[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 04:39:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน‏  (อ่าน 3950 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 25 เมษายน 2553 17:15:36 »




พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน‏

ในยุคปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๕๒) พระพุทธศาสนา ทั้งเถรวาท, มหายาน และวัชระยาน แตกแขนงออกไปมากมาย หลายพวกหลายเหล่า

ซึ่งในข้อเท็จจริง การแตกแขนงนี้ มีมาแต่โบราณ บางสำนักก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน โดยบางส่วนปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บางส่วนคงรูปแบบและคำสอนเดิมไว้ แต่โดยมากมากกว่าร้อยละ ๙๐ สูญสลายไปตามกาลเวลา

สำหรับประเทศไทย ฝ่ายเถรวาท แตกออกเป็นสายเล็กสายน้อย วัดนั่นวัดนี่ สำนักนั่นสำนักนี่ หลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่

ฝ่ายมหายานและวัชระยานก็เช่นเดียว สารพัดสำนัก ดั้งเดิมก็เต๋าปนพุทธ – พุทธปนเต๋า– พราหมณ์ปนพุทธ – พุทธปนพราหมณ์ ในขณะที่ในปัจจุบันเจ้าพ่อเจ้าแม่ ร่างทรงเต็มไปหมด บางสำนักเป็นสาขามาจากต่างประเทศอาทิเช่น ญี่ปุ่น, จีน,ไต้หวัน, เกาหลี, เวียดนาม, ทิเบต ฯลฯ

บางสำนักก็ตั้งเจ้าสำนักเป็นอวตารของเทพเจ้า เป็นนิรมาณกายของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ บางก็อวดฤทธิ์อวดวิเศษ ว่าตนมีความสามารถเหนือมนุษย์ บ้างก็ว่าตนสามารถติดต่อเทพเจ้า,พระพุทธเจ้า, และพระโพธิสัตว์ได้ ในด้านคำสอนก็แต่งคัมภีร์ขึ้นมาใหม่ แต่งเองอธิบายเอง หาคำศัพท์แปลกๆ มาใช้ในสำนัก ทั้งยังมีการแต่งกายแปลกๆ ผิดจากคนทั่วไป ขณะที่บางสำนักที่มีกำลังทรัพย์ และกำลังศรัทธาของคนมาก ก็เริ่มที่จะขยายฐานเข้าไปสู่อำนาจทางการเมือง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 25 เมษายน 2553 17:23:19 »




ในยุคปลายพระพุทธศาสนา ขณะที่วัตถุเจริญแต่จิตใจคนตกต่ำ ด้านหนึ่งคนแก่งแย่งแข็งขัน เพื่อให้ได้มาเพื่อให้ครอบครองซึ่งวัตถุ, ทรัพย์สิน,ชื่อเสียง, อำนาจ ฯลฯ ก่อบาปสร้างกรรมเป็นอันมาก

อีกด้านหนึ่งคนเกิดความว้าเหว่ทางจิตใจ ต้องการหาที่พึ่ง แต่หลายต่อหลายครั้ง ที่ต้องหลงทิศผิดทางเพราะไปพบที่พึ่ง อันไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม หลายคนนับถือมากมายหลายศาสนา และลัทธิต่างๆ แต่เอาดีไม่ได้ซักอย่าง

บ้างก็เอาคำสอนในศาสนาต่างๆซึ่งแตกต่างกัน มาผสมผสานกัน อธิบายแบบตีขลุม ใส่ความคิดและจินตนาการของตนเข้าไป ผนวกกับการขาดความรู้และเข้าใจในเนื้อหาของศาสนาอย่างแท้จริง จึงทำให้มีความเห็นที่ผิดพลาด และยิ่งถ้าจิตใจหนาแน่นไปด้วยความโลภ,โกรธ,หลงด้วยแล้ว นั่นย่อมเป็นอันตรายต่อตนเอง และคนอื่นอย่างยิ่ง

ความเห็นผิดดังกล่าวพระพุทธศาสนาเรียกว่า “มิจฉาทิฐิ” ซึ่งปัจจุบันนับวันก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เล็กน้อยก็เหตุผิดโดยส่วนตน ที่เลวร้ายคือนอกจากตนจะเห็นผิดแล้ว ยังเผยแพร่ความเห็นผิดดังกล่าวในลักษณะเชิงคำสอน ไปสู่สาธารณะ ในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวีดีทัศน์ สื่อในรูปแบบเสียง จนกระทั่งถึงในโลกของอินเตอร์เนต ที่เราสามารถพบเห็นได้อย่างดาดดื่นในปัจจุบัน


ซึ่งในคนที่เห็นผิดนั้นก็มีทั้งใน และนอกพระพุทธศาสนา มีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ทั้งนี้เพราะคนเหล่านี้ขาดความรู้และความเข้าใจในพระพุทธศาสนา หลายคนนั้นไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้

