“พิธีอารตี” คืออะไร ต้นแบบเวียนเทียนสมโภชใช่ไหม?ผู้เขียน : อาจารย์ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ตีพิมพ์ในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๑๙-๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐
ใครไปวัดฮินดูเช้าตรู่และย่ำค่ำ จะเห็นพราหมณ์ท่านถือคันประทีปดวงไฟหลายดวงแกว่งๆ วนๆ หน้าเทวรูป ทำเช่นนี้ทุกวัน
นานเข้าคนไทยเริ่มทำพิธีแบบฮินดูที่บ้านเรือนหรือตำหนักทรง ก็เอาพิธีเช่นนี้ไปทำบ้าง รู้จักกันในชื่อ “อารตี” หรือบางคนก็เรียกว่า บูชาไฟ
ที่จริงคำว่าบูชาไฟ ในวงการศาสนาใช้หมายถึงพิธี “โหมะ” คือพิธีบูชายัญโดยการใส่อาหารและเนยลงในกองไฟ (กูณฑ์) สำหรับบวงสรวงให้เทพเจ้า
เป็นคนละพิธีกันกับอารตีครับ
พิธีอารตีนั้น เรียกตามศัพท์สันสกฤตว่า อารติกยมฺ หรือ นีราชนมฺ ซึ่งหมายถึงการเวียนประทีป
คันประทีปหรือตะเกียงสำหรับทำพิธีอารตีนั้น ทำเป็นภาชนะเหมือนตะเกียงมีด้ามจับถือ อีกด้านมีหลุมสำหรับใส่สำลีชุบน้ำมันเนยหรือก้อนการบูนจุดไฟ มีตั้งแต่หลุมเดียวไปจนถึงหลายสิบหลุม
แบบง่ายที่สุดคือใช้ถาดโลหะ แล้วจุดประทีปหรือการบูนในนั้น หรือแม้แต่ใช้แป้งสาลีปั้นเป็นถ้วยขนาดเล็กทำเป็นหลุมใส่สำลีชุบน้ำมันเนยก็ใช้ได้
ผมเคยไปวัดหนึ่งในอินเดีย ชื่อวัดสิทธิวินายกมหาคณปติที่เมืองกัลยาณ ในรัฐมหาราษฎร์ พราหมณ์ท่านว่า ที่นี่อารตีใช้ผ้าพันไม้จุดไฟอย่างคบเพลิงโบราณ
ส่วนพราหมณ์สยามท่านไม่ได้ใช้น้ำมันเนยหรือการบูนอย่างอินเดีย แต่ใช้เทียนขี้ผึ้งแทน จะด้วยเพราะน้ำมันเนยมิใช่ของหาง่ายในสมัยโบราณ หรือเพราะไม่นิยมก็ตามแต่ และเรียกคันประทีปนั้นว่า “คันชีพ”
พิธีอารตีนี้พราหมณ์สยามท่านเรียก “แกว่งคันชีพ” ตรงๆ เลยครับ
ส่วนวิธีการอารตี หากเป็นแบบตะเกียง ผู้บูชาจะถือด้วยมือขวา มือซ้ายถือกระดิ่ง จากนั้นวนตะเกียงอารตีตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากพระบาทของเทวรูป ขึ้นไปที่พระนาภี และพระพักตร์ตลอดจนพระวรกาย มือซ้ายก็สั่นกระดิ่งไปด้วย จนกว่าจะสวดมนต์หรือประโคมจบ
หากเป็นแบบถาดก็ถือถาดด้วยมือทั้งสอง เวียนตามเข็มนาฬิกาเบื้องหน้าเทวรูป การอารตีนั้นมีสองแบบ คือแบบที่กระทำในช่วงสนธยา เรียกว่าสันธยารตี มีในช่วงรุ่งเช้าและช่วงโพล้เพล้ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเวลาของวัน (กลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวัน กลางวันเป็นกลางคืน) ในแบบนี้มักถือว่าเป็นการบูชาประจำวันของเทวสถานไปด้วย
ดังนั้น อารตีแบบนี้มักมีเครื่องบูชาอื่นๆ ประกอบ เช่น เครื่องสรงน้ำ ดอกไม้ ธูป ฯลฯ ผสมกับการเวียนประทีป ระบบที่การรวมการบูชาเข้ากับพิธีอารตีนี้ เข้าใจว่าพราหมณ์พังคละในฝ่ายเคาฑิยะเป็นพวกแรกที่ทำและแพร่ไปยังพราหมณ์ฝ่ายอื่นๆ
อารตีสนธยาจะต้องมีการประโคม ทำนองเดียวกับย่ำยาม โดยมีเครื่องกระทบโลหะ เช่น กระดิ่ง ระฆัง กังสดาล และกลองประจำเทวสถาน หรือหากเป็นเทวสถานที่สำคัญก็มักมีวงประโคมพวกปี่กลองด้วย
