[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 03:24:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน  (อ่าน 2005 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5075


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 เมษายน 2553 08:21:18 »


 
ทำไม?   ศาสนากับวิทยาศาสตร์ถึงพูดจากันไม่ได้?  ทั้งๆ  ที่ทั้ง  2  วินัยต่างก็อธิบายธรรมชาติด้วยกันว่าคืออะไร?  ทำงานอย่างไร?  และทำไมถึงมีธรรมชาติขึ้นมาในโลก?   บทความวันนี้จะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม  ซึ่งความรู้สึกและประสบการณ์ที่เรามีขึ้นมาตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วค่อยๆ  สะสมปรากฏการณ์มาตลอดเวลาในอดีต  นั่นคือมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง   เมื่อมนุษย์ละทิ้งต้นไม้และป่าเขา  มาอยู่ที่ราบและลุ่มน้ำ   นั่นคือความรู้สึกอันแรกสุดของมนุษย์ที่กลายเป็นความเชื่อหรือความรู้ในตอนนั้น  แต่ถ้าหากเรามองดูเรื่องทั้ง  2  ในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและรอบด้านก็จะพบว่ามนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์เดียวท่ามกลางสัตว์ที่มากหลายนับเป็นล้านๆ  เผ่าพันธุ์  -  ที่เรารู้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติก็เป็นสัตว์ที่ได้มีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชีวิตมาจนถึงจุดสุดยอดที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงหลากหลายเหล่านั้น  -  เพียงเพราะอย่างเดียวโดดๆ  นั่นคือ  มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวหรือเผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ว่าตนมีจิตของตนแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่  -  จิตรู้เพราะ  -  ตนคือผู้ที่รู้นั้น

     ผู้เขียนไม่ได้และไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา   หรือเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องอะไรๆ  ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตน  หรือศาสนาที่ตนนับถืออยู่  ไม่ว่าศาสนาอะไร   รวมทั้งพุทธศาสนา   แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไทยผู้ที่นับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่าตนรู้จักพุทธศาสนาดีหรือเป็นพุทธมามกะเหล่านั้นจะรู้จักแก่นแกนที่แท้จริงของพุทธศาสนาสักกี่เปอร์เซ็นต์   หรือมีจำนวนเท่าใด  ซึ่งซีดีของหลวงพ่อปราโมช  ครูผู้สอนวิปัสสนาสมาธิบอกว่า  ไม่รู้ว่าทั่วประเทศไทยจะมีถึงหมื่นๆ  คนหรือไม่?

