28 มีนาคม 2567 20:11:33
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
หน้าแรก
เวบบอร์ด
ช่วยเหลือ
ห้องเกม
ปฏิทิน
Tags
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
ห้องสนทนา
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!
[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
สุขใจในธรรม
เกร็ดศาสนา
.:::
อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู?
:::.
หน้า: [
1
]
ลงล่าง
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
ผู้เขียน
หัวข้อ: อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู? (อ่าน 1681 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5389
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู?
«
เมื่อ:
26 ธันวาคม 2560 16:40:53 »
Tweet
อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู?
แรกเกิดในศาสนาของชาวยิว
ในโลกนี้ไม่ได้มีเฉพาะพี่น้องชาวมุสลิมเท่านั้นนะครับ ที่มีข้อห้าม (
taboo
) ไม่ให้บริโภค “เนื้อหมู” เป็นอาหาร
อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีชนกลุ่มใหญ่อีกหนึ่งชนชาติ (ควบพ่วงด้วยหนึ่งศาสนา) ที่ไม่กินเนื้อหมูเหมือนกัน นั่นก็คือพวกยิว หรือชนชาวอิสราเอล ซึ่งก็มักจะนับถือศาสนายิว หรือยูดาย ของชนชาติตนเองเป็นการเฉพาะ
ที่สำคัญก็คือ ในทางประวัติศาสตร์แล้ว ศาสนาอิสลามพัฒนาต่อมาจากศาสนาของพวกยิว (โดยมีศาสนาคริสต์ขั้นอยู่ตรงกลาง) ดังนั้น หากจะทำความเข้าใจว่าทำไมศาสนาอิสลามจึงมีกฎที่ห้ามไม่ให้บริโภคเนื้อหมูนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจจุดตั้งต้นของข้อห้ามในศาสนาของชาวยิวเสียก่อน
พระคัมภีร์ส่วนพันธสัญญาเดิม (
Old Testament
) ของคริสต์ศาสนา ซึ่งก็คือไบเบิลของพวกยิว (ก็อย่างที่บอกว่า ศาสนาคริสต์พัฒนาและต่อยอดมาจากศาสนายูดาย) มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติของชนชาติยิวอย่างเก่าแก่
แต่ถ้าจะนับเฉพาะที่พอจะใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ เราคงจะต้องเริ่มตั้งแต่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้บท “พระธรรมอพยพ” (
Exodus
) ซึ่งก็คือการที่ “โมเสส” นำชนชาติยิวปลดแอกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์
ผมไม่ได้หมายความว่า การแหวกทะเลแดง ไปจนกระทั่งแม้แต่ระบบสังคมทาสของอียิปต์ ในพระคัมภีร์บทดังกล่าว สามารถใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ โดยไม่ต้องถูกตรวจสอบ (โดยเฉพาะเมื่อผลจากการขุดค้นทางโบราณคดีในรอบสหัสวรรษใหม่เป็นต้นมานี้ ทำให้เราต้องหันมาทบทวนถึงความเชื่อเกี่ยวกับสังคมทาส และการสร้างพีระมิด ที่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดในเรื่องราวของโมเสสในพระธรรมอพยพเป็นอย่างมากนี่แหละ)
แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถจะเห็นได้ถึงกลวิธิในการสร้างประวัติศาสตร์ของ “ชนชาติยิว” ที่มี “พวกอียิปต์” เป็นศัตรูร่วมในประวัติศาสตร์
และที่สำคัญก็คือ หลักฐานทั้งจากการขุดค้นทางโบราณคดี และจารึกโบราณหลายหลักนั้นต่างก็ทำให้ระบุไว้ว่า เนื้อหมูเป็นอาหารหลักชนิดหนึ่งในสังคมอียิปต์มาตั้งแต่ยุคก่อนจะมีฟาโรห์ และพีระมิดเลยทีเดียว
หมูเป็นสัตว์พื้นเมืองที่ถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในอียิปต์ โดยมักจะเจอชิ้นส่วนกระดูกของหมูอยู่ใกล้หลุมฝังศพของชนชั้นล่าง (ในขณะที่มักจะพบชิ้นส่วนกระดูกของวัวควายใกล้หลุมศพของชนชั้นสูง) แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพัฒนาการของการเลี้ยงหมูต่อเนื่องมาในยุคของพวกฟาโรห์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน และจะขยายเติบโตเป็นอย่างมากในช่วง “ราชอาณาจักรใหม่” หรือ “จักรวรรดิอียิปต์” ที่นับเริ่มตั้งแต่ราชวงศ์ที่ ๑๘ (๓,๕๕๐-๓๒๙๕ ปีที่แล้ว)
จารึกบางหลักในช่วงราชวงศ์ที่ ๑๘ ระบุเอาไว้ว่า นายกเทศมนตรี (คำนี้ผมขออนุญาตแปลตรงตัวมาจากข้อมูลภาษาอังกฤษที่ใช้ว่า
mayor
ส่วนในเอกสารต้นฉบับของอียิปต์โบราณเอง จะเรียกว่าตำแหน่งอะไรนั้น ผมไม่ทราบชัด?) แห่งเมืองเอล กาบ (
El Kab
) ซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์นั้น เป็นเจ้าของหมูถึง ๑๕,๐๐๐ ตัว
ในขณะที่มีการอุทิศถวายหมู และลูกหมู จำนวนอย่างละ ๑,๐๐๐ ตัวให้กับวิหารของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ ๓ (
Amenhotep III
, ครองราชย์ ๓,๓๘๖-๓,๓๔๙ ปีที่แล้ว) ที่เมืองเมมฟิส ก็น่าจะระบุถึงความสำคัญของหมูในสังคมได้เป็นอย่างดี