ในอินเดียภาคเหนือ ปราชญ์และพราหมณ์หลายท่านเห็นว่า อารตีเป็นเวลาที่ศาสนิกชุมนุมกันมากที่สุด จึงแต่งบทกวีสรรเสริญพระเป็นเจ้าสำหรับขับร้องประกอบในเวลาอารตีด้วย ซึ่งมีมากมายหลากหลายเพลง เพื่อเพิ่มบรรยากาศความงดงามและส่งเสริมความภักดี กลายเป็นธรรมเนียมใหม่ที่นิยมโดยทั่วไป
ส่วนอารตีอีกแบบนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำตามเวลา เป็นพิธีที่ทำตามวาระโอกาสต่างๆ เช่น พระเป็นเจ้าออกแห่ หรือทำเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมต่างๆ
บางท่านว่า พิธีนี้จะทำในขั้นตอนสุดท้ายของพิธีบูชาเทพเจ้า แต่ที่จริงแล้วไม่ถึงกับสุดท้าย เพราะหลังอารตียังมีขั้นตอนอื่นๆ อีกเล็กน้อย เช่น การกระพุ่มมือบูชาด้วยดอกไม้ (มนตรปุษปาญชลิ) หรือขอสมาลาโทษ
ที่จริงนอกจากเทวรูปแล้ว การอารตียังกระทำต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ เช่น คัมภีร์ ตำรา หรือแม้แต่บุคคลและสถานที่ก็ได้ เช่น ต่อครูบาอาจารย์ เจ้าบ่าว ผู้ใหญ่ หรือแม่น้ำคงคา พระอาทิตย์ ภูเขา ฯลฯ
ดังใครไปอินเดีย ก็มักต้องไปชมพิธีอารตีแม่น้ำคงคา ไม่ว่าจะที่พาราณสีหรือหริทวารซึ่งมีชื่อเสียงมาก ซึ่งฮินดูเขากระทำบูชาต่อแม่น้ำโดยตรง ไม่ต้องผ่านสัญลักษณ์แทนเช่นเทวรูป
เพราะตัวแม่น้ำคงคาเองนั่นแหละคือเทพีที่ปรากฏเบื้องหน้า ไม่จำเป็นต้องใช้อะไรแทน
เหตุใดถึงต้องทำพิธีนี้ ท่านอาจารย์ลลิต โมหัน วยาส ครูของผมกรุณาอธิบายไว้ว่า ที่จริงเป็นความจำเป็นมาสู่พิธีกรรม คือแต่เดิมเทวรูปถูกสร้างอยู่ในปราสาทหิน หรือไม่ก็ถ้ำตามธรรมชาติที่ถูกเปลี่ยนเป็นเทวสถาน
และโดยหลักอาคมในการสร้างเทวสถาน ภายในห้องประดิษฐานเทวรูปที่เรียกว่าครรภคฤหะนั้น จะต้องมีทางเข้าออกทางเดียว และไม่มีช่องแสงหรือหน้าต่าง จึงมืดมาก มองอะไรแทบไม่เห็น
ครั้นศาสนิกชนไปสักการะ ซึ่งโดยหลักฮินดู บุญกิริยาง่ายๆ คือการได้ไป มองดู (ภาษาสันสกฤตว่า ทรฺศนมฺ หรือ ทรรศนะ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นบุญแก่ตาเนื้อตาใจ
พราหมณ์ผู้ดูแลจึงจุดไฟขึ้นด้วยตะเกียงที่มีดวงไฟหลายดวงหรือใช้ไฟจากการบูนซึ่งให้ไฟสว่างและมีกลิ่นหอม ส่องให้ดูตั้งแต่พระบาทไปจนทั่วพระวรกายของเทวรูป ผู้คนจะได้ชื่นชมยินดี
ท่านว่าเริ่มต้นอย่างนี้แล และเมื่อกระทำบูชาประจำวันอันประกอบด้วยการสรงน้ำและตกแต่งประดับประดาพระวรกายของเทวรูปแล้ว จึงเปิดม่านออกและอารตีด้วย ให้คนเข้าเฝ้าได้เห็นความงามอลังการที่ตกแต่งแล้ว เฉกเช่นเดียวกับพระราชาธิราชเสด็จออกเหมือนกับในพระราชพิธีของเรานั่นเอง
นอกจากความหมายตรงๆ ง่ายๆ ข้างต้น มีคำอธิบายหนึ่งว่า การอารตีหรือเวียนประทีปนั้น ยังเป็นการขจัดเสนียดจัญไรอวมงคลต่างๆ ด้วย ซึ่งท่านพระยาอนุมานราชธนเขียนไว้ในภาคผนวกของหนังสือนิทานเบงคอลีที่ท่านแปล
ผมพินิจดูก็จริงดังท่านว่า ตัวอย่างเช่น เวลาเอาพระเทวรูปออกแห่แล้ว จะนำกลับเข้าเทวสถานก็ต้องทำพิธีอารตีก่อน นัยว่าขจัด “ตาร้อน” ของคนที่มาดูท่านด้วยอกุศลจิต
นอกจากน้ำ ในทัศนะฮินดูไฟก็เป็นเครื่องชำระได้ เพราะไฟผลาญทุกสิ่งให้เป็นจุณ เป็นภัสมธุลีไม่เหลือความสกปรกอะไรทั้งหมด โลกจึงประลัยด้วยไฟไม่ใช่น้ำ
การอารตีเวลาออกแห่ นอกจากจะใช้ตะเกียงตามปกติ เขายังใช้มะพร้าว คือจุดไฟวางบนมะพร้าวแล้วก็ทุบมะพร้าวนั้น เพื่อสื่อว่าได้ชำระล้างและทำลายสิ่งไม่ดีไปหมดแล้ว
