[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 23:45:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ที่มาของการเวียนว่ายตายเกิด - พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี  (อ่าน 979 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1017


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 78.0.3904.108 Chrome 78.0.3904.108


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 04 ธันวาคม 2562 16:14:22 »





ที่มาของการเวียนว่ายตายเกิด

ความอยากกิเลสตัณหาความโลภความโกรธความหลงนี่ เป็นตัวที่ทำให้ใจเรากระเพื่อม ทำให้ใจเราวุ่นวายตลอดเวลา ถ้าเราสามารถกำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้แล้ว จะไม่มีอะไรมาทำให้ใจกระเพื่อม ใจจะอยู่เฉยๆ สักแต่ว่ารู้ อยู่กับความสงบที่เป็นรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง ที่เป็น “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง” สุขอื่นที่เหนือกว่าความสงบไม่มี นี่แหละที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเราให้มาฝึกกันมาทำกัน มาทำใจให้สงบ ความสงบของใจก็แบ่งเป็น ๒ ระดับ ระดับแรกระดับชั่วคราวเรียกว่า “สมาธิ” ระดับที่ ๒ เป็นระดับที่ถาวรเรียกว่า “ปัญญา” สงบด้วยปัญญา ด้วยการกำจัดตัวที่มาทำให้ใจไม่สงบ ตัวที่มาทำให้ใจไม่สงบก็คือกิเลสตัณหา แต่จะใช้ปัญญาให้ได้ผลก็ต้องมีสมาธิเป็นผู้สนับสนุนก่อน ถ้าไม่มีสมาธิ อย่างพวกเราตอนนี้ไม่ได้นั่งสมาธิ ตอนนี้รู้แล้วว่าตัวที่มาทำให้ใจเราวุ่นวายคือกิเลสตัณหา ลองไปกำจัดมันดูซิ ดูซิว่ามันจะยอมไหม สู้มันได้หรือเปล่า มันไม่ยอมหรอก เราสู้มันไม่ไหว เคยชอบอะไรเคยกินอะไรเคยดื่มอะไร ลองอย่าไปกินมันดูซิ ดูแล้วจะรู้สึกยังไง เคยทำอะไรแล้ว ลองอย่าไปทำดูซิ มันจะมือไม้สั่นขึ้นมา ใจสั่นขึ้นมาทันที จะหงุดหงิดรำคาญใจจนสู้มันไม่ไหว ในที่สุดก็ต้องกลับไปทำตามเดิม เคยสูบบุหรี่ก็กลับไปสูบบุหรี่ต่อ เคยดื่มสุราก็กลับไปดื่มสุราต่อ เคยดื่มกาแฟก็กลับไปดื่มกาแฟต่อ เคยเที่ยวก็กลับไปเที่ยวต่อ เคยทำอะไรตามความอยาก มันก็จะกลับไปทำเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าตอนนี้เรามีปัญญาแล้ว เรารู้แล้วว่าการกระทำเหล่านี้เป็นไตรลักษณ์ ทำแล้วเดี๋ยวก็ต้องเจอความทุกข์ แต่เราก็หยุดไม่ได้ เพราะปัญญาของเราไม่มีผู้สนับสนุน ปัญญาไม่มีกำลัง คือใจไม่มีกำลังที่จะเอาปัญญามาใช้ หยุดตัณหาหยุดกิเลส หยุดความโลภหยุดความโกรธหยุดความหลงได้ จึงต้องมีสมาธิก่อน

ดังนั้น มองข้ามสมาธิไปไม่ได้ เป็นการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เพื่อกำจัดความโลภความโกรธความหลง ความอยากต่างๆ ต้องมีอัปปนาสมาธิเป็นผู้สนับสนุน อย่าเอาอุปจารมาสนับสนุน อย่าเอาอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มาสนับสนุน กิเลสไม่กลัวอิทธิฤทธิ์ กิเลสมันไม่กลัวตาทิพย์หูทิพย์ กิเลสมันกลัวอุเบกขา เอาอุเบกขามาทำลายมัน อุเบกขานี่ได้จากอัปปนาสมาธิ อิทธิฤทธิ์ได้จากอุปจารสมาธิ แต่อิทธิฤทธิ์นี้มาฆ่ากิเลสไม่ได้ ทำลายกิเลสไม่ได้ ต้องอาศัยอุเบกขาควบคู่กับปัญญา ถ้าเอาปัญญามาควบคู่กับอิทธิฤทธิ์ ก็จะกลายเป็นกิเลสไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างพระเทวทัตก็คิดว่าตัวเองมีอิทธิฤทธิ์ มีความเก่งกาจ เลยเกิดปัญญา อยากจะได้เป็นหัวหน้าสงฆ์ คิดว่าตนเองสามารถปกครองสงฆ์ได้ เกิดความอยากขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว แต่คิดว่าเป็นปัญญา คิดว่าเราเก่งเราฉลาด เราน่าจะเป็นผู้ปกครองสงฆ์ต่อไป ก็เลยไปขอจากพระพุทธเจ้า ขอให้แต่งตั้งตนให้เป็นผู้ทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเห็นกิเลสของเทวทัต ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ บอกหน้าตาอย่างเธอหรือจะมาเป็นหัวหน้าสงฆ์ ขนาดสารีบุตรกับโมคคัลลาน์เป็นพระอรหันต์ เป็นอัครสาวกเรายังไม่ตั้งเลย เธอนี่ยังไม่ได้เป็นอะไรเลย เพียงแต่มีอิทธิฤทธิ์เท่านั้นเองก็คิดว่าเก่งแล้ว พูดแค่นี้ก็โกรธ กิเลสโกรธขึ้นมา โกรธถึงอยากจะฆ่าพระพุทธเจ้า พยายามฆ่าถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ เพราะบารมีของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครที่จะไปฆ่าพระพุทธเจ้าได้ ส่งคนไปฆ่าพระพุทธเจ้า ท่านก็เทศน์สอนว่าการฆ่าไม่ดี จนเขาเปลี่ยนใจ ส่งช้างไปฆ่า ท่านก็แผ่เมตตาให้กับช้าง ช้างก็ไม่เหยียบ ช้างก็สงบก้มลงกราบ ปล่อยกลิ้งหินลงมาจากภูเขา เพื่อให้มาทับพระพุทธเจ้า ก็ไม่โดน มีแต่สะเก็ดหินไปทำให้ข้อเท้าห้อเลือดเท่านั้นเอง พระบาทห้อเลือดเท่านั้น แต่เป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นกรรมหนักอย่างยิ่ง เลยต้องถูกแผ่นดินสูบไปเลย แล้วก็ต้องไปตกนรกในอบาย แต่ดีอยู่อย่างหนึ่ง ตอนก่อนที่จะตายนี่สำนึกผิด ขอถวายกรามเป็นพุทธบูชา ขอขมาลาโทษต่อพระพุทธเจ้า ความสำนึกผิดของตนนี้จะทำให้ตนหลังจากที่พ้นจากนรกนี้จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ และจะบำเพ็ญเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าต่อไป

