[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 มีนาคม 2567 18:27:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วงจรปฏิจจสมุปบาท  (อ่าน 5360 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 29 มีนาคม 2562 09:54:56 »



วงจรแห่งปฏิจจสมุปบาท

อวิชชา    เป็นปัจจัยจึงเกิด        สังขาร
สังขาร    เป็นปัจจัยจึงเกิด        วิญญาณ
วิญญาณ    เป็นปัจจัยจึงเกิด        นามรูป
นามรูป    เป็นปัจจัยจึงเกิด        อายตยะหก
อายตยะหก            เป็นปัจจัยจึงเกิด            ผัสสะ
ผัสสะ    เป็นปัจจัยจึงเกิด        เวทนา
เวทนา    เป็นปัจจัยจึงเกิด        ตัณหา
ตัณหา    เป็นปัจจัยจึงเกิด        อุปาทาน
อุปาทาน    เป็นปัจจัยจึงเกิด        ภพ
ภพ    เป็นปัจจัยจึงเกิด        ชาติ
ชาติ    เป็นปัจจัยจึงเกิด        ชรา, มรณะ, ปริเทวะ, ทุกข์, โทมนัส, อุปายาส



กำเนิดของเรื่องปฏิจจสมุปบาท
เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันก่อขึ้นมาได้อย่างไร มีกำเนิดอย่างไร ก็ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก คือเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสเล่าให้ฟังในพระบาลี สูตรที่ ๑๐ แห่งพุทธวรรค อภิสมยสํยุต นิทานวรรค สํยุตต นิกาย ถ้าเป็นฉบับบาลีก็เล่มที่ ๑๖ หน้า ๑๑ หัวข้อที่ ๒๖  

ในสูตรนั้น พระองค์ได้เล่าถึงการออกผนวชของพระองค์เองที่ได้ทรงทำความเพียรในระยะ ๖ ปีนั้น เดี๋ยวทำอย่างนั้นเดี๋ยวทำอย่างนี้ แล้วในที่สุดในระยะเวลาหนึ่งได้ค้นเรื่องสิ่งที่เรากำลังเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น ซึ่งจะขออ่านพระพุทธภาษิตนั้นให้ฟังดีกว่า

พระบาลีนั้นมีว่า “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า สัตว์โลกนี้หนอถึงทั่วแล้วซึ่งความทุกข์ ย่อมเกิดแก่ตายจุติบังเกิดอีก เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเรื่องออกไปให้พ้นจากทุกข์ คือ ชรามรณะ แล้ว การออกจากทุกข์จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร

“ภิกษุทั้งหลายความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี?  ชรามรณะ มีเพราะปัจจัยอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายได้เกิดความรู้ด้วยปัญญาเพราะการพิจารณาโดยแยบคายเกิดขึ้นแก่เราว่า เพราะชาตินี้เองมีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี ชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย และภพนี้เองมีอยู่ ชาติจึงได้มี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย เพราะอุปาทานนี้เองมีอยู่ภพจึงได้มี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย เพราะตัณหานี้เองมีอยู่อุปาทานจึงได้มี อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนานี้เองเองมีอยู่ตัณหาจึงได้มี ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย เพราะผัสสะนี้เองมีอยู่เวทนาจึงได้มี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เพราะสฬายตนะนี้เองมีอยู่ผัสสะจึงได้มี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะนามรูปนี้เองมีอยู่สฬายตนะจึงได้มี สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย เพราะวิญญาณนี้เองมีอยู่นามรูปจึงได้มี นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เพราะสังขารนี้เองมีอยู่วิญญาณจึงได้มี วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าอวิชชานั้นเองมีอยู่สังขารจึงได้มี สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย” ดังนี้

แล้วก็ทรงทบทวนอีกแบบหนึ่งว่า “เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาส ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นมีได้ด้วยอาการอย่างนี้W

ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา อวิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า นี้คือความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้

นี้คือ การค้นปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธองค์เมื่อก่อนตรัสรู้ เรียกว่า การค้นห่วงแห่งลูกโซ่ของความทุกข์ มันเกิดขึ้นมาโดยอาการ ๑๑ อย่าง ๑๑ ตอน อย่างนี้



ภพชาติในภาษาปฏิจจสมุปบาท
คำว่าภพ คำว่าชาติ ที่แปลว่า ความมีความเป็นหรือความเกิดขึ้นในกรณีของปฏิจจสมุปบาทนี้ มิได้หมายถึงความเกิดทางมารดา ไม่ใช่เกิดจากครรภ์มารดา มันเกิดทางนามธรรม ที่เกิดด้วยอุปาทานที่ปรุงขึ้นมาเป็นความรู้สึกว่า “ตัวกู” นั่นแหละ คือเกิดข้อนี้ก็มีพระบาลีที่ตรัสไว้ชัดที่จะอ้างเป็นหลักได้ก็คือบาลีมหาตัณหาสังขยสูตร อีกเหมือนกัน

