[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 06:47:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัจธรรมนำหลุดพ้น  (อ่าน 5599 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sometime
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 29 เมษายน 2553 08:38:34 »

http://img256.imageshack.us/img256/773/p2400341.jpg
สัจธรรมนำหลุดพ้น

<table class="maeva" cellpadding="0" cellspacing="0" border="0" style="width: 800px" id="sae1"> <tr><td style="width: 800px; height: 576px" colspan="2" id="saeva1"><script type="text/javascript"><!-- // --><![CDATA[ var oldLoad = window.onload; window.onload = function() { if (typeof(oldLoad) == "function") oldLoad(); if (typeof(aevacopy) == "function") aevacopy(); } // ]]></script><embed type="application/x-mplayer2" src="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" width="800px" height="576px" wmode="transparent" quality="high" allowFullScreen="true" allowScriptAccess="never" ShowControls="True" autostart="false" autoplay="false" /></td></tr> <tr><td class="aeva_t"><a href="http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma</a></td><td class="aeva_q" id="aqc1"></td></tr></table>


>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>Chiniese Version<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<



你的英雄。
善良的人他必须诚实...他将永远有一个良好的
哈努曼先导化合物
路释放痛苦。
是唯一的出路。必须削减,以减少染上吸烟习惯。
习惯是所有可能的....我们必须设法削减到实际的日常
小一天又一天,小时...它实际上是下降了实际。
如果我们知道和遵守它....不剪不低。是不是非常有用。习惯,因为它仍然是相同的。
真理的实践... 为了削减习惯不同的激情。
所有的男人和所有世俗的....我这样做。
只有头部释放实现苦难圣...他将削减习惯彻底。每一个情绪结束。
但是,如果世俗和实践。 ...将能够摆脱因果报应。
是从痛苦的相同的路径。
我们也有许多习惯
如果A。ม่开始切割开始减少。现在...你会等待一天以上。
请确保....死。将要出生的人了!
有些事情犯了一个错误。我们仍然不知道。
真理是佛陀的所有他的教诲。
哈努曼先导化合物
习惯。
是一种习惯,他们是看不见的。
这是根深蒂固的习惯自诞生。
习惯.........是任何行动的身份,在过去重复。
孩子出生于一次。从同一个母亲。出生地点在同一时间。
习惯是不一样.............因为该行动在过去的身份,不一样的。
告诉世界,我们有具体和抽象
打印机友好的版本...我们的身体。我们认为这是我说...混凝土
这个习惯...我说,我们没有看到....摘要
抽象的,而是习惯没有看到这个...有更具体的结果。
影响身体和行动是...的行为。
实践表明,...它开始与丝绸。
和身份不可见...所谓习惯它影响到我们吗?。
行动,也经常。 ....它成为一种习惯。
是习惯的行动身份。
也被称为...剂。
这一行动是真实的。该行动是不是死返回的行动。
这个真理是错误的..................所有的人应该学习了解
主要是因为只有在稳定的刺绣...
家庭真相公平
哈努曼先导化合物。
的重要性习惯。
习惯................是什么吸引了我们的世界
如果习惯,最终能切出....我释放痛苦。不要化身。
所有行动的身份...习惯削减会回来。无需再次体现。
哈努曼先导化合物。”
真理是行动。
仙................... 是得当。
沉思....这是用来释放浓度考虑的困扰。
属性可以是...从他们习惯造业
哈努曼先导化合物。”
职务之路。
佛是一个人
圣他的弟子。是同一个人。
他的弟子也进行后续的真理。切激情不同的习惯。至于会做佛
释放正在遭受同样的方式。
以同样的方式行事。
最相似的涅槃。
但不同的是.............................职责之一。
济佛。教学的启示是真理,真理是错误的。关于什么是发现的重要性。
慈悲是提供给球迷。为了使机器的世界中,释放痛苦的动物。
佛教圣,遵循佛陀的教诲。
有的带来了他们释放童。一个锡克就是其中之一。一些帮助传福音。
哈努曼先导化合物。
打破人们的期望就像
对自己的真相...
不要相信人们会
不要看到别人的近期
他们的行动是住房

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:46:53 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 08:40:25 »

http://img256.imageshack.us/img256/773/p2400341.jpg
สัจธรรมนำหลุดพ้น


每一天时间,任何一天。
每天例行的交替轮换下去。
哈努曼先导化合物。
真理错误削减习惯。树立生活的真理。以自己的行动.
不是别人错了
是不是好人
在每天1小时的练习,每一天
为了使定期进行。它可以变得相当。
永远相当根深蒂固。
哈努曼先导化合物
历史上清洗他们缺乏真正的
人们认为自己输了。
做法佛陀教导的真理...原因。小时的真理。
真理.................小时提到。你自己的预测。可以是真实的。
所有的集中审议自己。
这一行动是一种新的生活。
重要的是,中午的行动身体,言语和思想,因为它所有的比赛。
哈努曼先导化合物。”
梦的父亲。图表泰国没有损坏
泰国国家到泰国王国。
如果泰国人分歧。泰国王国将分开
电影广场提供的真理...不偏袒任何一方。
哈努曼先导化合物。”
2552年12月2日。
不那里诊所้ำ人。
但这个世界是每个人都做错了对方。
但是,当他犯错了。他的业力已经受到...我们将加剧他们更多或!
如果我们的身体,言语和心灵。为了加重他....我出现在我们的心中同情,这ä ¸玛哈了。
对吗?
哈努曼先导化合物。”
阿无名氏。
它将给人们的新更多...
然后,将有更多的....................不知道结束。
任何对佛陀的真理....纹身切实际每天一个小时。
匿名............................将下降并最终消失。
哈努曼先导化合物。
天堂这难道不是人们理解。
哈努曼先导化合物。”
谁才能诞生要继续减少的宗教中心。
哈努曼先导化合物。”
真实性。
高坝洲这不是...
但是,罗古ต购物表现在对妇女草稿。
在上面的人类世界。宇宙仔细了解每一个故事。
更重要的漏洞。黑箱操作的每一步都在....佛陀他的所有。
哈努曼先导化合物。”
男人的新方案。
他们的母语习惯每一个生物是一个长期使用的程序。从一开始。
释放痛苦....是驳斥他们的习惯。
我们必须把新方案... 推翻性质
方案反驳习惯............. 事实是,我们成立了自己的一些习惯切割。
释放的痛苦...不体现。为驳斥他们的习惯是完全封闭。
我们必须削减到实际的天...相信大家都知道他们的做法。
切佛习惯跟着他所有的特质....其实是实践。
哈努曼先导化合物。”
他是自我避难。
真理的泰国人民。诊所泰国协助逃生。
因为该法并没有死。
哈努曼先导化合物。
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:32:46 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 08:53:38 »




...........................เวอร์ชั่นของหลวง ปู่ชา สุภัทโท..............................