     ที่หลวงพ่อปราโมชกล่าวมานั้นสำคัญทีเดียว  นั่นแปลว่าผู้นับถือพุทธของบ้านเราที่มีมากกว่า  50  ล้านคน  ล้วนแล้วแต่  -  หากไม่ใช่เพราะเกิดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มากๆ  นับถือพุทธ  ฉะนั้นจึงเป็นพุทธอยู่แล้ว  ต้องถือว่าอย่างดีก็รู้จักแต่กระพี้ของพุทธศาสนา  ดี  -  ไม่ดี  -  รู้จักแต่อะไรก็ไม่รู้?!  -  เพราะฉะนั้น  ที่อ้างกันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้รู้พุทธศาสนาเป็นอย่างดี   แต่ความจริงแล้วบ้านเราล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นไปเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ  หรือไม่ก็มีแต่ผู้ที่มีความงมงายไสยศาสตร์ปราศจากแก่นแกนของศาสนาเลยแม้แต่น้อย  อย่าลืมว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เกิดมาในลัทธิพระเวทกับลัทธิก่อนพระเวท  (pre-vedic  culture)  ที่มีมาก่อนพุทธศาสนานานนับเป็นพันๆ  ปี  และลัทธิพระเวท  -  ก่อนพระเวทที่มีมาก่อนนานนักหนานั้น  มีอยู่  2  ส่วน  คือ  พรหมนาส  (brahmanas  หรือวิถีชีวิตในบ้านในเมือง)  กับอรัญยากา  (aranyaka  หรือวัฒนธรรมในป่าในเขา)  ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง  ได้แก่  พรหมนาสทั้งหมดและอรัญยากาส่วนน้อยนิด  ซึ่งด้วยกาลเวลา  -  ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาพราหมณ์อันประกอบด้วยพิธีกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่มากๆ   ได้ทำให้นักปรัชญาปัญญาชนและนักคิดของอินเดียทั้งหลายในตอนนั้นอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธองค์ก่อนที่จะได้บรรลุนิพพาน   บรรดานักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงเชื่อว่าต้องแสวงหาความจริงที่แท้จริง  -  ของธรรมชาติที่มองเห็น  เช่น  จักรวาล  โลก  ภูเขา  และวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง  กับธรรมชาติที่มองไม่เห็น  เช่น  จิต  จิตวิญญาณ  พระเจ้าและเทพเทวดาอีกอย่างหนึ่ง  ล้วนอีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง  ได้แก่  อรัญยากา  หรือการปฏิบัติตามป่าตามเขา  ซึ่งนักคิดนักปรัชญาสนใจมากกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงแท้  ด้วยวิธีการภายในท่ามกลางความสงบของธรรมชาติของป่าของเขา  (การทำสมาธิ)  หรืออรัญยากาอันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริงๆ  อาจสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้  อรัญยากาและการทำสมาธิหรือโยคะจึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่แท้จริงและหลุดพ้นได้  อรัญยากาที่เน้นเฉพาะการทำสมาธิสู่การหลุดพ้น  (transcendence)  หรือตรัสรู้  (enlightenment)  จึงยังคงเป็นวิถีปฏิบัติของทุกศาสนาที่เกิดจากลัทธิพระเวท  รวมทั้งศาสนาพราหมณ์  เช่น  ของมหาวีระ  และพุทธศาสนา  ฯลฯ

 
     คัมภีร์  หรือฤคเวททั้ง  4  เวท  และอุปานิษัทที่ตามมาของลัทธิพระเวท  (ที่พัฒนามาเป็นศาสนาพราหมณ์สายตรง)   ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ได้มาจากปรัชญาบวกกับญาณ   หยั่งรู้   (intuition  หรือปัญญาในทางศาสนา  อันหมายถึง  ภาวนามัยปัญญาที่เป็นพื้นฐานของ  wisdom)  บวกกับความเชื่อศรัทธาและพิธีกรรมของพระเจ้าผู้สร้างตามพรหมนาส  -  ที่นับวันก็ยิ่งมีมากมายยิ่ง  จนกระทั่งนักคิดนักปรัชญาหลายๆ  คนอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว  -  เรารู้มาว่าในสมัยที่พระพุทธองค์ก่อนจะได้หลุดพ้นและการตรัสรู้นั้น  พระองค์ได้ทรงศึกษาลัทธิพระเวททั้งหมด  รวมทั้งอุปานิษัท  (ที่มีอยู่ในสมัยนั้นเพียง  5  เล่ม  และเขียนเสร็จในช่วงต่อมาในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่อีก  3  เล่ม  อย่างช่ำชองยิ่ง)  และจากที่พระองค์ได้ศึกษามาทั้งลัทธิพระเวทและจากคัมภีร์และหนังสือทั้งของอินเดียโบราณและจากที่อื่นๆ  เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น  พระองค์จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในความรู้ทั้งหมดของโลกอย่างแท้จริง  สมกับสมญานามที่ทุกๆ  คนเรียกหาพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูชนของโลก

     ไม่มีใครรู้ว่า  ใครที่อินเดียเป็นผู้เขียนหรือรวบรวมลัทธิพระเวท  และโดยเฉพาะวัฒนธรรมก่อนพระเวท   (pre-vedic  culture)  มาจากไหน?  หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่น่าจะเอามาคิดต่อ  มีว่าวัฒนธรรมก่อนพระเวทไม่ได้มาจากเอเชียกลางหรือเผ่าอารยัน  แต่มาจากแอฟริกา  มาตั้งแต่ทะเลอาหรับยังเป็นพื้นดิน  ซึ่งหมายความว่าเมื่อความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็ง  (ice-age)  ครั้งสุดท้ายถึงจุดสูงสุด  เมื่อแผ่นดินอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงกว่า  400  ฟุต  เมื่อ  18,000  ปีก่อน  ซึ่งเป็นช่วงก่อนตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านช่องของมนุษย์ตามที่นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์เชื่อ

