[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 06:20:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: จุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ  (อ่าน 790 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออนไลน์ ออนไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1006


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 83.0.4103.97 Chrome 83.0.4103.97


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 10:08:17 »




จุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย

การกระทำที่เป็นมงคลที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย เริ่มต้นอยู่ที่การรู้จักคบคน ถ้าคบคนพาล คนพาลคือคนอย่างไร คนพาลในทางศาสนาหมายถึงคนโง่ หมายถึงคนไม่ดีคนไม่ฉลาด ส่วนบัณฑิตคือคนฉลาดคนดี ถ้าเราคบกับคนโง่คนไม่ดี เขาก็จะพาให้เราโง่พาให้เราไม่ดีไปกับเขา ถ้าเราคบคนดีคบคนฉลาดเขาก็จะพาให้เราดี พาให้เราฉลาดไปกับเขานั่นเอง จึงต้องรู้จักเลือกคบคน เพราะชีวิตของเรานี้ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง เราเป็นมนุษย์สังคมที่จำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เขาอาศัยเรา เราอาศัยเขา เราถึงจะอยู่กันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราอยู่ตามลำพังเราก็จะอยู่อย่างยากลำบากเวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา หรือเกิดความอดอยากขาดแคลนขึ้นมา ถ้าเราอยู่คนเดียวก็จะไม่มีใครมาช่วยเหลือเรา แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันหลายคน เช่นในครอบครัวเรามีพ่อแม่มีพี่น้องอยู่ร่วมกัน เวลาคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรขึ้นมา ก็ยังมีคนอื่นมาช่วยกันดูแลบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กันได้ ดังนั้นเราต้องอยู่ร่วมกัน เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่อเราอยู่คนเดียวไม่ได้เราต้องอยู่กับคนอื่น เราก็ต้องรู้จักเลือกคน เลือกคนดีเลือกคนฉลาดเพราะคนดีเขาก็จะสอนให้เราดีพาให้เราดี คนฉลาดเขาก็จะพาให้เราฉลาด คนโง่ก็จะสอนให้เราโง่ คนไม่ดีก็จะสอนให้เราไม่ดีตามเขา นี่คือการคบคนเพื่อให้เกิดประโยชน์ให้เกิดความสุขความเจริญจึงต้องคบคนดี ไม่คบคนไม่ดี ทีนี้คนดีเราจะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร เราก็มีมาตรฐานของคนดีเป็นตัวอย่างในพระพุทธศาสนา

คนดีทางพระพุทธศาสนา คนฉลาดของพระพุทธศาสนาที่ฉลาดที่สุดและดีที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง เพราะการกระทำของท่านแต่ละรูปไม่มีข้อตำหนิไม่มีข้อบกพร่อง ไม่มีการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนแก่ผู้อื่น มีแต่การกระทำที่มีคุณมีประโยชน์กับผู้อื่น ผู้ใดที่ได้เข้าพบปะได้รู้จักได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์สาวก จะได้รับแต่ประโยชน์สุขเพียงอย่างเดียว จะไม่ได้รับโทษไม่ได้รับความทุกข์ นี่แหละคือบุคคลที่เรียกว่าบัณฑิต บัณฑิตที่ฉลาดที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าตามด้วยพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้เลือกพระพุทธเจ้าเป็นผู้คบค้าสมาคมด้วย จึงได้ดิบได้ดีจากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลจากพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่ใครสามารถที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้เลย มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสอนปุถุชนอย่างพวกเราให้เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา ให้เป็นพระโสดาบัน ให้เป็นพระสกิทาคามี ให้เป็นพระอนาคามี ให้เป็นพระอรหันต์ นี่แหละคือบัณฑิตที่เราควรจะเข้าหากัน ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้จากไปแล้ว คือสรีระร่างกายของพระพุทธเจ้าได้จากไป แต่ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ยังอยู่กับพวกเรา อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาที่พวกเราสามารถที่จะศึกษาหาความรู้ความฉลาดจากพระคัมภีร์ได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าพวกเราจะไม่ได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้า ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้จากพวกเราไปแต่คำสั่งคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้ายังอยู่กับพวกเรา ถ้าเราเข้าหาคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เท่ากับเราได้เข้าหาพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่คือเราต้องเข้าหาบัณฑิตคือพระธรรมคำสอน นอกจากพระธรรมคำสอนเรายังมีพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้ศึกษาได้ร่ำเรียนจากคำสอนหรือจากพระพุทธเจ้า และจากพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้ามาตามลำดับ มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ การผลิตพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนายังมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง เหมือนโรงงานที่ผลิตรถยนต์ มีการผลิตรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง มีไม่ขาดตอน มีรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาให้ผู้ที่สนใจได้ซื้อได้เอาไปขับ

ฉันใดพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านี้ก็เช่นกัน เป็นเหมือนนักศึกษาที่ได้จบระดับปริญญาต่างๆ แล้วหลังจากที่ได้จบปริญญาแล้วก็มาทำหน้าที่เป็นครูเป็นอาจารย์กัน เผยแผ่ธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าอันประเสริฐให้แก่ผู้ที่มีความสนใจต่อไป ผู้ที่มีความสนใจพอได้ศึกษาได้ร่ำเรียน ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้จบปริญญาของทางศาสนา ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ก็มีอยู่ตั้งแต่ ๗ วัน ๗ เดือน และ ๗ ปี ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถความฉลาดของผู้ที่ศึกษาร่ำเรียน ไม่มีเวลาตายตัวเหมือนในมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้ ๔ ปี แต่ทางศาสนานี้กำหนดตามความรู้ความสามารถของผู้ที่ศึกษา บางท่านก็สามารถบรรลุได้ภายใน ๗ วัน บางท่านก็บรรลุได้ภายใน ๗ เดือน บางท่านก็บรรลุได้ภายใน ๗ ปี นี่เป็นหลักประกันคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นผู้รับรองด้วยพระองค์เอง ว่าถ้าใครได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้าหรือจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือจากพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจะสามารถบรรลุพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ภายในระยะเวลา ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี นี่แหละคือการเข้าหาบัณฑิต การคบกับคนฉลาดคบกับคนดี จะทำให้เราเป็นคนฉลาดเป็นคนดี คบกับพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระอริยสงฆ์จะทำให้เราได้เป็นพระอริยบุคคลกัน ถ้ายังไม่ถึงขั้นพระอริยบุคคลเราก็จะเป็นระดับพรหมหรือระดับเทวดา หรือเป็นระดับมนุษย์ที่ดี มนุษย์เราก็รู้กันว่ามีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งสุขและมีทั้งทุกข์ แต่ถ้าเราคบกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว เราจะได้แต่ความสุขและความดี ความรู้ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความพากเพียรของพวกเราเองว่า เราจะมีความพากเพียรพยายามที่จะตักตวงความรู้ตักตวงประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาห้ามเพราะความรู้และประโยชน์ของพระศาสนานี้มีจำนวนไม่อั้น ไม่เหมือนกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่จะรับนักศึกษาได้ตามปริมาณที่มีสถานที่รองรับไว้ จะรับเกินไม่ได้ แต่ทางศาสนาพุทธนี้รับได้หมด ใครต้องการสมัครเป็นพระอริยบุคคลรับสมัครทุกคน ไม่ต้องสอบเอ็นทรานซ์ ใครต้องการขอให้เข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตของพระพุทธเจ้า ชีวิตของพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้ศึกษาคำสั่งคำสอนที่เป็นวิธีดำเนินชีวิตของท่าน ถ้าเราได้ศึกษาแล้วเราได้กระทำตามที่ท่านได้สั่งได้สอนได้ปฏิบัติได้ทำกัน ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะได้เป็นเหมือนท่าน