และก็คงจะสังเกตได้นะครับว่า การถวายหมูให้กับวิหารในศาสนานั้น ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่าง “หมู” กับ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ของชาวอียิปต์โบราณอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อชนชาวอียิปต์คือพวกที่นิยมนับถือเทพเจ้าในรูปของ “สัตว์” ประเภทต่างๆ อยู่แล้ว
เทพเจ้าเซ็ธ ตามที่บันทึกไว้ในจารึกปาแลร์โม จากสมัยราชวงศ์ที่ ๕ (๔,๔๖๕-๔,๓๒๓ ปีมาแล้ว) จะปรากฏกายในรูปของหมู ในขณะที่บางตำนาน เทพเจ้ามิน เมื่อแรกเกิดนั้นอยู่ในรูปของหมูน้อยสีขาว เพศเมียที่ดูน่ารักน่าชัง และนี่ยังไม่ได้นับรวมถึงอีกเพียบเทพเจ้าในร่างของหมู ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่เราจะพบวัตถุเนื่องในศาสนาของชาวอียิปต์ ที่ทำขึ้นเป็นรูปหมู มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ที่ ๑ (๔,๙๒๐-๔,๗๗๐ ปีมาแล้ว) เลยทีเดียว
ถ้าเราเชื่อข้อมูลในพระธรรมอพยพ “โมเสส” ก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้เอง เพราะตามข้อมูลที่นักโบราณคดี และนักประวัติศาสตร์ที่สนใจทางด้านอียิปต์วิทยาท่านได้ศึกษาออกมาในช่วงหลังนี้ โมเสสท่านเติบโตในราชสำนักของอียิปต์ ช่วงราชวงศ์ที่ ๑๘ ซึ่งเป็นช่วงที่การเลี้ยงหมูในอียิปต์นั้นเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก และถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้กับเทพเจ้าอย่างในสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ ๓ นี่แหละครับ
โมเสสนั้นอาจจะเป็นศาสดาพยากรณ์ (
Prophet
) คนสำคัญ คนที่สองของศาสนายูดาย ถัดมาจากอับราฮัม ที่พยายามจะให้ชาวยิวหันมานับถือศาสนาแบบเอกเทวนิยม หรือความเชื่อว่าพระเจ้าที่จริงแท้อยู่เพียงองค์เดียว (ในขณะที่ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์ หรือที่เรียกว่าศาสนาแบบพหุเทวนิยม แถมเทพเจ้าเหล่านั้นยังมีเศียรเป็นรูปสัตว์อีกด้วย) แต่ในแง่ของประวัติศาสตร์ชนชาติยิวแล้ว ท่านสำคัญกว่าอับราฮัมเป็นอย่างมาก
ระหว่างที่ท่านอพยพชาวยิวกลับมาที่ดินแดนแห่งพันธสัญญาหรือ “คานาอัน” (
Canaan
) ซึ่งก็คือเขตปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ท่านได้แวะไปรับอะไรที่เรียกกันในภายหลังว่า “บัญญัติสิบประการ” ที่อาจจะนับได้ว่าเป็น “กฎ” หรือ “ระเบียบ” ชุดแรกจากดำรัสของพระเป็นเจ้าบนเขาไซนาย
แน่นอนว่าในบัญญัติทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ไม่มีข้อห้ามไม่ให้บริโภคหมูรวมอยู่ด้วย และถึงแม้ว่าโมเสสจะพาชาวยิวไปไม่ถึงดินแดนแห่งพันธสัญญาที่ว่า แต่สุดท้ายพวกยิวก็ได้ครอบครองดินแดนแห่งนั้น ภายหลังการนำทัพของ “แม่ทัพโยชูอา” (
Joshua
) ในช่วงสมัยของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ ๓ พระองค์เดิมนี่แหละครับ
และแม้ว่าพวกยิวจะสร้างบ้านเมือง จนปกครองโดยระบบกษัตริย์ได้ที่ดินแดนแห่งพันธสัญญาแห่งนั้น แต่ภายหลังจากการดินแดนภายใต้อาณานิคมทางวัฒนธรรมของพวกอียิปต์เบาบางลงไปแล้ว อิทธิพลของวัฒนธรรมแบบไมนวน (
Minoan
) ในลุ่มทะเลอีเจียน และอิทธิพลวัฒนธรรมของพวกฮิตไทต์ (
Hittite
) ก็เข้ามามีบทบาทในดินแดนคานาอันอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในวัฒนธรรมของพวกฮิตไทต์นี่แหละครับ ที่มีความนิยมในการใช้ “หมู” เป็นเครื่องเซ่นสรวงบูชาเทพเจ้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพวกเทพีต่างๆ กันให้เต็มไปหมด
เช่น การถวายลูกหมูให้แก่เทพีฮันนาฮันนา (
Hannahanna
) เทพีแห่งการให้กำเนิดบุตร, การถวายลูกหมู พร้อมเบียร์และไวน์ ให้แก่เทพีกุลเสส (
Gulses
) เทพีแห่งโชคชะตา
หรือแม้กระทั่งการเฉลิมฉลองเทศกาลนานตาร์ริยะศา (
Nantarriyasha festival
) ด้วยเนื้อหมู อันเป็นเทศกาลฉลองเพื่อความอุดมสมบูรณ์ ที่จัดขึ้นทุกวันที่ ๓๕ ของปี โดยพระราชินีของอาณาจักร เป็นต้น
แล้วลองคิดดูนะครับว่า ในขณะที่ศาสนาของพวกยิวเป็นศาสนาของผู้ชายแน่ (อย่างน้อยพระเจ้าของพวกเขาก็เป็นผู้ชาย แถมพระองค์ยังสร้างอีวา ขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของอดัมอีกต่างหาก) ผนวกกับการที่บัญญัติข้อที่ ๒ ในบัญญัติสิบประการที่โมเสสรับมาจากพระเจ้าที่เขาไซนาย ก็ว่าด้วยการห้ามบูชารูปเคารพ (การถวายหมูให้แก่เทพเจ้าผ่านรูปเคารพของพวกฮิตไทต์ ผิดบัญญัติข้อนี้แน่ และนี่ยังไม่นับว่า ศาสดาพยากรณ์คนแรกของพวกเขาอย่างอับราฮัม ก็เริ่มต้นนับถือพระเจ้าองค์เดียว จากการประณามธุรกิจการค้ารูปเคารพเทพเจ้าในครอบครัวของตนเอง) จะมีมุมมองอย่างไรกับพิธีกรรมเหล่านี้?
