ทิ้งเบี้ย หรือ การซื้อที่ในป่าช้าเมื่อเผาศพ ประเพณีที่มีมาแต่โบราณสมัยโบราณเชื่อกันว่า คนเราถือกำเนิดจากดิน-หนึ่งในคติ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ เมื่อสิ้นชีวิตลง บรรดาญาติมิตรจึงนำร่างไปฝังไว้ในดิน พร้อมกับอาหารและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ สำหรับภพหน้า
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมีการขุดพบกระดูกมนุษย์อายุนับพันปี ส่วนมากจึงพบหม้อ ไห ขวานหรือมีดพร้าอยู่ในหลุมศพนั้นๆ ด้วย
ต่อมาเชื่อกันว่ามนุษย์เกิดมาจากฟ้า จึงเปลี่ยนจากการฝังศพมาเป็นเผาศพแทน เพื่อให้ควันไฟจากศพล่องลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้า หรือสรวงสวรรค์ ตามความเชื่อของตนนั่นเอง
ประเพณีการเผาศพที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบต้องกระทำที่วัด โดยมีพระภิกษุเป็นผู้ประกอบพิธีให้ ถ้าไม่ได้ "ทำศพ" ให้ครบถ้วนตามประเพณี จะทำให้วิญญาณผู้ตายเดือดร้อน อย่างน้อยก็ไม่มีความสงบสุขเท่าที่ควร
และอาจจะทำให้ญาติๆ ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย!
ตามชนบทที่เป็นป่าเขาหลายแห่งก็ไม่มีวัดวาอาราม ที่จะนิมนต์พระมาสวดอภิธรรมให้ หรือมีก็อยู่ห่างไกลเกินไป จนต้องช่วยกันเผาศพตามมีตามเกิด ไม่เป็นที่อุจาดตาก็พอแล้ว
แม้แต่วัดวาอีกมากมายก็ยังไม่มีเมรุหรือป่าช้าด้วยซ้ำ ต้องนำศพไปเผาตามทุ่งนาบ้าง อย่างดีก็หลังวัดบ้าง เรียกว่าเมรุลอย
คนโบราณเชื่อว่า ตามทุ่งนาป่าดง รวมทั้งที่ไหนๆ ก็ตาม ย่อมจะมีเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองดูแล เมื่อจะเผาศพก็ต้องขออนุญาต หรือบอกกล่าวเล่าสิบเจ้าที่เสียก่อน เพื่อเป็นการเคารพนบไหว้ มิใช่กระทำไปโดยพลการ มิฉะนั้นเจ้าที่เจ้าทางอาจจะโกรธเกรี้ยวเอา
"การซื้อที่" คือการแสดงความนับถือที่ดีที่สุด!
การซื้อที่นั้น คนโบราณเรียกว่า "ทิ้งเบี้ย"
"เบี้ย" หรือเงินในสมัยโบราณนั่นเอง แสดงว่ามีประเพณีนี้มานมนานแล้ว
ต่อมา แม้ว่าจะเลิกใช้เบี้ยมาใช้สตางค์แทน ก็ใช้ทิ้งสตางค์หรือทิ้งเหรียญแทน สุดแท้แต่ฐานะของเจ้าภาพว่าจะยากดีมีจนประการใด โดยเป็นที่รู้กันว่าสัปเหร่อจะเป็นผู้เก็บเบี้ยหรือสตางค์นั้นไปเป็นสินน้ำใจ
มีตำนานว่าทิ้งเบี้ยให้ "ตากลี-ยายกลา" เพื่อเป็นค่าจ้างเผาศพ!