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ในสูตรนั้นว่า “นันทิใดในเวทนาทั้งหลาย นั่นคืออุปาทาน”  หมายความว่า เมื่อเรามีการกระทบทางอายตนะ เกิดเวทนา เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนาอะไรก็ตาม ก็มีนันทิในเวลานั้น* นั่นแหละคืออุปาทาน  นันทิคืออุปาทาน เพราะว่านันทินี้มันเป็นที่ตั้งของความยึดถือ ถ้ามีนันทิแล้วก็หมายความว่าต้องมีความยึดถือ  นันทิ แปลว่า ความเพลินหรือความพอใจ  นันทิ นั้นเองคือ อุปาทานชนิดที่พระองค์ตรัส เราพอใจสิ่งใดหมายความว่าเรายึดถือสิ่งนั้นเข้าแล้ว เพราะฉะนั้น นันทินั้นเองคืออุปาทาน แล้วนันทินั้นเองเป็นสิ่งที่ต้องมีในเวทนา  เพราะฉะนั้น เป็นอันว่าเมื่อใดเรามีเวทนาแล้ว เมื่อนั้นมีนันทิแล้ว เมื่อนั้นมีอุปาทาน “เพราะมีอุปาทานก็มีภพ เพราะมีภพก็มีชาติ เพราะมีชาติก็มีชรามรณะเกิดขึ้นพร้อมเป็นความทุกข์” นี้แสดงว่าภพกับชาตินี้มันมีติดต่อกันไปจากเวทนา จากตัณหา จากอุปาทาน ไม่ต้องรอต่อตายแล้วไปเกิดใหม่ ไม่ต้องรอให้ตายแล้วไปเกิดใหม่จึงจะมีภพมีชาติ สิ่งที่เรียกว่าภพว่าชาติจะมีอยู่ที่นี่ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่คราว และจะมีทุกคราวที่มีเวทนา แล้วประกอบอยูด้วยอวิชชา ซึ่งเพลิดเพลินเป็นนันทิ และนันทินั้นคืออุปาทาน อุปาทานก็สร้างภพสร้างชาติ  ฉะนั้น คำว่าภพว่าชาตินั้นมีอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา ไม่ต้องรอต่อตายแล้วไปเกิดใหม่

คำว่าภพว่าชาติในลักษณะอย่างนี้ มันเป็นภาษาธรรม ภาษาธรรมของผู้รู้ธรรม ไม่ใช่ภาษาชาวบ้าน ถ้าเป็นภาษาชาวบ้านต้องรอต่อตายแล้วไปเกิดใหม่จึงจะมีภพมีชาติ แล้วก็มีทีเดียวเท่านั้น เพราะคนเรามันเกิดมาทีเดียวแล้วก็ตายเข้าโลงไปแล้วจึงจะมีภพชาติใหม่อีก เดี๋ยวนี้ภพหรือชาติในภาษาธรรมมีวันหนึ่งหลายหนคือ เกิดตัวกูของกูหนหนึ่ง ก็เรียกว่ามีภพมีชาติหนหนึ่งแล้ว เดือนหนึ่งก็มีได้หลายร้อยหน ปีหนึ่งก็มีหลายพันหน หลายพันภพชาติ แล้วตลอดชาตินี้ก็มีหลายหมื่นหลายแสนภพชาติ  ฉะนั้นเราจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าภพว่าชาติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งหลายๆ หนนี้

นี้จะเห็นได้ทันทีว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นเรื่อง ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอต่อตายแล้ว หรือต้องกินเวลาตั้ง ๓ ชาติจึงจะมี  ปฏิจจมุปบาทสักรอบหนึ่ง ที่แท้ในวันหนึ่งๆ มีตั้งหลายๆ หน เมื่อใดมีเวทนามีตัณหา อุปาทาน เมื่อนั้นมีรอบของปฏิจจสมุปบาท แล้วมีภพมีชาติ ทำให้เห็นได้ว่ามันมีในชีวิตประจำวันของคนทุกคน  



*  เราเพลินไปในสุขเวทนา ด้วยความรู้สึกของราคะ เพลินในทุกขเวทนาด้วยความรู้สึกของโกธะ หรือโทสะ เพลินในอทุกขมสุขเวทนาด้วยความรู้สึกของโมหะ

ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)


ภาพจาก วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 กันยายน 2562 17:45:25 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 19 เมษายน 2562 19:05:26 »



ปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นได้ภายในอึดใจ
ถ้าสังเกตดูในพระบาลีจะเห็นว่าไม่ใช่อย่างนั้้น ไม่ต้องรอถึง ๓ ชาติจึงจะมีปฏิจจสมุปบาทครบรอบ ในอึดใจเดียวเท่านั้นก็มีปฏิจจสมุปบาทครบได้ทั้งรอบหรือจะสองอึดใจก็ได้ แล้วแต่กรณี แต่ว่าแม้แต่อึดใจเดียวมันก็เป็นได้ครบทั้งรอบไม่ต้องรอเป็นชาติๆ แล้วตั้ง ๓ ชาติ

ทีนี้ จะยกตัวอย่างให้ฟัง ในการเป็นอยู่ทุกวันๆ ของคนเรามีปฏิจจสมุปบาทอย่างไร เด็กเล็กๆ คนหนึ่งร้องไห้จ้าขึ้นมาเพราะตุ๊กตาตกแตก นี่ก็ลองกำหนดให้ดีเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างไร มีเด็กเล็กๆ คนหนึ่งร้องจ้าขึ้นมาเพราะตุ๊กตาตกแตก พอเขาเห็นตุ๊กตาตกแตกนี้เรียกว่าตากับรูปกระทบกัน เกิดจักษุวิญญาณขึ้นมารู้ว่าตุ๊กตาตกแตก ตามธรรมดาเด็กคนนี้ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เพราะว่าเขาไม่เคยรู้ธรรมะ ไม่รู้อะไรเลย เมื่อตุ๊กตาตกแตกนั้นใจของเขาประกอบอยู่ด้วยอวิชชา อวิชชาจึงปรุงแต่งให้เกิดสังขาร คืออำนาจชนิดหนึ่งที่จะทำให้เกิดความคิด ความนึกอันหนึ่งที่จะเป็นวิญญาณ สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณก็เห็นตุ๊กตาตกแตก แล้วรู้ว่าตุ๊กตาตกแตก อันนี้เป็นวิญญาณทางตา เพราะอาศัยตาเห็นตุ๊กตาตกแตก แล้วมีอวิชชาอยู่ในขณะนั้นคือไม่มีสติ เพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องธรรมะเลยจึงเรียกว่าไม่มีสติ และมีอวิชชาอยู่ ฉะนั้น จึงเกิดอำนาจปรุงแต่งวิญญาณที่จะเห็นรูปนี้ไปในทางที่จะเป็นทุกข์ ความประจวบของตากับรูปคือตุ๊กตากับวิญญาณที่รู้นี้รวมกันเรียกว่าผัสสะ เดี๋ยวนี้ ผัสสะทางตาได้เกิดขึ้นแก่เด็กคนนี้แล้ว จากผัสสะอันนี้ ถ้าจะพูดให้ละเอียดก็ว่าได้เกิดนามรูป คือ ร่างกาย และใจของเด็กคนนี้ขึ้นมา ชนิดที่ พร้อมสำหรับที่จะเป็นทุกข์

