[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 18:00:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระเยซูคริสต์ กับพระพุทธเจ้า  (อ่าน 1718 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2561 15:15:34 »




พระเยซูคริสต์ กับพระพุทธเจ้า

ผมได้อ่านหนังสือแปลเล่มหนึ่ง ชื่อภาษาไทยว่า “มหาวาทะโต้วาทีแห่งเมืองปานาทุรา” ระหว่างศาสนาพุทธ-ศาสนาคริสต์ พิมพ์ชื่อเดิมเป็นภาษาอังกฤษด้วยว่า Panadurra Mahavadaya ผู้แปลใช้นามว่า “สุคน” อ่านพบข้อความแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยทราบ จะว่าไม่ทราบเลยก็ไม่เชิง เพราะเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้อ่านรายละเอียดจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังว่าหนังสือเล่มนี้พูดไว้ว่าอย่างไร

อาจจะเก็บความไม่ตรงตามต้นฉบับก็ได้ เพราะสำนวนการแปลของ “สุคน” มีกลิ่นเนยโชยฉุนกึกทีเดียว อ่านไปมองเห็นโครงสร้างภาษาฝรั่งไป

“มันไม่มีทางสามารถพิสูจน์เลยได้ว่า … แต่เราสามารถมาสู่ข้อสรุปที่ว่า” …อะไรทำนองนี้อ่านแล้วปวดหัว

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในหนังสือนี้ตอนท้ายๆ (ตอนต้นๆ ผมยังไม่ได้อ่าน) น่าสนใจมาก ได้เล่าประวัติของโจอาซาฟ โยเซฟ โจซาฟัด (ผมขอสะกดชื่อตามต้นฉบับของเขานะครับ)

มีดินแดนแห่งหนึ่งชื่อ ศรีอินเดีย (Serindia) ปกครองโดยพระราชานามว่า อะวีเนียร์ (Avenir) พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง นาม โจอาซาฟ (Joasaph) โหราจารย์ทำนายว่าเจ้าชายจะมีอำนาจยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทางจิตวิญญาณโดยไม่มีขอบเขต

พระเจ้าอะวีเนียร์สร้างวังที่สวยงามให้เจ้าชายอยู่ ไม่อนุญาตให้ออกไปพบเห็นชีวิตข้างนอก พระราชาถามพระบิดาว่า ทำไมไม่อนุญาตให้ออกไปข้างนอกบ้าง พระราชาบอกว่า ต้องการให้องค์ชายมีความสุข ไม่อยากให้ไปเผชิญกับทุกข์ยากนอกวัง

ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เจ้าชายจึงลอบออกไปเที่ยวนอกวัง ก็ได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เหมือนที่เล่าไว้ในพุทธประวัติไม่มีผิดเพี้ยน เจ้าชายกลับมาเล่าให้ครูสอนศิลปวิทยาแก่ตนทราบ แล้วถามว่าทำไมคนถึงเป็นเช่นนั้น มีใครทราบไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากตายไป ครูตอบว่าผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ถูกพระเจ้าอยู่หัวขับไล่ออกจากเมืองไปแล้ว

ในช่วงนี้เทวดาได้ส่งภิกขุรูปหนึ่งมา ชื่อว่า วาร์ลัม (Varam) มาหาเจ้าชาย ได้มอบอัญมณีมีอำนาจรักษาคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ให้หายได้แก่เจ้าชาย วันหนึ่งเจ้าชายได้ออกจากพระราชวังเข้าป่า ระหว่างเดินทาง พบชายคนหนึ่ง ได้แลกผ้านุ่งกับชายคนนั้น แล้วพระองค์ก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าของชายคนนั้น ขณะนั่งทำสมาธิในป่าก็มองเห็นเมืองสวรรค์ ได้ยินเสียงกล่าวว่านั้นเป็นสถานที่ของผู้มีคุณงามความดี

