[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 03:10:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หม่อมศรีพรหมา ปฏิเสธเป็นเจ้าจอมในร.5 กับชีวิตหลังวลี “มิได้รักทางชู้สาว”  (อ่าน 1521 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2303


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 27 ตุลาคม 2561 15:17:23 »


               หม่อมศรีพรหมา กฤดากร (จากหนังสือศิลปวัฒนธรรม)

หม่อมศรีพรหมา ปฏิเสธเป็นเจ้าจอมในร.5
กับชีวิตหลังวลี “มิได้รักทางชู้สาว”

ที่มา - เว็บไซต์ศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ - วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2561
อ้างอิง - ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550


สำหรับสตรีทั่วไปแล้วการได้เข้าวังและได้รับโปรดเกล้าฯเข้ารับราชการในราชสำนักฝ่ายในถือเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและวงตระกูล แต่ในประวัติศาสตร์ไทยบันทึกเรื่องราวของหม่อมศรีพรหมา กฤดากร สตรีที่ปฏิเสธตำแหน่งเจ้าจอมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ออกพระโอษฐ์ขอให้เจ้าศรีพรหมา เข้ารับราชการตำแหน่งเจ้าจอม แต่ท่านกราบบังคมทูลปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษสื่อสารเนื้อหาใจความว่า “เคารพพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ แต่มิได้รักใคร่พระองค์ในทางชู้สาว” (ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย,2550)

วลีดังกล่าวนอกจากจะทำให้นึกถึงเรื่องราวความนักในวรรณกรรมอมตะที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรักท่ามกลางความแตกต่างทางชนชั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังเป็นที่โจษจันและถูกเล่าขานต่อกันมาในฐานะพฤติกรรมที่แหวกมาตรฐานเดิมที่เคยมีมา การได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้ารับราชการในตำแหน่งต่างๆ ถือเป็นเกียรติยศ และมีโอกาสยกฐานะวงศ์ตระกูลหากภายภาคหน้าได้เป็น “เจ้าจอมมารดา” ย่อมถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นพระญาติกับพระเจ้าแผ่นดิน แต่สำหรับหม่อมศรีพรหมาแล้ว ท่านไม่เลือกเส้นทางนี้

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย ผู้เขียนหนังสือ “ลูกท่านหลานเธอ ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในราชสำนัก” อธิบายชาติกำเนิดของหม่อมศรีพรหมาว่า เป็นธิดาพระเจ้าสุริยวงศ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน กับแม่เจ้าศรีคำ ในดินแดนภาคเหนือ วิถีชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในอาณาจักรล้านนา เมื่ออายุได้ 3-4 ขวบ บิดาของท่านมีพระประสงค์ให้ธิดาเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ทรงตัดพระทัยยกให้เป็นธิดาบุญธรรมของ พระยามหิบาลบริรักษ์ และคุณหญิงอุ๊น ขณะดำรงตำแหน่งเป็น พระพรหมสุรินทร์ ข้าหลวงกำกับราชการในฝ่ายเหนือ

ด้วยเหตุนี้ท่านต้องจากบ้านเกิดมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง เข้าศึกษาในโรงเรียนสุนันทาลัย และสตรีวังหลัง ซึ่งถือเป็นโรงเรียนสตรีชั้นนำมีชื่อเสียงแถวหน้าในสมัยนั้น

เจ้าศรีพรหมาถูกถวายตัวไว้ในพระอุปการะของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ หลังพระยามหิบาลบริรักษ์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นอัครราชทูตประจำกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย เจ้าศรีพรหมาจึงได้รับประสบการณ์จากการเลี้ยงดูร่วมกับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าหลายพระองค์ ได้ศึกษาวิชาความรู้สมัยใหม่ ซึมซับธรรมเนียมประเพณีร่วมกับเจ้านายรุ่นเดียวกัน

เมื่ออายุได้ 12 ขวบ ท่านมีโอกาสเดินทางติดตามบิดามารดาบุญธรรมไปประเทศรัสเซีย บันทึกบางตอนจากการเดินทางของท่านเล่าถึงสภาพรัสเซียหลังจากเปลี่ยนรถจากเยอรมันมาเป็นรัสเซีย เมื่อถึงสถานีชายแดนก็พบเห็นสภาพบ้านเมืองเปลี่ยนไป สถานีเก่า ไม่มีตึก กลายเป็นกระท่อมมุงคามุงหญ้า ผู้คนแต่งตัวไม่เรียบร้อย เครื่องนุ่งห่มสภาพเก่า บ่งบอกถึงสถานะการเงินของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งท่านแสดงความคิดเห็นว่า ความแตกต่างระหว่างฐานะในรัสเซียเป็นอีกหนึ่งเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติในรัสเซีย  “พวกผู้ดีนะๆ น่ะ เวลางานหลวงเขาว่าแต่งตัวกันเครื่องเพชร เครื่องพลอย เพรียบพรึ่บเชียว แสดงว่ามั่งมีแต่ว่าไอ้คนจนกลางถนนนี้มันไม่มีจะกิน เพราะงั้นมันถึงปฏิวัติ