นี่คือเรื่องของการคบบัณฑิต ไม่คบคนพาล ถ้าคบคนพาลเราจะไปอีกทางหนึ่งเพราะคนพาลนี้เป็นคนโง่ เป็นคนไม่ดี คนพาลนี้จะชอบทำในสิ่งที่ไม่ดี ทำสิ่งที่เป็นโทษกับตนเองและกับผู้อื่น ถ้าไปอยู่กับเขาไปคบค้าสมาคมกับเขา เขาก็จะชวนให้เราไปทำตามเขา อะไรคือการกระทำของคนพาลของคนโง่ ก็คือการกระทำบาป การเสพอบายมุข นี่เป็นการกระทำของคนพาลของคนโง่ที่บัณฑิตจะไม่ทำโดยเด็ดขาด ถ้าไปคบกับคนที่ชอบเสพอบายมุขชอบทำบาป เขาก็จะดึงเราหรือชวนเราให้ไปเสพอบายมุขให้ไปทำบาป ถ้าเขาชอบดื่มสุราเขาก็จะชวนเราไปดื่มสุรา ถ้าเขาชอบเล่นการพนันเขาก็จะชวนเราไปเล่นการพนัน ถ้าเขาชอบเที่ยวเตร่เขาก็จะชวนเราไปเที่ยวเตร่ ถ้าเขาชอบความเกียจคร้านเขาก็จะชวนให้เราเกียจคร้าน นี่คืออบายมุขที่เราต้องอย่าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะคำว่า “อบายมุข” นี้แปลว่าทางเข้าของอบาย อบายคืออะไร คือความเสื่อมของจิตใจที่จะดึงจิตใจของมนุษย์ให้ต่ำลงไปนั่นเอง จากมนุษย์ก็จะไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นนรก เกิดจากการเสพอบายมุขเป็นเหตุ การเสพอบายมุขนี้เท่ากับการไปอยู่ที่ทางเข้าของอบาย ผู้ที่อยู่ปากทางเข้าของอบายกับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากทางเข้าของอบาย ใครจะเข้าง่ายกว่ากัน คนที่อยู่ปากทางแล้วพอจะเข้าก็เข้าไปเพียงย่างก้าวเดียวก็เข้าไปแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เสพอบายมุขนี้อยู่ไกลจากอบาย จะเข้าอบายได้ยากกว่า เพราะอะไร เพราะเวลาเสพอบายมุขนี้มีแต่รายจ่าย มีแต่การสูญเสียทรัพย์สินต่างๆ ไปนั่นเอง และถ้าใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วทรัพย์สินก็จะไม่พอใช้ พอไม่พอใช้ก็จะต้องไปทำบาปเพื่อหาทรัพย์สินมาใช้ต่อนั่นเอง เพราะคนที่เสพอบายมุขนี้จะไม่ไปทำงานทำการ ไปหาเงินหาทองโดยวิธีสุจริต ก็จะต้องไปหาเงินทองโดยวิธีทุจริต ก็คือการทำบาป หาเงินทองด้วยการโกหกหลอกลวง หาเงินทองด้วยการลักขโมย หรือหาเงินทองด้วยการปล้นการจี้การฆ่าผู้อื่น นี่แหละคือผลที่จะเกิดจากการที่ไปคบคนพาลคนไม่ดี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง แล้วจะปลอดภัยจากภัยต่างๆ ที่จะมากระทบกับจิตใจ จิตใจจะไม่ถูกกระชากลงต่ำ จิตใจลงต่ำหรือขึ้นสูงนี้เกิดจากการกระทำของเราเอง เกิดจากการคบกับคนอื่น คบกับคนอื่นเขาชวนเราทำ คบกับบัณฑิตเขาก็ชวนให้เราดึงจิตใจของเราให้สูงขึ้น คบกับคนพาลเขาก็จะดึงจิตใจของเราให้ลงต่ำ นี่คือมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอน


ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
โรคจิต โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 1 1493 กระทู้ล่าสุด 29 สิงหาคม 2562 16:58:03
โดย Maintenence
สัพเพธัมมาอนัตตา โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1182 กระทู้ล่าสุด 29 สิงหาคม 2562 17:08:16
โดย Maintenence
กฎกติกาของผู้ที่จะสู้กับกิเลสตัณหา : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 789 กระทู้ล่าสุด 30 กันยายน 2562 11:43:11
โดย Maintenence
สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราก็คือใจ-พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 743 กระทู้ล่าสุด 02 ธันวาคม 2562 09:59:16
โดย Maintenence
ประโยชน์ของการฟังธรรม โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1285 กระทู้ล่าสุด 03 กรกฎาคม 2563 14:41:26
โดย Maintenence
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.449 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 20 มีนาคม 2567 14:23:45