นี่ขอให้รู้ว่าตามธรรมดาร่างกายจิตใจของเราไม่อยู่ในลักษณะที่จะเป็นทุกข์ จะต้องมีอวิชชาหรือ มีอะไรมาปรุงแต่งให้มันเปลี่ยนมาอยู่ในลักษณะ ที่มันอาจจะเป็นทุกข์ ดังนั้น จึงเรียกว่า นามรูปก็พึ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เฉพาะกรณีนี้หมายความว่า มันปรุงแต่งวิญญาณด้วยอวิชชานี้ขึ้นมากแล้ว วิญญาณนี้ก็จะช่วยทำให้ร่างกายกับจิตใจนี้เปลี่ยนสภาพลุกขึ้นมาสำหรับทำหน้าที่ที่พร้อมจะเป็นทุกข์ และในนามรูปชนิดนี้ขณะนี้จะเกิดมี อายตนะอันพร้อมที่จะเป็นทุกข์ คือไม่หลับอยู่ตามปกติ แล้วมันก็มีผัสสะที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นทุกข์เฉพาะในกรณีนี้ แล้วมันก็มีเวทนา คือ ความรู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเวทนาที่เป็นความทุกข์นี้ ทำให้เกิดตัณหา คือ อยาก ไปตามอำนาจของความทุกข์นั้น มีอุปาทานยึดมั่นว่าเป็นความทุกข์ของกู มันก็เกิด กู ขึ้นมา เรียกว่า ภพ แล้วเบิกบานเต็มที่เรียกว่า ชาติ แล้วมีความทุกข์ในเรื่องตุ๊กตาตกแตกนี้คือ ร้องไห้ นั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า อุปายาส แปลว่าความเหี่ยวแห้งใจอย่างยิ่ง

ทีนี้เรื่องชาตินี้มันมีความหมายกว้างคือ รวมชรามรณะอะไรไว้เสร็จ ถ้าไม่มีอวิชช ก็จะไม่ถือว่า ตุ๊กตาแตก หรือ ตุ๊กตาตาย หรืออะไรทำนองนั้น แล้วก็จะไม่มีทุกข์ แต่อย่างหนึ่งเกิดขึ้นเลยเดี๋ยวนี้ทุกข์มันเกิดเต็มที่เพราะว่ามันเกิดอุปาทานว่าตัวกู ตุ๊กตาของกู แล้วตุ๊กตาก็แตกแล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะมีอวิชชา ดังนั้น จึงร้องไห้ การร้องไห้คืออาการของความทุกข์ขึ้นสูงสุดเต็มที่ ถึงที่สุดของปฏิจจสมุปบาท

ตรงนี้คนโดยมากฟังไม่เข้าใจในข้อลี้ลั ของข้อที่ว่าภาษาธรรมะ หรือภาษาปฏิจจสมุปบาทนี้ เขาไม่ได้ถือว่าคนได้เกิดอยู่แล้วตลอดเวลา หรือว่า นามรูปได้เกิดอยู่แล้ว หรืออายตนะได้เกิดอยู่แล้ว ถือว่าเท่ากับยังไม่ได้เกิด เพราะมันยังไม่ได้ทำอะไรตามหน้าที่ ต่อเมื่อมีธรรมชาติอันใดอันหนึ่ง มาปรุงแต่งให้มันทำหน้าที่ เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่า เกิด เช่น ลูกตาของเรา เราก็ถือว่ามีอยู่แล้ว หรือเกิดอยู่แล้ว แต่ตามทางธรรมะถือว่ายังมิได้เกิด จนกว่าเมื่อใดตานั้นจะเห็นรูปทำหน้าที่การเห็นรูป จึงจะเรียกว่า ตาเกิดขึ้นมา แล้วรูปก็เกิดขึ้นมา แล้ววิญญาณทางตานั้นก็เกิดขึ้นมา ๓ อย่างนี้ ช่วยกันทำให้สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ เกิดขึ้นมา แล้วผัสสะนี้ทำให้เกิด เวทนา ตัณหา เรื่อยไปจนตลอดสาย

