[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 09:12:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: 'ปลาทู' หนึ่งในเมนูคู่ครัวไทย  (อ่าน 2445 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 27 เมษายน 2560 11:19:06 »


ภาพจาก : site pasusat.com

'ปลาทู' หนึ่งในเมนูคู่ครัวไทย

หนึ่งในเมนูคู่ครัวไทย มีปลาทูเป็นดาราชูโรง นับเป็นปลาที่ผูกพันสนิทกับวิถีชีวิตคนไทย ด้วยเป็นอาหารทะเลหลักมาช้านาน ปลาทูเป็นปลาทะเลที่อยู่ในสกุล Rastrelliger วงศ์ Scombridae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับปลาโอ ปลาอินทรี และปลาทูน่า ชื่อภาษาอังกฤษคือ chub mackerel ในน่านน้ำไทยพบทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ ปลาทู หรือ ปลาทูสั้น (Rastrelliger brachysoma) เป็นชนิดที่นิยมบริโภคมากที่สุด, ปลาทูปากจิ้งจก (Rastrelliger faughni) และ ปลาลัง หรือ ปลาทูโม่ง (Rastrelliger kanagurta)

มีประวัติด้วยว่า ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้จ้าง ดร.ฮิว แมกคอร์มิก สมิธ นักมีนวิทยาชาวอเมริกัน (มีนวิทยา-Ichthyology เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปลา) มาเป็นที่ปรึกษากรมรักษาสัตว์น้ำ(กรมประมงในปัจจุบัน) เพื่อสำรวจพันธุ์ปลาต่างๆ ในประเทศไทย โดยมี หลวงมัศยจิตรการ(ประสพ ตีระนันทน์) เป็นผู้ช่วยและวาดภาพปลา ท่านผู้นี้เป็นผู้วาดภาพปลาทูภาพแรกในประเทศไทย โดยในพ.ศ.2468 ไทยนำเรืออวนตังเกจากจีนมาใช้และทำให้จับปลาทูได้มากจนมีเหลือทำเป็นปลาทูเค็มส่งไปขายต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ภาษาอินโดนีเซียเรียกปลาทูเค็มว่า Ikan Siam

พ.ศ.2503 รัฐบาลไทยนำเครื่องมืออวนลากจากเยอรมนี ตะวันตกมาใช้ และเมื่อมีประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกทำให้การประมงขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งจำนวนปลาทูในอ่าวไทยลดจำนวนลง ทั้งนี้ ในอดีตเชื่อกันว่าปลาทูที่จับได้ในอ่าวไทยมาจากเกาะไหหลำ แต่ปัจจุบัน พบว่าปลาทูเกิดในอ่าวไทยนี่เอง และปัจจุบันกรมประมงก็เพาะขยายพันธุ์ปลาทูในระบบปิดได้สำเร็จแล้ว

ปลาทูมีลำตัวแป้น ยาวเพรียว ตาโต ปากกว้าง จะงอยปากแหลม เกล็ดเล็กละเอียด มีม่านตาเป็นเยื่อไขมัน บนขากรรไกรมีฟันซี่เล็กๆ มีซี่เหงือกแผ่เต็มคล้ายพู่ขนนก มีครีบหลัง 2 อัน ครีบหลังอันแรกมีก้านแข็ง ส่วนอันหลังก้านครีบอ่อน ครีบท้องมีก้านครีบแข็ง 1 อัน ครีบอกมีฐานครีบกว้างแต่ปลายเรียว สีตัวพื้นท้องสีขาวเงิน บริเวณที่ชิดโคนครีบหลังตอนแรกมีจุดสีดำ 3-6 จุดเรียงอยู่ 1 แถว ผิวด้านบนหลังมีสีน้ำเงินแกมเขียว ช่วยพรางตัวให้พ้นจากศัตรู มีความยาวประมาณ 14-20 เซนติเมตร

ปลาทูอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ในน่านน้ำที่เป็นทะเลเปิด ได้แก่ อินโด-แปซิฟิก อ่าวไทย ทะเลอันดามัน ทะเลจีนใต้ และทะเลญี่ปุ่น โดยอาศัยใกล้ฝั่งที่มีสภาพน้ำลึกไม่เกิน 30 เมตร มีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 17 องศาเซลเซียส หากินในเวลากลางคืน กินอาหารจำพวกแพลงตอนและสัตว์น้ำขนาดเล็ก วางไข่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ไข่ของปลาทูเป็นแบบไข่ครึ่งจมครึ่งลอยน้ำ มีหยดน้ำมันและถุงไข่แดงเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับระบบร่างกาย ไข่มีขนาดประมาณ 0.80-0.96 มิลลิเมตร ใช้ระยะเวลาในการฟักประมาณ 16-17 ชั่วโมง ถุงไข่แดงของลูกปลาเริ่มยุบและหมดไปภายใน 3 วัน

ปลาทูนำมาเป็นอาหารไทยทั้งในรูปแบบปลาทูสดและปลาทูนึ่ง วางขายในภาชนะที่เรียกว่า เข่งปลาทู ที่ยอดนิยมคือนำมา ทอดรับประทานคู่กับน้ำพริกกะปิ หรือทำเป็นน้ำพริกปลาทู ส่วนปลาทูสดนิยมนำมาทำเป็นต้มยำปลาทู เนื้อปลาทูมีคุณค่าทางอาหารมากมาย ได้แก่ กรดไขมันโอเมกา-3 ที่มีค่อนข้างมาก ในเนื้อปลาทู 100 กรัมมีกรดไขมันโอเมกา-3 ราว 2-3 กรัม ทั้งยังมีกรดไลโนเลอิก ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด ลดความหนืดของเลือด ทำให้ความข้นในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ช่วยลดอาการโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตีบ และมีกรดโคโคซาเฮ็กชิโนอิก(ดีเอชเอ) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมอง

ในประเทศไทย แหล่งที่ได้ชื่อว่ามีปลาทูชุกชุมและรสชาติอร่อยแห่งหนึ่งคืออำเภอเมืองสมุทรสงคราม ปลาทูจากที่นี่มีชื่อเรียกว่า ปลาทูแม่กลอง ส่วนหน้ามีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ลำตัวสั้นแบน สีเงินหรืออมเขียว ตาดำ เนื้อแน่นแต่นุ่ม เมื่อกดลงไปที่ตัวปลาเนื้อปลาจะกลับคืนสภาพเดิมไม่บุ๋มลงไปตามรอยแรงกด รวมทั้งมีเอกลักษณ์สำคัญที่เรียกว่า "หน้างอ คอหัก"



ภาพจาก : f.ptcdn.info


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 เมษายน 2560 11:20:42 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ทำไม? ปลาทู..รสชาติดี ต้องที่แม่กลอง
เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
Kimleng 1 2415 กระทู้ล่าสุด 04 กันยายน 2555 22:19:14
โดย หมีงงในพงหญ้า
ต้มกะทิสายบัว ปลาทู-ปูเค็ม สูตร/วิธีทำ
สุขใจ ในครัว
Kimleng 0 310 กระทู้ล่าสุด 04 พฤศจิกายน 2565 20:32:09
โดย Kimleng
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.293 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มีนาคม 2567 14:58:26