[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
20 เมษายน 2567 06:45:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) “พระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕”  (อ่าน 1012 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2319


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 19 สิงหาคม 2561 18:42:32 »


พระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม
(ภาพจากเพจวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม )

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
“พระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕”

ผู้เขียน : นนทพร อยู่มั่งมี
เผยแพร่ : นิตยสารศิลปวัฒนธรรม วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2561

ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนับเป็นตำแหน่งประมุขสูงสุดในการปกครองดูแลคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร พระภิกษุที่จะดำรงในตำแหน่งนี้ต้องมีความเหมาะสมทั้งความรู้ทางธรรมอย่างแตกฉาน ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติมีที่งดงาม จนเป็นที่ยอมรับจากองค์พระมหากษัตริย์ให้ดูแลพุทธศาสนจักรต่างพระเนตรพระกรรณ ซึ่งหนึ่งในจำนวนสมเด็จพระสังฆราชจำนวนทั้งสิ้น ๒๐ พระองค์ มี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามรูปแรก แม้จะทรงมีพระชาติกำเนิดมาจากสามัญชนแต่ด้วยความรู้ความสามารถทำให้ทรงเป็นที่ยอมรับจากพระมหากษัตริย์ถึง ๒ รัชกาล ด้วยการเป็นศิษย์หลวงในรัชกาลที่ ๔ และสมเด็จพระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕ ความสำคัญเช่นนี้ทำให้พระประวัติของพระองค์น่าสนใจและสมควรเผยแพร่

[ในการลงเผยแพร่ครั้งนี้ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ตอน และได้ตัดเอกสารเชิงอรรถอ้างอิงออก

ตอนที่ ๑ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) “สังฆราช ๑๘ ประโยค” อ่านได้ที่ https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_6802

ตอนที่ ๒ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) “พระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕”

ซึ่งผู้อ่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความ “๒๐๐ ปี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชคู่พระทัยของพระมหากษัตริย์ ๒ รัชกาล” เขียนโดย นนทพร อยู่มั่งมี ใน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๔ ฉบับที่ ๑๐ (ส.ค. 2556),หน้า ๑๐๘-๑๒๘ อนึ่งทางวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามก็ได้จัดพิมพ์หนังสือพระประวัติสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สามารถสอบถามไปได้ที่เพจวัดราชประดิษฐฯ https://web.facebook.com/Watrajapradit/]

พระสังฆราชคู่พระทัยในรัชกาลที่ ๕

ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพียง ๔ ปี คือในปี พ.ศ.๒๔๑๕ ทรงโปรดเกล้าเลื่อนสมณศักดิ์แก่พระสาสนโสภณ (สา) ให้เป็นพระธรรมวโรดม ทำหน้าที่เจ้าคณะรองฝ่ายใต้ ทำหน้าที่สนองงานพระพุทธศาสนา คือ “สั่งสอนช่วยระงับอธิกรณ์ แลอนุเคราะห์พระภิกษุสงฆ์สามเณรในพระอารามทั้งปวงซึ่งขึ้นในคณะ” โดยยังคงราชทินนามพระราชทานแต่ครั้งรัชกาลก่อนทำให้มีการเรียกเป็น “พระสาสนโสภณ ที่พระธรรมวโรดม”

ภายหลังได้รับตำแหน่งพระธรรมวโรดมเพียงปีเดียว พระสาสนโสภณ (สา)ได้รับมอบหน้าที่สำคัญคือการเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในการผนวชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๖ พิธีดังกล่าวจัดขึ้นที่พุทธรัตนสถานมนทิรารามในพระบรมมหาราชวังชั้นใน โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมกับนิมนต์พระราชาคณะผู้ใหญ่จนครบคณะสงฆ์ ครั้งนั้นทรงผนวชอยู่ ๑๕ วัน ก่อนจะลาผนวชแล้วประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่งเพื่อขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

การปฏิบัติหน้าที่เป็นพระกรรมวาจารย์ในคราวผนวชพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ต้องทำทัฬหีกรรม หรือ อุปสมบทซ้ำ อีกครั้งหนึ่ง เพราะพระเถระผู้ร่วมคณะสงฆ์ประกอบพระราชพิธีส่วนมากทำทัฬหีกรรมแล้วทั้งสิ้น (เว้นแต่เพียงหม่อมเจ้าพระธรรมุณหิศธาดา อีกองค์หนึ่งเท่านั้น) สมเด็จพระสังฆราชทรงทำทัฬหีกรรมหลังจากอุปสมบทครั้งหลังได้ ๒๒ พรรษาแล้ว โดยไม่พบหลักฐานว่าทำที่ไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์คือ พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม สำหรับสถานที่ประกอบพิธีสันนิษฐานว่ากระทำที่แพโบสถ์ตรงวัดราชาธิวาส และมีขั้นตอนเช่นที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงบันทึกว่า