ทีนี้ถ้าว่าต่อมา เด็กคนนี้เอาเรื่องตุ๊กตาแตกมานอนคิด แล้วมานอนร้องไห้อยู่อีก นี่มันกลายเป็นเรื่องทางมโนวิญญาณ ไม่ใช่ทางจักขุวิญญาณแล้ว คือ เขานึกคิดขึ้นมาถึงตุ๊กตาที่แตก ก็เป็นเรื่องความคิดที่เป็นธรรมารมณ์ แล้วธรรมารมณ์กับใจสัมผัสกัน ทำให้เกิดมโนวิญญาณ รู้สึกถึงเรื่องที่ตุ๊กตาแตก นี้มันสร้างนามรูป คือ กายกับใจในขณะนั้น ให้เปลี่ยนปั๊บไปเป็น นามรูป ที่จะเป็นที่ตั้งของอายตน ที่จะเป็นทุกข์ อายตนะนั้นก็จะสร้างให้เกิดผัสสะ ชนิดที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เกิดเวทนา ตัณหา อุปาทาน จนเป็นทุกข์ จนนอนร้องไห้อยู่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ตุ๊กตามันแตก มาตั้งหลายวันแล้ว หรือหลายอาทิตย์แล้วก็ได้ ความคิดที่ปรุงแต่งทะยอยกันอย่างนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท มีอยู่ในคนเป็นประจำวัน

ยกตัวอย่างอีกว่า นักเรียนคนหนึ่งสอบไล่ตก นอนร้องไห้อยู่ หรือสมมุติว่าเป็นลม เด็กคนนี้ไปเห็นประกาศที่ติดอยู่ว่าในบัญชีนั้นมีชื่อของตัวแสดงว่าตก สอบไล่ตก หรือไม่มีชื่อของตัว ก็แสดงว่าสอบไล่ตก เขาเห็นประกาศนั้นด้วยตา ประกาศนั้นมันมีความหมาย มันไม่ใช่รูปเฉยๆ มันเป็นรูปที่มีความหมายที่บอกให้เขารู้ว่าอย่างไร สำหรับเขานั้นเมื่อเห็นประกาศนี้ด้วยตา มันเกิดจักษุวิญญาณ ชนิดที่จะทำให้ นามรูป คือ ร่างกายจิตใจตามปกติของเขาเปลี่ยนปั๊บไปเป็นลักษณะอย่างอื่น คือ ลักษณะที่จะให้เกิดอายตนะแล้ว ผัสสะที่จะเป็นทุกข์ อายตนะที่มีอยู่ตามปกตินั้นไม่เป็นทุกข์ พอถูกปรุงแต่งอย่างนี้ อายตนะนั้นมันจะต้องเป็นทุกข์ คือ จะช่วยไปในทางที่ให้เกิดความทุกข์ คือ มีผัสสะ เวทนา เรื่อยไปจนถึง ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวกู สอบไล่ตกแล้วเป็นลมล้มพับลงไปในชั่วที่ตาเห็นประกาศนั้นอึดใจหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นลมล้มลงไปแล้ว อย่างนี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทได้ทำงานไปแล้วตลอดสายทั้ง ๑๑ อาการ เขามีตัวกู ที่สอบไล่ตก เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เป็นโทมนัสอย่างยิ่ง เป็น อุปายาส อย่างยิ่ง

ทีนี้ ต่อมาหลายชั่วโมง หรืออีกสองสามวัน เขามานึกถึงเรื่องนี้ก็ยังเป็นลมอีก อย่างนี้มันก็มีอาการอย่างเดียวกัน คือ เป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้อาศัยทางมโนทวาร หรือมโนวิญญาณ มีวิญญาณอย่างนี้เกิดแล้วก็สร้างนามรูปที่จะเป็นทุกข์ สร้างอายตนะที่จะเป็นทุกข์ สร้างผัสสะ เวทนาที่จะเป็นทุกข์ แล้วก็มีตัณหา มีอุปาทาน ปรุงเพื่อเป็นทุกข์ ไปตามลำดับแล้วก็ไปรุนแรงถึงขั้นสุดเมื่อเป็นชาติเป็น "ตัวกูสอบไล่ตก" อีกทีหนึ่ง


ปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นได้ภายในอึดใจ
ตัวอย่างวงจรปฏิจจสมุปบาททางตา
ทีนี้ ยกตัวอย่างอีกว่า นางสาวคนหนึ่ง เห็นแฟนของตัวไปควงอยู่กับผู้หญิงคนอื่น นี่..ขออภัย พูดคำโสกโดก หยาบคายอย่างนี้บ้าง เพราะว่าเขาพูดกันอย่างนี้ มันก็มีหัวอกหัวใจ ร้อนเหมือนกับนรกเข้าไปอยู่ในนั้นสัก ๑๐ ขุม ภายในชั่วอึดใจเดียว หรือครึ่งอึดใจเท่านั้น หลังจากที่เห็นแฟนของเขาไปควงกันอยู่กับผู้หญิงคนอื่น นี่หมายความว่าตาของแกกระทบกับรูปนั้น รูปของแฟนที่ควงอยู่กับผู้หญิงคนอื่นนั้น ฉะนั้นมันก็สร้างวิญญาณ คือจักษุวิญญาณขึ้นมาในทันทีทันใดนั้น ก่อนหน้านี้ไม่มีวิญญาณชนิดนี้ มีแต่วิญญาณที่ไม่ทำหน้าที่อะไร หรือเรียกว่าไม่ได้มี ทีนี้วิญญาณชนิดนี้กับรูปกับตานี้รวมกันเป็นผัสสะ เมื่อตะกี้ผัสสะไม่ได้มีเดี๋ยวนี้ มีผัสสะ คือการกระทบกันระหว่างตากับรูป เกิดจักษุวิญญาณ เมื่อผัสสะเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็ทำให้มีเวทนา ตัณหา เรื่อยไป หรือว่าจะเอาละเอียดกระทั่งว่า พอวิญญาณเกิดขึ้นแล้ว ก็เปลี่ยนร่างกายและใจนี้ไปเป็นคนละชนิดเลย แล้วก็สร้างอายตนะทางตานั่นแหละให้มันพร้อมที่จะเป็นทุกข์ แล้วมันก็มีผัสสะ มีอะไรที่เป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นทุกข์ได้