สี่สิบวันหลังจากเจ้าชายหายไปจากพระราชวัง พระเจ้าอะวีเนียร์ก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายยกพระราชบัลลังก์ให้เหล่าอำมาตย์ แล้วสละโลกออกบวช ในคืนวันหนึ่ง ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานตนเองจนกระทั่งพลังจิตพัฒนาขึ้น เมื่อพระองค์ขึ้นไปบนสวรรค์ เหล่าเทพธิดามอบพวงมาลัยให้สองพวง บอกว่าพวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย อีกพวงหนึ่งสำหรับสละความสุขทางโลก และเพื่อบรรลุภาวะสูงสุดเหนือโลก

นี่คือประวัติของโจอาซาฟ หรือโจซาฟัด มีกล่าวไว้ในคัมภีร์วินัยของคริสต์โดยนักบุญคริสต์ ชื่อ เจตสิ มีเนอิ (Chetxi Minei)

ปราชญ์ตะวันตกหลายคนกล่าวว่า ประวัติโจอาซาฟหรือโจซาฟัด ก็คือประวัติพระพุทธเจ้านั่นเอง แม้จะบิดเบี้ยวไปมากแต่ก็มีเค้าเดิมอยู่ แล้วกล่าวด้วยคำว่า โจอาซาฟ ก็คือ “สิทธัตถะ” นั่นเอง

ศาสตราจารย์ริส เดวิดส์ กล่าวคำบาลีว่า โพธิสัตตะ (Bodhisatta) ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาปาร์ซีว่า โวสัต (Vosat) จากนั้นก็กลายเป็น โยซาฟต์ (Yosaft) เป็นโยแซปต์ (Yosapt) และโยซาฟ (Yosaph) และโจซาฟัด (Josaphat) ในที่สุด

เท่าที่ผมจับความได้ ทั้งหมดนี้ต้องการจะกล่าวว่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องนี้โดยชื่อ ซึ่งออกเสียงต่างๆ กันว่า โจอาซาฟ, โยซาฟต์, โยแซปต์, โจซาฟัด, โจเซฟ คือพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมาของชาวพุทธนั่นเอง

และก็มีข้อกล่าวที่น่าตกใจว่า พระเยซูคริสต์ก็คือชาวพุทธคนหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนเป็นภาษาทิเบต เล่าเรื่องราวของบุคคลคนหนึ่ง ชื่อว่า อิสสา (ISSA) เอกสารนี้มีอายุ ๑,๕๐๐ ปี ได้มาจากวัดเฮมิส (Hemis Monastery) ในทิเบต พระเยซูในวัยเด็กได้เดินทางไปกับกองคาราวาน เวลานั้นอินเดียมีมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่โด่งดังมาก ชื่อมหาวิทยาลัยนาลันทา

พระเยซูได้ศึกษาที่นั่น ฝึกโยคะปฏิบัติสมาธิจนได้ฌานและอิทธิฤทธิ์จากอินเดีย เดินทางไปทิเบต จนอายุ ๒๙ ปี จึงเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอน

คัมภีร์ไบเบิลเองก็ไม่ได้พูดถึงช่วงชีวิตของพระเยซูตอนหนุ่ม พระเยซูท่านไปไหนไม่มีใครทราบ แต่เอกสารภาษาทิเบตฉบับดังกล่าวได้ยืนยันว่าท่านไปอินเดียและทิเบต

หนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ The Story of Crucifiction by an Eyewitness พิมพ์ที่อเมริกา ให้ข้อมูลน่าสนใจอีกว่าพระเยซูมิได้เสียชีวิตบนไม้กางเขน พระองค์ดูคล้ายสลบไป พระองค์ถูกเคลื่อนย้ายออกจากไม้กางเขน จากนั้นได้หนีไปอยู่ที่แคชเมียร์ ที่นั่นใครๆ เรียกพระองค์ว่า อิสสา (ISSA) บ้าง ยูสา (Yusa) บ้าง

พระองค์สิ้นพระชนม์ที่แคชเมียร์ พระศพถูกฝังอยู่ที่ศรีนาคาร์ ชาวพุทธยุคหลังๆ ยังถือว่าพระเยซูเป็นพุทธและกราบไหว้พระศพของพระเยซูต่อๆ กันมา