“แต่ครั้งทูลกระหม่อม [พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] ยังทรงผนวช พวกพระธรรมยุตนับถือสีมาน้ำว่า บริสุทธิ์ เป็นที่สิ้นสงสัยไม่วางใจในวิสุงคามสีมาอันไม่ได้มาในบาลี เป็นแต่อรรถกถาจารย์ แนะไว้ในอรรถกถาอนุโลมตามสีมา ครั้งยังไม่มีวัดอยู่ตามลำพัง จึงใช้สีมาน้ำเป็นที่อุปสมบท ต่อมาพระรูปใดจะอยู่เป็นหลักฐานในพระศาสนา ท่านผู้ใหญ่จึงพาพระรูปนั้น ไปอุปสมบทซ้ำในสีมาน้ำ เรียกว่าทำ ทัฬหิกรรม สำนักวัดบวรนิเวศหยุดมานาน พระเถระในสำนักนี้ ไม่ได้ทำทัฬหิกรรมโดยมาก สมเด็จพระสังฆราช (ปุสฺสเทว) อุปสมบทครั้งหลังกว่า ๒๐ พรรษาแล้ว พึ่งได้ทำทัฬหิกรรม ครั้งจะสวดกรรมวาจาเมื่อล้นเกล้าฯทรงผนวชพระ [พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว] เสด็จพระอุปัชฌายะ [สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์] ตรัสเล่าว่า พระเถระทั้งหลายผู้เข้าในการทรงผนวชล้วนเป็นผู้ได้ทำทัฬหิกรรมแล้ว ยังแต่ท่านองค์เดียว ทั้งจักเป็นผู้สำคัญในการนั้น จึงต้องทำ คงจะไม่ทรงนึกถึงหม่อมเจ้าธรรมุณหิศธาดาผู้ไม่ได้ทำอีกองค์หนึ่ง…ครั้งเราบวช ความนับถือในพระบวชสีมาน้ำยังไม่วาย เราเห็นว่าเราเป็นผู้ยั่งยืนในพระศาสนาต่อไป พระเช่นเราจักต้องเป็นหลักในพระศาสนาด้วยเหมือนกัน เมื่อพระในนิกายเดียวกัน มีวิธีปฏิบัติแผกกันตามสำนัก เราควรเป็นผู้เข้าได้กับทุกฝ่าย อันจะให้เข้าได้ ต้องไม่เป็นที่รังเกียจในการอุปสมบทเป็นมูล ทั้งเราก็อุปสมบทเร็วไปกว่าปกติ เมื่อทำทัฬหิกรรมอุปสมบทซ้ำอีกในสีมาน้ำ จักสามารถทำประโยชน์ให้สำเร็จได้ดี เราจึงเรียนความปรารภนี้แก่เจ้าคุณอาจารย์ [พระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จันทรํสี)] ขอท่านเป็นธุระจัดการให้…เราจักถือเจ้าคุณอาจารย์เป็นอุปัชฌายะใหม่ ในเวลาทำทัฬหิกรรม เจ้าคุณพระพรหมมุนีฟันหักสวดจะเป็นเหตุรังเกียจ เจ้าคุณอาจารย์ท่านเลือกเอาเจ้าคุณธรรมไตรโลก (ฐานจาระ) วัดเทพสิรินทร์ ครั้งยังเป็นบาเรียนอยู่วัดโสมนัสวิหารเป็นผู้สวดกรรมวาจา ท่านรับจัดการให้เสร็จ พาตัวไปทำทัฬหิกรรมที่แพโบสถ์ อันจอดอยู่ที่แม่น้ำ ตรงฝั่งวัดราชาธิวาสออกไป เมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ แรม ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๔๑ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๒๒ แรกขอนิสสัยถืออุปัชฌายะใหม่ แล้วทำวิธีอุปสมบททุกประการ สวดทั้งกรรมวาจามคธและกรรมวาจารามัญ”

ความผูกพันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีต่อสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ในฐานะพระกรรมวาจาจารย์แต่ครั้งยังทรงผนวชยังปรากฏอยู่เสมอมาแม้ว่าจะทรงลาผนวชแล้ว พระองค์ทรงฉลองพระราชศรัทธาด้วยการเสด็จพระราชดำเนินมาสรงน้ำสงกรานต์ รวมทั้งทรงประทับตรัสด้วยคราวละนานๆ อาทิ การเสด็จพระราชดำเนินมาวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๙ ดังนี้