นี่พูดให้มันละเอียด มีเวทนาที่เป็นทุกข์ มีตัณหาดิ้นรน แล้วก็มีอุปาทานว่า กู! กู! กู! แย่แล้ว กูตายแล้ว กูอะไรอย่างนี้ นี่มันเป็นชาติ มันเป็นตัวกู ที่เป็นทุกข์ ตัวกูชนิดที่เป็นทุกข์ เกิดเป็นชาติขึ้นมา มันก็ต้องเป็นทุกข์ หรือว่าเพียงเป็นตัวกูเท่านั้น ก็ยึดถือชาตินี้ให้เป็นความทุกข์ เป็นความสูญเสียของกู แล้วก็มีทุกข์ มีโทมนัส มีอุปายาส อย่างนี้คือปฎิจจสมุปบาทที่เต็มรูป เต็มสายทั้ง ๑๑ อาการ อยู่ที่หัวใจของเด็กหญิงคนนี้ นี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท สายนี้ รอบนี้ได้เกิดขึ้นทางตา

ตัวอย่างวงจรปฏิจจสมุปบาททางหู
ทีนี้ สมมติว่านางสาวคนนี้ถูกเพื่อนหลอก ที่จริงแฟนของเขาไม่ได้ไปควงกับใครที่ไหน แต่เพื่อนด้วยกันมันมาหลอกว่าแฟนของแกไปควงอยู่กับผู้หญิงคนนั้น แล้วมันเชื่อ อย่างนี้เสียงก็เข้ามาทางหู คือว่าเสียงกระทบหูเกิดโสตวิญญาณ ที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เพราะปราศจากสติ วิญญาณนี้ก็จะสร้างนามรูป คือกายกับใจของเขาอันใหม่ทันที สำหรับที่จะมีอายตนะที่จะทำหน้าที่ให้เป็นทุกข์ ในกรณีนี้ มีผัสสะสมบูรณ์ มีเวทนาเกิดขึ้นมาตรงตามเรื่องนั้น คือ ทุกขเวทนา มีตัณหาดิ้นรน มีอุปาทานยึดมั่น มีภพเป็นตัวกูของกูเต็มที่ เป็นชาติของกูที่มีความทุกข์ โทมนัส อุปายาส นี้เรียกว่า เขาเป็นทุกข์ ตามกฎเกณฑ์ ของปฏิจจสมุปบาทครบถ้วน หากแต่ว่าทางหู

ตัวอย่างวงจรปฏิจจสมุปบาททางมโนทวาร
ทีนี้ นางสาวคนนี้อีกเหมือนกัน ต่อมาหลายชั่วโมงหลายวัน เขาเพียงแต่เกิดนึกระแวงขึ้นมาเองเท่านั้น ไม่มีใครมาบอกและไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เขานึกระแวงขึ้นในใจว่าแฟนของเขาไปควงกับผู้หญิงอื่นแน่ เพราะเหตุอย่างนั้นๆ เขาสันนิษฐานอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทก็เกิดขึ้นทางมโนทวาร คือ ธรรมารมณ์กระทบมโนเกิดมโนวิญญาณ มโนวิญญานนี้ก็สร้างนามรูปใหม่ คือ เปลี่ยนนามรูป ร่างกายจิตใจเปล่าๆ ที่ไม่ทำอะไร ให้เป็นร่างกายและใจที่มันจะเป็นทุกข์ขึ้น จากนามรูปนี้ก็สร้างอายตนะที่ทำให้เป็นทุกข์ สร้างผัสสะที่จะทำให้เป็นทุกข์ สร้างเวทนาที่จะทำให้เป็นทุกข์ แล้วก็มีตัณหาดิ้นรนตามเวทนานั้น มีอุปาทานยึดมั่นแล้วมันก็เป็นทุกข์ อย่างเดียวกันอีก นี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทตอนนี้ ของนางสาวคนเดียวกันนี้ อาศัยมโนวิญญาณ เมื่อเขาเห็นด้วยตา ปฏิจจสมุปบาทของเขาก็อาศัยจักขุวิญญาณ เมื่อเขาได้ฟังเพื่อนหลอก ไม่ใช่เรื่องจริง เขาก็อาศัยโสตวิญญาณ เมื่อเขาระแวงเอาเอง เขาอาศัยมโนวิญญาณ นี่แสดงว่า มันอาจจะอาศัยอายตนะอื่นๆ ก็ได้ แล้วก็มีความทุกข์ได้เหมือนกัน

ปฏิจจสมุปบาทเต็มรอบ
ขอให้คิดดูว่า ชั่วแว่บเดียวเท่านั้น ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นไปครบวงจรที่จะเป็นทุกข์ เป็นไปเต็มรอบหรือสายหนึ่ง ครบทั้ง ๑๑ อาการ หรือว่า ชั่วขณะที่ลูกสะใภ้เห็นหน้าแม่ผัว อึดอัดร้อนรนใจอยู่นี้ ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้นปฏิจจสมุปบาทก็เป็นไปครบทั้ง ๑๑ อาการ เขาก็เห็นด้วยตาแล้ว ก็สร้างจักขุวิญญาณชนิดที่เปลี่ยนนามรูปนี้มาเป็นนามรูปที่พร้อมที่จะเป็นทุกข์ สร้างอายตนะที่จะเป็นทุกข์ สร้างผัสสะที่จะเป็นทุกข์ เวทนาเกิดขึ้นก็เป็นทุกขเวทนา ตัณหาก็ดิ้นรน เพราะไม่ชอบหน้าแม่ผัว มันก็มีอุปาทานเป็นภพเป็นชาติ เป็นตัวกู ที่เกลียดหน้าแม่ผัว แล้วก็เป็นทุกข์ นี่มันเสียเวลากันมากสักหน่อยในเรื่องนี้ ขอให้ทนฟังในเรื่องนี้ ขอให้ทนฟัง