หนังสือเล่มดังกล่าวบอกด้วยว่า นางมาเรียได้ตามบุตรชายมาอยู่ที่แคชเมียร์ด้วย และอยู่ที่นั่นจนสิ้นอายุขัย

นักเขียนคนหนึ่งชื่อ พลีนี (Plini) ได้เล่าว่า ศาสนาพุทธมีอยู่ที่ปาเลสไตน์ก่อน สมัยเกิดศาสนาคริสต์ มีพระกลุ่มหนึ่งชื่อว่า เอสเซนส์ (Esseenses) ชอบดำรงชีวิตอยู่ตามป่า และไม่จับจ่ายใช้เงิน ตื่นแต่เช้าตรู่ ทำสมาธิ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

จอห์น หรือโยฮัน เป็นพระในนิกายนี้ ว่ากันอย่างนั้น แล้วก็อธิบายคำศัพท์ว่า “เอสเซนส์” นั้นเป็นคำเดียวกับ อิสิ หรือ ฤษี อันเป็นนามเรียกพระในพุทธศาสนาอย่างหนึ่งนั่นเอง

เท่ากับจะบอกว่า จอห์น เดอะแบ๊บติสต์ หรือโยฮันผู้ทำพิธีแบ๊บติสต์ให้พระเยซูในแม่น้ำจอร์แดนเป็นพุทธแล้วพระเยซูได้รับพิธีบวชจากจอห์น จะเป็นใครได้เล่านอกจากพระพุทธ ในหนังสือที่แปลโดยคุณ “สุคน” ได้พิมพ์ตัวเน้นไว้ดังนี้

“จอห์น ซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ของศาสนาพุทธ นิกายเอสเซนส์ ทำพิธีอุปสมบทให้แก่เยซูภายหลังที่ได้อาบน้ำชำระกายให้สะอาดตามประเพณีแล้ว”

ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตื่นเต้นครับ ที่นักค้นคว้าทางตะวันตกยืนยันว่าพระเยซูเป็นพุทธ เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา เผลอๆ จะบวชมาแต่บัดนั้นถ้าไม่ถือว่ามาบวชจากโยฮัน

หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Commerce Between the Roman Empire and India กล่าวถึงความมีอยู่ของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน ว่ามีความเจริญแพร่หลายที่สุดในปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานของมหายานคือความเชื่อเรื่อง อาทิ พุทธ คำว่า ก๊อด (GOD) เป็นภาษาต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน ซึ่งเป็นภาษาพูดของมารดาพระเยซู และคำนี้พระเยซูท่านนำมาใช้ในการเทศน์สอนประชาชน

คำว่า ก๊อด ในพระคัมภีร์ใหม่จริงๆ แล้ว หมายถึงพระพุทธเจ้า ศาสตราจารย์เดวิดส์บอกว่า คำนี้ย่อมาจากคำว่า ก๊อดตะมะ (GODTAMA) ซึ่งเป็นชื่อโคตรของพระพุทธเจ้า แม้คำว่า อิลิยาห์ (GLIJAH) ในพระคัมภีร์ใหม่ก็เลือนมาจากคำว่า อริยะ ว่าไปทำไมมี คำว่า บุตรพระเจ้า (THE SON OF GOD) ก็คือบุตรของพระพุทธเจ้านั่นเอง

ศาสนาคริสต์มิได้ตั้งโดยพระเยซู หากเกิดหลังพระเยซูสิ้นชีพแล้ว ตั้งโดยเปาโลศิษย์ผู้เคยปฏิเสธพระเยซูด้วยซ้ำไป


ที่มา : บทความพิเศษ "พระเยซูคริสต์ กับพระพุทธเจ้า" โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ หน้า ๗๑ ฉบับที่ ๑๙๖๔ วันที่ ๖-๑๒ เมษายน ๒๕๖๑

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
Son of God 2014 บุตรแห่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์ (Soundtrack บรรยายไทย)
หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
มดเอ๊ก 0 7404 กระทู้ล่าสุด 31 กรกฎาคม 2559 00:28:41
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.353 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 07:41:12