เมื่ออารตีเสร็จ ไฟนั้นเขานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะได้ผ่านพระเป็นเจ้ามา ก็ให้วักลูบหน้าลูบตาเป็นสวัสดิมงคลขจัดความมืด ทำนองอย่างโบกควันเทียนของเราในเวียนเทียนสมโภช
โดยสรุปคือ อารตีของแขกนั้น เป็นทั้งการแสดงให้คนเห็นพระเป็นเจ้า เป็นการบูชาและไล่วิฆนจัญไรผสมๆ กัน ใช้ไปใช้มาจนไม่ได้คิดถึงความหมายใดเป็นพิเศษ
เบิกแว่นเวียนเทียนในพิธีพราหมณ์อย่างไทยก็ได้รับอิทธิพลของแขกมานั่นแหละครับ มันเห็นกันชัดอยู่ ทั้งแกว่งแว่นเวียนเทียนโบกควันใส่สิ่งที่เราสมโภช ผิดกันที่แขกไม่ได้เอาประทีปไปเวียนรอบๆ สิ่งเคารพอย่างเรา
ส่วนที่ต่าง ตรงที่เราส่งแว่นเวียนเทียนกันไปรอบๆ วง ผมคิดว่า ก็เพราะเรามีวัฒนธรรม “ล้อมวง” (ซึ่งแขกไม่มีนะครับ กินข้าวกันก็นั่งเรียงตามยาว เน้นระเบียบแนวแถวตามอาวุโส) ซึ่งมาจากศาสนาพื้นบ้าน คือธรรมเนียมทำขวัญนั่นแหละ ญาติพี่น้องมาล้อมกัน ครั้นรับบางส่วนของพราหมณ์มาใช้ ก็ยังคงใช้วิธีล้อมวงทำพิธีเหมือนอย่างเดิม
ส่วนการ “เวียนเทียน” ในความหมายอย่างที่เราทำในวันสำคัญทางพุทธศาสนา แขกเรียก “ประทักษิณา” คือเดินเวียนขวารอบสิ่งเคารพ ผิดกับเราตรงที่เขาไม่ต้องถือดอกไม้ธูปเทียนเครื่องบูชา และเขาถือเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งไม่เกี่ยวกับการอารตี
จะได้ไม่สับสนครับนิกายของพราหมณ์ผู้เขียน : อาจารย์ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ตีพิมพ์ในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๙-๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐
“นิกาย” ในศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ใช้คำภาษาสันสกฤตว่า “สัมปรทายะ” โดยพยัญชนะแปลว่า “ประเพณี หรือการใช้” (Tradition, usage) ซึ่งในวัฒนธรรมอินเดียมีความหมายตรงตามนั้น คือคำสอนและการปฏิบัติเป็นประเพณีที่สืบๆ กันมา หรือเรียกว่าวงศ์ก็ได้
ความแตกต่างระหว่างนิกายของฮินดู เอาเข้าจริงๆ แล้ว จึงอาจไม่ได้แตกต่างกันในแง่ความเชื่อ คำสอนหรือวิถีปฏิบัติมากนัก เป็นแต่มีครูอาจารย์ผู้สืบทอดมาต่างกัน หรือตีความอะไรที่ต่างกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง จะมีที่ต่างกันบ้างก็ไม่มาก
ศาสนาในกลุ่มอินเดียมักเป็นเช่นนี้ ต่างกับศาสนาเทวนิยมแบบอับราฮัม คือ ยูดาย คริสต์และอิสลาม ที่ความเชื่อเป็นแกนกลางของศาสนา และเป็นตัวแบ่งศาสนิกของแต่ละนิกาย
ชาวบ้านที่นับถือฮินดู ถ้าไม่ได้อยู่ในชุมชนทางศาสนาที่เข้มข้น (คือบางนิกายเป็นนิกายที่ผูกพันอยู่กับท้องถิ่นโดยเฉพาะ) ก็มักจะถือว่าตนนับถือศาสนาฮินดูไม่ได้แยกนิกายอะไร
ทั้งนี้ เราอาจต้องแบ่งนิกาย (โดยทางการ) ในศาสนาพราหมณ์ ออกเป็นสองลักษณะ อย่างแรก คือนิกายของศาสนิก อย่างที่สองคือนิกายของนักบวช (สันยาสี)
นิกายของศาสนิกชนทั่วๆ ไปมีไม่มากนัก แต่นิกายของนักบวชนั้นมีมากและแบ่งย่อยออกไปมากมายหลากหลาย ภายในตัวนิกายใหญ่อีกชั้นหนึ่ง
อันนี้แหละที่สะท้อนความเป็น “ประเพณี” ในความหมายของนิกายตามแบบอินเดีย ครูต้นประเพณีมีเยอะ นิกายก็มีมากตาม