เจ้าศรีพรหมาเข้ารับราชการในพระราชสำนักในหน้าที่นางพระกำนัลหลังจากกลับจากรัสเซีย ท่านรับใช้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอย่างใกล้ชิด ผู้เขียนหนังสืออธิบายว่า ช่วงเวลานี้ท่านอยู่ในวัยสาวเปล่งปลั่ง งามตามธรรมชาติ มีวิชาความรู้ เฉลียวฉลาด มั่นใจในตัวเองแบบที่สาวชาววังไม่เป็น

ลักษณะเหล่านี้น่าจะทำให้ท่านเป็นที่พอพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงให้รับราชการตำแหน่งเจ้าจอม แต่ท่านกราบบังคมทูลปฏิเสธด้วยประโยคข้างต้นที่กลายเป็นเรื่องเล่าลือต่อกันมา ไม่เพียงจะเป็นเรื่องที่หาญกล้าแหวกค่านิยมสมัยนั้นแล้ว เรื่องเล่าขานกันต่อมาคือน้ำพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มิได้ทรงถือโกรธ ยังคงพระราชทานพระเมตตาอย่างสม่ำเสมอ

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย เล่าถึงคำเล่าลือเรื่องพระองค์ทรงฉายพระรูปเจ้าศรีพรหมาด้วยฝีพระหัตถ์ ทรงตั้งรูปนั้นไว้ในห้องพระบรรทมบนพระที่นั่งอัมพรสถานจวบจนสวรรคต

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เจ้าศรีพรหมาครองตนเป็นโสด กระทั่งในวัย 27 ปี ท่านพบรักกับหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร โอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์

เรียกได้ว่าความคิดของท่านทั้งสองเห็นพ้องตรงกันเรื่องความแตกต่างระหว่างคนจนกับคนรวย หลังการสมรสทั้งสองละทิ้งสังคมเหมืองหลวงไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมที่ฟาร์มบางเบิด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ในสมัยนั้นสภาพทุรกันดาร เดินทางยากลำบาก

ท่านทั้งสองถือว่าสถานที่ฟาร์มบางเบิดเป็นสถานีทดลองการเกษตรสมัยใหม่เพื่อนำวิทยาการด้านเกษตรมาเผยแพร่สู่เกษตรกร โดยไม่ได้คิดว่าจะทำกำไร

อีกหนึ่งเรื่องยากลำบากในชีวิตของหม่อมเจ้าศรีพรหมาคือช่วงที่หม่อมเจ้าสิทธิพร ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏร่วมกับพระองค์เจ้าบวรเดช พระเชษฐา ต้องจำคุกที่บางขวาง และถูกส่งไปกักขังที่เกาะตะรุเตาและเกาะเต่าถึง 11 ปี

ระหว่างนั้นหม่อมศรีพรหมาต่อสู้ชีวิตพร้อมกับโอรสธิดาคือ ม.ร.ว. อนุพร และม.ร.ว.เพ็ญศรี จนกระทั่งหม่อมเจ้าสิทธิพรได้รับพระราชทานอภัยโทษนิรโทษกรรมกลับมาที่ฟาร์มอีกครั้ง

ด้วยความมุ่งมั่นพัฒนาการเกษตร หม่อมเจ้าสิทธิพรทรงรับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรฯ เป็นเวลา 7 เดือน การต่อสู้เพื่อพัฒนาการเกษตรของทั้งสองท่านก็ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัว ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย อธิบายว่า หม่อมศรีพรหมาขายที่ทางไร่นา เครื่องประดับบ้านและร่างกายบางชิ้นเพื่อพัฒนาการเกษตร

ฟาร์มบางเบิดเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องขายออกไป ทั้งสองท่านย้ายมาทำฟาร์มขนาดย่อมในช่วงบั้นปลายชีวิต โดยที่หม่อมเจ้าสิทธิพรเขียนบทความด้านการเกษตรและแสดงความคิดเห็นทั้งสนับสนุนและคัดค้านนโยบายด้านการเกษตรของแต่ละรัฐบาล จนกระทั่งวาระสุดท้ายของหม่อมเจ้าสิทธิพร ในช่วง พ.ศ.2514

หม่อมศรีพรหมา ยังปฏิบัติกิจสืบทอดเจตนารมย์ของคู่ชีวิตมาตลอดตราบจนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ.2521


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.311 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 03 พฤศจิกายน 2566 09:11:52