ทีนี้ จะไม่พูดถึงคนนั้นคนนี้ แต่จะพูดว่าใครคนใดคนหนึ่งกำลังเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อย อยู่ในปาก กินของเอร็ดอร่อยนั้น คนธรรมดา ต้องขาดสติเสมอ ต้องเผลอสติ ต้องมีอวิชชาครอบงำเสมอ ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้ เมื่อกำลังกินอะไรอร่อยที่สุดนี้ มันเป็นเวลาที่เผลอสติ เพราะความอร่อย มีอวิชชาผสมอยู่ด้วยเสร็จ ทีนี้ความคิดของมันที่อร่อยทางลิ้นนี้เป็นปฏิจจสมุปบาทเต็มรอบอยู่แล้ว โดยลักษณะอย่างเดียวกัน รสกระทบกับลิ้น เกิดชิวหาวิญญาณ สร้างนามรูปใหม่ขึ้นมาสำหรับจะเป็นทุกข์ หรือเปลี่ยนนามรูปธรรมดานี้ขึ้นมาเป็นนามรูปใหม่ที่จะเป็นทุกข์ นี่นามรูปเกิดแล้วก็เกิดอายตนะที่พร้อมที่จะให้มันเกิดผัสสะและเวทนาชนิดที่จะเป็นทุกขเวทนา เกี่ยวกับกรณีนี้ หรือเป็น สุขเวทนา เกี่ยวกับกรณีนี้ ถ้าอร่อยมันเป็นสุข ตามภาษาชาวบ้านพูด แต่พอไปยึดถือความอร่อยเข้าเท่านั้น เป็นอุปาทาน ก็กลายไปในทาง ที่จะเป็นทุกข์ เพราะหวงในความอร่อย ยึดมั่นถือมั่นวิตกกังวลในความอร่อย มีอุปาทานในความอร่อย แล้วความอร่อยหรือความสุขนั้นก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที นี่กูอร่อย! กูมีความสุข! กูว่ามีความสุขก็จริง แต่ว่าหัวใจมันเป็นทาสของความสุข เพราะร้อน เพราะยึดมั่นในความสุขนั้น นี่แยบยลของปฏิจจสมุปบาทมันลึกซึ้งไปอย่างนี้ ถ้าชาวบ้านพูดก็ว่าเป็นสุข ถ้าปฏิจจสมุปบาทพูดก็กลายเป็นตัวทุกข์ นี้ส่วนที่เขาอร่อยมันก็เกิดเป็นปฏิจจสมุปบาทเสร็จไปเต็มรอบแล้ว

ทีนี้ มันยังมีต่อไปว่า เพราะเขากินอร่อย นแหละ เขาจึงคิดว่าพรุ่งนี้กูจะไปขโมยมากินอีก เขาเกิดเป็นโจรขึ้นมาในขณะนั้น นี้คิดจะขโมยก็มีความคิดอย่างโจรเกิดขึ้น ก็กลายเป็นโจร สมมติว่ามันไปขโมยทุเรียนของสวนข้างบ้านมากินอร่อย แล้วคิดว่าพรุ่งนี้กูจะไปขโมยอีก ความคิดเป็นโจรหรือกลายเป็นโจรเป็นภพๆ หนึ่ง เกิดขึ้นในใจ หรือว่าถ้ามันกินเนื้อสัตว์อร่อย พรุ่งนี้จะไปยิงไปฆ่ามากินอีก นี้มันก็เกิดเป็น นายพรานขึ้นมา หรือแม้แต่ว่ามันหลงอร่อยจริง อร่อยจัง มันก็เกิดเป็นเทวดาที่กลุ้มอยู่ด้วยความอร่อย หรือถ้ามันอร่อยถึงขนาดที่ว่าปากเคี้ยวไม่ทันใจอยาก นี้มันเป็นเปรต เพราะมันอร่อยจนปากเคี้ยวไม่ทัน ไม่ทันกับความอร่อยของมัน

วงจรของความทุกข์คือ ปฏิจจสมุปบาท
ลองคิดดูเถิดว่า ชั่วแต่เคี้ยวอาหารอร่อยในปากนี้ ยังเป็นปฏิจจสมุปบาทได้หลายชนิด ฉะนั้นขอให้สังเกตให้ดีๆ ว่า ปฏิจจสมุปบาทนี้ คือ เรื่องวงจรของความทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ คือ การบรรยาย ให้ทราบถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาเต็มรูป เพราะอำนาจความยึดถือ ต้องมีอุปาทานความยึดถือด้วย จึงจะเป็นความทุกข์ตามความหมายของปฏิจจสมุปบาท ถ้ายังไม่ทันยึดถือ แม้จะมีความทุกข์อย่างไร ก็ไม่ใช่ความทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท

ทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทต้องอาศัยความยึดถือ
ความทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทต้องอาศัยความยึดถือเสมอไป เหมือนอย่างชาวนา ตากแดดตากลมดำนาอยู่ในทุ่งนาร้อนเหลือเกิน แต่ถ้าไม่เกิดความยึดถือแล้ว ที่เรียกว่า "ร้อนเหลือเกิน" นั้น มันเป็นความทุกข์ตามธรรมดา ยังไม่ใช่ความทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าความทุกข์ ในปฏิจจสมุปบาท มันต้องยึดถือถึงกับกระวนกระวาย เกี่ยวกับ "ตัวกู" ถึงกับน้อยใจว่า กูเกิดมาเป็นชาวนาเป็นเวรเป็นกรรมต้องอาบเหงื่อต่างน้ำ ถ้าคิดไปถึงอย่างนี้แล้ว อย่างนี้เป็นทุกข์ตามแบบปฏิจจสมุปบาท ถ้ามันร้อนจนแสบหลังเฉยๆ รู้สึกว่าร้อน รู้สึกว่าอะไรอย่างนี้ ไม่ได้ยึดถือถึงขนาดเป็นตัวกูขึ้นมาอย่างนี้ ยังไม่ใช่ความทุกข์ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท

ฉะนั้น ขอให้สังเกตให้ดีแล้วแยกกันเสียตอนนี้ว่า ถ้าความทุกข์ที่ถูกยึดถือเป็นทุกข์ที่สมบูรณ์แล้ว เป็นทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท อย่างสมมติว่าเราทำมีดที่คมๆ บาดมือ เช่น มีดโกนบาดมือเลือดไหลแดงร่า รู้สึกว่าเจ็บเท่านั้นแต่ยังไม่ถึงกับยึดถือ ก็ไม่ถึงกับเป็นทุกข์อย่างปฏิจจสมุปบาท อย่าเอาไปปนกันเสีย ความทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทต้องไปจากอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เสมอไป มันต้องครบอย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นความทุกข์ตามแบบปฏิจจสมุปบาท

ทีนี้ ถ้าพูดเป็นหลักสั้นๆ ผู้ที่เรียนธัมมะธัมโมมาแล้วอาจจะเข้าใจว่า อายตนะภายในได้พบกันกับอายตนะภายนอกที่มีค่าหรือมีความหมาย อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเป็นที่ตั้งแห่งอวิชชา ยกตัวอย่างทางตา เช่น ทอดสายตาไปอย่างนี้ ก็เห็นต้นไม้ เห็นก้อนหิน เห็นอะไรก็ตามแต่ไม่มีความทุกข์เลย เพราะว่าสิ่งที่เห็นนั้นยังไม่มีค่าไม่มีความหมายสำหรับเรา แต่ถ้าเราเห็นเสือหรือว่าเห็นอะไรที่มันมีความหมาย เห็นผู้หญิงหรือว่าเห็นอะไรที่มีความหมาย นี้มันผิดกัน เพราะอย่างหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่งไม่มีความหมาย หรือว่าถ้าสุนัขตัวผู้เห็นผู้หญิงสาวสวยๆ มันก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเป็นชายหนุ่มเห็นหญิงสาวสวยๆ นี้มันมีความหมาย คือผู้หญิงนั้นมีความหมายสำหรับเขา ฉะนั้น การเห็นของสุนัขไม่อยู่ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท แต่การเห็นของชายหนุ่มนั้นอยู่ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท

เดี๋ยวนี้ เรากำลังพูดถึงคน คนเป็นผู้เห็น พอทอดสายตา ไปเห็นอะไรตามธรรมดานี้ แต่ไม่เกิดความหมาย อย่างนี้ยังไม่มีเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท เหลือบตาไปดูซิ รอบๆ นี้มีต้นไม้ มีหญ้า มีก้อนหิน ไม่มีความหมายอะไรเลย เว้นไว้แต่เป็นกรณีที่มีความหมาย เช่น เมื่อมันเป็นเพชรขึ้นมา หรือเป็นก้อนหินศักดิ์สิทธิ์อะไรขึ้นมา อย่างเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา มันจึงจะมีความหมาย แล้วมันจึงจะเกิดเรื่องในจิตใจ แล้วมันจึงจะเป็นปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นเราจึงจำกัดความลงไปว่า อายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับ อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ต้องเป็นสิ่งที่มีความหมายด้วยแล้วเป็นที่ตั้งแห่งอวิชชา คือเป็นที่ตั้งแห่งความโง่ ความหลงด้วย

เมื่อนั้นแหละ การกระทบระหว่างอายตนะภายในกับอายตนะภายนอกจึงจะทำให้เกิด วิญญาณ วิญญาณที่สร้างขึ้นมาปุ๊บเดียว จากการกระทบนี้ แล้วมันก็จะเกิดสังขารคืออำนาจอีกอันหนึ่งที่จะปรุงแต่งต่อไปอีก หมายความว่า ปรุงแต่งนามรูป คือ กาย กับใจของผู้เห็นนี้ ให้เปลี่ยนเป็นกายกับใจชนิดที่บ้าขึ้นมาทันที หรือมันโง่ขึ้นมาทันที คือมันพร้อมที่จะเป็นทุกข์ เมื่อร่างกายจิตใจเปลี่ยน ก็หมายความว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้มันก็เปลี่ยนไปด้วย เป็นอายตนะที่จะ "บ้า" ด้วยกัน แล้วมันก็เกิดผัสสะที่บ้า เวทนาที่บ้า ตัณหาอุปาทานที่บ้า จนได้เป็นทุกข์ ไปจบลงที่เป็นตัวกูที่ชาติ ตัวกูเต็มที่ที่คำว่า ชาติ ทีนี้ความแก่ ความเจ็บ ความไข้ ความตาย ความทุกข์อะไรมันก็เกิดเป็นสิ่งที่มีความหมายขึ้นมาทันที เพราะว่ามัน ยึดถือ และยึดถือว่า ของกู นี่คือ เรื่องปฏิจจสมุปบาทที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน

นี่นับว่าพอสมควรแล้วที่จะทำให้ท่านทั้งหลายพอมองเห็นว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้เกิดขึ้นแพล็บเดียวครบทั้งรอบ ครบทั้ง ๑๑ อาการ แล้ววันหนึ่งๆ เกิดไม่รู้กี่ร้อยรอบก็ได้ ไม่ใช่ว่ารอบเดียว  แบ่งไว้ ๓ ชาติ ชาติในอดีตครึ่งท่อน ชาติปัจจุบันท่อนหนึ่ง ชาติอนาคตอีกท่อนหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้น! อาตมาได้สังเกตเห็นว่ามันมีความเห็นผิดกันถึงขนาดนี้  ฉะนั้นเราจึงถือว่าปฏิจจสมุปบาทที่สอนกันอยู่เวลานี้ ไม่ถูกตามพระบาลีเดิม ซึ่งจะแสดงเหตุผลให้ฟังต่อไป ในที่นี้เอาแต่เพียงว่าสิ่งที่เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทนั้นคืออย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นชนิดสายฟ้าแลบ ที่จะเป็นไปเพื่อทุกข์ในจิตใจของเรา และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำวัน


ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 กันยายน 2562 17:48:28 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 02 กันยายน 2562 18:08:21 »



กำเนิดของเรื่องปฏิจจสมุปบาท

ต่อไปนี้ก็จะพูดถึงเรื่องกำเนิดของปฏิจจสมุปบาท เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันก่อขึ้นมาได้อย่างไร มีกำเนิดอย่างไร ก็ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก คือเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสเล่าให้ฟังในพระบาลี สูตรที่ ๑๐ แห่งพุทธวรรค อภิสมยสํยุต นิทานวรรค สํยุตต นิกาย ถ้าเป็นฉบับบาลีก็เล่มที่ ๑๖ หน้า ๑๑ หัวข้อที่ ๒๖ ในสูตรนั้น พระองค์ได้เล่าถึงการออกผนวชของพระองค์เองที่ได้ทรงทำความเพียรในระยะ ๖ ปีนั้น เดี๋ยวทำอย่างนั้นเดี๋ยวทำอย่างนี้ แล้วในที่สุดในระยะเวลาหนึ่งได้ค้นเรื่องสิ่งที่เรากำลังเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น ซึ่งจะขออ่านพระพุทธภาษิตนั้นให้ฟังดีกว่า พระบาลีนั้นมีว่า

“ภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า สัตว์โลกนี้หนอถึงทั่วแล้วซึ่งความทุกข์ ย่อมเกิดแก่ตายจุติบังเกิดอีก เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเรื่องออกไปให้พ้นจากทุกข์ คือ ชรามรณะ แล้ว การออกจากทุกข์จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร

“ภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยได้เกิดขึ้นแก่เราว่าเมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี? ชรามรณะ มีเพราะปัจจัยอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายได้เกิดความรู้ด้วยปัญญาเพราะการพิจารณาโดยแยบคายเกิดขึ้นแก่เราว่า เพราะชาตินี้เองมีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี ชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย และภพนี้เองมีอยู่ชาติจึงได้มี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย เพราะอุปานทานนี้เองมีอยู่ภพจึงได้มี ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย เพราะตัณหานี้เองมีอยู่อุปาทานจึงได้มี อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย เวทนานี้เองมีอยู่ตัณหาจึงได้มี ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย เพราะผัสสะนี้เองมีอยู่ เวทนาจึงได้มี เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เพราะสฬายตนะนี้เองมีอยู่ผัสสะจึงได้มี ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย เพราะนามรูปนี้เองมีอยู่สฬายตนะจึงได้มี สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย เพราะวิญญาณนี้เองมีอยู่นามรูปจึงได้มี นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย เพราะสังขารนี้เองมีอยู่วิญญาณจึงได้มี วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย เพราะว่าอวิชชานั้นเองมีอยู่สังขารจึงได้มี สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย” ดังนี้


ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5389


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 03 กันยายน 2562 18:01:05 »



แล้วก็ทรงทบทวนอีกแบบหนึ่งว่า

“เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัสอุปายาส ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นมีได้ด้วยอาการอย่างนี้

ภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา อวิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยได้ฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า นี้คือความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้”

นี้คือ การค้นปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธองค์เมื่อก่อนตรัสรู้ เรียกว่าการค้นห่วงแห่งลูกโซ่ของความทุกข์ ทรงพบว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นมาโดยอาการ ๑๑ อย่าง ๑๑ ตอน อย่างนี้ เมื่ออายตนะพบกันแล้วมีอวิชชาเป็นเจ้าเรือนอยู่เวลานั้น คือไม่มีสติแล้ว มันก็สร้างสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณขึ้นมาทันที นี้อย่าเข้าใจว่าวิญญาณเป็นตัวตนถาวรอะไร มันเพิ่งมีเมื่ออายตนะกระทบกัน วิญญาณเกิดขึ้นก็สร้างสังขารหรืออำนาจปรุงแต่งนามรูปใหม่ขึ้นมาทันที นามรูปถูกปรุงแต่งเป็นนามรูปสำหรับที่จะมีทุกข์ แล้วทีนี้ก็เกิดปรุงอายตนะชนิดที่ช่วยให้มีทุกข์ เกิดผัสสะชนิดที่จะให้มีทุกข์ เกิดเวทนาชนิดที่จะให้มีทุกข์เฉพาะในกรณีนี้ เป็นลำดับไป จนเกิดตัณหาอุปาทาน ภพชาติ เป็นตัวกูได้มีความทุกข์เต็มที่

นี้เรียกว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่มีใครค้นพบเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาเท่าที่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลแรกที่ค้นพบเรื่องปฏิจจสมุปบาทแล้วก็ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เรื่องราวนี้หรือพระสูตรๆ นี้เรียกว่าเป็นกำเนิดของสิ่งที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท”


ที่มา : ธรรมบรรยาย เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท โดย พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.557 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 18 ชั่วโมงที่แล้ว