หากถือตามแบบเรียนวิชาศาสนาที่เราเรียนๆ กัน (ซึ่งที่จริงไม่ได้อัพเดตข้อมูลความรู้เลย) มักกล่าวว่าศาสนาฮินดูมีสามนิกาย ไศวะคือนับถือพระศิวะ ไวษณวะนับถือพระวิษณุ และศากตะ นับถือศักติหรือเทวีเป็นใหญ่
แต่ที่จริงมีมากกว่านั้น
ที่ว่านับถือองค์ใดเป็นใหญ่นั้น มิได้แปลว่าไม่ได้นับถือเทพเจ้าพระองค์อื่นๆ นะครับ เพียงแต่โดยเทววิทยาของนิกายนั้นๆ ย่อมถือว่าพระเป็นเจ้าที่ตนนับถือเป็นพระเจ้าสูงสุด
เทพอื่นอาจดำรงอยู่ในฐานะบริวารบ้าง หรือเป็นภาคส่วนหนึ่งของพระองค์บ้าง
เช่น ไวษณวนิกายที่นับถือพระวิษณุนั้น ก็ถือว่าพระวิษณุเป็นพระเจ้าสูงสุด พระศิวะ พระคเณศ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นบริวาร และนับถือน้อยไปกว่าพระอวตารต่างๆ เช่น พระรามหรือพระกฤษณะเสียอีก เพราะถือว่าอวตารเหล่านี้เป็นภาคแท้ของพระเจ้า ผิดกับเทพอื่นๆ
ไวษณวนิกาย (เขียน “ไวษณพ” ก็ได้ เพราะ ว มักเปลี่ยนเป็น พ ในภาษาไทย ซึ่งมีฐานเสียงเดียวกัน) เช่นที่ว่านี้ ยังแบ่งย่อยออกไปอีกมาก นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่สิบเอ็ดซึ่งรามานุชาจารย์ ปฐมาจารย์ก่อตั้งไวษณวนิกายอย่างมั่นคง จากนั้นไวษณวนิกายก็แยกไปตามคำสอนของอาจารย์ต่างๆ ในรุ่นหลัง ไม่ว่าจะเป็น วัลลภาจารย์ นิมพารกาจารย์ ไจตันยาจารย์ ฯลฯ
นิกายเหล่านี้มีความแตกต่างกันนิดๆ หน่อยๆ ในเชิงปรัชญา เช่น ในไวษณวนิกายของรามานุชะ แบ่งนิกายย่อยออกเป็น เตงคไลกับวัทคไล สองนิกายนี้ต่างกันโดยหลักใหญ่คือ ฝ่ายหนึ่งถือว่าพระเจ้าย่อมพาสาวกไปสู่โมกษะตามน้ำพระทัยโดยไม่เกี่ยวกับการประพฤติของสาวก อีกฝ่ายว่าสาวกเองก็จะต้องปฏิบัติในสมควรด้วย เป็นต้น และใช้สัญลักษณ์ต่างกัน ฝ่ายนึงเขียนตัววีสีขาวที่หน้าผาก เส้นกลางสีเหลือง อีกฝ่ายสีแดง เป็นต้น
ความแตกต่างเช่นที่ว่า มักเป็นเรื่องของนักบวชและพราหมณ์หรือคนวรรณะสูงๆ ชาวบ้านก็ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ที่จริงจะว่าชาวบ้านไม่ได้สนใจนิกายก็ไม่เชิงครับ อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่า บางนิกายก็เกี่ยวพันกับพื้นที่หรือชุมชน คือเป็นเรื่องประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย อย่างในพฤนทาวันใครๆ ก็นับถือพระกฤษณะ เพราะถือเป็นดินแดนของพระองค์
บางนิกายก็เป็นเรื่องของคนชั้นล่างโดยเฉพาะ เช่น นิกายวรการีในแคว้นมหาราษฏร์ นิกายนี้เป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมไปด้วยในตัว คือเน้นการยกเลิกชนชั้นวรรณะ และเน้นความรักในหมู่เพื่อนมนุษย์
นอกจากสามนิกายใหญ่เพราะมีศาสนิกมาก คือ ไวษณวนิกาย ไศวนิกาย ศากตะนิกาย ยังมีนิกายย่อยอื่นที่สำคัญ คือ คาณปตยนิกาย ซึ่งถือเอาพระคณปติหรือพระคเณศเป็นใหญ่ มีศูนย์กลางที่แคว้นมหาราษฏร์ เริ่มขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่สิบสี่ นิกายเกามาระ นับถือกุมารหรือพระขันทกุมาร และนิกายเสาระ ซึ่งนับถือพระอาทิตย์
ที่ผมบอกว่าข้อมูลเรื่องศาสนาไม่อัพเดตนั้น เพราะที่จริง นอกจากสามนิกายใหญ่ ยังมีนิกายที่สำคัญมากอีกนิกายหนึ่ง และอาจจะมีอิทธิพลต่อศาสนิกทั่วไปมากที่สุด นั่นคือนิกาย “สมารตะ”
