[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 05:14:57 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สาระน่ารู้คู่ครัวไทย  (อ่าน 2712 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2561 18:33:45 »




วิธีเลือกซื้อเป็ด
การเลือกซื้อเป็ด  ควรเลือกเป็ดตัวที่อ้วน เนื้อไม่ซีด เนื้อที่อกต้องหนา ไม่มีรอยช้ำ หนังสีขาว เพราะถ้าหนังเป็ดมีสีแดงคล้ำแสดงว่า เป็นเป็ดที่แช่เย็นมานาน ซึ่งวิธีการสังเกตดูว่าเป็นเป็ดแก่หรือเป็ดอ่อน ดูได้จากจากปากและตีนเป็ด ถ้าปากและตีนของเป็ดเป็นสีเหลือง แสดงว่าเป็นเป็ดอ่อน แต่ถ้าเป็นเป็ดแต่ตีนจะมีสีดำ เนื้อจะเหนียวและมีกลิ่นสาบมาก



เคล็ดลับการปอกเปลือกมะขามให้สวยงาม
นำมะขามสดที่จะปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นนำไปแช่น้ำที่ต้มเดือดในหม้อ ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที พร้อมกับทำการเขย่าหม้อเบาๆ ให้มะขามทุกฝักถูกน้ำร้อนอย่างทั่วถึง จากนั้นให้นำมาแช่น้ำเย็นอีก 1 นาที แล้วเอาขึ้น  ค่อยๆ ใช้ปลายมีดลอกเปลือกมะขามออก เปลือกจะร่อนออกอย่างง่ายดาย  ที่สำคัญเนื้อมะขามยังคงความเป็นฝักสวยอีกด้วย



วิธีกำจัดคราบชา
ชา ช่วยลดคอเลสเตอรอล, ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด รวมทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและหยุดยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งได้อีกด้วย  เมื่อคราบน้ำชาที่ติดบนถ้วยแก้ว ให้นำผงคลอรีน (Chlorine) มาผสมกับน้ำ 1 ลิตร แล้วนำแก้วที่ใส่น้ำชาลงไปแช่ ประมาณ 30 นาที ผงคลอรีนสามารถทำลายเชื้อโรคได้มากกว่า 99% รวมทั้ง อีโคไล (E.coli) และเชื้อไวรัส รวมทั้งคลอรีนสามารถฆ่าเชื้อโรคในน้ำ



คุณประโยชน์ของเกลือ
1.ป้องกันผลไม้เปลี่ยนสี :  หลายครั้งที่ปอกเปลือกแอปเปิลหรือสาลี่ทิ้งไว้ สักพักผลไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดูไม่น่ารับประทาน แต่ถ้านำผลไม้ที่ปอกเปลือกไปแช่ในน้ำเย็นที่ผสมเกลือเล็กน้อย แล้วทิ้งไว้สักครู่ เนื้อผลไม้ก็จะไม่เปลี่ยนสีแล้ว

2.เกลือช่วยดับไฟได้ :  การดับไฟด้วยน้ำอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเตาถ่านที่ใช้ปิ้งบาร์บีคิว แต่เพียงโรยเกลือบริเวณเตาถ่านปิ้งบาร์บีคิว ไฟก็จะดับลงแล้ว เพราะเกลือจะช่วยลดออกซิเจนในอากาศที่อยู่บริเวณรอบๆ จนไฟดับ

3.ฟองน้ำคืนชีพ :  ฟองน้ำที่ใช้ล้างจานและล้างแก้ว เพียงแค่ล้างน้ำสะอาดแล้ววางไว้ในที่แห้ง ฟองน้ำจะสะอาดแล้วหรือ งั้นมาลองทำความสะอาดด้วยการจุ่มฟองน้ำที่ล้างสะอาดแล้วลงในน้ำเกลือ แล้วแช่ทิ้งไว้ข้ามคืน ฟองน้ำก็จะฟูและสะอาดขึ้น

4.ป้องกันเชื้อราในชีส : ถ้าทิ้งชีสไว้นานอาจจะมีเชื้อรามากัดกินได้ ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือ แล้วนำมาห่อชีสให้มิด ความเค็มของเกลือจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตได้

5.ทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น : เกลือสามารถช่วยให้อุณหภูมิของน้ำเดือดเพิ่มขึ้นได้ เช่น ถ้าลวกไข่ 1 ฟอง แล้วใส่เกลือลงไปด้วย จะทำให้ไข่สุกเร็วขึ้น และทำให้อาหารอื่นๆ สุกเร็วขึ้นได้ด้วย

6.แก้ปัญหากลิ่นท่อน้ำ : ท่อน้ำบ้านของเพื่อนๆ อาจมีกลิ่นเหม็นออกมารบกวน ทางที่ดีก็ให้นำเกลือผสมกับน้ำเปล่าแล้ว เทลงไปในท่อ น้ำเกลือจะช่วยชำระล้างคราบสกปรกที่เกาะติดอยู่ในท่อน้ำทิ้ง ปัญหาเหล่านั้นก็จะหมดไปได้




Detox Drinks ล้างพิษช่วงเช้า
ส่วนผสม : นมสดรสจืด 180 มิลลิลิตร  โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 80 กรัม  น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ  มะนาว 2 ช้อนโต๊ะ  
วิธีทำ : ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน ดื่มทันทีก่อนมื้อเช้า ประมาณ 07.00 น.