กฎหรือข้อห้ามการกินเนื้อหมูในศาสนายูดายก็เริ่มเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้เอง ดังปรากฏในบทที่เรียกว่า “เลวีนิติ” (
Book of Leviticus
) ซึ่งได้ขยาย และตราข้อห้ามต่างๆ เพิ่มเติมจากบัญญัติสิบประการ เป็น ๗๖ ข้อ
แน่นอนว่า ในบรรดา ๗๖ ข้อนี้ก็ไม่ได้ห้ามบริโภคเฉพาะเนื้อหมู เนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ห้ามอยู่ด้วย เช่น อูฐ นกบางชนิด แมลง ปลาที่ไม่มีครีบ ฯลฯ แต่ก็ควรจะสังเกตด้วยว่า มีการห้ามเผาน้ำผึ้ง หรือยีสต์ เพื่อถวายเทพเจ้า เช่นเดียวกับที่ห้ามเผาเกลืออุทิศแก่เทพ ห้ามกินเลือด หรือไขมัน และก็แน่นอนว่าทั้งพวกฮิตไทต์ และอียิปต์ ไม่ได้ถวายเฉพาะแต่เนื้อหมูให้กับเทพเจ้าของพวกเขาแน่
ข้ออ้างในเลวีนิติที่ว่า เนื้อหมูเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด จึงไม่ควรที่จะบริโภคนั้น จึงน่าสงสัยอยู่ว่า ที่ไม่ “สะอาด” นั้นเป็นเพราะหมูเป็นสัตว์ที่สกปรกอย่างที่มักจะอ้างตามๆ กันมา หรือ “สกปรก” เพราะเป็นเครื่องเซ่นสังเวยต่อเทพเจ้าที่ชาวยิวตั้งข้อรังเกียจแน่?
อย่าลืมนะครับว่า “ยูดาย” เป็นศาสนาที่ผูกอยู่เฉพาะกับชนชาติยิวเท่านั้น พระเจ้าของศาสนายูดายไม่ทรงตอบรับกับใครอื่นนอกจากชาวยิว ระเบียบข้อห้ามต่างๆ ในศาสนาของพวกเขา จึงเป็นการสร้างอัตลักษณ์เป็นยิว พร้อมๆ กับที่สร้างความเป็นคนนอกให้กับชนชาติอื่นไปพร้อมๆ กันด้วย
และไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่นี่ก็คือต้นกำเนิดของข้อห้ามไม่ให้บริโภคเนื้อหมู ซึ่งจะส่งทอดต่อไปให้กับศาสนาอิสลามในภายภาคหน้า
เมื่อชนชาติยิวเข้าสู่แดนแห่งพันธสัญญา
มีคำอธิบายที่แพร่หลายอยู่ทีเดียวว่า การที่ในภาษาอังกฤษ มีคำเรียก “หมู” ว่า “
pig
” แต่กลับเรียก “เนื้อหมู” ทั้งชนิดที่นำมาประกอบอาหาร และถูกนำไปเสิร์ฟไว้บนโต๊ะอาหารว่า “
pork
” นั้น เป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องอยู่กับชนชั้นทางสังคมบนเกาะของพวกอิงลิชชนในยุคสมัยหนึ่ง
เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อ พ.ศ.๑๖๐๙ วิลเลียม แห่งนอร์มังดี (
Normandy
, แคว้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน) ได้เข้ามาพิชิตเกาะอังกฤษ จนทรงสถาปนาพระองค์เป็นพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ แห่งเกาะอังกฤษ (แต่ผู้คนมักจะรู้จักกันในโทษฐานที่พระองค์พิชิตเกาะแห่งนี้ว่า “พระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต” หรือ “
William the Conqueror
”) ได้ แต่พระองค์ไม่ได้นำเอาเฉพาะอำนาจจากปลายพระแสงดาบเข้าสู่เกาะแห่งนี้เท่านั้น
และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีเชื้อสายของราชวงศ์อังกฤษอยู่ก่อน (จนเป็นเหตุให้พระองค์ทรงมีข้ออ้างในการพิชิตเกาะแห่งนี้) แต่พระองค์ก็ทรงเติบโตในแวดวงชนชั้นสูงของฝรั่งเศส วัฒนธรรมและภาษาที่พระองค์ทรงคุ้นเคยจึงถูกนำมาใช้ในราชสำนัก และแวดวงชนชั้นสูงของอังกฤษในยุคนั้นด้วย
ซึ่งก็รวมไปถึงภาษาและวัฒนธรรมบนโต๊ะอาหาร
ในขณะที่ภาษาของชนพื้นเมืองอังกฤษในยุคนั้น ซึ่งเป็นภาษาแองโกล-แซกซอน (
Anglo-Saxon
) อันเป็นกิ่งหนึ่งที่แตกแขนงมาจากภาษาพื้นเมืองของพวกยุโรปอย่างตระกูลภาษาเยอรมานิก (
Germanic
) เรียกหมูว่า “
pigge
” (ภายหลังจะเพี้ยนมาเป็น
pig
อย่างในปัจจุบัน) ภาษาฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาพร้อมกับพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ กลับเรียกหมูว่า “
porc
” (และจะเพี้ยนเป็น
pork
ในภาษาอังกฤษปัจจุบัน) ตามศัพท์ในภาษาฝรั่งเศสยุคโน้น ที่มีรากมาจากภาษาละติน (ที่จัดอยู่ในตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน) คือ “porcus” อีกทอด
แน่นอนว่าก็ไม่ได้มีเฉพาะ “หมู” ที่ถูกคนชั้นสูงในครั้งนู้น เรียกด้วยศัพท์ภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น “วัว” ที่คนพื้นเมืองบนเกาะเรียกว่า “
cow
” ก็ถูกคนชั้นสูง และคนในราชสำนักเรียกว่า “
boeuf
” (แล้วค่อยเพี้ยนมาเป็น
beef