..............................อ่านเวอร์ชั่นนี้จะเข้าใจดีกว่า..............................


คัดบางตอนจากเทปธรรมมะเรื่อง(กบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัว)ซื้อไว้หลายปีแล้วร้านธรรมเจริญอยู่แถวท่าพระจันทร์


สองหน้าของสัจจธรรมพระโพธิญาณเถร หลวงปู่ ชา สุภัทโทวัดหนองป่าพง อำเเภอวารินชำราช จังหวัดอุบลราชธานี


ในชีวิตของเรามีทางเลือกอยู่สองทาง คือ คล้อยไปกับโลก หรือพยายามปฏิบัติให้อยู่เหนือโลก พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงปฏิบัติจนพระองค์เองทรงพ้นโลกด้วยการตรัสรู้สัมมา สัมโพธิญาณ ในทำนองเดียวกัน ปัญญาก็มีสอง คือ ปัญญาโลกีย์ กับปัญญาโลกุตตระ
หากเราไม่ภาวนาฝึกปฏิบัติอบรมตนเองถึงจะมีปัญญาปานใด ก็เป็นเพียงปัญญาโลกีย์ เป็นโลกีย์วิสัย จะหลุดพ้นโลกไปไม่ได้ เพราะโลกีย์วิสัยนั้นมันเวียนไปตามโลก เมื่อเวียนคล้อยไปตามโลกจิตก็เป็นโลก คิดอยู่แต่จะหามาใส่ตัว อยู่ไม่เป็นสุข หาไม่รู้จักพอ วิชาโลกีย์ก็เลยกลายเป็นอวิชชา หาใช่วิชชาความรู้แจ้งไม่ มันจึงเรียนไม่จบสักที เพราะมัวไปตามลาภ ตามยศ ตามสรรเสริญ ตามสุข พาใจให้ติดข้อง เป็นกิเลสกองใหญ่
เมื่อได้มาก็หึงก็หวง เห็นแก่ตัว สู้ด้วยกำปั้นไม่ได้ ก็คิดสร้างเครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องกลไก สร้างศาสตราอาวุธ สร้างลูกระเบิดขว้างใส่กัน นี่คือโลกีย์ มันไม่หยุดสักที เรียนไปก็เพื่อจะเอาโลก จะครองโลก ได้อะไรก็หวงอยู่นั่นแหละ นี่คือโลกีย์วิสัย เรียนไปแล้วก็จบไม่ได้
มาฝึกทาง โลกกุตตระ โลกุตตระนี้อยู่ได้ยาก ผู้ใดหวังมรรค หวังผล หวังนิพพานจึงจะทนอยู่ได้ จงทำตนให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ทำให้มันหมดโลกีย์
ถ้าเชื้อโลกีย์ไม่หมด มันก็ยาก มันยุ่ง ไม่หยุดสักที แม้มาบวชแล้วก็ยังคอยดึงให้ออกไป มันมาคอยปรุงคอยแต่งความรู้อยู่นั่นแล้วทำให้ใจติดข้อง
อยู่ในกามคุณทั้งห้า คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อารมณ์ของใจเป็นกาม คือ ความใคร่ในความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว สารพัดอย่าง มีแต่กามทั้งนั้น
คนไม่รู้จักก็ว่าจะทำสิ่งในโลกนี้ให้มันเสร็จให้มันแล้ว เหมือนคนที่มาเป็นรัฐมนตรีใหม่ ก็คิดว่าตนต้องทำได้ บริหารได้ แล้วก็เอาอะไร ๆ ที่คนเก่าทำไว้ออกไปเสีย เอาวิธีบริหารของตนเข้ามาใช้แทน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:37:59 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 08:56:07 »




