ภาพเก่าเล่าตำนาน------------------------------------
รูปถ่ายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมรํสี) วัดระฆังโฆสิตารามสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม สันนิษฐานว่า ถ่ายเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๐๗ ในคราวได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ชั้นหิรัญบัตร
ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในลักษณะนั่งสมาธิบริกรรมคาถา ครองจีวรลายดอกพิกุล ขนาบข้างด้วยพัดสองเล่ม เล่มขวามือท่านคือพัดยศประจำตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ โดยมีลูกศิษย์
คอยประคอง (พัดเห็นโครงข้างในคงใช้มาแต่ต้นกรุง เลยคร่ำคร่านัก) เล่มซ้าย ได้แก่พัดวีชนีโดยมีสามเณรยืนประคองเช่นกัน
[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
silpa-mag.com]
วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าวัดมีรถรางไฟฟ้าวิ่งบนถนนจักรพงษ์วัดชนะสงคราม สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ วัดกลางนา ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ได้มีชาวมอญมาอาศัยอยู่บริเวณวัด และได้นิมนต์พระสงฆ์มอญมาอยู่จำพรรษา
แล้วเรียกชื่อใหม่ว่า วัดตองปุ ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ ได้ทรงสถาปนาใหม่ขึ้นทั้งพระอาราม
ด้วยพระองค์ทรงตั้งนิวาสถานอยู่หลังวัดในขณะทรงรับราชการในพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาเมื่อทรงทำสงครามชนะอริราชศัตรูในสงคราม ๙ ทัพ รัชกาลที่ ๑
จึงทรงเปลี่ยนนามวัดใหม่ว่า วัดชนะสงคราม เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สมเด็จพระอนุชาธิราช และเป็นมงคลแก่แผ่นดิน โดยทรงตั้งพระมหาสุเมธาจารย์ ให้เป็นผู้ครองวัด
ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่รามัญ
วัดชนะสงครามเป็นวัดมอญที่มีความสำคัญมาก ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ โปรดให้นิมนต์พระสงฆ์มอญวัดชนะสงคราม เข้าไปสวดพระปริตรเสกน้ำพระพุทธมนต์สำหรับ
สรงพระพักตร์และประพรมพระราชมณเฑียรมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกว่า พระปริตรรามัญ
[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
silpa-mag.com]
สีไว้ทุกข์ในสมัยรัชกาลที่ ๕สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พร้อมด้วยพระราชชายา พระเจ้าลูกเธอ เจ้าจอมมารดา พระบรมวงศานุวงศ์
และข้าราชบริพารฝ่ายใน ทรงฉายภาพเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี
ณ พระราชวังบางปะอิน โดยผู้มีพระชันษาสูงกว่าพระเจ้าลูกเธอในพระโกศ จะทรงสีดำไว้ทุกข์ส่วนผู้ที่มีพระชันษาอ่อนกว่าจะทรงชุดขาว ตามธรรมเนียมในสมัยนั้น
การไว้ทุกข์ในสมัยก่อนนั้นมีอยู่หลายอย่างต่างชนิด คือ
๑. สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย
๒. สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย
๓. สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ สำหรับผู้ที่มิได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตายแต่ประการใด
ฉะนั้นในงานศพคนหนึ่งๆ หรือในงานเผาศพก็ตาม เราจะได้ความรู้ว่า ใครเป็นอะไรกับใครเป็นอันมาก เพราะผู้ที่แต่งตัวตัวไปในงานนั้นๆ จะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวเอง
โดยถูกต้องจึงจะแต่งสีให้ถูกได้ ถ้าผู้ใดแต่งสีและอธิบายไม่ได้ ก็มักจะถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้ไม่มีความรู้ แม้เรื่องเลือดเนื้อของตัวเอง
ของทุกอย่างมีดีก็ต้องมีเสีย แต่ก่อนก็ดีที่ได้รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ก็ลำบากในการแต่งกายเป็นอันมาก ถ้าจะต้องไปพร้อมกัน ๒ ศพในวันเดียวกัน ก็จะต้องกลับบ้าน
เพื่อไปผลัดสีให้ถูกต้องอีก ฉะนั้นในการที่มาเลิกสีอื่นหมด ใช้สีดำอย่างเดียวเช่นทุกวันนี้ก็สะดวกดี แต่ก็ขาดความรู้จักกัน เด็กสมัยนี้จึงมักจะตอบเรื่องพืชพันธุ์ของตัวเองไม่ได้
แม้เพียงปู่ก็ไม่รู้เสียแล้วว่าเป็นใคร และได้ทำอะไรเหนื่อยยากมาเพียงใดบ้าง แต่ถ้าจะพูดกันถึงเพียงความสะดวกแล้ว การแต่งตัวสีดำเพียงสีเดียวก็ดีแล้ว
เพิ่มเติม ภาพนี้น่าจะถ่ายระหว่างวันที่ ๘-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ ที่ฝ่ายในล่วงหน้าไปที่พระราชวังบางปะอินก่อน และก่อนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร -
กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์ จะทรงประชวร ซึ่งต่อมาได้สิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๘ เพราะภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ
ที่จะทรงชุดขาวไว้ทุกข์ จึงเปลี่ยนมาแต่งขาวทั้งหมด
[ที่มา : หนังสือ สารคดี ของ ม.จ.หญิง พูนพิศมัย ดิศกุล]
[ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก
silpa-mag.com]