), “ลูกวัว” ที่พวกไพร่เรียก “
calf
” ก็ถูกเรียกา “
veau
” (ที่เพี้ยนเป็น “
veal
”) บนโต๊ะอาหารที่หรูหรา
เช่นเดียวกับ “
sheep
” หรือ “แกะ” ของชาวบ้าน ที่จะถูกเรียกว่า “
mouton
” (คือ “
mutton
” หลังผ่านการ
Anglicize
หรือทำให้เป็นอังกฤษ) สำหรับสังคมชั้นสูงแทน เป็นต้น
(และก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคำศัพท์เกี่ยวกับเนื้อสัตว์อย่างนี้เท่านั้นนะครับ ศัพท์ที่คุ้นๆ กันอย่าง “
army
” ที่แปลว่า “กองทัพ” ก็มาจากคำว่า “
armee
” ในภาษาฝรั่งเศสดั้งเดิม เช่นเดียวกับคำว่า “
royal
” ที่มาจากคำว่า “
roial
” ในขณะที่บางคำก็ถูกนำมาใช้เป็นคำที่มีความหมายคล้ายกัน แต่มีระดับภาษาที่เป็นทางการมากกว่า เช่น ในขณะที่คำว่า “ต้องการ” ที่สืบมาจากภาษาพื้นเมืองเดิมกลายเป็นคำว่า “
want
” คำที่มีรากมาจากภาษาฝรั่งเศสเก่าเมื่อครั้งโน้นก็สืบมาเป็นคำว่า “
desire
” เป็นต้น ในกรณีนี้ก็คล้ายกับการที่ภาษาเขมรโบราณมีผลต่อราชสำนักอยุธยา จนกลายเป็นคำราชาศัพท์นั่นเอง)
ไม่ว่าคำอธิบายนี้จะถูกต้อง ๑๐๐% หรือเปล่าก็ตาม แต่ก็เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า คำศัพท์ (และแน่นอนว่าต้องรวมไปถึงธรรมเนียม และพิธีรีตองต่างๆ) บนโต๊ะอาหาร และวัฒนธรรมการกินนั้น สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการขับเคี่ยวกันระหว่างชนชั้น และความเป็นอื่น แล้วจะนับประสาอะไรกับ “ข้อห้าม” ในการกินเนื้อสัตว์ หรืออะไรบางชนิด อย่างเช่น การกินหมูในศาสนาของพวกยิวและอิสลาม ที่ถึงขนาดถูกบัญญัติเป็นข้อห้าม (
taboo
)?
บท “เลวีนิติ” (
Book of Leviticus
) ในพระคัมภีร์ ส่วนพันธสัญญาเก่า (
Old Testament
) ของคริสต์ศาสนา ซึ่งก็คือไบเบิล (
Bible
แปลตรงตัวว่า พระคัมภีร์) ของพวกยิว เองก็เต็มไปด้วยสารพัดเนื้อสัตว์ที่ห้ามไม่ให้ชาวยิวบริโภค ซึ่งก็แน่นอนว่ารวมถึงการห้ามกิน “เนื้อหมู” ด้วย
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เลวีนิติ เป็นส่วนที่เขียนขึ้นหลังจากพวกยิวอพยพหนีสถานะ “ทาส” ออกมาจากดินแดนในอารยธรรมของพวกอียิปต์ ภายใต้อำนาจของราชวงศ์ที่ ๑๘ ซึ่งตรงกันกับช่วงที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี
แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการทำฟาร์มเลี้ยงหมูในอียิปต์อย่างมีนัยยะสำคัญ
เลวีนิติ ยังเขียนขึ้นในช่วงที่ชาวยิว มีศูนย์กลางอยู่ใน “คานาอัน” หรือดินแดนแห่งพันธสัญญาของชาวยิว ซึ่งพวกเขาได้แย่งชิงมาจากพวกฟิลิสไตน์ (
Philistine
, มรดกตกทอดที่โลกได้รับมาจากชนกลุ่มนี้ ก็คือคำว่า “
Palestine
” หรือ “ปาเลสไตน์” ซึ่งก็คือชื่อเรียกดินแดนคานาอันในปัจจุบันนั่นเอง)
โดยการขุดค้นทางโบราณคดีนั้นพบว่า ในแหล่งโบราณคดีในวัฒนธรรมของคนพวกนี้มักจะพบกระดูกหมูในปริมาณมาก โดยเฉพาะที่เมืองแอชดอด (
Ashdod
) และเมืองเอโครน (
Ekron
) ที่ต่างก็ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทิศใต้ของคานาอัน
แถมยังน่าสังเกตอีกด้วยนะครับว่า ข้อความในพระธรรม ๑ ซามูเอล (I
Samuel
) ในพันธสัญญาเก่า ซึ่งก็เขียนขึ้นในช่วงที่พวกยิวอยู่ในคานาอัน ก็กล่าวถึงการลงทัณฑ์ของพระเจ้าที่มีต่อชาวฟิลิสไตน์ในเมืองแอชดอด ด้วยโรคห่า (หมายถึง โรคระบาด) จนคนตายแทบจะหมดเมือง เพราะพิโรธที่คนพวกนี้นำหีบแห่งพันธสัญญา (
Ark of Covenant
, คือหีบบรรจุบัญญัติสิบประการ ที่โมเสสไปรับมาจากพระเจ้าบนเขาไซนาย) ไปประดิษฐานไว้ที่เทวาลัยเทพดากอน (
Dagon
, เทพครึ่งคนครึ่งปลา ซึ่งก็ดูจะเหมาะกับวัฒนธรรมของพวกฟิลิสไตน์ที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนสมุทร” ในยุคนั้น)
ความในพระธรรม 1 ซามูเอล ยังอ้างต่อไปว่า โรคห่านั้นยังระบาดต่อเนื่องไปยังเมืองกาธ (
Gath
) ซึ่งก็เป็นชุมชนของพวกฟิลิสไตน์อีกเมือง ในละแวกใกล้เคียงกับเมืองแอชดอด เนื่องจากรับทอดเอาหีบแห่งพันธสัญญาต่อไปจากเมืองแอชดอดนั่นแหละ (ผมค้นไม่เจอข้อมูลขุดค้นทางโบราณคดีที่เมืองกาธ เลยไม่มีข้อมูลว่า คนที่นี่เป็น “นักเลงกินหมู” เหมือนที่เมืองแอชดอด และเอโครนหรือเปล่า?)