มาร์ชแมลโลว์ รสหวานเนื้อหนึบหนับ
ว่ากันว่ามาร์ชแมลโลว์ในปัจจุบันถูกพัฒนามาจากขนมหวานในสมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งใช้สารสกัดจากรากของต้นมาร์ชแมลโลว์ (Althaea Officinalis) ที่ถือเป็นพืชสมุนไพรพื้นเมืองของแอฟริกา ผสมกับถั่วและน้ำผึ้ง แต่สำหรับมาร์ชแมลโลว์แบบในปัจจุบันนั้นถูกคิดค้นโดยบริษัทผู้ผลิตขนมของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ใช้เจลาติน ไข่ขาว และน้ำเชื่อมข้าวโพดแทน โดยบริษัท Doumak ซึ่งได้คิดค้นกระบวนการ Extrusion กล่าวคือโฟมมาร์ชแมลโลว์จะถูกบีบอัดผ่านแม่พิมพ์ให้เป็นแท่งยาว จากนั้นก็ถูกตัดให้เป็นก้อนเล็กๆบางครั้งอาจเคลือบผิวด้วยน้ำตาล ส่วนมากจะผลิตที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา จากสถิติพบว่าชาวอเมริกันรับประทานมาร์ชแมลโลว์ถึงปีละ 90 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

ในแต่ละประเทศมีวิธีรับประทานมาร์ชแมลโลว์ต่างกันออกไปแต่ที่นิยมมากที่สุดคงเป็นการนำมาปิ้งไฟ แล้วรับประทานพร้อมกับขนมปังกรอบและช็อกโกแลต ซึ่งถือเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่แพร่หลายกันมากเวลาไปตั้งแคมป์ไฟ โดยกิจกรรมการกินนี้เรียกกันว่า S’more นับเป็นกิจกรรมยอดฮิตในประเทศสหรัฐอเมริกันและแคนาดา กิจกรรมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในค่ายเนตรนารี (Girl Scout) ในปี ค.ศ.1927 โดยเป็นหนึ่งในกิจกรรมนันทนาการของการออกแคมป์ และเมื่อเด็กคนหนึ่งได้ลองรับประทานก็ติดใจจนพูดขึ้นมาว่า Gimme Some More ซึ่งกลายเป็นที่มาของชื่อ S’more นั่นเอง วิธีการทำ S’more ไม่ยากอย่างที่คิด เพียงเตรียมวัตถุดิบแค่ 3 อย่าง คือ มาร์ชแมลโลว์ ขนมปังแครกเกอร์ และช็อกโกแลตแผ่นเล็ก ๆ และที่ขาดไม่ได้คือกองไฟ (แคมป์ไฟ) เริ่มด้วยการปิ้งมาร์ชแมลโลว์ ให้ข้างนอกเริ่มเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ

จากนั้นก็นำมาวางบนแผ่นแครกเกอร์ที่มีช็อกโกแลตแผ่นเล็กวางอยู่ และประกบด้วยแผ่นแครกเกอร์อีกแผ่นเป็นอันเสร็จพิธี ความร้อนจากมาร์ชแมลโลว์จะทำให้ช็อกโกแลตละลาย มีรสหวานจากมาร์ชแมลโลว์ และรสเข้มของช็อกโกแลตกลายเป็นขนมชั้นเลิศที่สามารถทำได้ง่าย ๆ และด้วยความนิยมเป็นอย่างมากทำให้ชาวอเมริกันกำหนดให้วันที่ 10 สิงหาคมของทุกปีเป็น National S’mores Day หรือ National Marshmallow Toasting Day อีกด้วย

 แต่ถ้าใครที่อยากลองรับประทานมาร์ชแมลโลว์ในรูปแบบต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน อาจจะนำไปใส่ในเครื่องดื่มร้อน นำมาจุ่มกับ ช็อกโกแลต หรืออาจนำไปรับประทานร่วมกับขนมหวานชนิดอื่นก็ได้ รวมถึงยังสามารถนำไปใส่ในไอศกรีม ซึ่งปัจจุบันมีการนำมาร์ชแมลโลว์ ผสมรวมกับไอศกรีม ได้เป็นไอศกรีมรสชาติใหม่ที่เรียกว่า Rocky Road ซึ่งเป็นรสชาติที่ฮิตติดอันดับ 1 ใน 10 ของรสชาติไอศกรีมที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกาด้วยเช่นกัน




น้ำซุปหวานอร่อย
น้ำซุปที่เราคุ้นตากันอยู่นั้นมีหลายชนิด... คนไทยนิยมรับประทานซุปแบบใสกันมากกว่าซุปแบบข้น เนื่องจากบ้านเราเป็นเมืองร้อน เวลาจะซดน้ำซุปก็อยากให้สดชื่นแบบใส ๆ มากกว่าข้นเข้มแบบยุโรป ดังนั้นการทำน้ำซุปจึงมีอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะนำผักหลายชนิดมาต้มด้วยไฟอ่อนจนเดือดกลายเป็นน้ำซุปผัก หรือจะนำกระดูกหมูมาต้มจนเปื่อยได้น้ำซุปรสหวานอร่อย แต่ทุกครั้งที่ทำน้ำซุปมักมีเครื่องเทศหรือสมุนไพรเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะนอกจากช่วยเพิ่มรสเพิ่มกลิ่นแล้ว สมุนไพรหรือเครื่องเทศเหล่านี้ยังมีหน้าที่คล้ายยาเพิ่มคุณค่าให้กับจานอาหารด้วยเช่นกัน...

เครื่องเทศและสมุนไพรที่เห็นเป็นประจำคือ กระเทียม รากผักชี พริกไทย...ทุกอย่างจะถูกบุบพอแหลกแล้วจับมัดรวมในถุงผ้าสีขาวก่อนนำไปต้มรวมกับผักหรือกระดูกสัตว์ คุณสมบัติหลักที่ทำให้ทั้งสามอย่างนี้กลายเป็นพระเอกในหม้อซุปก็คือ “กลิ่นหอม” ส่วนสรรพคุณนั้นมีต่างกันไป เริ่มจาก กระเทียม ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี ธาตุซีลีเนียม ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี นอกจากนี้ยังมีสารอะดิโนซีน ซึ่งเป็นกรดนิวคลีอิกที่เป็นตัวสร้างDNA และ RNA ของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย แม้ว่าประโยชน์ของกระเทียมจะมีมากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน และก่อนที่คุณจะรับประทานกระเทียมแต่ละครั้ง ควรปอกเปลือกและนำมาล้างน้ำก่อนนำไปปรุงอาหาร เนื่องจากกระเทียมที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดเชื้อราได้...