     ก่อนไอน์สไตน์  -  กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความของวันนี้  คือ  ไบรอัน  กรีนแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  กับมิชิโอะ  กากุแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยา  ต่างกรรมต่างวาระกัน  (2004  and  2005)  ทั้ง  2  คนต่างก็ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ  คนละเล่มเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่  ทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และมิติของจักรวาล  เพราะฉะนั้นก่อนไอน์สไตน์ไปหลายพันปี  ศาสดาของลัทธิพระเวทได้บอกกับเราตลอดมาว่า  จักรวาลมีกลุ่มของมิติ  (หรือภูมิ  หรือชั้นของชีวิต  หรือที่ว่างของการดำรงอยู่)  ออกเป็นกลุ่มๆ  โดยมีมิติเกี่ยวกับสถานที่หรือที่ว่างโดยตรง  3  กลุ่ม  และมิติที่เวลาเกี่ยวกับอย่างน้อยอีก  3  กลุ่ม  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทเหมือนกัน   เรา - ท่านและผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาทุกๆ  คนรู้ดีว่าภูมิหรือระดับจิตหรือขั้นของชีวิตจิตรู้นั้นจะประกอบด้วยกลุ่ม  6  กลุ่ม  ดังนี้คือ  อบายภูมิ  (4)  มนุสสภูมิ  (1)  สวรรค์ขั้นต่ำ  (6)   รูปพรหม  หรือสวรรค์ชั้นสูง  (16)  สุทธาวาส  (1)  อรูปพรหม  (4)  เราจะเห็นว่ามนุษยภูมิซึ่งก็คือภูมิ  (หรือมิติแห่งกายกับระดับจิตรู้  ซึ่งเป็นความรู้หรือจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  ที่สุด  และยอมรับกันจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เพียง  10  ปีมานี้เอง)  ภูมิในวิชาจิตวิทยานั้น  ผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับชั้น  (stages)  หรือระดับของจิตของชีวิต  หากคิดเช่นนั้น  มนุษย  (มนุสส)  ภูมิ  คือภูมิซึ่งอยู่ระหว่างนรก  (อบาย)  กับสวรรค์  และมนุษยภูมิจะมีความเป็นพิเศษอยู่ที่เป็นมิติทางจิตเพียงภูมิหนึ่งเดียวที่มนุษย์โลกมีหนทางเลือกและเตรียมตัว  (intentional  choice)  ที่จะเลือกหนทางไปนรกหรือสวรรค์  หรือไปสู่มิติที่สูงกว่านั้น  -  ไปตามกรรมของตน  -  มิติของโลกหรือจักรวาลที่มีมนุษย  (1)  นรก  (4)  และสวรรค์  (6)  นั้นจะเป็นมิติที่สัตว์โลกมีรูปร่างกายภาพที่  (physical  ที่มี  space   occupying   property)  ซึ่งทางพุทธเรียกว่า  กามาวจรภูมิ  ซึ่งมิติหรือภูมิเหล่านี้   (ยกเว้นนรกที่เป็นเรื่องของจิต)  จะมีวิวัฒนาการของกายกับจิต  หรือมีมิติของทั้งที่ว่างกับเวลาทั้ง   2  มิติ  ส่วนมิติที่  4  หรือสวรรค์ชั้นสูงภูมิแห่งรูปพรหม  (16)  มิติที่  5  สุทธาวาส  (1)  และมิติที่  6  (4)  เป็นมิติของเวลา  หรือมิติอื่นๆ  ที่ลัทธิพระเวทไม่ได้พูด  จะเป็นมิติแห่งเวลา  (time)  เท่านั้น                                                                                                         
     น่าสนใจที่ศาสนาแห่งลัทธิพระเวทที่ตรงกับพุทธศาสนา  -  ตามที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าสวรรค์และนรกมีจริงๆ  -  ว่าในมิติที่มีมนุษย์ภูมิลงมาจะเป็นสถานที่ที่เป็นมิติหรือภูมิจะมีแต่วิวัฒนาการทางกายต่อเนื่องหรือชีววิทยา  เพราะฉะนั้น  มิติที่สูงกว่านั้นหรือจากสวรรค์ชั้นหรือรูปพรหมทั้
ง  16  ชั้น  สุทธาวาส  และอรูปพรหมอีก  4  ชั้น  จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  จึงไม่จำเป็นต้องมีมิติของ  ที่ว่าง  (space)  ฉะนั้น  ภูมิหรือมิติที่อยู่สูงกว่าที่กล่าวมานั้น   รวมทั้งที่กล่าวก่อนบรรทัดสุดท้ายว่าต่างเป็นมิติที่มีแต่เวลาอย่างเดียวนั้นจึงล้วนแล้วแต่ไมมีรูปร่างกายภาพ   (physical)   แบบที่เราคิดและรู้จักเลยด้วย  แม้แต่ในชั้นที่เรียกว่า  รูปพรหม   (16)  ก็เป็นเช่น  นั่นก็คือ  ชั้นของสวรรค์ชั้นสูงหรือรูปพรหม  (16)  และชั้นสุทธาวาส  (1)  จะประกอบด้วยแสงที่มีรูปประดุจดาว  (astral)  ที่มีรัศมีน้อย  คืออยู่กับดาวดวงนั้นเท่านั้น  โดยไม่ได้แผ่กระจายสู่ที่ว่างที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย  มิติที่  6  หรืออรูปพรหมจะมีแสงที่มีรัศมีมากไปทั่วที่ว่างของภูมินั้น  ชั้นต่างๆ  ทั้งหมดจึงเป็นมิติที่มีแต่วิวัฒนาการ  ทั้งกายและจิตที่ต่อเนื่อง  (ระหว่างภพภูมิต่างๆ  ของชีวิต)  ซึ่งในชั้นสูงจะมีแต่วิวัฒนาการเฉพาะจิตวิญญาณ  (spirituality)  ที่ไล่ต่อๆ  ไปถึงนิพพานการตรัสรู้อันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตและจักรวาล


     ลัทธิพระเวทบอกว่า   มิติที่  4  จะเป็นมิติของจิตยามฝันที่ตัวเองจะมีความรู้เหนือธรรมชาติอย่างล้ำลึก  และสามารถจะแยกตัวเองเป็น  2  ร่างไปไกลขนาดไหนก็ได้  ทั้งยังมองเห็นได้ไกลเป็นปีที่แสงเดินทางได้ด้วยตาที่   3  เหมือนกับพระอินทร์ส่องดูโลกด้วยกล้องทิพยเนตร  ส่วนมิติที่  5  จะเหมือนกับอยู่กับโลกในระหว่างที่เราฝันและความหลับลึก  พร้อมกับมีความสามารถมองเห็นกาลเวลาที่ห่างไกลได้  และสามารถติดต่อกับมิติต่างได้ด้วยจิต  มิติที่  5  จึงไม่ต้องมีภาษาใช้   ส่วนมิติที่   6  เป็นมิติที่มีอัตตาอหังการแยกออกไปอยู่ต่างหาก  ทำให้รู้จริงๆ   ว่าที่แท้นั้น  แม้แต่อัตตาตัวตนอหังการก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนจริง


     ในทางวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น  ทฤษฎีสตริง  ซูเปอร์สตริง  และสุดท้าย  เอ็ม-ธีออรี่  (M-theory)   ซึ่งได้มาจากสตริงธีออรี่หนึ่งเดียวกัน  จึงได้เกิดมีจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ขึ้นมา  และยอมรับกันเพียงไม่ถึง   10  ปีมานี้เอง  หรือพูดง่ายๆ  ก็คือ  ภายในสหัสวรรษนี้  นั่นคือ  "ทฤษฎีที่อธิบายทุกๆ  สิ่ง  ทุกๆ  อย่าง"  (theory  of  everything)  ซึ่งก็คือแรงที่รวมแรงทั้ง   4  แรงให้เป็นหนึ่งเดียว  (grand  unified  theory)  ที่นักฟิสิกส์ค้นหามานานนักหนา  รวมทั้งอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  และสตีเฟน  ฮอว์กิง  ทฤษฎีซูเปอร์สตริงบอกว่า  สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคลื่นอนุภาค  เช่น  อิเล็กตรอน  ควาก  นิวตริโนส์  ฯลฯ  ซึ่งในสภาพหนึ่งเป็นอนุภาคหรือมีลักษณะที่เป็นจุดนั้น  หากแยกต่อไปโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  (ซึ่งมีเพียงแต่ทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว  เพราะว่าในปัจจุบันนี้  ความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบทางห้องทดลองยังล้าหลัง  การทดสอบทางห้องวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้)  มันก็จะพบว่ามันแทนที่จะเป็นจุด  มันกลับกลายเป็นสายสตริงที่เล็กละเอียดมาก  -  เพราะเล็กกว่าอะตอมถึง  3  เท่า -  ที่สั่นระรัว  (vibration)  การสั่นระรัวสั่นสะเทือนแต่ละรูปแบบเหมือนกับโน้ตดนตรีที่จะให้อนุภาคแต่ละตัวออกมา  จักรวาลจึงเป็นดุจการประสานเสียง  (harmony)  ของดนตรีที่มีแต่ไวโอลิน  (หรือ  strings)  มากมาย  หรือเป็นซิมโฟนีเราดีๆ  นี่เอง  และโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  หรือเอ็ม-ธีออรี่   (M = membrane  หรือหนังที่ขึงหน้ากลอง)  ที่อธิบายเพิ่มเติมว่า   จักรวาลนั้นไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียวคือจักรวาลของเราเท่านั้น  แต่ยังมีจักรวาลอื่นๆ  เยอะแยะไปหมด  (pleuniverses  or  multiverses)  ซ้อนๆ  กับจักรวาลของเรา  เพียงห่างไปเป็นมิลลิเมตรเท่านั้น  แต่เรามองไม่เห็น  เพราะต่างมิติกัน  และทฤษฎีซูเปอร์สตริงยังบอกต่อไปว่า  -  ประหนึ่งเป็นการยืนยันลัทธิพระเวท  -  อาจจะมีทั้งหมด  10  (หรือ  11  มิติของที่ว่างบวก  1  มิติของเวลา)  โดยมิติยิ่งสูงยิ่งสั่นระรัวน้อยจนกระทั่งถึงมิติที่  10  (11)  ถึงจะไม่มีการสั่นหรือแทบจะไม่มีการสั่นเลย   เพราะมิตินั้นคือมิติที่วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ
ได้มาถึงจุดสูงสุด   หรือคือนิพพานนั่นเอง  (มีชิโอะ  กากุ)  จากทฤษฎีสตริงและจากลัทธิพระเวท  -  สำหรับผู้เขียน  -  เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า  มิติยิ่งต่ำจะมีการสั่นสะเทือนมาก  และอบายภูมิคือสิ่งที่กล่าวมานั้น   ในขณะที่มิติยิ่งสูงยิ่งจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณหรือมีการสั่นน้อยลงๆ  และความ  หยาบหรือรูปกายวัตถุ  ก็จะยิ่งน้อยลงด้วย  ด้วยการมองเห็นได้จากสวรรค์ชั้นสูงกับสุทธาวาสและอรูปพรหมจนถึงนิพพาน.
 
http://www.thaipost.net/sunday/110410/20664

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 เมษายน 2553 11:22:12 »




 ยิ้ม   ยิ้ม   ยิ้ม
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1998 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2051 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : เพราะตามฝรั่ง-จึงโง่ติดแต่รูปกายวัตถุ
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 1493 กระทู้ล่าสุด 16 พฤษภาคม 2553 13:17:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : สภาวะจิตวิญญาณคือแก่นในของทุก ๆ ศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 3 3965 กระทู้ล่าสุด 05 มิถุนายน 2553 10:57:37
โดย หมีงงในพงหญ้า
ความทรงจำนอกมิติ : ถึงเวลาที่ต้องยุติระบบต่างๆ ทางสังคมที่ผิด
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 7159 กระทู้ล่าสุด 03 มิถุนายน 2553 08:32:19
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.468 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มกราคม 2567 21:06:46