“เสด็จพระราชดำเนิรมาประทับตรัสกับพระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดมอยู่ประมาณ ๔๐ นาที แล้วจึงทรงสรงน้ำแลถวายผ้าไตร แก่พระสาสนโสภณในการสรงน้ำสงกรานต์ โดยท่านเปนพระกรรมวาจาจารย์”

หรือ เหตุการณ์เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ของปีเดียวกัน ความว่า “เสด็จมาถวายพุ่มขี้ผึ้งแลเครื่องสการบูชา เครื่องจำพรรษาแก่พระสาสนโสภณที่พระธรรมวโรดมกับพรงสงฆ์วัดราชประดิษฐเสร็จแล้ว ประทับตรัสอยู่กับพระสาสนโสภณประมาณชั่วโมงหนึ่ง แล้วเสด็จพระราชดำเนิรออกจากพระอุโบสถ”



สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชศรัทธาต่อสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) อยู่เสมอมา นอกเหนือจากพระราชจริยวัตรที่แสดงออกถึงความใกล้ชิดดังกล่าวแล้ว ยังทรงสถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นตามลำดับ โดยในปี พ.ศ.๒๔๒๒ ทรงโปรดเกล้าเลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายเหนือ นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงรักษาเกียรติยศของพระกรรมวาจาจารย์ในพระองค์ ด้วยการเร่งไต่สวนหาผู้กระทำผิดในกรณี “ลักโคมหลวง” เมื่อคราวสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สา) มาร่วมพิธีมหาสมณุตตมาภิเศกสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งปรากฏข้อความจากจดหมายพระราชกิจรายวัน เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๔ ดังนี้

“อนึ่ง ในการสมณุตมาภิเศกครั้งนี้ ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน เวลาเช้าสมเดจพระพุทธโฆษาจาริย์วัดราชประดิษฐ มารับพระราชทานฉันท์ในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วได้รับเครื่องไทยทานฃองหลวงที่โปรดให้สมเดจถวายแก่พระสงฆ์ คือวันนั้นสมเดจพระพุทธโฆษาจาริย์ได้โคมกับเครื่องบริขานอื่นๆให้สิทธิถือตามหลังไปถึงน่าวัดมหรรณพาราม โปลิศเข้าจับเอาสิทธิสมเดจว่าลักเอาโคมของหลวงไป นำตัวเอาไปส่งให้พระประสิทธิสัลการที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระประสิทธิสัลการถามได้ความแล้วจึ่งว่าถ้าโคมของหลวงหายไปไม่พ้นตัวนายคนนี้ที่เปนสิทธิสมเดจแล้วสั่งให้ปล่อยตัวไป สิทธิสมเดจจึงได้ไปเรียนความกับสมเดจพระพุทธโฆษาจาริย์ ครั้นเวลาค่ำสมเดจพระพุทธมาสวดมนต์จบแล้ว จึ่งถวายพระพรกล่าวโทษพระประสิทธิว่าเปนการปมาท จึ่งมีพระราชดำรัสสั่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิอธิบดีกรมพระนครบาล ว่ายศสมเดจพระพุทธโฆษาจาริย์ก็เสมอกบยศสมเดจเจ้าพระยา ซึ่งพระประสิทธิกล่าวเหลือเกินดังนี้ ให้พระประสิทธิไปสวดมนต์เลี้ยงพระสงฆ์ในวัดราชประดิษฐทั้งวัด แล้วให้มีลครสมโภชด้วยวันหนึ่ง ครั้นต่อมาพระประสิทธิก็ทำตามพระบรมราชโองการแล้ว”

หลังจากเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านพ้นไปแล้ว ในปีเดียวกันพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าเพิ่มอิศริยศสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สา)ให้เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเพราะทรงระลึกถึงในฐานะสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สา) ทรงเป็นพระกรรมวาจาจารย์และเป็นอาจารย์ถวายข้อธรรมะให้ทรงศึกษาระหว่างผนวช ซึ่งยากที่จะมีพระภิกษุรูปใดเสมอเหมือนได้ ดังข้อความจากประกาศสถาปนาเพิ่มอิศริยยศ ดังนี้

“ได้เปน พระกรรมวาจาจารย์ให้สมเร็จอุปสมบทกิจการพระราชกุศลส่วนผนวชในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งได้เรียบเรียงหนังสือธรรมวินัยถวายให้ทรงศึกษาในข้อปฏิบัติต่างๆ เปนอันมาก…พระสงฆ์ที่จะได้เปนกรรมวาจาจารย์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเช่นนี้มิได้มีมากเหมือนพระสงฆ์สามัญ นานๆ จะได้มีสักครั้งหนึ่ง”