พริกไทย รสเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอม... พริกไทยที่เรานำมาปรุง อาหารมีอยู่ 3 ชนิด คือ พริกไทยสด พริกไทยดำ และพริกไทยขาว พริกไทยสดสีเขียวมีลักษณะเป็นช่อยาว นำมาปรุงอาหารได้หลายประเภท ส่วนพริกไทยดำ และพริกไทยขาวจะมาในรูปแบบแห้ง มักนำมาบดให้ละเอียดแล้วใช้ปรุงรสเพิ่มความหอม หรือไม่ก็นำมาบุบพอแตกแล้วใส่ลงในต้มจืดได้เช่นกัน สรรพคุณของพริกไทยมีมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยเรื่องอาการท้องอืด แน่นจุกเสียดแล้ว ยังช่วยขับเสมหะ บำรุงธาตุ ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้มุตกิด (ระดูขาว) แก้ลม อัมพฤกษ์ ในเมล็ดพริกไทยมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็ง และมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทได้ดี ก่อนนำพริกไทยมาปรุงอาหารควรล้างให้สะอาดสำหรับพริกไทยสด ส่วนพริกไทยดำและพริกไทยขาวก็ควรเลือกเม็ดที่ไม่ลีบมาปรุง เพราะจะทำให้มีกลิ่นหอมมากกว่าปกติ ที่สำคัญคือควรเก็บไว้ในที่แห้งสะอาด และอับแสง...

รากผักชี ของดีจากใต้ดิน... ปกติเมื่อเราซื้อผักชีมาใช้ปรุงอาหาร ส่วนที่เราต้องตัดทิ้งไปคือรากของมัน และจะนำรากมาห่อให้ดีก่อนเก็บไว้ในตู้เย็น เมื่อทำซุปหรือแกงจืดก็แค่นำมาล้างอีกครั้ง บุบพอแตกแล้วนำใส่ในหม้อ รากผักชีมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับเมนูอาหาร  มีฤทธิ์ในการขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อและขับปัสสาวะ บางบ้านจะนำผักชีทั้งต้นมาล้างให้สะอาดแล้วนำไปต้ม คั้นเฉพาะน้ำออกมาดื่มใช้เป็นยาระบาย แก้หัดหรือผื่นได้ดี ในส่วนของรากที่นิยมนำมาใช้ทำน้ำซุปนั้นควรตัดให้เหลือโคนไว้ประมาณ 1เซนติเมตร เพราะส่วนที่หอมที่สุดก็คือบริเวณโคนนั่นเอง...




ดับกลิ่นคาวในเมนูปลา
ต้มยำทำแกงอย่างไรให้ไร้กลิ่นคาว
ก่อนอื่นเลยปลาที่ใช้ต้องมีความสด เริ่มจากตั้งหม้อน้ำให้เดือด ใส่ ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูดลงไป จากนั้นรอให้น้ำเดือดอีกรอบ จึงใส่เนื้อปลาลงในหม้อ ห้ามคนหรือห้ามเขี่ยโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้เนื้อปลาแตกจนเกิดกลิ่นคาวได้ เมื่อเนื้อปลาสุก จึงปรุงรสด้วยเครื่องต้มยำหรือเครื่องแกง แล้วค่อยบีบมะนาวลงบนเนื้อปลาเล็กน้อย ซึ่งน้ำมะนาวจะช่วยให้เนื้อปลาแข็งตัว และเนื้อสวยขาวน่ารับประทาน สำหรับใครที่อยากต้มเนื้อปลาให้สุกโดยไม่ปรุงรสชาติใดๆ  มีอีกวิธีหนึ่งคือใส่ใบชาจีนในขณะต้ม ประมาณ 8-10 ใบ ก็สามารถช่วยดับกลิ่นคาวปลาได้

เคล็ดลับการทอดปลาชั้นเลิศ
สำหรับการทอดปลาให้เนื้อสุกกรอบ อร่อย และหนังปลาไม่ติดกระทะ เริ่มจากล้างปลาให้สะอาด บั้งเนื้อปลาแล้วทาเกลือเล็กน้อย จากนั้นจึงใส่น้ำมันลงในกระทะปริมาณพอให้ท่วมตัวปลา ตั้งไฟปานกลางรอจนน้ำมันร้อนได้ที่ จึงนำตัวปลาใส่ลงไป สังเกตดูจนกว่าตัวปลาจะสุกและเหลือง แล้วค่อยพลิกปลาอีกด้านขึ้นมา รอจนกว่าปลาจะสุก ข้อควรระวังอย่าพลิกปลาไปมาบ่อยๆ เพราะจะทำให้เนื้อปลาเละไม่น่ารับประทาน เพียงเท่านี้ก็จะได้ปลาเนื้อสุกกรอบและหนังไม่ติดกระทะแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือ นำเกลือลงไปคั่วในกระทะก่อนประมาณ 2 นาที แล้วค่อยเทเกลือออก ซึ่งวิธีนี้ก็สามารถช่วยให้หนังปลาไม่ติดกระทะได้เช่นกัน

ลดคาวด้วยสมุนไพรผ่านการปิ้งและย่าง
 ไม่ว่าการปิ้งหรือย่างจะมีลักษณะการทำคล้ายๆ กัน แต่ก่อนที่เราจะนำปลามาปิ้งหรือย่างนั้นต้องล้างปลาให้สะอาดก่อน จากนั้นทาเกลือทั้งด้านในและด้านนอกตัวปลาเสมอ แล้วจึงผ่าท้องปลาเล็กน้อยสำหรับใส่เครื่องสมุนไพรเพื่อเป็นการเพิ่มความหอมน่ารับประทาน  ซึ่งสมุนไพรที่มักนำมาใส่ในท้องปลาก็จะมี ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูด ที่บุบพอแตก เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรออกมาช่วยดับกลิ่นคาวของตัวปลาไปในตัว จากนั้นนำไปปิ้งหรือย่างจนเนื้อปลาพอสุก แต่ระยะเวลาก็ไม่ควรนานจนเกินไปด้วยเช่นกัน

นึ่งยังไงให้ถึงรส
การนึ่งปลามีวิธีเตรียมคล้าย กับการทอด ปิ้ง หรือย่างคือต้องล้างตัวปลาให้สะอาดก่อน  แล้วจึงนำเกลือและน้ำมะนาวมาทารอบ ๆ ตัวปลาเล็กน้อย หากปลามีขนาดใหญ่ควรทำการบั้งตัวปลาก่อน จากนั้นจึงนำขิงซอย หอมแดงซอย พริกสด กระเทียมดอง รากผักชีทุบ และใบโหระพา โรยทุกอย่างลงบนตัวปลา แล้วจึงนำจานที่ใส่ปลาวางในลังถึงและนำไปนึ่งบนหม้อที่น้ำกำลังเดือด ปิดฝาให้สนิท นึ่งประมาณ 10-15 นาที หรือขึ้นอยู่ที่ขนาดตัวปลา แล้วค่อยเปิดฝาดูว่าปลาพอสุกได้ที่หรือยัง ซึ่งวิธีการนึ่งปลาส่วนใหญ่จะไม่นิยมนึ่งจนเนื้อปลาสุกเกินไป (ประมาณ 90%) เพราะจะทำให้เนื้อปลาที่ได้มีความกระด้าง

