นาฏกรรมการแสดงโขนของไทย ทำไมจึงต้องใช้ศรในการสู้รบกัน โขน ศิลปะการแสดงชั้นสูงอย่างหนึ่งของไทยที่มีมาแต่โบราณ จัดว่าเป็นมหรสพหลวงและเป็นเอกลักษณ์ของชาติ แต่เดิมพระมหากษัตริย์ของไทยทรงถือว่า โขนเป็นราชูปโภคส่วนพระองค์อย่างหนึ่ง จนปรากฏว่าในสมัยโบราณจัดเป็นการแสดงที่ต้องห้ามมิให้เอกชนมีไว้ นอกจากโขนหลวงที่มีประจำอยู่ในราชสำนักเท่านั้น โขนจึงเป็นนาฏกรรมหลวงที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สืบมาถึงปัจจุบัน เห็นได้จากพระปรีชาสามารถที่เด่นชัดในการพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ รัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๖ ที่กรมศิลปากรนำมาเรียบเรียงเป็นบทการแสดงโขน นอกจากนี้พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ยังมีคุณูปการต่อการแสดงโขนในด้านต่างๆ เป็นอย่างมาก
เรื่องที่นิยมนำมาแสดงโขน คือ รามเกียรติ์ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นขัตติยะกวีของไทยแต่โบราณ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเป็นบทร้อยกรองจากเรื่องรามายณะของอินเดียที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลก แต่มีบางตอนดำเนินเรื่องต่างไป และดำเนินความยืดยาวกว่ารามายณะ เนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่องรามเกียรติ์กล่าวถึงสงครามระหว่างพระรามกษัตริย์แห่งกรุงอโยธยากับทศกัณฐ์พญายักษ์ผู้ครองกรุงลงกา ตัวละครแบ่งเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายพระราม ซึ่งมีเสนาวานรเป็นกองทัพ เรียกว่า “ฝ่ายพลับพลา” และฝ่ายทศกัณฐ์ ซึ่งมีเสนายักษ์กับพวกพ้องพงศ์พันธุ์เป็นกองทัพเรียกว่า “ฝ่ายกรุงลงกา” ต้นเหตุของสงคราม คือ พระรามกับนางสีดาพระมเหสี และพระลักษมณ์ พระอนุชา ไปบำเพ็ญพรตอยู่ในป่า แล้วทศกัณฐ์ไปลักพานางสีดามาไว้ในกรุงลงกา พระรามกับพระลักษณ์จึงยกกองทัพวานรติดตามมา แต่เนื่องจากเรื่องรามเกียรติ์มีเนื้อเรื่องยืดยาวมาก ในการแสดงโขนแต่ละครั้งจึงนิยมนำเรื่องเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งมาปรับปรุงแสดงให้เหมาะสมแก่เวลาและโอกาส เรียกว่า “ชุด” และแต่ละชุดต่างก็มี “กลเม็ด” ที่ปรมาจารย์ทางศิลปะการแสดงโขนได้แทรกเข้าไว้ในแต่ละตอนด้วย
การทำสงครามระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์และพวกพ้องพงศ์พันธุ์ อาวุธที่ใช้ในการรบส่วนมากจะเป็นศร เพราะปรากฏตามบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งปรมาจารย์ด้านศิลปะการแสดงโขนของไทยได้สร้างสรรค์กระบวนท่ารบด้วยการใช้ศรเป็นอาวุธอย่างหลากหลาย ตามบทพระราชนิพนธ์ไว้อย่างวิจิตรสวยงาม ตามหลักทฤษฎี แบบแผน จารีตประเพณี และมีสุนทรียะทางด้านนาฏศิลป์
ศร เป็นอาวุธชนิดหนึ่งที่ใช้ยิงด้วยกำลังสายให้ลัดลูกออกไป มีคันศรและลูกศร สำหรับศรที่ใช้ในการแสดงโขนนั้นมีความแตกต่างจากศรทั่วๆ ไป คือไม่มีสาย มีรูปร่างโค้งเล็กน้อย ปลายศรด้านบนเป็นรูปพญานาค ปลายศรด้านล่างแหลม มีขนาดยาวประมาณ ๑ เมตร เป็นอาวุธประจำกายของตัวละครที่ใช้สู้รบกัน ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ดังปรากฏเรื่องศรของพระรามที่ได้รับจากพระวสิษฐ์กับพระสวามิตร ซึ่งเป็นศรที่พระอิศวรได้ชุบในขณะที่ทั้งสองพระมุนีตั้งพิธีกองกูณฑ์กาลากิจ เพื่อชุบศรในบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ว่า เมื่อนั้น | | ฝ่ายพระอิศวรรังสรรค์ |