การสถาปนาในคราวนี้ทรงมีพระราชประสงค์ “สมควรที่จะมีอิศริยยศให้พิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อนๆมา” ดังนั้น จึงทรงเลื่อนสมณศักดิ์ให้เป็นที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ มีนิตยภัตรเดือนละ ๑๑ ตำลึง มีถานานุกรมได้ ๑๒ รูป มากกว่า สมเด็จพระราชาคณะตำแหน่งอื่นๆ ซึ่งมีนิตยภัตรเดือนละ ๖ ตำลึง ๗ ตำลึง และ ๑๐ ตำลึง มีถานานุกรมได้ ๘ รูป และ ๑๐ รูป สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)  เป็นพระมหาเถระรูปที่ ๒ ได้รับพระราชทานราชทินนามที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ อันเป็นราชทินนามสำหรับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช นับได้ว่าเป็นการพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงเป็นกรณีพิเศษ

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ทรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณประมาณ ๑ ปี ครั้นปี พ.ศ.๒๔๓๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคชรา ขณะมีพระชนมายุ ๘๓ พรรษา ประกอบกับใกล้ช่วงเวลาที่จะมีงานพระราชพิธีรัชฎาภิเษก สมควรที่จะมีพระสังฆราชประกอบพิธีอันสำคัญนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาสมเด็จอริยวงศาคตญาณ (สา) เป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๖ อันเป็นปีที่สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระชนมายุครบ ๘๐ ปี การสถาปนาคราวนี้เรียกว่า “สถาปนาเพิ่มอิสริยยศ พระราชทานมุทธาภิเศก” ในการที่ทรงเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่สมเด็จพระสังฆราชทรงโปรดให้มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัตรเดิม โดยโปรดเกล้าฯให้ตั้งพระสุพรรณบัตรสมโภชที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และพระราชทานเฉพาะใบกำกับพระสุพรรณบัตรใหม่เท่านั้น ในคราวเดียวกันนี้ พระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะดำรงพระยศกรมหมื่น เป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต และพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ พระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุตติกนิกายด้วย

เป็นที่น่าสังเกตว่าการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตั้งฐานานุกรมได้ ๑๖ รูป นับเป็นเรื่องพิเศษ เนื่องจากการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชก่อนหน้านี้ต่างได้รับพระราชทานสิทธิให้ตั้งฐานานุกรมได้ ๑๕ รูป เป็นประเพณีตลอดมา จนแม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระสังฆราชที่สืบลำดับต่อมาก็มีสิทธิตั้งฐานานุกรมได้ ๑๕ รูป อีกทั้งสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ยังนับเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณพระองค์แรกที่ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แม้ว่าก่อนหน้านี้พระพิมลธรรม (อู่) จะได้เป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณพระองค์แรกจากการพระราชทานของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๔ แต่ก็มิได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช อันแสดงถึงพระราชศรัทธาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีต่อสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) ได้ปฏิบัติศาสนกิจและปกครองคณะสงฆ์อย่างเต็มกำลังความสามารถจนกระทั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๔๒ ขณะพระชนมายุ ๘๗ ปี ทรงดำรงพระอิสริยยศที่สมเด็จพระสังฆราช ๖ ปีเศษ และครองวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ๓๔ ปี หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยจนตลอดรัชกาล ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชจึงว่างอยู่ถึง ๑๑ ปี (พ.ศ.๒๔๔๒-๒๔๕๓)



Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 สิงหาคม 2561 18:45:37 โดย 自由人 » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
“สมเด็จพระสังฆราช” ประทานพระโอวาทวันวิสาขบูชา
ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน
sithiphong 1 2075 กระทู้ล่าสุด 30 พฤษภาคม 2553 05:09:04
โดย เงาฝัน
สมเด็จพระสังฆราช กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
มดเอ๊ก 0 2193 กระทู้ล่าสุด 16 สิงหาคม 2559 23:07:48
โดย มดเอ๊ก
สมเด็จพระสังฆราช ๕ พระองค์
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
มดเอ๊ก 0 1806 กระทู้ล่าสุด 17 สิงหาคม 2559 00:18:23
โดย มดเอ๊ก
สมเด็จพระสังฆราช อานาปานสติสมาธิภาวนา
ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4
มดเอ๊ก 0 1672 กระทู้ล่าสุด 14 ธันวาคม 2559 03:46:53
โดย มดเอ๊ก
พระสังฆราช สา ปุสฺสเทโว “สังฆราช 18 ประโยค”
พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก
ใบบุญ 1 906 กระทู้ล่าสุด 03 ธันวาคม 2564 15:45:49
โดย ใบบุญ
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.511 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 14:23:33