แถมยังเป็นคนที่เมืองแห่งนี้เอง ที่พยายามส่งต่อหีบเจ้ากรรมที่ว่าต่อไปยังเมืองเอโครน แต่ชาวเมืองเอโครนทราบข่าวก่อนจึงแขยง จนไม่กล้ารับไว้จึงรอดพ้นจากน้ำพระทัยอันโกรธาของพระเป็นเจ้าของชาวยิวมาได้แบบฉิวเฉียด
ไม่ว่าความที่อ้างถึงในพระธรรม 1 ซามูเอล จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม เรื่องราวที่ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้นก็เล่าถึงช่วงเวลาที่ต่อเนื่องมาจากการที่ชาวยิวอพยพ (ภายใต้ธงนำของโมเสส) จากอียิปต์ และกำลังจะเข้ายึดครองดินแดนคานาอัน ซึ่งก็มีช่วงอายุตรงกันกับที่เมืองเหล่านี้ขุดเจอกระดูกของหมูให้เพียบนี่แหละครับ
นี่ยังไม่นับว่าเมื่อพวกยิวเข้าไปยึดครองดินแดนแห่งพันธสัญญา ตามความเชื่อของพวกเขาได้แล้ว พวกเขายังมีปมกับชนในดินแดนเมโสโปเตเมียอีกหลายกลุ่ม ซึ่งต่างก็กินหมู และใช้หมูในการบูชาเทพเจ้า (ที่พวกยิวยุคโน้นเห็นว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย เพราะเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าเพียงองค์เดียวของพวกตน) อย่างเช่น พวกฮิตไทท์ (
Hittite
) ที่ใช้หมูในการบูชาเทพีต่างๆ แต่กลับเป็นชนชาติมีบทบาทอย่างมากในภูมิภาคนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว
แต่ร้ายที่สุดก็คือชาวอัคคาเดียน (
Akkadian
) เพราะคนกลุ่มนี้มีคำศัพท์ที่ใช้เรียก “หมู” อยู่มากมายและหลากหลายคำ แถมยังอาจจะกินหมูเป็นอาหารอีกด้วย ที่สำคัญก็คือคนพวกนี้เป็นบรรพชนของพวกอัสสิเรียน (
Assyrian
) ที่ชาวยิวถือว่าเป็นศัตรูโดยตรง เพราะเป็นพวกที่เข้ายึดคานาอันของพวกเขา แล้วยังเนรเทศชาวยิวออกไปอยู่ที่บาบิโลนอีกนับร้อยปี
(ก่อนที่พวกเขาจะได้กลับมาอยู่ที่คานาอันอีกครั้ง ด้วยการสนับสนุนของกษัตริย์ไซรัสของพวกเปอร์เซีย)
ถึงแม้ว่าตามขนบเดิมนั้นมักจะถือกันว่า “เลวีนิติ” ถูกเขียนขึ้นโดยโมเสส แต่หลักฐานต่างๆ ในปัจจุบันก็ล้วนแต่บ่งชี้ว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเขียนขึ้นในช่วงราว ๒,๕๐๐-๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว คือช่วงที่ชาวยิวได้กลับเข้ามาสู่คานาอัน หลังจากถูกพวกอัสซีเรียขับไล่ แล้วได้รับความช่วยเหลือของพวกเปอร์เซียนั่นเอง
และก็ต้องอย่าลืมนะครับว่า ศาสนายูดายเป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติยิว พระเจ้าที่มีเพียงองค์เดียวของพวกเขา ทรงโปรดปรานเฉพาะก็แต่พวกยิวเท่านั้นแหละ อะไรก็ตามที่ไม่ใช่ยิว ก็กลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่โปรดไปเสียหมด โดยเฉพาะอะไรที่ใช้สำหรับพระเจ้าพระองค์อื่นที่ไม่ใช่พระยะโฮวาห์ แต่ศาสนาที่ต่อยอดมาจากศาสนายูดาย อย่างศาสนายูดาย อย่างคริสต์ และอิสลาม ไม่ผูกติดกับชนชาติยิวอย่างนั้น แถมพวกเขาก็เลือกที่จะทำตาม หรือไม่ทำตามอะไรในรากเดิมของศาสนายูดายด้วย
การเลือกที่จะกินหมูหรือไม่ก็เช่นกัน
คอลัมน์
ON History
โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
มติชนสุดสัปดาห์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2560 11:53:15 โดย Kimleng
»
บันทึกการเข้า
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 5389
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น
ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ
Re: อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู?
«
ตอบ #1 เมื่อ:
29 ธันวาคม 2560 12:00:44 »
อิสลามทำไมถึงมีข้อห้ามไม่ให้กินหมู?
ศาสนาคริสต์มีรากมาจากยิว แต่ทำไมกินเนื้อหมูได้?
ศาสนาคริสต์สืบทอดทั้งความเชื่อ ข้อปฏิบัติ ระเบียบ และระบบโครงสร้างของจักรวาลวิทยา รวมไปถึงอะไรต่อมิอะไรอีกหลายสิ่ง มาจากศาสนายูดายของพวกยิว
คิดง่ายๆ ว่า แม้แต่พระเจ้าของชาวคริสต์ ก็ยังเป็นพระยะโฮวาร์ (จะสะกดว่า ยาห์เวห์, ยะโฮวา หรือยะโฮวาร์ ก็นั่นแหละครับองค์เดียวกันทั้งนั้น จะสะกดอย่างไรก็ไม่ผิด) เช่นเดียวกับพวกยิว แถมยังเอาพระคัมภีร์ของยิวมารวบเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ของตนเอง แล้วเรียกว่าเป็น “พันธสัญญาเก่า” (ในขณะที่อะไรๆ ที่เขียนขึ้นหลังยุคของพระคริสต์นั้น ก็จะเรียกรวมๆ กันว่า “พันธสัญญาใหม่”)
แปลว่า กฎข้อห้ามไม่ให้กิน “เนื้อหมู” (รวมถึงของกินอะไรต่างๆ อีกให้เพียบอย่าง) ที่มีบัญญัติเอาไว้ในบทเลวีนิติ (
Book of Leviticus
) ก็ต้องมีอยู่ในไบเบิล หรือพระคัมภีร์ของพวกเขาด้วย
แต่ทำไมบรรดาชาวคริสต์ถึงกินหมูกันได้หน้าตาเฉย ทั้งที่พระเจ้าของพวกเขาก็ทรงสั่งห้ามเอาไว้ตั้งแต่พระองค์ยังทรงโปรดเฉพาะชนชาวยิวแล้วกันเล่าครับ?