“สมารตะ” มาจากคำ “สมฤติ” แปลว่า ทรงจำ จำได้ หมายถึงคัมภีร์ชั้นสองของศาสนาฮินดู เช่น พวกปุราณะและตำราศาสตร์ต่างๆ ส่วนคัมภีร์ชั้นแรกเรียกว่า ศรุติ แปลว่าได้ยินได้ฟังซึ่งหมายถึงพระเวทเท่านั้น เพราะถือว่าฤๅษีสมัยโบราณได้ยินได้ฟังจากพระเจ้าโดยตรง
นิกายสมารตะ โดยนามจึงหมายถึงนิกายที่ยอมรับทั้งคัมภีร์ขั้นศรุติและสมฤติ นิกายนี้เริ่มต้นขึ้นโดยอาทิศังกราจารย์ นักปรัชญาคนสำคัญชาวเกรละซึ่งมีชีวิตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ห้าถึงเจ็ดโดยประมาณ
ที่จริงว่าท่านตั้งนิกายก็ไม่เชิงครับ แต่หลักปรัชญาของท่านกลายเป็นหลักสำคัญของนิกายนี้ หลักของศังกราจารย์เรียกว่า “อไทฺวตเวทานตะ” หรือคำสอนที่ไม่เป็นทวิภาวะ
สรุปแบบย่อที่สุด หลักนี้ถือว่า ความจริงหรือสัจธรรมนั้นมีหนึ่งเดียวเรียกว่า “พรหมัน” ซึ่งมีสภาวะนามธรรม พ้นจากการพูดหรือคิดถึงได้ อาตมันย่อยๆ ก็มิได้มีอยู่จริง แต่เป็นหนึ่งเดียวกับพรหมัน(ผิดกับที่เคยสอนๆ กันว่า พราหมณ์สอนว่า อาตมันดุจสะเก็ดไฟออกมาจากกองไฟคือปรมาตมันอะไรงี้) โลกนี้คือสภาพมายามิได้มีอยู่จริง
ทีนี้โดยหลักของอไทฺวตะ ในเมื่อทุกสิ่งเป็นมายาแล้ว แม้แต่เทพเจ้าต่างๆ ก็เช่นกัน ย่อมมีเนื้อแท้เบื้องหลังเป็นสิ่งเดียวกัน คือพรหมันนี่เอง เทพเจ้าทั้งหลายจึงต่างกันในเบื้องหน้าเท่านั้น ข้างหลังไม่ต่าง
พรหมันมีสองด้าน ด้านหนึ่งเป็นสัจภาวะสูงสุดที่ปราศจากคุณสมบัติที่จะพูดถึงได้ทุกประการ (นิรคุณพรหมัน) อีกด้านคือพรหมันที่ปรากฏด้วยอำนาจมายาเป็นพระเจ้าสูงสุดที่มีคุณสมบัติต่างๆ (สคุณพรหมัน) แล้วปรากฏเป็นเทพทั้งปวงนี่เอง
ความคิดนี้เป็นความคิดทางศาสนาที่น่าจะมีอิทธิพลมากที่สุดในหมู่ศาสนิกพราหมณ์ฮินดู และเป็นความคิดที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ซึ่งที่จริงแล้วเป็นความคิดของนิกายสมารตะนี่เอง มิใช่ของนิกายอื่นๆ
ดังนั้น ในเทวสถานและบ้านเรือนของชาวสมารตะเขาจึงไม่ประดิษฐานเทวรูปเทพเจ้าองค์เดียวโดดๆ แต่จะบูชาห้าองค์ เรียกว่าการบูชาแบบ “ปัญจายตนเทวตา” ครับ
การบูชาเทพแบบปัญจายตนเทวตานี่ เป็นเอกลักษณ์ของนิกายสมารตะโดยเฉพาะ ห้าองค์นี้ประกอบด้วย พระคเณศ พระเทวี (หมายถึงพระเทวีรวมๆ) พระวิษณุ พระศิวะ และพระสุริยเทพ (บางทีก็เป็นพระขันทกุมารหรือพระพรหมา)
เมื่อจะบูชาการจัดวางจะให้เทวดาที่ศาสนิกนับถือเป็นพิเศษอยู่ตรงกลาง องค์อื่นๆ อยู่รอบๆ ตามทิศที่กำหนด เทพตรงกลางนี้เปลี่ยนแปลงได้ตามความศรัทธา พระศิวะอยู่ตรงกลางเรียก ศิวปัญจายตนะ พระวิษณุอยู่กลางเรียก วิษณุปัญจายตนะ เป็นต้น
ดังนั้น ระบบการบูชาปัญจายตนะนี้ จริงๆ คือความพยายามจะรวมเอานิกายต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันของท่านศังกราจารย์นี่เอง และนอกจากนี้ ยังถือว่าบูชาทั้งห้าองค์ก็เท่ากับบูชาเทวดาทั้งหมดของฮินดูแล้วนั่นเอง เพราะทั้งห้าสะท้อนนิกายสำคัญทั้งห้า ธาตุทั้งห้าและสรรพสิ่งทั้งหมดของจักรวาล