ก็เลยต้องได้ หามกันออก หามกันเข้าอยู่อย่างนั้น ไม่ได้เรื่องสักที ที่ว่าจะทำให้เสร็จ มันก็ไม่เสร็จ
เพราะจะทำให้ถูกใจคนทุกคนนั้น มันทำไม่ได้หรอก
คนหนึ่งชอบน้อย คนหนึ่งชอบมาก คนหนึ่งชอบสั้น คนหนึ่งชอบยาว คนหนึ่งชอบเค็ม คนหนึ่งชอบเผ็ด จะให้เหมือนกันนั้นไม่มีในโลก
คนอยู่ครองโลก ครองบ้าน ครองเมือง ทำทุกอย่างก็อยากให้มันสำเร็จ แต่ไม่มีทางสำเร็จหรอก เรื่องของโลกมันจบไม่เป็น ถ้าทำตามโลกแล้วจบได้ พระพุทธเจ้าท่านก็คงทรงทำแล้ว เพราะท่านครองโลกอยู่ก่อน แต่นี่มันทำไม่ได้
ในเรื่อง ของกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น รูปอะไรก็ไม่จับใจเท่ารูปหญิง ผู้หญิงรูปร่างบาดตา ก็ชวนมองอยู่แล้ว ยิ่งเดินซ้อกแซ้ก ซ้อกแซ้ก ก็ยิ่งมองเพลิน
เสียงอะไรจะมาจับใจเท่าเสียงผู้หญิง เป็นไม่มี มันบาดถึงหัวใจ กลิ่นก็เหมือนกัน กลิ่นอะไรก็ไม่เหมือนกลิ่นผู้หญิง ติดกลิ่นอื่นก็ไม่เท่าติดกลิ่นผู้หญิง
มันเป็นอย่างนั้น
รสอะไรก็ ไม่เหมือน รสข้าว รสแกง รสสารพัดก็ไม่เทียบเท่ารสผู้หญิง หลงติดเข้าไปแล้วถอนได้ยาก เพราะมันเป็นกาม โผฏฐัพพะก็เช่นกัน จับต้องอะไรก็ไม่ทำให้มึนเมาปั่นป่วน จนหัวชนกันเหมือนกับจับต้องผู้หญิง
ฉะนั้น เมื่อลูกท้าวพญาที่ไปเรียนวิชากับอาจารย์ตักศิลาจนจบแล้ว จะลาอาจารย์กลับบ้าน อาจารย์จึงสอนว่า เวทย์มนต์กลมายาอะไร ๆ ก็สอนให้ บอกให้จนหมดแล้ว เมื่อกลับไปครองบ้านครองเมืองแล้ว มีอะไรมาก็ไม่ต้องกลัว จะสู้ได้หมดทั้งนั้น
จะมีสัตว์ประเภทใดมาก็ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์มีฟันอยู่ในปาก หรือมีเขาอยู่บนหัว มีงวง มีงา ก็คุ้มกันได้ทั้งสิ้น แต่ไม่รับรองอยู่เฉพาะสัตว์จำพวกหนึ่ง ที่เขาไม่ได้อยู่บนหัว แต่หากไปอยู่ที่ห้าอก สัตว์ชนิดนี้ไม่มีมนต์ชนิดใดจะคุ้มกันได้ มีแต่จะต้องคุ้มกันตัวเองรู้จักไหม สัตว์ที่เขาอยู่หน้าอกนั่นแหละ ท่านจึงให้รักษาตัวเอาเอง
ธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจแล้ว ทำให้อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากได้สิ่ง อยากได้ของ ธรรมารมณ์อย่างนั้น ไม่พอให้ล้มตาย แต่ถ้าเป็นธรรมารณ์ที่ชุ่มด้วยน้ำกามเกิดขึ้นแล้ว มันทำให้ลืมพ่อลืมแม่ แม้พ่อแม่เลี้ยงมา ก็หนีจากไปได้โดยไม่คำนึงถึง พอเกิดขึ้นแล้วรั้งไม่อยู่สอนก็ไม่ฟัง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:38:35 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 08:58:42 »




รูปหนึ่ง เสียงหนึ่ง กลิ่นหนึ่ง รสหนึ่ง โผฏฐัพพะหนึ่ง ธรรมารมณ์หนึ่ง เป็นบ่วง เป็นบ่วงของพญามาร พญามารแปลว่าผู้ให้ร้ายต่อเรา บ่วงแปลว่าเครื่องผูกพัน บ่วงของพญามารเปรียบได้กับแร้วของนายพราน นายพรานที่เป็นเจ้าของแร้ว นั่นแหละคือพญามาร เชือกเป็นบ่วงเครื่องผูกของนายพราน
สัตว์ทั้งหลายเมื่อไปติดบ่วงเข้าแล้ว ลำบาก มันผูกไว้ ดึงไว้ รอจนเจ้าของแร้วมาเหมือนกับนกไปติดแร้วเข้า แร้วมันรัดถูกคอ ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุดดิ้นปัดไปปัดมาอย่างนั้นแหละ มันผูกไว้คอยนายพรานเจ้าของแร้วครั้นเจ้าของมาเห็นก็จบเรื่อง นั้นแหละพญามาร นกกลัวมาก สัตว์ทั้งหลายกลัวมาก เพราะหนีไปไหนไม่พ้น
บ่วงก็เช่นกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นบ่วงผูกเอาไว้ เมื่อเราติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกันกับปลากินเบ็ด รอให้เจ้าของเบ็ดมา ดิ้นไปไหนก็ไม่หลุด อันที่จริงแล้วมันยิ่งกว่าปลากินเบ็ด ต้องเปรียบได้กับกบกินเบ็ด เพราะกบกินเบ็ดนั้น มันกินลงไปถึงไส้ถึงพุง แต่ปลากินเบ็ด ก็กินอยู่แค่ปลา
คนติดใน รูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ก็เหมือนกัน แบบคนติดเหล้า ถ้าตับยังไม่แข็ง ไม่เลิก ติดตอนแรก ๆ ก็ยังไม่รู้จักเรื่อง ก็หลงเพลิดเพลินไปเรื่อย ๆ จนเกิดโรคร้ายขึ้นนั่นแหละเป็นทุกข์
เหมือนบุรุษผู้หนึ่งหิวน้ำจัด เพราะเดินทางมาไกล มาขอกินน้ำ เจ้าของน้ำก็บอกว่า น้ำนี้จะกินก็ได้ สีมันก็ดี กลิ่นมันก็ดี รสมันก็ดี แต่กินเข้าไปแล้ว มันเมานะ บอกให้รู้เสียก่อน เมาจนตายหรือเจ็บเจียนตายนั่นแหละ แต่บุรุษผู้หิวน้ำก็ไม่ฟัง เพราะหิวมาก เหมือนคนไข้หลังผ่าตัดที่ถูกหมอบังคับให้อดน้ำก็
ร้องขอน้ำกิน
คนหิวในกามก็เหมือนกัน หิวในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ล้วนของเป็นพิษ พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น มันเป็นพิษ เป็นบ่วง ก็ไม่ฟังกัน เหมือนกับบุรุษหิวน้ำผู้นั้น ที่ไม่ยอมฟังคำเตือน
เพราะความหิวกระหายมันมีมาก ถึงจะต้องทุกข์ยากลำบากเพียงใด ก็ขอให้ได้กินน้ำเถอะ เมื่อได้กินได้ดื่มแล้ว มันจะเมาจนตายหรือเจียนตายก็ช่างมัน จับจอกน้ำได้ก็ดื่มเอา ดื่มเอา เหมือนกับคนหิวในกาม ก็กินรูป กินกลิ่น กินรส กินโผฏฐัพพะ กินธรรมารมณ์ รู้สึกอร่อยมาก ก็กินเอา กินเอาหยุดไม่ได้ กินจนตาย ตายคากาม
อย่างนี้ท่านเรียกว่าติดโลกีย์วิสัย ปัญญาโลกีย์ก็แสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ถึงปัญญาจะดีสักปานใด ก็ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่นั่นเองสุขปานใดก็แค่สุขโลกีย์ มันไม่สุขเหมือนโลกุตตระ คือมันไม่พ้นโลก
การฝึกใน ทางโลกุตตระ คือ ทำให้มันหมดอุปทาน ปฏิบัติให้หมดอุปทาน ให้พิจารณาร่างกายนี่แหละ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้มันเบื่อ ให้มันหน่ายจนเกิดนิพพิทา ซึ่งเกิดได้ยาก มันจึงเป็นของยาก ถ้าเรายังไม่เห็นก็ยิ่งดูมันยาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:39:19 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:01:14 »