เชื่อกันว่าตากลี-ยายกลา เป็นเจ้าของป่าช้า จึงขออนุญาตซื้อที่สำหรับเผาศพเสียก่อน แต่ยักเยื้องว่า "จ้างเผา" ทั้งๆ ที่ญาติมิตรผู้ตายเป็นคนเผาแท้ๆ
คิดแล้วเหมือนการให้สินบนเจ้าหน้าที่ แต่เรียกให้นุ่มนวลว่าเป็น "ค่าน้ำร้อนน้ำชา"
ถ้าไม่ขออนุญาตซื้อที่ซื้อทางเสียก่อน วิญญาณหรือผีนั้นก็จะถูกขับไล่ออกจากป่าช้า กลายเป็นวิญญาณพเนจร ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ต้องประสบกับความเดือดร้อนต่างๆ นานา
ไม่มีใครรู้แน่ว่าตากลี-ยายกลา เป็นใครมาจากไหน? เหตุใดจึงมาเป็นเจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของป่าช้าทั่วประเทศ มีอิทธิพลคล้ายๆ กับนายทุนที่เที่ยวจับจองป่าแล้วขอใบเหยียบย่ำว่าเป็นที่ทำกิน จนถึงขอน.ส.3 อันเป็นเอกสารสิทธิของทางราชการ เพื่อเข้าครอบครองโดยสมบูรณ์แบบ
ฉวยโอกาสครอบครอง เป็นเจ้าของตลอดกาล!
ในหนังสือ "ธรรมบท" ก็มีหญิงชื่อ "ยายกลี" มีหน้าที่เฝ้าป่าช้า แกมีลูกทั้งหญิงและชายอยู่ด้วย อาชีพรับจ้างเผาศพ แต่ในตำนานเดิมเป็นชายคือ "ตากลี" อาจจะเป็นคนละคนเสียละกระมัง?
ประเพณีทิ้งเบี้ยซื้อที่ทางในป่าช้าเป็นปริศนาธรรมอย่างหนึ่ง
นั่นคือ ร่างกายของมนุษย์เรามีอวัยวะ 32 ประการ เมื่อตายไปแล้วก็ต้องทิ้งจมดินทั้งหมด ญาติมิตรจึงต้อง "ทิ้งเบี้ย" เป็นจำนวน 32 เบี้ยให้ครบตามอวัยวะ 32 ประการ
อีกนัยหนึ่งคือ "ทิ้งอาการ 32" ของคนตายนั่นเอง!
ต่อมา มีเมรุเผาศพสมัยใหม่ ในระยะแรกๆ ก็ยังทิ้งเงินทองใส่เตาเผา แต่มาคิดได้ว่าไร้ประโยชน์ จึงนำพานมาวางไว้หน้าเตาเผาศพ บรรดาญาติมิตรและลูกหลานของผู้ตายก็ควักสตางค์ใส่พานนั้นตามอัธยาศัยของตน
มีทั้งเหรียญและธนบัตร หลายๆ งานก็มีจำนวนมากมายจนแทบจะเรียกได้ว่า...ซื้อป่าช้าได้ทั้งป่าช้า!
ความจริงการจ่ายเงินทองซื้อที่ให้ผู้ตายนั้น ได้กระทำกันหลายครั้งหลายครามาแล้ว ตั้งแต่รดน้ำขออโหสิกรรมต่อกันเสร็จก็นำศพห่อตราสังใส่โลง ญาติมิตรก็มุงกันดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ช่วยกันหย่อนเงินทองลงไปในโลง เพื่อให้ไปซื้อที่ทางบ้าง นำไปใช้ในโลกหน้าบ้าง ก่อนจะปิดฝาโลง
ในกรณีที่เก็บศพไว้ 100 วันบ้าง 1 ปีบ้าง เมื่อสวดอภิธรรมเสร็จแล้ว นำศพไปบรรจุไว้ก่อน ลูกหลานและญาติมิตรก็จะตามไปจนถึงฮวงซุ้ย มีการวางเงินทองไว้ในฮวงซุ้ยก่อนจะปิดผนึกให้เรียบร้อย
ครั้นถึงยามเผาศพก็ต้องใส่เงินทองในเตา หรือใส่พานหน้าเตาอีก ถือว่าจ่ายซับจ่ายซ้อนเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย คิดแล้วก็เหมือนการจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาดะไปจนกว่าจะเสร็จสิ้นเรียบร้อย