เทวสถานของชาวอินเดียในเมืองไทยทั้งวัดวิษณุ ฮินดูธรรมสภา ที่ยานนาวา และวัดเทพมณเฑียร สมาคมฮินดูสมาช เสาชิงช้าก็ล้วนเป็นวัดของนิกายสมารตะครับ ไม่ใช่วัดของนิกายพระวิษณุอย่างที่เคยมีข้อมูลออกมา เพราะแม้พระวิษณุจะอยู่ตรงกลางแท่นประดิษฐานเทพเจ้า แต่ก็จะเห็นว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ อยู่ในแท่นเดียวกันด้วย
ที่สำคัญ เราจะเห็นการประดิษฐานแบบปัญจายตนเทวตาตามแบบแผนที่กำหนด ที่เทวสถานย่อยๆ เช่น ซุ้มพระศิวลึงค์และพระสรัสวตีที่เทพมณเฑียร โดยเขาเอาพระศิวลึงค์และพระสรัสวตีไว้ตรงกลาง อีกสี่องค์อยู่โดยรอบ
และคำสอนส่วนมากก็อิงตามหลักของท่านศังกราจารย์
นิกายสมารตะสำคัญถึงปานนี้ แบบเรียนและข้อมูลความรู้ทั้งหลายควรปรับปรุงเสียทีปรากฏการณ์ “องค์น้อง” เทพเจ้าฮินดูปางเบบี๋ กับคติการสร้างเทวรูปของอินเดียผู้เขียน : อาจารย์ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
ตีพิมพ์ในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๑๖-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐
ไม่นานนี้ผมเพิ่งได้ยินคำแปลกๆ ที่เริ่มพูดถึงกันมากขึ้นในแวดวงคนที่สนใจเรื่องเทวรูปอย่างคำว่า “องค์น้อง”
ครั้งแรกที่ได้ยินก็คิดว่ามียี่เกที่ไหน เรียกกันเจ้าพี่เจ้าน้อง ที่ไหนได้เขาเอาไว้เรียกเทวรูปพระพิฆเนศวร์ที่ออกแบบมาให้ดูเป็นเด็กน้อยทั้งร่างกายและอิริยาบถ แต่งองค์ทรงเครื่องระยิบระยับราวกับหางเครื่องก็มิปาน
นอกจากเทวรูปพระพิฆเนศวร์แล้ว “องค์น้อง” ก็เริ่มมีเทพอื่นๆ ด้วย เช่น พระลักษมี พระศิวะ หรือแม้แต่เทพเจ้าในภาคดุร้ายอย่างเจ้าแม่กาลี
แอบฉงนว่าเดี๋ยวนี้บ้านเรานับญาติกับเทพแบบกลับตาลปัตร คือเดิมพยายามจะให้มาแทนเจ้าปู่เจ้าย่า ก็เรียกปู่เรียกย่า มาคราวนี้ลดอาวุโสเทพให้เทพมาเป็น “น้อง” ซะงั้น เกิดมาเพิ่งเคยเห็นนี่แหละครับ
บางคนก็เรียกว่าเทวรูปเหล่านี้รวมๆ ว่า “ปางเบบี๋” เข้าใจว่าเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และชนชั้นกลางในเมือง เพราะรูปลักษณ์โดนใจ น่ารัก ดูทันสมัยและเข้าถึงง่าย
ผมเข้าใจเอาเองว่า แต่เดิมก่อนที่เมืองไทยเราจะพัฒนารูปแบบสารพัดเทพเบบี๋ขึ้นมา ผู้สร้างเทวรูปเหล่านี้คงได้เดินทางไปอินเดียหรืออาจพบว่า ในอินเดียนั้นมีเทวรูปพระคเณศหลากหลายรูปแบบมาก รวมทั้งแบบที่เป็นเด็กๆ ด้วย ซึ่งมีมากกว่าแบบอื่นทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคเณศจตุรถี
คนสร้างเขาคงคิดว่า แขกทำได้เราก็น่าจะเอามาทำบ้างได้ แถมดีด้วยเพราะลูกเทพตกยุคไปแล้ว ใช้องค์น้องนี่แหละ คล้ายๆ เดิม แต่ดูดีกว่า วงกว้างกว่า
เรื่องนี้ผมมีข้อสังเกตสองประการเกี่ยวกับการสร้างเทวรูปของฮินดู เพื่อจะสะท้อนหรือมองเรื่องนี้จากโลกขนบ
ประการแรก เราอาจต้องแบ่งเทวรูปออกเป็นสองลักษณะ คือเทวรูปสำหรับสักการบูชา และเทวรูปชั่วคราวสำหรับเทศกาลหรือเทวรูปในฐานะงานศิลปะหรือของตกแต่งบ้าน
เทวรูปพระพิฆเนศวร์สารพัดรูปแบบในอินเดียที่ดูแหวกขนบการสร้างโดยปกตินั้น เกือบทั้งหมดเป็นอย่างหลังคือสร้างขึ้นในเทศกาลชั่วคราว ไม่ใช่ของคงทนถาวร ในงานแบบนี้คนอินเดียชอบประกวดประชันไอเดียกันด้วย จึงผลิตออกมาอย่างที่เห็น เช่น เป็นยอดมนุษย์ในภาพยนตร์บ้าง หรือมีรูปแบบแปลกๆ