การจะตอบคำถามข้อนี้ได้ เราคงต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง “ศาสนายูดาย” กับ “ศาสนาคริสต์” ซึ่งก็มีอะไรที่ทั้งเหมือน และก็ไม่เหมือนกันอยู่มาก
แต่ข้อแตกต่างที่มีนัยยะสำคัญที่สุดเกี่ยวกับกรณีนี้ก็คือ การที่ศาสนายูดายเป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติยิว แต่ศาสนาคริสต์กลับไม่ได้ผูกมัดตนเองให้เป็นศาสนาเฉพาะของชนชาติใดชนชาติหนึ่งเท่านั้น
แน่นอนว่าลักษณะอย่างนี้ย่อมทำให้ทั้งสองศาสนามีธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป เพราะว่าในขณะที่ศาสนาของชาวยิวจำเป็นต้องสร้างอัตลักษณ์ เพื่อให้แตกต่างจากชนชาติอื่น (ซึ่งก็หมายถึงศาสนาอื่นไปด้วยในตัว) ศาสนาคริสต์กลับจำเป็นต้องเปิดรับ (อย่างน้อยก็เปิดรับมากกว่าศาสนายูดาย) ความหลากหลายต่างๆ เข้ามานั่นเอง
และอะไรในบรรดาความหลากหลายที่ศาสนาคริสต์จำเป็นต้องเปิดรับมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศาสนายุคต้นของพวกเขาก็คือ วัฒนธรรมของพวก “โรมัน” โดยเฉพาะชนชาวโรมันชั้นสูง
พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนด้วยน้ำมือของทหารในสังกัดกรมกองของพวกโรมันนะครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่า อยู่ๆ พวกโรมันจับพระองค์มาทรมานโดยไม่มีสาเหตุ
การปฏิวัติทางความคิดที่พระคริสต์ (มาจากคำว่า
Christos
ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า พระเมสสิยาห์ ในภาษาฮิบรูของชาวยิว ซึ่งมีความหมายแปลได้ว่า องค์ศาสดาพยากรณ์ผู้รับการเจิม, ปุโรหิต, กษัตริย์, หรือพระผู้ปลดปล่อย ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงความหมายสุดท้าย) หรือพระเยซูทรงเผยแพร่นั้น มีพลังคุกคามสำหรับอำนาจที่มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ณ ขณะนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่ศาสดาหรือผู้นำชาวคริสต์ในขณะนั้นอย่างองค์พระเยซูเอง จะทรงถูกพวกโรมันจับมาสำเร็จโทษ
ถึงแม้ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์ไปในที่สุด แต่ชาวคริสต์ในจักรวรรดิของชาวโรมันก็ยังต้องอยู่กันอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เป็นสืบมาอีกนานเลยทีเดียว เนื่องจากมีการกวาดล้างและจับกุมชาวคริสต์ เพราะพวกชนชั้นสูงของโรมก็ยังคงไม่ค่อยจะชอบใจนักกับคำสอนของพระองค์และบรรดาสานุศิษย์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อคนพวกนี้ต่างก็มีลัทธิความเชื่อ ที่มีเทพเจ้าต่างๆ หลากหลายพระองค์เป็นของตนเองอยู่แล้ว
แน่นอนว่า ในจำนวนเทพเจ้าต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้นับรวมเอาพระยะโฮวาร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าพระองค์เดียวเป็นการเฉพาะของพวกคริสต์ และชาวยิวเข้าไปด้วย
และก็เป็นบรรดาชนชั้นสูงในโรมพวกนี้แหละครับ ที่กิน “เนื้อหมู” กันในระดับที่รัฐบุรุษ ควบตำแหน่งนักเขียน และนักปาฐกถาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในอารยธรรมโรมันอย่าง พลินี ผู้อาวุโส (
Pliny the elder
, พ.ศ.๕๖๖-๖๒๒) ซึ่งมีชีวิตอยู่ใกล้เคียงกับสมัยคริสตกาลนั้น ระบุเอาไว้ว่า อุตสาหกรรมเนื้อหมูในสังคมโรมันนั้น ใช้ทั้งเนื้อ, หนัง, เลือด, เท้า, เครื่องใน ไปจนกระทั่งมันหมู และน้ำมันหมู แถมยังมีทั้งหมูบ้าน และหมูป่าอีกต่างหาก โดยท่านยังได้บันทึกเอาไว้ด้วยว่า หมูยังถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นสรวงบูชาต่อเทพเจ้า โดยเฉพาะใช้พระแม่ธรณี (
Tellus Mater/Terra Mater
) ในพิธีศพเป็นการเฉพาะ
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยสักนิดที่ในบันทึกของพลินี ผู้อาวุโส จะมีการกล่าวถึงอาหารใช้ “หมู” เป็นส่วนประกอบถึง ๖๕๐มนู ซึ่งก็สอดคล้องกันกับหลักฐานของหมู ที่ขุดพบในแหล่งโบราณคดีของพวกโรมัน ซึ่งก็เจอร่องรอยหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เป็นชิ้นส่วนของหมูเอง และงานศิลปกรรมที่มีรูปหมูประดับอยู่ด้วยนะครับ
และที่จริงแล้วก็ไม่น่าแปลกอะไรเลยที่พวกโรมันจะใช้หมูเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง เพราะพวกกรีกนั้นกินเนื้อหมูมาก่อนแล้ว แถมยังมีการทำฟาร์มเลี้ยงหมูกันอย่างเป็นระบบ และก้าวหน้าเอามากๆ เสียด้วย
ก็อย่างที่รู้กันดีแหละว่า พวกโรมันนั้นสืบทอดเอาอะไรหลายๆ อย่างมาจากกรีก ไม่ต่างอะไรจากที่ศาสนาคริสต์รับเอาอะไรสารพัดสิ่งมาจากศาสนาของพวกยิว ดังนั้น ถ้าพวกโรมันจะสืบทอดเอาเทคโนโลยีการเลี้ยงหมู และวัฒนธรรมความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหมู และการบริโภคหมูมาด้วยนั้น ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกที่ตรงไหน?
