) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส รูปที่ 7 เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ เจ้าคณะอรัญวาสี มีสมณศักดิ์เสมอเป็นเจ้าคณะรอง

ท่านเกิดในย่านชุมชนชาวจีน ที่บ้าน ต.บ้านข้าวหลาม อ.สำเพ็ง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2380 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 (ตามจารึกที่ฐานรูปหล่อเป็นวันที่ 13 เม.ย.2380)

บิดาชื่อ "ทองอยู่" มารดาชื่อ "แช่ม" ช่วงเยาว์วัยถึงวัยหนุ่มไม่มีการบันทึกประวัติชีวิตและการศึกษา

ทราบแต่เพียงชีวิตบนเส้นทางธรรมเริ่มต้นเมื่อวัยเบญจเพส อุปสมบทที่วัดจักรวรรดิฯโดยมีพระอาจารย์นอง วัดจักรวรรดิฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, เจ้าอธิการแบน วัดมักกะสัน (วัดดิศหงษาราม) เป็นพระกรรมวาจา จารย์ และพระอาจารย์ทอง วัดมักกะสัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า อินทสโร แปลได้ว่า ผู้มีเสียงเหมือนพระอินทร์

ภายหลังอุปสมบทเรียนวิปัสสนาธุระ และ ไปเที่ยวธุดงค์แทบทุกปีเป็นนิตย์ จนได้เป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนาธุระอยู่ในวัดจักรวรรดิฯ เรียกกันว่า "พระอาจารย์มา" ในสมัยรัชกาลที่ 4

อายุ 34 ปี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระปลัด ฐานานุกรมของ พระวรญาณมุนี ซึ่งต่อมาได้เป็นพระราชาคณะที่พระโพธิวงศาจารย์ (เส็ง) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิฯ รูปที่ 6

พ.ศ.2432 ขณะอายุ 53 ปี พรรษา 28 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งเป็น "พระครูภาวนาวิจารณ์" ตำแหน่งพระครูพิเศษ

ถัดมาอีก 3 ปี เมื่อทรงโปรดให้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองของโบราณ ซึ่งได้มาจากเมืองพุทธคยา ในมัชฌิมประเทศที่ยอดเขาพระจุลจอมเกล้า ณ เกาะสีชัง ท่านเข้ามาได้เป็นเรี่ยวแรงในการสร้างเหรียญรอยพระพุทธบาท สำหรับแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล

จึงทรงตั้งเป็นราชาคณะที่ "พระมงคลทิพยมุนี" ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองสมุทรปราการ เป็นผู้รักษารอยพระพุทธบาทจำลอง

ทั้งยังโปรดให้เป็นผู้ดูแลพระพุทธบาท สระบุรี พร้อมกับพระราชทานตาลปัตรแฉกประดับพลอยเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ และพระราชทานตาลปัตรแฉกพื้นแพรปักทองขึ้นเสมอด้วยพระราชาคณะชั้นธรรม

พ.ศ.2456 อายุ 77 ปี พรรษา 52 รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานหิรัญบัฏเลื่อนชั้นเป็น "พระพุฒาจารย์" พระราชาคณะผู้ใหญ่

พระพุฒาจารย์เป็นสมณศักดิ์พระราชาคณะยก ไม่มีเปรียญ ซึ่งมีจำนวนน้อยรูป ที่จะได้รับพระราช ทาน

ด้วยท่านเป็นพระเถระที่เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระและนวกรรม นับแต่ยังเป็นภิกษุหนุ่มจนถึงมรณภาพ จึงเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยในรัชกาลที่ 6 โปรด แต่งตั้งเป็นพิเศษ

ผู้ที่เคารพนับถือมีตั้งแต่ระดับเชื้อพระวงศ์ เจ้านาย ขุนนาง ตลอดลงมาถึงประชาชนทั่วไป บุคลิกลักษณะของท่านน่าเกรงขาม รูปกายสูงใหญ่ แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความมีคุณธรรม มีเมตตากรุณา อีกทั้งมีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี

ชีวิตของท่านดำเนินไปด้วยผลงาน ทั้งที่ปรากฏออกมาในด้านพระศาสนา และความศักดิ์สิทธิ์

งานอันยิ่งใหญ่ของท่านคือ การสร้างสรรค์ปูชนียวัตถุสำคัญไว้ที่วัดจักรวรรดิฯ โดยเป็นหัวหน้าสร้างพระพุทธบาทจำลองขึ้น จนถือเป็นประเพณีจัดให้มีงานนมัสการกลางเดือน 3 เป็นนักขัตฤกษ์ประจำปีมาจนทุกวันนี้

ในการจัดงานครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรแล้วทรงมีพระราชศรัทธาโปรดให้สร้างมณฑปน้อย ครอบสวมรอยพระพุทธบาทจำลอง พระราชทานเป็นพุทธบูชา

นอกเหนือจากงานสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ทางด้านการศึกษาทางศาสนา ก็ปรากฏว่าในยุคสมัยการปกครองของท่านอุดมไปด้วยพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางสมถวิปัสสากรรมฐานและผู้ทรงความรู้พระไตรปิฎกถึงขีดสูง หลายต่อหลายรูป

ในด้านวัตถุมงคล ท่านจะสร้างในโอกาสสำคัญ และปลุกเสกด้วยตนเอง เป็นพระเครื่องแบบพระพุทธรูปขนาดเล็ก เนื้อทองผสมคล้ายขันลงหิน อมเหลืองและแดงประมาณ 10 กว่าพิมพ์

ในช่วงบั้นปลายท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคลมแน่นเสีย และมรณภาพเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2457 สิริอายุ 77 ปี 1 เดือน 22 วัน พรรษา 52

ท่านเจ้ามามีชีวิตยืนยาวอยู่ถึง 4 แผ่นดิน ชื่อเสียงถูกกล่าวขวัญคู่วัดจักรวรรดิฯ ด้วยคุณูปการที่สร้าง สรรค์ไว้อย่างเป็นเลิศ

อริยะโลกที่ 6


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.263 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 31 มกราคม 2567 05:39:03