แต่เขาก็ไม่ได้เก็บรักษาไว้ตลอดไปครับ หมดเทศกาลบูชาแล้วก็จำเริญท่านลงทะเลแม่น้ำลำคลองไปหมด เทวรูปที่เหลืออยู่ก็ล้วนเทวรูปตามขนบเสียส่วนใหญ่ซึ่งเขาสร้างไว้สำหรับเทวสถานหรือบูชาในบ้านเรือน
กับอีกแบบหนึ่ง คือเทวรูปสำหรับตกแต่งบ้านหรืออยู่ในฐานะ “งานศิลปะ” อันนี้เขาก็ไม่ได้เอาไว้บูชาเหมือนกัน ใครเอาไปตกแต่งบ้านก็คิดแค่ว่าเป็นงานตกแต่งเพื่อสิริมงคล ส่วนศิลปินจะออกแบบอย่างไรก็เป็นเรื่องไอเดียทางศิลปะเหมือนกัน
ฉะนั้น สรุปแบบง่ายๆ เลยว่า โดยความเชื่อในอินเดียนั้น ถ้าจะเป็นเทวรูปสำหรับสักการบูชาเป็นประจำ หรือประดิษฐานในเทวสถานก็มักสร้างตามขนบประเพณี ส่วนเทวรูปที่สร้างชั่วคราว (เท่าที่เห็นคือพระคเณศ) เทวรูปในฐานะงานศิลปะหรือสิ่งตกแต่งจะแหวกจากขนบไปก็มีบ้าง
ข้อสังเกตประการที่สองของผมคือ นอกจากเทวรูปพระคเณศนั้น เทพเจ้าพระองค์อื่นๆ ไม่ว่าจะสร้างชั่วคราวหรือถาวรก็แทบไม่มีปางเบบี๋หรือทำในรูปลักษณ์เด็กๆ น่ารักกุ๊กกิ๊กเลย ผิดกับที่สร้างในเมืองไทย
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เนื่องด้วยการสร้างเทวรูปมี “ปรัชญา” และแนวคิดอยู่เบื้องหลังมาก (ที่จริงพอๆ หรืออาจมากกว่าพระพุทธรูปเสียอีก)
เพราะเทวรูปไม่ใช่รูปมนุษย์ แต่เป็นการแสดง “ภาวะ” ของเทพ ซึ่งเทพแต่ละองค์นั้นมีภาวะที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะมีบางส่วนร่วมกัน เช่น เทวรูปตามขนบทุกพระองค์ไม่มี “กล้ามเนื้อ” อย่างรูปเหมือนบุคคลแม้จะมีสัดส่วนสรีระถูกต้อง เพราะเทพเจ้าไม่ได้มีเนื้อหนังอย่างมนุษย์
เทวรูปเทวีแทบทุกองค์ล้วนมีพระถันกลมโต มีเอวบางและสะโพกผายใหญ่ เนื่องเพราะเป็นสัญลักษณ์ความอุดมสมบูรณ์แล้ว ต้องแสดงความงามตามอุดมคติอันแฝงไว้ด้วย “กามะ” คือภาวะแห่งความรื่นรมย์ของโลกียสุขและเพศรสอันเป็นด้านของอิตถีภาพซึ่งสูงส่งอย่างยิ่ง
เทพเจ้าบางพระองค์ก็มีภาวะดุร้าย คือเป็นการสำแดงด้านรุนแรงของธรรมชาติ เทวรูปประเภท “อุครมูรติ” หรือเทวรูปดุร้ายนี้ก็ย่อมต้องสร้างให้มีความดุร้ายด้วย
ปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังรวมถึงภาวะต่างๆ ของเทพนี้เอง จึงทำให้มีการกำหนดรูปแบบการสร้างของเทพแต่ละองค์ไว้ในหมวดคัมภีร์ที่เรียกว่า “ศิลปศาสตร์” ผมเพิ่งได้หนังสือเล่มน้อยชื่อ Hindu Iconography : A short treatise เขียนโดยท่านสวามีหรรษานันทะ แห่ง Ramakrishna Math เมืองบังกะลอร์ เล่มนี้สรุปคติความเชื่อเกี่ยวกับสร้างและการบูชาเทวรูปฮินดูไว้พอสังเขป อ่านง่าย
ในหนังสือนี้บอกว่า คัมภีร์ศิลปะศาสตร์นั้นมีมากมายหลายเล่ม เช่น มานสาระ, ศิลปรัตนะ, พฤหัตสัมหิตา ฯลฯ
ใครชอบเรื่องพวกนี้ แต่อยากอ่านในภาษาไทย มีงานวิจัยที่น่าสนใจของอาจารย์เชษฐ์ ติงสัญชลี แห่งคณะโบราณคดี ว่าด้วยเรื่องการสร้างเทวรูปกับคัมภีร์ศิลปศาสตร์ตีพิมพ์ออกมาแล้ว ลองหากันดู (ผมไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด)
ในคัมภีร์เหล่านี้ จำแนกท่าทาง รูปแบบของเครื่องแต่งกาย อาวุธ สัดส่วนไว้ละเอียดมากน้อยต่างกัน
ที่สำคัญคัมภีร์ศิลปศาสตร์ได้กำหนดระบบ “ตาลมาน” หรือระบบสัดส่วนในการสร้างเทวรูปไว้