ชาวคริสต์ในยุคแรกเริ่ม ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคที่จักรวรรดิโรมกำลังรุ่งเรือง ก็อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนี้นี่แหละ และก็แน่นอนว่าไม่ใช่เฉพาะแค่การกินเนื้อหมูเท่านั้น พวกเขาอยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่กินอะไรต่อมิอะไรสารพัดที่ถูกห้ามไว้ในบทเลวีนิติ ที่พวกเขานับอยู่ในพันธสัญญาเก่า ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่พวกเขาเคารพศรัทธาเป็นที่สุด
การเผยแผ่ศาสนาที่รับเอาคนเหล่านี้ ทั้งที่กินหมู กินสัตว์มีกระดองแข็งอย่างหอย อย่างปู หรืออีกหลายอย่างที่พระเป็นเจ้าขอให้งดเว้นเอาไว้ ดังปรากฏในเลวีนิติของพวกยิว คงจะทำให้บัญญัติข้อห้ามดังกล่าวถูกผ่อนปรนลงไปไม่น้อย ยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นส่วนเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้สังคมวัฒนธรรมของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง เท่าที่โลกเคยมีมาอย่าง “โรมัน” การประนีประนอมย่อมดูจะเป็นทางออกที่สวยงาม และดีสำหรับทุกฝ่ายมากที่สุด
แถมชาวคริสต์ในที่นี้ นับวันก็จะยิ่งผิดแผก และกลายเป็นคนละกลุ่มกับชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ไปแล้วนี่ครับ
การนั่งแทะกระดูกหมูสบายใจเฉิบของชาวโรมัน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหนๆ จึงไม่ใช่สิ่งที่ขัดตาอะไรเลย
และยิ่งหากว่าชาวโรมันคนนั้นจะเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปร่วมกินด้วย ก็น่าจะเป็นสิ่งที่น่าปลื้มปริ่มเสียนี่กระไร โดยเฉพาะเมื่ออันที่จริงแล้ว ก็ไม่มีหลักฐานตรงไหนบอกเอาไว้ชัดๆ เลยด้วยว่า พระเยซูเสวยหมู หรืออะไรที่ห้ามไว้ในเลวีนิติหรือเปล่าด้วยซ้ำไป
ในท้ายที่สุดเมื่อจักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงประกาศให้ “ศาสนาคริสต์” เป็นศาสนาประจำ “จักรวรรดิโรมัน” เมื่อ พ.ศ.๘๖๗ ป็นการยุติยุคของการหลบๆ ซ่อนๆ ของชาวคริสต์ทั้งหลาย พร้อมกับการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคที่คริสตจักรกุมอำนาจ อย่างแทบจะเบ็ดเสร็จในทวีปยุโรป หลังการสิ้นสลายของกรุงโรม แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
และยุคสมัยอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวง บิชอป หรือแม้กระทั่งโป๊ปที่ไหนกันเล่า ที่จะไปสนใจว่า การกินหมูนี่มันผิดต่อพระเจ้าหรือเปล่า? สิ่งที่พวกเขาสนใจมากกว่าก็คือ การกินหมูนั้นมันผิดต่อพระเจ้าจริงหรือเปล่า? ต่างหาก
(แน่นอนว่า ไม่ว่าศาสนาคริสต์ทุกนิกายที่หันมากินหมูกันอย่างไม่สะทกสะท้าน อย่างน้อย คริสตจักรเอธิโอเปียออร์โธด็อกซ์ และนิกายเซเวนต์เดย์แอดเวนทิสต์ ก็ยังสมัครใจที่จะไม่กินหมูตามอย่างยิว อย่างไรก็ตาม ในที่นี้จะขอพูดถึงเฉพาะในภาพรวมของคริสต์ศาสนา)
ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่ว่า นึกจะกินหมู หรืออะไรก็ตามที่เคยมีข้อห้ามไว้แล้ว ก็กินมันโดยไม่สนใจพระเจ้าเลยนะครับ พวกชาวคริสต์ในยุคนั้นเองก็ต้องหาข้ออ้างในการกินหมูของพวกเขาอย่างเนียนๆ ด้วยเหมือนกัน
ข้อความบางตอนในบทปฐมกาล (
Book of Genesis
) ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ส่วนพันธสัญญาเก่า บอกว่า ในยุคหลังน้ำท่วมใหญ่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้มนุษย์สามารถกิน “ทุกอย่างที่เคลื่อนไหวได้” ซึ่งแน่นอนว่า “หมู” ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ ดังนั้น ถ้าเชื่อตามปฐมกาล พระเจ้าก็อนุญาตให้กินหมูได้ และถ้าชาวคริสต์จะกินหมูก็ไม่เห็นจะผิดอะไรไม่ใช่หรือครับ?