ขณะที่บางคนศึกษาพระพุทธศาสนามาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ทั้งนี้เพราะศึกษาเพราะใจไม่ซื่อ อาศัยกิเลส, อัตตา, มานะ และทิฐิของตนเข้าว่า หลายคนจบปริญญาทางพระพุทธศาสนา แต่คุณภาพทางจิตใจไม่ได้ดีหรือพัฒนาขึ้น
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 25 เมษายน 2553 17:37:42 »




สิ่งที่ผู้ศึกษาจะต้องจับหลักให้ได้คือ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ตัวหนังสือ หรือวาทะ ไม่ใช่ว่าใครเรียนมากกว่า, รู้มากกว่า, สวดสาธยายมนต์ และธารณีได้มากกว่า ตลอดจนถึงจดจำและพูดหัวข้อธรรมได้มากกว่า แล้วจะสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริง

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประกอบไปด้วย องค์ประกอบ ๓ ประการคือ ศรัทธา, ปัญญา และเมตตากรุณา ว่าถ้าขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ใช่พระพุทธศาสนา และยิ่งไม่ใช่พุทธศาสนิกชน

ศรัทธาและปัญญาเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะนับพระพุทธศาสนานิกายใด ถ้ามีศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา นั่นคือความงมงาย บางคนทำบุญมาก สวดมนต์ไหว้พระมาก แต่ถ้าไม่มีปัญญา งมงายก็คืองมงาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ ทั้งอรรถและพยัญชนะ แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาตนจิตใจเอง อันจะแสดงออกมาทางกายและวาจา

เมตตากรุณาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะนับถือพระพุทธศาสนานิกายใดก็ตาม ดั่งคำที่ว่า “ปัญญาที่ไม่ประกอบด้วยเมตตากรุณาเป็นปัญญาที่เลื่อนลอย เมตตากรุณาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเป็นเมตตากรุณาที่เพ้อเจ้อ”
บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 25 เมษายน 2553 17:41:49 »




(:LOVE:)สาธุ.....................สาธุ.....................สาธุ รัก


(:fall:)ขอบคุณ............ค่า.............. ตกหลุมรัก
บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 25 เมษายน 2553 17:50:30 »





ถ้าคนๆหนึ่งที่ทำกุศลเป็นอันมาก แต่ทว่าแต่ละวันที่ผ่านไปกลับหนาแน่นไปด้วยความเห็นแก่ตัว สาละวนอยู่แต่ว่ากุศลที่ตนทำจะให้ตนได้อะไรบ้าง เงินทอง, ชื่อเสียง, อำนาจ, สมบัติในสวรรค์และชาติหน้า ฯลฯ


ใคร่ขอถามว่า “การกระทำใดๆที่หนาแน่นไปด้วยความโลภ ที่คิดแต่จะทำเพื่อตนเองและครอบครัวพวกพ้องของตนเอง จัดเป็นกุศลหรือไม่?” และ “คนประเภทนี้จะนับว่าเป็นคนดีได้หรือไม่?”


สำหรับคนที่นับถือพระพุทธศาสนามหายานแล้วปรารถนาพุทธภูมิ ต้องเรียนว่า การปรารถนาโพธิญาณเพื่อบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น หาใช่เพื่อการเข้าถึงฐานะหรืออำนาจอันยิ่งใหญ่ หากแต่เป็นการพัฒนาตนให้เป็นที่พึ่งของสรรพชีวิต กล่าวคือการขนสรรพชีวิตออกจากวัฏฏะสงสาร


หลายคนสวดมนต์ และทำกุศลนานาประการแล้วตั้งจิตอธิษฐานเพื่อโพธิญาณ ขณะที่วันๆที่ผ่านไปกลับห่วงแต่ตนและครอบครัวพวกพ้องของตน ว่าจะกินอย่างไรจะอยู่อย่างไร ชอบอะไรเกลียดอะไร อยากได้อะไรไม่อยากได้อะไร ไม่เคยสนใจว่าคนรอบข้าง, สังคม, โลก ตลอดจนสรรพชีวิต จะอยู่อย่างไร มีสุขหรือไม่ แล้วปากบอกว่าเพื่อพระโพธิญาณ ใคร่ถามว่าจะสมเหตุผลหรือไม่


ถ้าไม่เข้าถึงองค์ประกอบทั้ง ๓ ของพระพุทธศาสนา การณ์ที่จะกล่าวว่า “ตนเป็นพุทธศาสนิกชน” คงจะกล่าวได้ แต่แน่นอนว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องจริง ในยุคที่พระพุทธศาสนาห่างจากจิตใจของผู้คน มิจฉาทิฐิรุ่งเรือง จึงกล่าวได้แต่เพียงว่า “มิจฉาทิฐิ เป็นภัยแห่งสรรพชีวิตอย่างแท้จริง”


เขียนโดย โพธิพฤกษ์
ที่มา...http://www.q1133.com/index.php/someissuesinbuddhism/75-buddhistoday
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.268 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 04 ตุลาคม 2566 17:50:20