ราทั้งหลายพา กันมาบวช เรียน เขียน อ่าน มาปฏิบัติภาวนา ก็พยายามตั้งใจของตัวเอง แต่ก็ทำได้ยาก กำหนดข้อประพฤติปฏิบัติไว้อย่างนี้อย่างนั้นแล้ว ก็ทำได้เพียงวันหนึ่ง สองวัน หรือแค่สองชั่วโมง สามชั่วโมง ก็ลืมเสียแล้วพอระลึกขึ้นได้ ก็จับมันตั้งไว้อีก ก็ได้เพียงชั่วคราว
พอรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ผ่านมา ก็พังไปเสียอีกแล้ว พอนึกได้ ก็จับตั้งอีก ปฏิบัติอีก นี่ เรามักเป็นเสียอย่างนี้เพราะสร้างทำนบไว้ไม่ดี ปฏิบัติไม่ทันเป็นไม่ทันเห็น มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น มันจึงเป็นโลกุตตระไม่ได้ ถ้าเป็นโลกุตตระได้มันพ้นไปจากสิ่งทั้งหลายแล้ว มันก็สงบเท่านั้นเอง
ที่ไม่สงบทุกวันนี้ ก็เพราะของเก่ามันมากวนอยู่ไม่หยุด มันตามมาพัวพัน เพราะมันติดตัวเคยชินเสียแล้ว จะแสวงหาทางออกทางไหนมันก็คอยมาผูกไว้ดึงไว้ ไม่ให้ลืมที่เก่าของมัน เราจึงเอาของเก่ามาใช้ มาชม มาอยู่ มากินกันอยู่อย่างนี้
ผู้หญิงก็มีผู้ชายเป็นอุปสรรค  ผู้ชายก็มีผู้หญิงเป็นอุปสรรค มันพอปานกัน ถ้าผู้ชายอยู่กับผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่มีอะไร หรือผู้หญิงอยู่กับผู้หญิงด้วยกัน มันก็อย่างนั้นแหละ แต่พอผู้ชายไปเห็นผู้หญิงเข้า หัวใจมันเต้นติ๊กตั๊ก ติ๊กตั๊ก ผู้หญิงเห็นผู้ชายเข้าก็เหมือนกัน หัวใจก็เต้นติ๊กตั๊ก ติ๊กตั๊ก เพราะมันดึงดูดซึ่งกันและกัน
นี่ก็เพราะไม่เห็นโทษของมัน หากไม่เห็นโทษแล้ว ก็ละไม่ได้ ต้องเห็นโทษในกามและเห็นประโยชน์ในการละกามแล้ว จึงจะทำได้ หากปฏิบัติยังไม่พ้น แต่พยายามอดทนปฏิบัติต่อไป ก็เรียกว่าทำได้ในเพียงระดับของศีลธรรม แต่ถ้าปฏิบัติได้เห็นชัดแล้ว จะไม่ต้องอดทนเลย ที่มันยากมันลำบากก็เพราะยังไม่เห็น
ในทางโลก นั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราทำไว้ ถ้าจวนเสร็จเรียบร้อย เราก็สบายถ้ายังไม่เสร็จก็เป็นห่วงผูกพัน นี่คือโลกีย์ มันผูกพันตามไปอยู่เรื่อย ว่าจะทำให้หมดนั้น มันหมดไม่เป็นหรอก เหมือนกันกับพ่อค้า พบใครก็ว่า ถ้าหมดหนี้หมดสินแล้วจะบวช
เมื่อไร จะหมดเป็น เพราะพอหมดหนี้เก่า ก็กู้มาใหม่อีก พ่อค้าก็ไม่มีวันหมดหนี้หมดสิน เมื่อกู้ไม่หยุด แล้วจะหมดได้อย่างไร นี่แหละปัญญาโลกีย์
การปฏิบัติของเรานี่ก็ให้เฝ้าดูจิตใจไว้  ข้อวัตรข้อใดมันหย่อน พอเห็น พอรู้สึก ก็ให้ตั้งขึ้นใหม่ ถ้ามันหย่อนอีก ผู้มีสติก็ต้องจับมันตั้งขึ้นอีกส่วนผู้ไม่มีสติก็จะปล่อยไปเลย ผู้มีสติก็ดึงขึ้นมา ทำอยู่อย่างนั้นแหละ เรียกว่าทำไม่รู้จักแล้ว เพราะว่ามันเป็นโลกีย์ มันจึงดึงไปดึงมา อยู่นั่นแหละ
การมาบวชนั้นเป็นของยาก จะต้องตั้งอกตั้งใจ เป็นผู้มีศรัทธาปฏิบัติไปจนมันรู้ มันเห็นตามความเป็นจริง มันจึงจะเบื่อ เบื่อนั้น ไม่ใช่ชัง ต้องเบื่อทั้งรักทั้งชัง เบื่อทั้งสุขทั้งทุกข์ คือเห็นทุกอย่างไม่เป็นแก่นสารนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:39:52 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:03:18 »




ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นซับซ้อน ไม่เห็นได้โดยง่าย ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว เห็นไม่ได้ เหมือนเราได้ไม้มาท่อนหนึ่ง เป็นไม้ท่อนใหญ่ แต่ความเป็นจริงไม้ท่อนน้อยก็แทรกอยู่ในไม้ท่อนใหญ่นั้นแหละ หรือได้ไม้ท่อนน้อยมา ไม้ท่อนใหญ่มันก็แทรกอยู่ในนั้นด้วย
โดยมากคนเราเห็นไม้ท่อนใหญ่ ก็เห็นแต่ว่ามันใหญ่ เพราะคิดว่าน้อยจะไม่มี ได้ไม้ท่อนน้อยก็เห็นแต่มันน้อย เพราะคิดว่าใหญ่ไม่มีมันไม่มองไปข้างหน้า ไม่มองไปข้างหลัง เมื่อสุขก็นึกว่าจะมีแต่สุข เมื่อทุกข์ก็นึกว่าจะมีแต่ทุกข์ ไม่เห็นว่าทุกข์อยู่ตรงไหน สุขก็อยู่ ที่นั่น สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็อยู่ที่นั้น ไม่เห็นว่าใหญ่อยู่ที่ไหน น้อยก็อยู่ที่นั้น น้อยอยู่ที่ไหน ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น ให้คิดเห็นอย่างนั้น
คนเราไม่รู้จักคิดย้อนหน้าย้อนหลัง เห็นแต่หน้าเดียวไปเลย จึงไม่จบสักที ทุกอย่างมันต้องเห็นสองหน้า มีความสุขเกิดขึ้นมา ก็อย่าลืมความทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นมา ก็อย่าลืมสุข มันเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน เช่นว่า อาหารนั้นเป็นคุณแก่มนุษย์แก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นประโยชน์แก่ร่างกายอย่างนี้ เป็นต้น
แต่ความเป็นจริงอาหารเป็นโทษก็มีเหมือนกัน มิใช่มันจะให้คุณแต่อย่างเดียว มันให้โทษด้วยก็มี เมื่อใดเราเห็นคุณ ก็ต้องเห็นโทษของมันด้วย เห็นโทษก็ต้องเห็นคุณด้วย เมื่อใดมีความชัง ก็ให้นึกถึงความรัก คิดได้อย่างนี้ จะทำให้จิตใจของเรา ไม่ซวนเซไปมา
ได้อ่านหนังสือของเซ็นที่พวกเซ็นเขาแต่ง พวกเซ็นเป็นพวกมุ่งปฏิบัติ เขาไม่ใคร่สอนกันเป็นคำพูดนัก เป็นต้นว่าพระเซ็นรูปหนึ่งนั่งหาวอนขณะภาวนาอาจารย์ก็ถือไม้มาฟาดเข้าที่ กลางหลัง ลูกศิษย์ที่ถูกตีก็พูดว่า "ขอบคุณครับ" เซ็นเขาสอนกันอย่างนั้น สอนให้เรียนรู้ด้วยการกระทำ
วันหนึ่งพระเซ็นนั่งประชุมกัน ธงที่ปักอยู่ข้างนอกก็โบกปลิวอยู่ไปมา พระเซ็นสององค์ก็เกิดปัญหาขึ้นว่า ทำไมธงจึงโบกปลิวไปมา องค์หนึ่งว่าเพราะมีลม อีกองค์ก็ว่า เพราะมีธงต่างหาก ต่างก็โต้เถียงโดยยึดความคิดเห็นของตน อาจารย์ก็เลยตัดสินว่า มีความเห็นผิดด้วยกันทั้งคู่ เพราะความจริงแล้วธงก็ไม่มี ลมก็ไม่มี
นี่ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ อย่าให้มีลม อย่าให้มีธง ถ้ามีธงก็ต้องมีลม ถ้ามีลมก็ต้องมีธง มันก็เลยจบกันไม่ได้สักที น่าเอาเรื่องนี้มาพิจารณา วางให้มันว่างจากลม ว่างจากธง ความเกิดไม่มี ความแก่ไม่มี ความเจ็บความตายไม่มี มันว่าง ที่เราเข้าใจว่าธง เข้าใจว่าลมนั้น มันเป็นแต่ความรู้สึกที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงมันไม่มี น่าจะเอาไปฝึกใจของเรา
ในความ ว่างนั้น มัจจุราชตามไม่ทันความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตามไม่ทัน มันหมดเรื่อง
ถ้าไป เห็นว่า มีธงอยู่ ก็ต้องมีลมมาพัด ถ้ามีลมอยู่ ก็ต้องไปพัดธง มันไม่จบสักที เพราะความเห็นผิด แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบแล้ว ลมก็ไม่มี ธงก็ไม่มี ก็เลยหมด หมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอย่าง
ถ้าเป็น โลกีย์วิสัย ก็สอนกันไม่จบ ไม่แล้วสักที เราฟังก็ว่ายาก เพราะมันเป็นปัญญาโลกีย์ หากเราพิจารณาได้ เราก็มีปัญญามาก พระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน เมื่อตอนที่ท่านครองโลกอยู่ ท่านก็มีปัญญาโลกีย์ ต่อเมื่อท่านมีปัญญามากเข้า ท่านจึงดับโลกีย์ได้ เป็นโลกุตตระ เป็นผู้เลิศในทางโลกไม่มีใครเหมือนท่าน
ถ้าเราทำความคิดไว้ในใจ ให้ได้ดังนี้ เห็นรูปก็ว่า รูปไม่มี ได้ยินเสียงก็ว่า เสียงไม่มี ได้กลิ่นก็ว่า กลิ่นไม่มี ลิ้มรสก็ว่า รสไม่มี มันก็หมด ที่เป็นรูปนั้น ก็เป็นเพียงความรู้สึก ได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าความรู้สึก ที่มีกลิ่น ก็สักแต่ว่ามีกลิ่น เป็นเพียงความรู้สึก รสก็เป็นแต่เพียงความรู้สึก แล้วก็หายไปตามความเป็นจริง ก็ไม่มี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:41:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #7 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:05:56 »




รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้เป็นโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตตระแล้ว รูปไม่มี เสียงไม่มี กลิ่นไม่มี รสไม่มี โผฏฐัพพะไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มี เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นเท่านั้น แล้วก็หายไป ไม่มีอะไร เมื่อไม่มีอะไร ตัวเราก็ไม่มี ตัวเขาก็ไม่มี
เมื่อตัว เราไม่มี ของเราก็ไม่มี ตัวเขาไม่มี ของเขาก็ไม่มี ความดับทุกข์นั้นเป็นไปในทำนองนี้ คือไม่มีใครจะไปรับเอาทุกข์ แล้วใครจะเป็นทุกข์ ไม่มีใครไปรับเอาสุข แล้วใครจะเป็นสุข
นี่พอทุกข์เข้าก็เรียกว่า เราทุกข์ เพราะเราไปเป็นเจ้าของมันก็ทุกข์ สุขเกิดขึ้นมา เราก็ไปเป็นเจ้าของสุข มันก็สุข ก็เลยยึดมั่นถือมั่น อันนั้นแหละเป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา ขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปอีกไม่จบ
การที่พวกเราทั้งหลายออกจากบ้านมาสู่ป่า ก็คือมาสงบอารมณ์ นี่ออกมาเพื่อสู้ ไม่ใช่หนีมาเพื่อหนี ไม่ใช่เพราะเราแพ้เราจึงมา
คนที่อยู่ในป่าแล้วก็ไปติดป่า คนอยู่ในเมือง แล้วก็ไปติดเมืองนั้น เรียกว่า คนหลงป่า คนหลงเมือง
พระพุทธเจ้าท่านว่า ออกมาอยู่ป่าเพื่อกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวกต่างหาก ไม่ใช่ให้มาติดป่า มาเพื่อฝึก เพื่อเพาะปัญญา มาเพาะให้เชื้อปัญญามันมีขึ้น อยู่ในที่วุ่นวาย เชื้อปัญญามันเกิดขึ้นยาก จึงมาเพาะอยู่ในป่า เท่านั้นเอง เพาะเพื่อจะกลับไปต่อสู้ในเมือง
เราหนี รูป หนีเสียง หนีกลิ่น หนีรส หนีโผฏฐัพพะ หนีธรรมารมณ์มาอย่างนี้ ไม่ใช่หนีเพื่อจะแพ้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หนีมาเพื่อฝึก หรือมาเพาะให้ปัญญาเกิด แล้วจะกลับไปรบกับมัน จะกลับไปต่อสู้กับมัน ด้วยปัญญาไม่ใช่เข้าไปอยู่ในป่าแล้ว ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส แล้วก็สบาย ไม่ใช่อย่างนั้นแต่ต้องการจะมาฝึก เพาะเชื้อปัญญาให้เกิดขึ้นในป่า ในที่สงบ เมื่อสงบแล้วปัญญาจะเกิด
เมื่อใคร่ครวญพิจารณาแล้ว ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา ก็เพราะเราโง่ เรายังไม่มีปัญญา แต่ความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้คือครูสอนเราอย่างดี
เมื่ออยู่ในป่าแล้ว อย่าไปยึดป่า อย่ามีอุปทานในป่า เรามานี้เพื่อมาทำให้ปัญญาเกิด ถ้ายังไม่มีปัญญา ก็จะเห็นว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้นเป็นปฏิปักษ์กับเรา เป็นข้าศึกของเรา
ถ้าปัญญาเกิดขึ้นแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้นไม่ใช่ข้าศึก แต่เป็นสภาวะที่ให้ความรู้ความเห็นแก่เราอย่างแจ้งชัด เมื่อสามารถกลับความเห็นอย่างนี้ แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว
ยกตัวอย่างง่าย ๆ อย่างไก่ป่า เราก็รู้กันทุกคนว่า ไก่ป่านั้นเป็นอย่างไร สัตว์ในโลกนี้ที่จะกลัวมนุษย์ ยิ่งไปกว่าไก่ป่านั้นไม่มีแล้ว เมื่อมาอยู่ในป่านี้ ครั้งแรก ก็เคยสอนไก่ป่า เคยเฝ้าดูมัน แล้วก็ได้ความรู้จากไก่ป่าหลายอย่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:41:56 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #8 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:08:16 »




ครั้งแรกมันมาเพียงตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่า มันจะเข้ามาใกล้ ก็ไม่มองมัน มันจะทำอะไร ก็ไม่มองมัน ไม่ทำกิริยาอันใดกระทบกระทั่งมันเลย ต่อไปก็ลองหยุดมองดูมัน พอสายตาเราไปถูกมันเข้า มันวิ่งหนีเลย แต่พอเราไม่มอง มันก็คุ้ยเขี่ยหาอาหารกิน ตามเรื่องของมัน แต่พอมองเมื่อไร ก็วิ่งหนีเมื่อนั้น
นานเข้าสักหน่อย มันคงเห็นความสงบของเรา จิตใจของมันก็เลยว่าง แต่พอหว่านข้าวให้เท่านั้น ไก่มันก็หนีเลย ก็ช่างมัน ก็หว่านทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตรงนั้นอีกแต่ยังไม่กล้ากินข้าวที่หว่านไว้ให้ มันไม่รู้จัก นึกว่าเราจะไปฆ่าไปแกงมัน เราก็ไม่ว่าอะไร กินก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง
ไม่สนใจกับมัน
ไม่ช้ามันก็ได้ไปคุ้ยเขี่ยหากินตรงนั้น มันคงเริ่มมีความรู้สึกของมันแล้ว วันต่อมาก็มาตรงนั้นอีก มันก็ได้กินข้าวอีก พอข้าวหมด ก็หว่านไว้ให้อีก แต่เมื่อทำซ้ำอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ ตอนหลังมันก็เพียงแต่เดินหนีไปไม่ไกล แล้วก็กลับมากินข้าวที่หว่านให้นั้น นี่ก็ได้เรื่องแล้ว
ตอนแรก ไก่มันเห็นข้าวสารเป็นข้าศึก เพราะมันไม่รู้จัก เพราะมันดูไม่ชัด มันจึงวิ่งหนีเรื่อยไป ต่อมามันเชื่องเข้า จึงกลับมาดูตามความเป็นจริงก็เห็นว่า นี่ข้าวสารนี่ ไม่ใช่ข้าศึก ไม่มีอันตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวันนี้ นี่เรียกว่า เราก็ได้ความรู้จากมัน
เราออกมา อยู่ในป่า ก็นึกว่า  รูป เสียง  กลิ่น รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ในบ้าน เป็นข้าศึกต่อเรา จริงอยู่ เมื่อเรายังไม่รู้ มันก็เป็นข้าศึกจริง ๆ แต่ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ก็เหมือนไก่รู้จักข้าวสารว่า เป็นข้าวสาร ไม่ใช่ข้าศึก ข้าศึกก็หายไป
เรากับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ ก็เหมือนกันฉันนั้น มันไม่ใช่ข้าศึกของเราหรอก แต่เพราะเราคิดผิด เห็นผิด พิจารณาผิด จึงว่ามันเป็นข้าศึก ถ้าพิจารณาถูกแล้ว ก็ไม่ใช่ข้าศึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ให้ความรู้ให้วิชา ให้ความฉลาดแก่เราต่างหาก
แต่ถ้า ไม่รู้ ก็คิดว่าเป็นข้าศึก เหมือนกันกับไก่ ที่เห็นข้าวสารเป็นข้าศึกมันนั่นแหละ ถ้ายังเห็นข้าวสารเป็นข้าวสารแล้ว ข้าศึกมันก็หายไป พอเป็นอย่างนี้ ก็เรียกว่า ไก่มันเกิดวิปัสสนาแล้ว เพราะมันรู้ตามเป็นจริง มันจึงเชื่อง ไม่กลัว ไม่ตื่นเต้น
เรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นี้ เป็นเครื่องให้เราตรัสรู้ธรรมะ เป็นที่ให้ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ถ้าเราเห็นชัดตามความเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นชัด ก็จะเป็นข้าศึกต่อเราตลอดไป แล้วเราก็จะหนีไปอยู่ป่าเรื่อย ๆ
อย่านึกว่า เรามาอยู่ป่าแล้ว ก็สบายแล้ว อย่าคิดอย่างนั้น อย่าเอาอย่างนั้น อยากเอาความสงบแค่นั้น ว่าเราไม่ค่อยได้เห็นรูป ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์แล้ว เราก็อยู่สบายแล้ว อย่าคิดเพียงแค่นั้น ให้คิดว่า เรามาเพื่อเพาะเชื้อปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อมีปัญญารู้ตามความเป็นจริงแล้วก็ไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ต่ำ ๆ สูง ๆ
พอถูก อารมณ์ดี ก็เป็นอย่างหนึ่ง ถูกอารมณ์ร้าย ก็เป็นอย่างหนึ่ง ถูกอารมณ์ที่ชอบใจ ก็เป็นอย่างหนึ่ง  ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่ายังเป็นข้าศึกอยู่ ถ้าหมดข้าศึกแล้ว มันจะเสมอกัน ไม่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ต่ำ ๆ สูง ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:42:44 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #9 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:10:35 »




รู้เรื่องของโลกว่า มันอย่างนั้นเองเป็นโลกธรรม โลกธรรมเลยเปลี่ยนเป็นมรรค โลกธรรมมีแปดอย่าง มรรคก็มีแปดอย่าง
โลกธรรมอยู่ที่ไหน มรรคก็อยู่ที่นั่น ถ้ารู้แจ้งเมื่อใด โลกธรรมเลยกลายเป็นมรรคแปด ถ้ายังไม่รู้ มันก็ยังเป็นโลกธรรม
เมื่อสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น ก็เป็นดังนี้ มันพ้นทุกข์อยู่ที่ตรงนี้ไม่ใช่พ้นทุกข์โดยวิ่งไปที่ตรงไหนฉะนั้น อย่าพรวดพราดการภาวนาต้องค่อย ๆ ทำการทำความสงบต้องค่อย ๆ ทำ มันจะสงบไปบ้างก็เอา มันจะไม่สงบไปบ้างก็เอา เรื่องจิตมันเป็นอย่างนั้น เราก็อยู่ของเราไปเรื่อย ๆ
บางครั้งปัญญามันก็ไม่เกิด ก็เคยเป็นเหมือนกันเมื่อไม่มีปัญญา จะไปคิดให้ปัญญามันเกิด มันก็ไม่เกิด มันเฉย ๆ อยู่อย่างนั้นก็เลยมาคิดใหม่เราจะพิจารณาสิ่งที่ไม่มี มันก็ไม่ได้ เมื่อไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปแก้มัน
ไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องไปแก้มันไม่ต้องไปค้นมันอยู่ไปเฉย ๆ ธรรมดา ๆ อย่างนั้นแหละแต่ต้องอยู่ด้วยความมีสติสัมปชัญญะอยู่ด้วยปัญญาไม่ใช่อยู่เพลินไปตามอารมณ์ อยู่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติของเราไปเรื่อย ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรมา ก็พิจารณา ถ้าไม่มี ก็แล้วไป
ได้ไปเห็นแมงมุมเป็นตัวอย่างแมงมุมทำรังของมันเหมือนข่าย มันสานข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่าง ๆ เราไปนั่งพิจารณาดูมันทำข่ายขึงไว้เหมือน
จอหนังเสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันเอง เงียบอยู่ตรงกลางข่าย ไม่วิ่งไปไหน พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่น ๆ บินผ่านข่ายของมัน
พอถูกข่ายเท่านั้นข่ายก็สะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันที ไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวไว้ที่กลางข่ายตามเดิม ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือน มันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้น แล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่ตรงกลางข่าย
ไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป
พอได้เห็นแมงมุมทำอย่านั้น เราก็มีปัญญาแล้ว อายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ใจอยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่าง ๆ พอรูปมา ก็มาถึงตา เสียงมา ก็มาถึงหู กลิ่นมา ก็มาถึงจมูก รสมา ก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกาย ใจเป็นผู้รู้จักมันก็สะเทือนถึงใจ เท่านี้ก็เกิดปัญญาแล้ว
เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้ เหมือนแมงมุม ที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมัน ไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่าง ๆ มาผ่านข่าย ก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ ก็ออกไปจับแมลงไว้ แล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม
ไม่แตกต่างอะไรกับใจของเราเลยอยู่ตรงนี้ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะอยู่ด้วยความระมัดระวังอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความคิดที่ถูกต้อง เราอยู่ตรงนี้ เมื่อไม่มีอะไร เราก็อยู่เฉย ๆ แต่ไม่ใช่อยู่ด้วยความประมาท
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:43:25 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
sometime
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #10 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:19:29 »