ตาล หมายถึงสัดส่วนพื้นฐาน (คำนี้ใช้ในวงการดนตรีอินเดียด้วยเมื่อพูดถึงสัดส่วนของ “จังหวะ”) ในทางประติมากรรม คือ “หนึ่งฝ่ามือ” โดยประมาณ วัดจากปลายนิ้วกลางถึงโคนมือ หรือจากไรผมถึงปลายคางบนใบหน้า
หนึ่งตาล หากแบ่งย่อยออกเป็นสิบสองส่วน เรียกส่วนย่อยนี้ว่า “องฺคุละ” หรือหนึ่งข้อนิ้ว (ช่างไทยเรียก องคุลี)
ในคัมภีร์พฤหัตสัมหิตาแบ่งจัดประเภทมนุษย์ตามความสูงไว้ห้าจำพวก นอกจากนี้ ยังแบ่งตาลหรือความสูงของเทพ ยักษ์ อสูร สัตว์รวมไว้ถึงสิบหกแบบ
จำพวกภูตหรือ “คณะ” บริวารพระศิวะสูงสามตาล พระคณปติหรือพระคเณศสูงห้าหรือหกตาล ซึ่งใกล้เคียงกับ คนค่อม วามนาวตาร (พราหมณ์แคระ) และเด็กชาย (สูงห้าตาล)
พระขันธกุมารสูงหกตาละ ฤษีและมนุษย์ชายหญิงโดยทั่วไปสูงแปดตาละ เทวดาสำคัญ เช่น พระลักษมี พระปารวตี พระพรหมา พระศิวะและพระวิษณุสูงสิบตาละ
สูงไปกว่านี้คือสิบเอ็ดถึงสิบหกตาละ มักเป็นเทวดาในภาคดุร้าย เช่น พระนรสิงห์ มหิษาสุรมรทินี หรือตัวร้ายอย่างทศกัณฐ์
อันนี้ไม่ได้แปลว่า เทวดาเหล่านี้จะมีความสูงเช่นนี้จริงๆ นะครับ แต่เป็น “สัดส่วน” ในทางศิลปะเมื่อจะสร้างเทวรูป ให้สะท้อนภาวะและวัยของเทพตามคติความเชื่อ
จึงเห็นได้ว่า เทวดาที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว มีสัดส่วนร่างกายสูงกว่าเทวดาที่อยู่ในพวกเดียวกับยักษ์หรือคณะ หรือสะท้อนภาวะ “เด็ก” เช่น พระคเณศและพระขันธกุมาร
ส่วนเทพเจ้าหรืออมนุษย์ที่มีอำนาจมากและดุร้ายนั้น เขาจึงกำหนดให้มีร่างกายใหญ่โตกว่าปกติเพื่อสะท้อนภาวะนี้
ถามว่าในทางปฏิบัติ ช่างฝีมือสร้างเทวรูปตรงตามคัมภีร์เลยไหม ก็ไม่ขนาดนั้นครับ แต่อย่างน้อยที่สุดก็พยายามจะให้มีสัดส่วนรูปแบบตามที่สืบกันมาในขนบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวรูปในเทวสถาน จะมีแปลกไปบ้างก็นิดๆ หน่อยๆ ไม่ใช่เพราะช่างอินเดียไม่มีความคิดสร้างสรรค์นะครับ แต่ความงามตามสูตรที่สร้างกันมานั้นมันก็ลงตัวพอสมควรแล้ว
แถมทำพระให้คนเขากราบเขาไหว้ ทำตามขนบน่าจะปลอดภัยกว่า
ในศิลปศาสตร์ระบุว่า ถ้าสร้างเทวรูปตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในคัมภีร์เทวรูปก็จะ “ศักดิ์สิทธิ์” บางคัมภีร์หนักหน่อยก็แสดงโทษว่าถ้าทำพระประติมาไม่ตรงช่างจะได้รับทุกข์ภัยต่างๆ
ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องความเชื่อ ตัวใครตัวมันละกันครับ
ย้อนกลับมาเรื่องเทวปางเบบี๋กัน ผมยกเรื่องคัมภีร์ศิลปศาสตร์มาเพื่อจะบอกเพียงว่า เทวรูปสำหรับสักการบูชาในบ้านเรือนหรือเทวสถานนั้นชาวฮินดูมีระบบความเชื่ออยู่เบื้องหลัง จึงมักสร้างตามขนบไม่ได้สร้างอย่างแหวกแนว ผิดกับในรูปแบบงานศิลปะหรือของโชว์
โดยความเชื่อ เทวรูปของเทพแต่ละองค์มีภาวะต่างกัน เอาไปทำน่ารักๆ ทั้งที่เป็น “อุคระ” (ดุร้าย) ก็เสียภาวะหมด
อีกทั้งในอินเดียยังไม่ได้มีการตลาดวัตถุมงคลใหญ่โตมโหฬารเท่าบ้านเรา การสร้างรูปแบบใหม่ๆ ในทางเทวพาณิชย์จึงน้อยกว่าเรามาก
ส่วนตัวผมยังยืนยันท่าทีเหมือนเดิมครับ ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไป เป็นสิทธิของท่าน แต่ความรู้ของคนโบราณนั้นมีอยู่และควรรู้เสียด้วย
ส่วนรู้แล้วจะยังไงต่อก็ตามแต่ใจเถิด