เมนูปลาตุ๋นทานง่ายสำหรับเด็ก
สำหรับวิธีการตุ๋นอาจจะไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย เพราะกรรมวิธีใช้คล้ายกับการต้ม แต่เพียงระยะเวลาที่ใช้อาจแตกต่างกัน เริ่มจากการล้างตัวปลาให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง จากนั้นนำไปทอด (หรือใช้ปลาสดในการตุ๋นก็ได้เช่นกัน) นำปลาขึ้นมาพักไว้จนเย็นสนิทก่อนนำไปตุ๋น  ตั้งหม้อโดยใช้ไฟแรงรอจนน้ำเดือด ใส่เครื่องยาจีนหรือเครื่องสมุนไพรดับกลิ่นคาวลงไป เคี่ยวน้ำจนเกิดกลิ่นหอม จึงใส่ตัวปลาลงไปปิดฝาหม้อให้สนิทลดไฟอ่อนลง ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้เวลาตุ๋นขึ้นอยู่กับชนิดของปลาด้วยรอจนกว่าปลาจะซึมซับเครื่องสมุนไพรหรือเครื่องยาจีนจนได้ที่ แล้วค่อยเปิดฝาเป็นอันเสร็จ




วิธีทำไม่ให้หัวปลีดำ
หัวปลี (BANANA BLOSSOM) คือ ส่วนช่อดอกของต้นกล้วย มีเนื้อสีขาวนวล กรุบกรอบ รสชาติฝาดมัน สามารถนำมารับประทานกับผัดไทยหรือขนมจีนน้ำยา เมื่อนำมาลวก เนื้อจะมีรสชาติหวานมันปนฝาด นิยมรับประทานคู่กับน้ำน้ำพริก และยังนำไปทำเป็นยำ แกง ต้มกะทิ ต้มยำ ห่อหมก ทอดมันหัวปลี หรือชุบแป้งทอดก็ได้ค่ะ แต่เมื่อหั่นทิ้งไว้สักพักหัวปลีจะดำ ดูไม่น่ารับประทาน แต่เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ 2 วิธีค่ะ …

วิธีที่ 1 : เมื่อผ่านครึ่งตามยาวแล้ว ให้นำหัวปลีไปแช่ในน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูเจือจาง เพื่อไม่ให้หัวปลีสีคล้ำจนไม่น่ากิน จากนั้นเฉือนแกนกลางทิ้งและดึงดอกที่แก่ออก

วิธีที่ 2 : นำมะขามเปียกมาคั้นเป็นน้ำ แล้วผสมลงไปในชามกะละมังที่แช่หัวปลีไว้ค่ะ





สับปะรด
ในประเทศไทยนิยมปลูก สับปะรด กันมากในจังหวัดที่อยู่ใกล้กับแหล่งทะเล เช่น ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ชลบุรี หรือจังหวัดที่มีลักษณะแห้ง เช่น อุตรดิตถ์ ลำปาง พิษณุโลก เป็นต้น สำหรับพันธุ์ที่นิยมปลูกคือ พันธุ์ปัตตาเวีย พันธุ์อินทรชิต พันธุ์ภูเก็ต และพันธุ์นางแล

เนื้อในของสับปะรดอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามิน C, B1, B2, B3, B5, B6 กรดโฟลิก แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส ฟอสฟอรัส เหล็ก และสังกะสี เป็นต้น ซึ่งแร่ธาตุและวิตามินเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายและสุขภาพเราเป็นอย่างมาก เพียงแค่รับประทานสับปะรดวันละ 1 ชิ้นสามารถเพิ่มวิตามิน C ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดลมไหลเวียนดี เนื่องจากมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เหมาะสำหรับสุภาพสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน หรือผู้ที่มีอาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร หลายคนมองว่าควรรับประทานสับปะรดหลังจากที่ปอกเสร็จใหม่ แต่ถ้าจะให้รสชาติอร่อยยิ่งขึ้นควรนำสับปะรดมาแช่ในน้ำเกลือสัก 2-3 นาที หลังจากที่ปอกเปลือกเรียบร้อย เพราะจะช่วยทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และเอนไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทาน ทั้งยังทำให้เนื้อสับปะรดมีรสชาติเข้มข้นขึ้นด้วย

หมายเหตุ : แม้ว่าสับปะรดจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ควรกินแต่พอควร เช่น วันละหนึ่งชิ้น และกินผลไม้อื่นๆ ผสมผสานกันด้วย เพราะการกินอะไรที่มากไปก็ย่อมให้ผลเสียอยู่ดี





เลือกกิน 'สาหร่าย' ให้ได้ประโยชน์
โดยเมนูส่วนใหญ่ที่ต้องมีสาหร่ายเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซูชิ ซุปมิโซะ ข้าวปั้น การโรยบนข้าวหน้าต่างๆ หรือแม้แต่กระทั่งผสมลงในชา ไอศกรีม และน้ำผลไม้บางชนิด แต่ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าสาหร่ายถูกนำมาทำเป็นขนมขบเคี้ยวมากขึ้น ด้วยการนำสาหร่ายแผ่นมาปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง น้ำตาล พริกไทย หรือเครื่องปรุงรสต่างๆ
     