นี่คือเรื่องของอุปจารสมาธิ อย่าไปสนใจ บางคนชอบ นั่งสมาธิแล้วอยากจะเหาะได้ อยากจะเห็นนรกเห็นสวรรค์ อยากจะระลึกชาติได้ อยากจะติดต่อกับผีสางเทวดาได้ อยากจะติดต่อกับคนที่ตายแล้ว เขาไปอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร เรื่องราวเหล่านี้มันเป็นจริงทำได้ แต่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ มันจะทำให้หลง แล้วก็จะติดอยู่กับอุปจารสมาธิ นั่งสมาธิทีไรก็จะเข้าไปหาหูทิพย์ตาทิพย์ ไปหาอะไรมาเสพมาสัมผัสให้สนุกให้เพลิดเพลินไปเท่านั้นเอง แต่เวลาออกจากสมาธิมา พอกิเลสโผล่ขึ้นมาก็หยุดมันไม่ได้ พอความโลภความอยากโผล่ขึ้นมา ก็หยุดมันไม่ได้ แล้วอาจจะต้องให้ไปทำผิดทำบาปเพื่อจะได้สิ่งที่อยากได้ ดังนั้น ถ้าใครนั่งสมาธิแล้ว เกิดไปมีอิทธิฤทธิ์อะไรก็ดึงจิตกลับเข้าที่ในอัปปนาสมาธิ ให้กลับเข้ามานิ่งๆ เฉยๆ ให้สักแต่ว่ารู้ อย่าปล่อยออกไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ อย่าไปติดต่อกับเทวดา อย่าไปติดต่อกับผีสางอะไร ดึงจิตกลับเข้ามาให้หาอุเบกขา ให้นิ่งสักแต่ว่ารู้ ไม่รักไม่ชังไม่กลัวไม่หลง เอาตัวนี้ดีกว่า เพราะเวลาออกจากสมาธินี้มา ตัวนี้แหละจะเป็นผู้สนับสนุนปัญญา เวลาปัญญาสอนใจว่าอย่าไปอยาก อยากแล้วทุกข์นะ สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันเป็น “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ได้มาแล้วเดี๋ยวก็ต้องจากกันไป เวลาจากกันก็เหงาว้าเหว่เศร้าสร้อย ต้องหาใหม่ สูบบุหรี่มวนนี้ พอหมดมวนปั๊บ เดี๋ยวก็หิว อยากจะสูบมวนใหม่ ถ้าไม่มีมวนใหม่มาให้สูบก็หงุดหงิดลงแดงต่อไป ดื่มเหล้าดื่มอะไร ดื่มกาแฟ เที่ยวช้อปปิ้ง เหมือนกันทั้งนั้น พอไปทำแล้วมันจะติดเหมือนยาเสพติด พอเวลาอยากจะทำแล้วไม่ได้ทำนี้มันหงุดหงิด มันรำคาญใจ มันเบื่อหน่าย ต้องไปทำ ถ้าไม่ทำแล้วมันทนไม่ไหว ทำเท่าไหร่แล้วก็เหมือนเดิม ทำเท่าไหร่แล้วมันก็ดีใจเดี๋ยวเดียว สุขเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวก็อยากใหม่ขึ้นมาอีก ก็ต้องไปทำใหม่อีก ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทำเท่าไหร่ก็ไม่หมด ตายไปก็กลับมาเกิดใหม่ เพื่อที่จะได้มาทำใหม่ ที่มาของการเวียนว่ายตายเกิดก็คือการทำตามความอยากต่างๆ นี่เอง


สนทนาธรรมบนเขา  วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
สร้างธรรมะให้เป็นที่พึ่งกับใจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 939 กระทู้ล่าสุด 02 กันยายน 2562 16:17:35
โดย Maintenence
“อานิสงส์ของความเมตตา” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 983 กระทู้ล่าสุด 04 กันยายน 2562 17:24:35
โดย Maintenence
“ทุกวันนี้เราทุกข์กับอะไร” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 890 กระทู้ล่าสุด 06 กันยายน 2562 09:54:10
โดย Maintenence
“ทำใจให้สงบ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 858 กระทู้ล่าสุด 07 กันยายน 2562 12:56:44
โดย Maintenence
“กระบวนการของการชำระจิตใจ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1044 กระทู้ล่าสุด 08 กันยายน 2562 11:10:15
โดย Maintenence
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.306 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 21 มีนาคม 2567 13:00:38