เสด็จเหนืออาสน์พรายพรรณ | | ในสุบรรณตรีมุขพิมาน |
พร้อมฝูงสุรางค์อัปสร | | จับระบำรำฟ้อนขับขาน |
ไม่แสนเกษมสำราญ . | | ให้บันดาลเร่าร้อนฤทัย |
จึ่งเล็งทิพเนตรลงมา | | เห็นสองพระมหาอาจารย์ใหญ่ |
กองกูณฑ์พิธีกะลาไฟ | | จะชุบศิลป์ให้พระนารายณ์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ควรกูจะประสาทศรสิทธิ์ | | ให้สัมฤทธิ์อาวุธทั้งหลาย |
คิดแล้วเข้าที่สงัดกาย | | ร่ายเวทสำรวมจิตใจฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ บัดเดี๋ยวเกิดเป็นลูกศร | | สิบสองเล่มฤทธิรอนจำเพาะให้ |
กับทั้งศรสิทธิ์ฤทธิไกร | | ก็โยนไปในกองอัคคี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เมื่อนั้น | | ทั้งสองพระมหาฤๅษี |
เห็นศรพิชัยโมลี | | เกิดขึ้นที่กลางกาลา |
พร้อมสิบสองเล่มเรืองฤทธิ์ | | มีจิตแสนโสมนัสสา |
ก็หยิบออกมาพิจารณา | | เห็นจารึกอักษรเป็นสำคัญ |
มีนามสามราชวรนุช | | กับพระทรงครุฑรังสรรค์ |
ศรนี้ฤทธีต่างกัน | | สำหรับปราบอาธรรม์พาลา |
แล้วส่งให้สี่พระกุมาร | | ว่าศรพระทรงญาณนาถา |
จารึกประสาทลงมา | | อานุภาพเลิศล้ำธาตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เมื่อกรมศิลปากรนำบทละคร เรื่องรามเกียรติ์มาจัดทำเป็นบทการแสดงโขน ดำเนินเรื่องด้วยการ พากย์ เจรจา และขับร้อง จึงปรากฏบทโขนตอนที่ตัวละครสู้รบกันด้วยอาวุธศรอยู่หลายตอน เช่น บทโขน ตอนพระรามรบทศกัณฐ์ในการแสดงโขนชุดหนุมานอาสา ณ โรงละครแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๙๕ ดังบทเจรจาโขนว่า
ทศกัณฐ์ขุนมาร เข้าต่อกรรอนราญมิได้หยุดยั้ง เสียงเทพศัตราวุธกระทบกระทั่งดังฉาดๆ ประดุจสายอัสนีฟาดเห็นเป็นประกาย ต่างเขม้นหมายมุ่งล้างชีวิตของกันและกัน ครั้นจอมอสุรกุมภัณฑ์พลาดพลั้งเสียท่วงที พระจักรีก็หวดด้วยคันพระแสงศรทะนง ต้องพระองค์จอมพระนครลงกา หันเหเซถลาปิ้มว่าชีวิตจะวายปราณ สมเด็จพระอวตารก็ชักศรขึ้นพาดสาย พระเนตรหมายทศกัณฐ์จอมอสุรินทร์ แล้วผาดแผลงพระแสงศิลป์ไปด้วยศักดา ต้องพระหัตถ์ตัดพระเศียรจอมอสุราขาดกระเด็นในทันที บัดนี้ฯ- ศรทะนง -
บทโขน ตอนอินทรชิต (แปลงเป็นพระอินทร์) แผลงศรต้องพระลักษมณ์ ในการแสดงโขน
ชุดพรหมาสตร์ ณ โรงละครศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๐๓ ดังบทขับร้องว่า
ร้องเพลงเห่เชิดฉิ่ง พาดสายหมายเขม้นเข่นเขี้ยว | | น้าวเหนี่ยวด้วยกำลังอังสา |
สังเกตลงตรงพระลักษมณ์อนุชา | | อสุราก็ลั่นไปทันใด |
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -
ร้องเพลงร่ายรุด ลูกศรกระจายเป็นสายฝน | | ต้องพวกลิงพลไม่ทนได้ |
ต้องพระอนุชาเสนาใน | | สลบไปไม่เป็นสมประดี ฯ |
- ปี่พาทย์ทำเพลงโอด -บทโขน ตอนอินทรชิต (แปลงเป็นพระอินทร์) ตีหนุมาน ในการแสดงโขน ชุดพรหมมาสตร์