สาหร่ายที่นิยมนำมารับประทานส่วนมากจะเป็นสาหร่ายทะเล แต่ที่จริงแล้วแหล่งที่มาของสาหร่าย มีทั้งสาหร่ายน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม โดยการใช้ประโยชน์ของสาหร่าย สามารถใช้เป็นได้ทั้งอาหารคน อาหารสัตว์ ใช้ในการกำจัดน้ำเสีย ผลิตเครื่องสำอาง ผลิตยา และอื่น ๆ อีกมากมาย สาหร่ายที่นิยมใช้เป็นอาหารของคน ได้แก่ สาหร่ายโนริ หรือสาหร่ายสายใบ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสาหร่ายสีแดง หรือที่ชาวญี่ปุ่นมักนำมาทำเป็นแผ่นบางเพื่อใช้ห่อซูชินั่นเอง  ซึ่งการรับประทานสาหร่ายโนริเพียงแผ่นเดียว มีโอเมก้า 3 มากกว่าอะโวคาโดถึง 2 เท่า และยังช่วยสร้างน้ำมันตามธรรมชาติบนผิว เพื่อช่วยลดสิวและช่วยให้ผิวที่แห้งกร้านชุ่มชื้นขึ้นในตัว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวที่แห้งกร้านได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สาหร่ายโนริยังช่วยลดการผลิตสารอักเสบที่ทำให้ผิวหมองคล้ำอีกด้วย

สาหร่ายลามินาเรีย (Laminaria) หรือคอมบุ ถูกจัดให้อยู่ในสาหร่ายกลุ่มสีน้ำตาล เป็นสาหร่ายทะเลที่มีขนาดใหญ่ ลักษณะแบนบางและยาว ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้ทำเป็นน้ำสต๊อกสำหรับทำซุป นอกจากนี้สาหร่ายอีกชนิดหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใช้รับประทานกับน้ำซุป คือ สาหร่ายอุนดาเรีย (Undaria) หรือวากาเมะ ซึ่งถือว่าเป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการลดน้ำหนักดีที่สุดในโลก ชาวญี่ปุ่นจึงมักรับประทานสาหร่ายวากาเมะร่วมกับอาหารอย่างอื่นในทุกมื้อ สำหรับสาหร่ายกลุ่มสีเขียวที่รับประทานได้ส่วนใหญ่มีอยู่ในน้ำจืดมากกว่า โดยเฉพาะสาหร่ายที่พบในประเทศไทย ได้แก่ ไข่หิน หรือดอกหิน พบได้ในจังหวัดเชียงใหม่และจันทบุรี สามารถนำมาต้มกับน้ำตาลรับประทานร้อนๆ หรือทำต้มยำ ส่วนสาหร่ายเทาหรือไก พบได้ตามแหล่งน้ำนิ่งทั่วไป แต่ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหารต้องล้างให้สะอาดหรือแช่ค้างคืนไว้ก่อน สามารถนำมาทำได้ทั้งเมนูลาบ ยำ ส้มตำ แกงส้ม หรือนำไปตำเป็นเมนูน้ำพริกรับประทานพร้อมข้าวเหนียวได้เช่นกัน

จากที่กล่าวมายังมีสาหร่ายอีกหลายชนิด ที่คนสามารถรับประทานได้และไม่ได้  ซึ่งยังอยู่ในช่วงการวิจัยและทดลอง โดยสาหร่ายที่สามารถรับประทานได้ส่วนใหญ่ถือเป็นอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลน้อยมาก จึงเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก ในส่วนประโยชน์ของสาหร่ายทะเลจัดเป็นพืชที่มีไอโอดีนค่อนข้างสูงแต่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งในแต่ละชนิดอาจมีปริมาณไอโอดีนไม่เท่ากันตามแต่แหล่งที่มา ส่วนแร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ ทองแดง เหล็ก แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียม สังกะสี และวิตามิน  เบต้าแคโรทีน รวมทั้งกากใยอาหาร สำหรับสารอาหารที่มีอยู่ในสาหร่ายน้ำจืด ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต  เกลือแร่ วิตามิน B โดยเฉพาะ B2 รวมทั้งกรดโฟลิก และกรดแพนโทธีนิก ซึ่งเป็นกลุ่มวิตามินที่สำคัญ หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

ถึงแม้ว่าการรับประทานสาหร่ายจะมีประโยชน์เหมือนพืชผักทั่วๆ ไป แต่ก็ต้องควรระวังเช่นกัน เพราะสาหร่ายบางชนิดยังไม่ได้รับการยืนยันถึงประโยชน์และความปลอดภัย ดังนั้นการรับประทานในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นยังอาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ จนเกิดอาการกระวนกระวาย ใจสั่น และหิวน้ำตลอดเวลา ซึ่งความผิดปกติเหล่านี้มักเกิดกับผู้ที่นิยมรับประทานสาหร่ายอัดเม็ดต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายเดือน แต่เมื่อหยุดรับประทานอาการก็จะหายไป หรือการรับประทานสาหร่ายที่ถูกปรุงรสจนกลายเป็นขนมขบเคี้ยวก็ควรเลือกรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เนื่องจากสาหร่ายเหล่านี้อาจมีโซเดียมสูง จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและความดันโลหิตสูง ซึ่งอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงนอกจากคุณค่าทางอาหารของสาหร่ายแล้ว การรับประทานอาหารที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมีและเลือกรับประทานอาหารที่หลากหลายก็จะยิ่งช่วยให้ร่างกายของเราได้รับประโยชน์สูงสุดอีกด้วย





ระดับความสุกของสเต็ก
ระดับความสุกของสเต็ก ตามความชอบของแต่ละบุคคล

-แรร์ (rare) เป็นระดับการสุกแบบสดๆ เนื้อด้านนอกสีน้ำตาลอมเทา เนื้อส่วนกลางยังคงเป็นสีแดงและสีชมพู เรียกได้ว่าเนื้อระดับ แรร์ นี่ล่ะที่เต็มไปด้วยความฉ่ำของเนื้อสดๆ

-มีเดียมแรร์ (medium rare) เป็นระดับเนื้อที่ยังคงความฉ่ำอยู่ ซึ่งเนื้อด้านนอกจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา เนื้อส่วนกลางเป็นสีแดงน้อยกว่าระดับแรร์เพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนมากถ้าไม่ได้สั่งอะไรพิเศษ ร้านที่ขายสเต็กจะจัดเตรียมในระดับมีเดียมแรร์ไว้ให้

-มีเดียม (medium) เป็นเนื้อที่สุกระดับปานกลาง และได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเนื้อด้านในสุดเป็นสีชมพู โดยเนื้อส่วนอื่นจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา ดูสุกแบบเต็มที่ เรียกได้ว่าความสุกระดับมีเดียมนี้ ให้ทั้งความหอมหวานได้เป็นอย่างดี