ถึงเราจะไม่เดินจงกรมไม่นั่งสมาธิไม่อะไรก็ช่างเถิด แต่เราอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ อยู่ด้วยความระมัดระวัง อยู่ด้วยปัญญา
ไม่ใช่อยู่ด้วยความประมาท นี่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่เราจะนั่งตลอดวันตลอดคืน เอาแต่พอกำลังของเรา ตามสมควรแก่ร่างกายของเรา
แต่เรื่องจิตนี้ เป็นของสำคัญมาก ให้รู้อายตนะว่า มันส่งส่ายเข้ามาเป็นอย่างไร ให้รู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เหมือนแมงมุมที่พอข่ายสะเทือน
มันก็วิ่งไปจับเอาตัวแมลงได้ทันที
ฉะนั้น เมื่ออารมณ์มากระทบอายตนะ มันก็มาถึงจิตทันที เมื่อไปจับผ่านทุกข์ ก็ให้เห็นมันโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้วจะเอามัน
ไว้ที่ไหนล่ะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหล่านี้ ก็เอาไปไว้เป็นอาหารของจิตของเรา ถ้าทำได้อย่างนี้มันก็หมดเท่านั้นแหละ
จิตที่มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอาหารเป็นจิตที่กำหนดรู้เมื่อรู้ว่าอันนั้นเป็นอนิจจังมันไม่เที่ยงทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา  ก็ไม่ใช่เราแล้วดูมันให้ชัด
มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นแก่นสาร จะเอามันไปทำไม มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของเรา จะไปเอาอะไรกับมัน มันก็หมดตรงนี้
ดูแมงมุมแล้ว ก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา เราก็เหมือนกันเท่านั้น ถ้าจิตเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  มันก็วาง ไม่เป็นเจ้าของสุขไม่เป็นเจ้าของทุกข์อีกแล้ว ถ้าเห็นชัดได้อย่างนี้ มันก็ได้ความเท่านั้นแหละ จะทำอะไร ๆ อยู่ก็สบาย ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มีแต่การภาวนาจะเจริญยิ่งขึ้นเท่านั้น
ถ้าทำอย่างนี้อยู่ด้วยความระมัดระวัง ก็เป็นการที่เราจะพ้นจากวัฏสารได้ ที่เรายังไม่พ้นจากวัฏสงสาร ก็เพราะยังปรารถนาอะไร ๆ อยู่ทั้งนั้น
การไม่ทำผิด ไม่ทำบาปนั้น มันอยู่ในระดับศีลธรรม เวลาสวดมนต์ก็ว่า ขออย่าให้พลัดพรากจากของที่รักที่ชอบใจ
อย่างนี้ มันเป็นธรรมของเด็กน้อย เป็นธรรมของคนที่ยังปล่อยอะไรไม่ได้ นี่คือความปรารถนาของคน ปรารถนาให้อายุยืน ปรารถนาไม่อยากตาย ปรารถนาไม่อยากเป็นโรค ปรารถนาไม่อยากอย่างนั้นอย่างนี้ นี่แหละความปรารถนาของคน
ยัม ปิจฉัง นะละภะติ ตัมปิทุกขัง ความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ นี่แหละมันสับหัวเข้าไปอีก มันเป็นเรื่องปรารถนาทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ปรารถนาอย่างนั้นทุกคน ไม่เห็นมีใครอยากหมด อยากจนจริง ๆสักคน
การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งละเอียดผู้มีกิริยานุ่มนวล สำรวม ปฏิบัติไม่เปลี่ยนแปลงสม่ำเสมออยู่เรื่อยนั่นแหละจึงจะรู้จักมันจะเกิดอะไรก็ช่างมันเถิด
ขอแต่ให้มั่งคงแน่วแน่เอาไว้ อย่าซวนเซหวั่นไหว
ใจของเรานี่มันอยู่ในกรง ยิ่งกว่านั้นมันยังมีเสือที่กำลังอาละวาดอยู่ในกรงนั้นด้วย ใจที่มันเอาแต่ใจของเรานี้ ถ้าหากมันไม่ได้อะไรตามที่
มันต้องการแล้ว มันก็อาละวาด เราจะต้องอบรมใจด้วยการปฏิบัติภาวนาด้วยสมาธิ นี่แหละที่เราเรียกว่า การฝึกหัวใจ
คำว่า ทิ้ง หรือ ปล่อยวาง ไม่ใช่ไม่ต้องปฏิบัติ แต่หมายความว่า ให้ปฏิบัติ การละ - การปล่อยวางนั่นแหละ



.................................จบตอนสองหน้าของสัจธรรม..........................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 เมษายน 2553 09:44:07 โดย บางครั้ง » บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0 MS Internet Explorer 8.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 29 เมษายน 2553 09:41:46 »


http://img100.imageshack.us/img100/4913/gd9.jpg
สัจธรรมนำหลุดพ้น


สาธุ สาธุ สาธุค่ะ น้อง"บางครั้ง"
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.32 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 13:46:44