(การที่บางส่วน ซ้ำยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในพันธสัญญาเก่า หรือพระคัมภีร์ของพวกยิวอย่าง “ปฐมกาล” ระบุเอาไว้อย่างนี้ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงร่องรอยที่ว่า แต่เดิมนั้นชาวยิวก็คงจะบริโภคอะไรต่อมิอะไรที่เป็นข้อห้ามอยู่ในเลวีนิติด้วยเหมือนกัน)
แต่การอ้างข้อความในบทปฐมกาลยังไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะทำให้พวกเขาไม่ผิดบาปในการกินหมู เพราะยังมีอีกหลายตอนเลยทีเดียวในพันธสัญญาใหม่ (แน่นอนว่าคือสิ่งที่เขียนขึ้นหลังสมัยของพระคริสต์) ที่ระบุว่า พระเยซูทรงประกาศด้วยพระองค์เองว่า “อาหารทั้งหมดนั้นสะอาด”
ซึ่งก็หมายความว่า “หมู” นั้นก็สะอาดด้วย เช่น ความใน มาระโก (
Mark 7 : 18-19
), โรม (
Romans 14 : 2-3
), ๑โครินธ์ (
1 Corinthians 10 : 25
), กิจการ (
Acts 10 : 14-15
) และ โคโลสี (
Colossians 2 : 16-17
) เป็นต้น
เราอาจจะสรุปความเกี่ยวกับข้อห้ามเรื่องการกินอาหารประเภทต่างๆ ตามแนวคิดในศาสนาคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่ ได้อย่างชัดเจนที่สุดจาก ความจาก ๑ทิโทธี ในช่วงต้นของบทที่ ๔(
1 Timothy 4 : 1-5
) ซึ่งมีความระบุว่า
“…บัดนี้ พระวิญญาณได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่า ในกาลภายหลังจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ…(เขา) ห้ามรับประทานอาหารซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานด้วยขอบพระคุณ ด้วยว่าสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้าแม้รับประทานด้วยขอบพระคุณ ก็ไม่ห้ามเลยสักสิ่งเดียวเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ชำระไว้แล้ว โดยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน…”
การณ์จึงกลับกลายเป็นว่า สำหรับชาวคริสต์แล้วพวกที่ไม่กินหมู (และอะไรอีกหลายอย่างตามข้อห้ามในเลวีนิติ) นั่นต่างหากที่ถูกปีศาจล่อลวง เพราะว่าพระเยซูได้บอกเอาไว้อย่างนั้น ใครก็ตามที่ไม่กินหมูจึงเป็นผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระคริสต์
แน่นอนว่าพวกหนึ่งที่ไม่ศรัทธานั้นก็คือพวกยิวที่ไม่กินหมูมาแต่เดิม แต่อีกพวกหนึ่งที่จะเกิดขึ้นมาภายภาคหน้าก็คือ ศาสนาอิสลาม
คอลัมน์
ON History
โดย ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
มติชนสุดสัปดาห์
«
แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 ธันวาคม 2560 12:03:26 โดย Kimleng
»
บันทึกการเข้า
กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [
1
]
ขึ้นบน
พิมพ์
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
กระโดดไป:
เลือกหัวข้อ:
-----------------------------
จากใจถึงใจ
-----------------------------
=> หน้าบ้าน สุขใจ
===> สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน)
===> สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก)
===> สุขใจ ให้ละเลง (มุมทดสอบบอร์ด)
-----------------------------
สุขใจในธรรม
-----------------------------
=> พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
===> พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
===> ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล
===> ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน
===> นิทาน - ชาดก
=====> ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ
=> ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
===> ธรรมะจากพระอาจารย์
===> เกร็ดครูบาอาจารย์
=> ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
=> สมถภาวนา - อภิญญาจิต
=> จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม
=> เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ
===> เอกสารธรรม
===> เสียงธรรมเทศนา
=====> ธรรมะจาก สมเด็จโต
=====> ธรรมะจาก หลวงปู่มั่น
=====> เสียงบทสวดมนต์
=====> เพลงสวดมนต์
=====> เพลงเพื่อจิตสำนึก แด่บุพการี
=====> ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป)
===> ห้อง วีดีโอ
=> เกร็ดศาสนา
=> กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
=> ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก
=> บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม
=> พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
===> พุทธวัจนะ ในธรรมบท
===> พุทธศาสนสุภาษิต
===> คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด
===> รวมข่าวภัยพิบัติ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน
===> รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ)
=> ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม
===> ฐานข้อมูล มูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทย (Donation Exchange Center)
-----------------------------
วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ
-----------------------------
=> วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ
===> เรื่องราว จากนอกโลก
=====> ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO
=====> หลักฐาน และ การพิสูจน์ยูเอฟโอ
=====> คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ
=> ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม
=> เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ
===> ร้อยภูติ พันวิญญาณ
=====> ประสบการณ์ ผี ๆ
=======> เรื่องเล่าในรั้วมหาลัย
=====> ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี
===> ดูดวง ทำนายทายทัก
===> ไดอะล็อก คือ ดอกอะไร - พลังไดอะล็อก (Dialogue)
===> กระบวนการ NEW AGE
=> เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ
-----------------------------
นั่งเล่นหลังสวน
-----------------------------
=> สุขใจ จิบกาแฟ
=> สุขใจ ร้านน้ำชา
=> สุขใจ ห้องสมุด
===> สุขใจ หนังสือแนะนำ
===> สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก
===> สยาม ในอดีต
=> สุขใจ ใต้เงาไม้
=> สุขใจ ตลาดสด
=> สุขใจ อนามัย
=> สุขใจ ไปเที่ยว
=> สุขใจ ในครัว
===> เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว
=> สุขใจ ไปรษณีย์
=> สุขใจ สวนสนุก
===> ลานกว้าง (มุมดูคลิป)
===> เวที จำอวด (จำอวดหน้าม่าน)
===> หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง)
===> หน้าเวที (มุมฟังเพลง)
=====> เพลงไทยเดิม
===> แผงลอยริมทาง (รวมคลิปโฆษณาโดน ๆ)
คุณ
ไม่สามารถ
ตั้งกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
ตอบกระทู้ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ได้
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความได้
BBCode
เปิดใช้งาน
Smilies
เปิดใช้งาน
[img]
เปิดใช้งาน
HTML
เปิดใช้งาน
กำลังโหลด...