-มีเดียมเวลล์ (medium well) เป็นระดับที่สุกเกือบทั้งชิ้น เนื้อทั้งหมดจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา โดยจะเห็นเพียงสีชมพูเรื่อๆ ความฉ่ำของเนื้อจะเริ่มลดลงที่ระดับนี้

-เวลล์ดัน (well done) เป็นระดับเนื้อที่สุกอย่างเต็มที่ เนื้อทั้งหมดจะเป็นสีน้ำตาลอมเทา ถึงแม้ความฉ่ำและความนุ่มของเนื้อจะลดลง แต่เนื้อจะสุกทุกส่วนเหมาะสำหรับคนที่ชอบความสุกมากที่สุด

-โอเวอร์คุ๊ก (Overcook) เป็นระดับเนื้อที่ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำ เนื้อจะแห้งแข็งและกระด้าง และอาจมีรสขมบ้าง





สครับชาเขียว ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากใบหน้า
วิธีทำก็คือ ชงชาเขียว 1 แก้ว ทิ้งไว้ให้เย็น ไม่ต้องกรองเอาผงชาเขียวออก เติมน้ำตาลทรายประมาณ 2-3 ช้อนชา ลงในชาเขียวที่เย็นแล้วเพื่อที่จะไม่ทำให้น้ำตาลทรายละลาย คนให้เข้ากันจนข้น จากนั้นจึงนำมาขัดผิวเบาๆ ผิวจะนุ่ม ไม่แห้งตึง เมื่อใช้เสร็จสามารถเก็บส่วนที่เหลือไว้ในตู้เย็นได้ สครับสูตรนี้สามารถใช้ได้ทั้งกับผิวกายและผิวหน้า ทำให้ผิวเปล่งปลั่งดูมีสุขภาพดี คนที่มีผิวมันสามารถทำได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง แต่คนที่ผิวแห้งควรทำเพียงแค่อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพราะอาจจะทำให้ผิวระคายเคืองจนเกินไป




วิธีทำความสะอาดเครื่องครัว
วิธีที่ 1 : นำเครื่องครัวไม้ไปล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า โดยใช้น้ำยาล้างจานและฟองน้ำนิ่มๆ ขัด แล้วล้างด้วยน้ำเปล่า จากนั้นเช็ดด้วยผ้าสะอาดจนแห้ง หรือจะนำไปผึ่งแดด ตากลม จนอุปกรณ์แห้งสนิท เพราะถ้าภาชนะไม่แห้งจะทำให้ขึ้นราได้ค่ะ

วิธีที่ 2 : ใช้มะนาวที่ฝานเป็นชิ้นบางๆ นำมาขัดบนพื้นผิวของเครื่องครัว จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่าเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด หากจะให้ดีให้นำเกลือมาโรยจนทั่ว แล้วใช้ผ้าขัดให้สะอาดอีกเล็กน้อย เพราะเกลือจะช่วยดูดความชื้นจากเนื้อไม้ออกไป

วิธีที่ 3 : นำผงฟูประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่า แล้วนำไปเช็ดเครื่องครัวไม้ให้ทั่ว จึงล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ หลังจากใช้เครื่องครัวไม้แล้วไม่ควรแช่เครื่องครัวข้ามคืน เพราะจะทำให้ไม้ผุ หรือไม้ขยายตัวขึ้นมาได้ จนต้องทิ้งเครื่องครัวชิ้นนั้นไปอย่างน่าเสียดายนะคะ





ทำความสะอาดพื้นไม้ให้เงางาม
วิธีที่ 1 : เทน้ำเบคกิ้งโซดาเข้มข้นลงไปบริเวณพื้นไม้ที่มีคราบสกปรกฝังลึก จากนั้นเทน้ำส้มสายชูตามลงไปเล็กน้อย เพื่อฆ่าเชื้อ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วใช้ผ้าเช็ดออกให้สะอาด

วิธีที่ 2 : หลังจากกวาดและถูพื้นไม้แล้ว ให้นำน้ำมันมะกอกผสมกับน้ำส้มสายชูในอัตรา 1 : 1 แล้วใช้ผ้าสะอาดมาชุบน้ำมันนำไปเช็ดบนพื้นไม้ให้ทั่วบริเวณ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเคลือบพื้นไม้ และทำให้พื้นดูเงางาม

วิธีที่ 3 : ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำซาวข้าว เช็ดพื้นไม้ แล้วใช้ผ้าแห้งให้เช็ดอีกรอบจนพื้นแห้ง

วิธีที่ 4 : ใช้ผ้าหรือไม้ม็อบ เช็ดพื้นไม้ก่อน 1 รอบ แล้วนำน้ำส้มสายชูเจือจางฉีดลงบนกระดาษเก็บฝุ่น หุ้มไม้ม็อบหรือผ้าสะอาด แล้วนำมาเช็ดพื้นไม้ให้ทั่วอีกรอบค่ะ


ขอขอบคุณที่มาข้อมูล : นิตยสารแม่บ้าน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 กันยายน 2561 18:08:42 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 21 กันยายน 2561 18:07:45 »





วิธีกำจัดกลิ่นติดเขียง
การขจัดกลิ่นจากเขียงไม้ที่คุณใช้หั่นและสับอาหาร จะมีกลิ่นไม่สะอาดฝังในเนื้อไม้ แต่เราสามารถขจัดกลิ่นจากเขียงไม้ด้วย 2 วิธีด้วยกัน คือ
วิธีที่ 1 : ฝานมะนาวซักซีกหรือสองซีก แล้วถูบนหน้าเขียงให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ค่อยล้างออก
วิธีที่ 2 : ผสมเบกิ้งโซดา เข้ากับน้ำนิดหน่อยพอเป็นครีมแล้วทาให้ทั่วบนหน้าเขียง เสร็จแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำสะอาด คุณก็จะได้เขียงที่สะอาดและปราศจากกลิ่นด้วย/size]