ณ โรงละครศิลปากร พุทธศักราช ๒๕๐๓ ดังบทขับร้องว่า ร้องเพลงลิงลาน เมื่อนั้น | | อินทรชิตฤทธิไกรใจหาญ |
ไม่หลีกหลบขบฟันประจัญบาน | | รอนราญผัดผันทันท่วงที |
หันเหียนเปลี่ยนท่าง่าศรจ้อง | | ตีต้องหนุมานชาญชัยศรี |
ตกกระเด็นไปกับเศียรกรี | | สลบพับอยู่กับที่ยุทธนา ฯ |
- ปี่พาทย์ทำเพลงโอด -บทโขนตอน ทศกรรฐ์ไล่ตีพิเภษณ์๑ ในการแสดงโขน ชุดพิเภษณ์ถูกขับ บทพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังบทเจรจาโขนว่า ทศกรรฐ์ | | ทศเศียรอสุรียิ่งทรงฟังยิ่งคั่งแค้น ทะลึ่งแล่นขวัดแขว่งพระแสงศร |
. | | ไล่พิเภษณ์ไม่ผันผ่อนตลุยไปจนออกพ้นพระโรงชัยในฉับพลัน |
- ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด - บทโขน ตอนพระรามตามกวาง ในการแสดงโขน ชุดสีดาหาย บทพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังบทขับร้องว่า ร้องเพลงขึ้นพลับพลา เมื่อนั้น | | พระหริวงศ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
ต้อยตามสุวรรณมฤคี | | เข้าที่ปาชัดสงัดพล |
ครั้นจะดักจับเป็นเห็นไม่ได้ | | จะติดตามต่อไปไม่เป็นผล |
พระจึงจับศรสิทธิ์ฤทธิรณ | | ภูวดลก็ผาดแผลงไป |
- ปี่พาทย์ทำเพลงเชิดฉิ่ง – ศรทะนง – รัว - บทโขนตอนพระรามรบพญาขร พญาทูษณ์ ในการแสดงโขน ชุดปราบพญาขร พญาทูษณ์ ของกรมศิลปากร ดังบทเจรจาโขนว่า พญาขร | | ฮะเฮ้ย เหวย ธชีจะหนีไปไหน จงเตรียมรับกรรมที่ทำไว้ในบัดนี้ กริ้วพลางสองอสุรี |
. | | แผลงฤทธาโจนลงจากราชรถาและพาชี ต่างกวัดแกว่งพระแสงศาสตร์เข้าราวี |
. | | (พญาขรโจนลงจากราชรถ พญาทูษณ์ลงจากหลังม้า (ตลกนำม้าแผงเข้าเวที) |
. | | (สองยักษ์เข้ารบกับพระราม พระรามตีสองยักษ์เซถลาไป) |
- เจรจา - สองพญายักษ์ | | สองจอมอสุรีต้องคันศรศรีพระจักรา ให้ปวดร้าวราวชีวาจะอาสัญ ยิ่งทวีแค้นแน่นชีวัน |
. | | พลันชักลูกศรยิง ลูกศรพญาขรก็วิ่งไปต้องคันศรทรงพระจักรี |
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว – เชิด -(พญาขร พญาทูษณ์ แผลงศร ตลกลูกศร ๒ คน ออก ต่างเข้ารบกับพระราม
ตลกลูกศรพญาขรตีคันศรพระรามหล่นลงพื้นเวที สมมติว่าคันศรหัก และเก็บเข้าเวที) - เจรจา -พระราม | | สมเด็จพระระฆุบดีครั้นสิ้นคันศร องค์พระภูธรทรงนิ่งนึกตรึกตรา ว่าสองจอมกุมภัณฑ์ นั้น |
. | | ฤทธาน่าเกรงขาม จำเราจะใช้คันศรปรศุรามที่ถวายให้ ซึ่งฝากไว้กับพระวรุณบนสวรรค์ นำมาบำราบ |
. | | ปราบอาธรรม์ริษยา คิดแล้วทรงตับหัตถาเปล่งพระสุรเสียง ได้ยินไปเฉพาะเพียงเทพวรุณโปรดกระทำคุณ |
. | | นำคันศรมาสู่ให้ใช้ปราบมาร |
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว – เชิด – โอด -(พระรามตบหัตถ์ขอศร พระวรุณออกนำคันศรมาถวายพระราม แล้วเข้าเวที)
(พระรามแผลงศรฆ่าพญาขร พญาทูษณ์ แล้วเข้าเวที) -----------------------------------------------------------
๑ ตัวสะกดตามบทพระราชนิพนธ์ ในรัชกาลที่ ๖
ที่มา : นาฎกรรมการแสดงโขนของไทย ทำไมจึงต้องใช้ศรในการสู้รบกัน
โดย ชวลิต สุทรานนท์ นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากร
ตีพิมพ์ใน นิตยสารศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ฉบัยที่ ๔ ก.ค. - ส.ค. ๒๕๖๑