วิธีกำจัดมดในครัว โดยไม่ต้องฆ่า
อีกหนึ่งปัญหาในครัวที่ยังคงกวนใจคุณแม่บ้านอยู่ได้ตลอด ก็คงหนีไม่พ้นเจ้ามดตัวร้ายที่แอบมาเพ่นพ้านในครัว สร้างความหงุดหงิดจนต้องรีบหาวิธีมาจัดการแทบไม่ทัน หากใครกำลังประสบกับปัญหานี้เลิกคิ้วขมวดได้แล้วคะ เพราะการจัดการกับเจ้าฝูงมดไม่ได้ยากอย่างที่คิด และที่สำคัญไม่ต้องทำบาป แถมยังปลอดภัยไร้สารเคมีไม่เป็นมลพิษต่อครัวของคุณอย่างแน่นอน
 
วิธีที่ 1 : ผสมน้ำส้มสายชูเข้ากับน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่าๆ กัน นำใส่ลงในขวดสเปรย์ แล้วฉีดลงไปในบริเวณที่มีมดเดินอยู่เป็นประจำ
วิธีที่ 2  : ผสมน้ำมะนาว 1 ส่วน ต่อน้ำเปล่า 3 ส่วน และนำไปฉีดได้เลย แต่เพื่อเป็นการไล่มดไปอย่างถาวรให้เอาผ้าชุบน้ำที่เราใช้ฉีดเมื่อสักครู่ นำไปเช็ดบริเวณทางเดินของมด

รับรองว่ามดจะไม่กลับมาเดินบริเวณนั้นอีกแน่นอน ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คุณแม่บ้านควรเก็บอาหารในครัวให้มิดชิดและรักษาความสะอาดด้วย เท่านี้ครัวของเราก็ปลอดภัยไร้มดแล้วค่ะ




ขอบยางตู้เย็น สาเหตุทำให้เปลืองไฟ
วิธีทดสอบว่าขอบยางของตู้เย็นแนบสนิทหรือไม่ ให้นำกระดาษมา 1 แผ่นสอดไว้ตรงขอบยางแล้วปิดประตูลองดึงกระดาษดู ถ้าดึงออกง่ายๆ แสดงว่าขอบยางไม่สนิท ทำให้อากาศเข้าไปในตู้ได้ ต้องรีบเปลี่ยนขอบยางใหม่ทันที

วิธีเปลี่ยนขอบยางตู้เย็น
1. เลือกซื้อขอบยางเส้นใหม่ให้ตรงตามไซส์และรุ่นของตู้เย็น
2. เมื่อซื้อมาแล้ว ขอบยางตู้เย็นอันใหม่จะมีเนื้อแข็งและไม่ยืดตัว ดังนั้นให้นำไปแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้ยางอ่อนตัวและยืดหยุ่นตามแนวขอบตู้เย็นได้
3. ก่อนเปลี่ยนขอบยางใหม่ให้นำอันเก่าออกก่อน โดยให้คลายเฉพาะนอตหลักๆ ซึ่งยึดขอบยางเก่าออก จากนั้นให้ดึงขอบยางเก่าโดยเริ่มดึงจากมุมประตูฝั่งที่เปิดด้านบนออก
4. เมื่ออันเก่าออกหมดแล้วให้เริ่มใส่ขอบยางอันใหม่ลงไป โดยเริ่มจากติดที่ขอบยางบริเวณประตูตู้ด้านบนก่อน จากนั้นใส่นอตลงไปตามรูที่ถอดออกให้เหมือนเดิมทุกจุด เมื่อเสร็จแล้วให้ทดลองดูว่าขอบยางประตูติดตู้เย็นแน่นและไม่มีส่วนไหนหลุดออกจากขอบประตูโดยการทดลองปิดประตูไป 1 ครั้ง




น้ำชา เครื่องดื่ม 2,000 ปี
ต้นชา (Camellia Sinensis) เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกกันในแถบไหล่เขาในที่ราบสูง ดินฟ้าอากาศของแหล่งที่ปลูกชามีอิทธิพลมากต่อรสชาติของชา และเชื่อกันว่าชาที่ปลูกบนที่ราบสูงมีรสชาติที่ดีกว่าชาที่ปลูกในที่ลุ่มมาก ขั้นตอนการผลิตใบชาแห้งจะเริ่มจากการที่ชาวไร่จะเก็บใบชาจากยอดของต้นชา (ยอดยิ่งอ่อนโดยเฉพาะยอดที่ยังตูมอยู่จะมีสารเคมีที่เป็นประโยชน์อยู่มากกว่ายอดชาที่บานแล้ว)
 
สำหรับขั้นตอนการผลิตชาดำและชาอู่หลงจะแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอนหลัก ๆ ได้แก่ การผึ่งใบชาให้สลด (Wither) หลังจากเก็บใบชามาแล้วจะทำการผึ่งใบชาให้สลดในที่ร่ม โดยชาอู่หลงจะบ่มนาน 20 นาที ชาดำ 1 ชั่วโมงตามลำดับ ใบชาที่ผึ่งเอาไว้จะมีสีที่เข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำตาลขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการผึ่ง ขั้นตอนนี้ทำให้ชามีรสชาติเข้มข้นขึ้น หลังจากนั้นจะทำการนวดให้ใบชาช้ำ (Rolling) เพื่อทำให้เอนไซม์ที่อยู่ในใบชาออกมาทำงานได้ดียิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็บ่มต่ออีกประมาณ 4 ชั่วโมง สำหรับชาดำนั้นจะทำแห้งทันทีหลังบ่ม แต่ชาอู่หลง ต้องนำไปนวดบนกระทะ (Pan Frying) แล้วนำไปนวดอีกครั้ง (Rolling) ก่อนนำไปทำแห้ง จึงทำให้ชาอู่หลง มีรสชาติที่นุ่มนวลกว่าชาดำนั่นเอง




5 วิธี จัดของในครัวให้เป็นระเบียบ
ตะขอห้อยหม้อ กระทะ ผึ่งลมแห้งสนิท…. ถ้าวางชุดเครื่องครัวซ้อนกันในตู้อาจเกิดการขูดขีดจนพื้นผิวเสียหายและหยิบใช้ยาก จึงควรเก็บไว้ที่ตะแกรงเหล็กที่ห้อยจากฝ้าเพดาน แล้วหาตะขอรูปตัวเอสมาคล้องแขวนกับหูหม้อหรือด้ามกระทะ จะทำให้กระทะได้ผึ่งลมจนแห้งสนิทและสะดวกในการหยิบใช้ รวมทั้งไม่กินพื้นที่ตู้ในครัวอีกด้วย
 
แขวนฝาหม้อสะดวกหยิบใช้...อุปกรณ์สำหรับแขวนฝาหม้อ มีหลายรูปแบบทั้งแบบราวแขวนหรือแบบตะขอรูปตัวเอส ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่แผนกอุปกรณ์ครัวทั่วไป แต่ต้องแบ่งพื้นที่บนผนังเพื่อแขวนอุปกรณ์ โดยสามารถเสียบฝาหม้อซ้อนกันได้หลายชิ้นแบบไม่ติดกัน จึงสะดวกมากสำหรับตากสารพัดฝาหลังล้างเสร็จ
 
ตะแกรงคว่ำจาน ประหยัดพื้นที่...การวางจานชามซ้อนกันจะช่วยประหยัดพื้นที่ แต่จะทำให้หยิบใบล่างลำบาก ลองเปลี่ยนมาวางจานตามแบบที่คว่ำจาน เพราะจะหยิบใช้ได้สะดวกมากกว่า แค่ใส่ตะแกรงในตู้เพิ่ม เหมาะสำหรับจานชามที่ใช้เป็นประจำ
 
ถ้วยชา-กาแฟมีหู ซ้อนกันไม่ได้...ถ้วย-ชา มีหูสำหรับจับแก้ว จึงควรเลือกราวแขวนติดผนังที่มีตะขอ เพื่อจะได้เแขวนถ้วยมีหูเรียงกันได้เยอะ และยังหยิบสะดวก หรืออาจจะใช้ตะขอรูปตัวซีติดที่ด้านใต้ของตู้แขวน โดยเว้นระยะห่างให้พอดี ถ้าอยากเก็บในตู้เพื่อป้องกันฝุ่น สามารถเปลี่ยนเป็นติดตะขอที่ใต้ชั้นวางของในตู้แทนก็ได้
 
ใช้กระดาษลดการกระทบกระแทก...เทคนิคที่ช่วยให้พื้นผิวของภาชนะที่ซ้อนกันสูงปลอดภัย คือ ใช้กระดาษ Paper Towel วางคั่นระหว่างภาชนะแต่ละใบ จะช่วยลดการขูดขีดหรือการกระทบกระแทกกันได้ค่ะ โดยเฉพาะถ้าวางแก้วซ้อนกันโดยไม่มีกระดาษอาจจะทำให้แก้วล็อกติดและดึงออกจากกันไม่ได้




พริกหวานใยอาหารสูง
พริกหวาน เป็นผักที่ใครๆก็รู้จัก ด้วยที่ว่ามักจะต้องทำหน้าที่เป็นเครื่องประดับในจานอาหาร หรือไม่ก็เป็นประกอบของอาหาร เพราะสีสันที่ฉูดฉาด จะช่วยเพิ่มความอยากอาหารมากยิ่งขึ้น จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นว่าพริกหวานอยู่ในจานอาหารเมื่อสั่งอาหารรับประทานที่ร้าน

 พริกหวาน มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมถึงหกเหลี่ยม เนื้อหนา มีหลายสีทั้งเขียว แดง เหลือง ส้ม และสีช็อคโกแลค มีรสชาติหวาน ไม่เผ็ด สามารถรับประทานสดในสลัด หรือนำมาผัดกับผักชนิดต่างๆ ให้สีสันน่ารับประทาน  ซึ่งพริกหวานสีเหลืองจะมีวิตามินมากกว่าพริกหวานสีส้มถึง 4 เท่า และมีเบตาแคโรทีนสูง  มีคุณค่าทางวิตามิน A, B1, B2   มีสารแคบไซซิน ช่วยยับยั้งอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือด โรคต้อกระจก และโรคมะเร็ง

 ในพริกหวาน 100 กรัม ให้พลังงาน 22 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย โปรตีน 0.8 กรัม ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.0 กรัม แคลเซียม 9 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 2.5 มิลลิกรัม ไทอะมิน 0.10 มิลลิกรัม ไรโบฟลาวิน 0.05 มิลลิกรัม วิตามินซี 65 มิลลิกรัม




ถั่วลันเตาผักมากคุณค่า
ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นฤดูแห่งพืชผักเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นช่วงที่มีผักมากมายหลายชนิดให้เลือกกิน แต่ยังมีผักอีกชนิดหนึ่งที่ถึงจะหาซื้อได้ตลอดทั้งปี อย่าง ถั่วลันเตา ซึ่งเป็นพืชตระกูลถั่วที่เติบโตได้ดีในฤดูหนาว ฝักและเมล็ดเมื่อนำมาประกอบอาหารจะมีรสหวาน ช่วยขับของเหลวในร่างกาย ถอนพิษ ใบอ่อนและยอดของถั่วลันเตาสามารถนำมาประกอบอาหารให้ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และลดความดันโลหิตสูงได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติลดอาการเป็นตะคริว เหน็บชา และช่วยขับปัสสาวะ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมอีกด้วย

การล้างผลไม้ให้ถูกวิธี จะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกหรือยาฆ่าแมลงที่ติดมากับผลไม้ออกไปได้ ผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอว์เบอร์รี ฝรั่ง ควรล้างน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง โดยใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่ว จากนั้นล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือก เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรล้างทำความสะอาดมีดปอกผลไม้ให้ดี เพราะจะทำให้เนื้อผลไม้สะอาดน่ากินอย่างมั่นใจ




วิธีล้างปลาหมึกและกุ้งไม่ให้คาว
วิธีล้างปลาหมึกและกุ้งไม่ให้คาว
วิธีที่ 1 : ระหว่างล้างปลาหมึกหรือกุ้ง ให้บีบมะนาวลงไปในน้ำที่ใช้ล้าง เพื่อจะช่วยลดกลิ่นคาว และยังทำให้ปลาหมึกมีเนื้อขาวขึ้นอีกด้วย
วิธีที่ 2 : ล้างกุ้งหรือปลาหมึก แล้วนำน้ำส้มสายชู ประมาณ 2 ช้อนชา ใส่ลงไป แช่ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง ตั้งทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วจึงนำมาประกอบอาหาร


ขอขอบคุณที่มาข้อมูล : นิตยสารแม่บ้าน
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.696 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 23:54:53