[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
03 กรกฎาคม 2568 12:13:43 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์การตายของพระแม่ธรรมชาติ  (อ่าน 2157 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5162


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 กรกฎาคม 2554 06:22:47 »



ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านคงรู้แล้วว่าภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) คือ การก้าวล่วงหรือผ่านพ้นตัวตน (transcend self - transcendence) ที่มีหลายระดับ นักจิตวิทยามักแบ่งออกเป็น 4 ระดับ (psychic or shaman, subtle, causal, non-dual ซึ่ง 2 ระดับหลังนี้ต่างก็บรรลุการตรัสรู้เหมือนๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าดับกิเลสหรืออวิชชาก่อนกัน) ซึ่งตรงกับที่พุทธศาสนาบอก (มหายานและวัชรญาณ) นั่น - ผู้เขียนต้องขอโทษผู้อ่านว่าไม่ใช่เป็นการสอน เพียงแต่บอกกล่าวให้รับฟังเท่านั้น ที่จริงบทความบทนี้เสี่ยงต่อความเข้าใจผิดของผู้อ่านใน 2 ประเด็น 1.เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับรูปแบบของวิวัฒนาการ เหมือนกับว่าจิตจักรวาลแกล้งชักนำมนุษย์ให้เดินผิดทาง ชักนำให้มนุษย์ประมาทเอาง่ายเข้าว่า คือคิดเอาสิ่งที่ตามองเห็น-นำ เอาสสารวัตถุ (matter) เอารูปกาย-นำ (physical) คือคิดว่าความจริงมีหนึ่งเดียวคือสิ่งที่ตามองเห็น “ตั้งอยู่ข้างนอก” นั่นแหละ 2.หมอประสานนี่สอนให้คนโง่หรือสอนให้คนฉลาดไม่ทราบ? เล่นพูดถึงภูติผีเทวดาและไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ แล้วใครเล่าจะไปฟัง? ผู้เขียนขอตอบประเด็นหลังก่อน ไม่ใช่สอนให้ไม่เชื่อวิทยาศาสตร์ และอย่าใช้คำว่าสอนได้ไหม? เอาแค่บอกให้ฟัง ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อแล้วแต่ข้อมูลและเอกสารอ้างอิงที่ผู้อ่านมี แต่ผู้เขียนผิดยากมาก  แต่ผิดได้ ดังที่ได้บอกแล้วมี 3 ประเด็นด้วยกัน คือ 1.ผู้เขียนเชื่อในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะฟิสิกส์ของนิวตันและเม็คคานิกส์ของกาลิเลโอ แต่ว่าเชื่อควอนตัมฟิสิกส์ - ฟิสิกส์ใหม่มากกว่ายิ่งนัก นั่นหมายความถึงทฤษฎีความสัมพัทธภาพทั้ง 2 ของไอน์สไตน์ด้วย เพราะว่านิวโตเนียฟิสิกส์ให้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้วัดได้เพียง 99% และเทคโนโลยีที่พัฒนาประเทศต่างๆ เพื่อการตลาดเสรีทั่วทั้งโลกนั้นจะน้อยลงไปหน่อย แต่ฟิสิกส์ใหม่ให้ความจริงถึง 99.99%  (อ้างหลายหนแล้ว) นอกจากนี้คงไม่มีทฤษฎีใดไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไรเพื่อทำการทดสอบเหมือนกันกับทฤษฎีควอนตัมอีกแล้วในโลก เพราะทดสอบนานมาก  อีกประเด็นหนึ่ง ควอนตัมฟิสิกส์เกิดมาเหมือนกันกับพุทธศาสนาและศาสนาเต๋า  ที่ใช้การทำสมาธิเพื่อค้นหาความจริงอันแท้จริงทางเส้นทางภายใน

 บางทีผู้อ่านอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อประมาณ 1,000 กว่าปีก่อนนั้น ในยุโรป แหล่งที่เป็นบ่อเกิดของความรู้ “สมัยใหม่” ที่เราทั่วทั้งโลกแห่กันไปร่ำเรียนมานั้น  ซึ่งผิดพระแม่ธรรมชาติอย่างแรง - ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการบางคนถึงได้รู้ว่านับตั้งแต่ฝรั่งในยุโรป (และที่สหรัฐอเมริกา) นั่นแหละได้ค้นพบ “ฟิสิกส์ใหม่” ซึ่งประกอบด้วยทฤษฎีความสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และทฤษฎีควอนตัมเม็คคานิกส์ ซึ่งได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการเหล่านั้น - ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - แต่คงไม่ทันที่อารยธรรม “สมัยใหม่” นั้นจะต้องพังไปก่อนด้วยภัยธรรมชาติดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะไม่ทันการณ์กับการกระทำของมนุษย์ที่ผิดธรรมชาตินั้น กลับมาที่ข้อความข้างต้นที่พูดว่าผู้อ่านบางคนอาจจะไม่รู้ว่าที่ยุโรปในสมัยนั้น หรือเมื่อกว่า 1,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ใกล้ชิดกับเจ้าแม่เจ้าพ่อและพระเจ้า (spirit) อย่างไร? พูดง่ายๆ คือก่อนที่จะมีมนุษย์จะมีเหตุผล มีวิทยาศาสตร์ มีอารยธรรม “สมัยใหม่” นั้น มนุษย์ยังใกล้ชิดกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ กับศาสนา ใกล้ชิดกับจิตและจิตวิญญาณเป็นไหนๆ จริงๆ แล้วในยุคแห่งเหตุผลราวๆ 700-800 ปีก่อนยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวรรณคดี และยุคแห่งการปฏิวัติโคเปอร์นิกัส - เคปเลอร์ ที่ตามมาด้วยกาลิเลโอและนิวตันนั้น เจ้าพ่อเจ้าแม่ และเทวดา (spirit) ก็ยังใกล้ชิดสนิทสนม ยังแยกไม่ออกจากวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะนิวตันเองกับอัลเคมี (alchemy) ฉะนั้นเรากำลังกลับมาที่เดิมเมื่อ 1,000  กว่าปีก่อนโดยไม่ต้องสงสัย หรือเรากำลังจะหวนกลับมายังที่ที่เจ้าพ่อเจ้าแม่และเทพเทวดากับวิทยาศาสตร์ยังใกล้ชิดเช่นเดิม โดยเฉพาะฝรั่งในยุโรปและทั่วสหรัฐอเมริกาในเร็ววันนี้ เราจะต้องหวนกลับมาหาตะวันออกของเรา กลับมาหาจิตและจิตวิญญาณของเรา กลับมาหาความจริงที่แท้จริง หลังจากที่เราหลงใหลกับ “มายา” ที่คนไทยและชาวโลกส่วนใหญ่ทิ้งไป เพราะ “ตามไปดูแห่” ไม่ว่าจะทันการณ์หรือไม่? หรือเราจะเหลือจากภัยธรรมชาติครั้งนี้จำนวนเท่าไร?

 บทความบทนี้ผู้เขียนจะเขียนเล่าความจริงที่คนทั่วๆ ไปของอดีต โดยเฉพาะฝรั่งที่ยุโรป ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้เอาไว้ ประวัติศาสตร์เป็นเช่นนั้นไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ แต่มันเกี่ยวกับเรา ในที่นี้คนไทยและคนส่วนใหญ่ของโลกที่อยู่ในประเทศที่องค์การสหประชาชาติเรียกว่า ประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา  และพัฒนาใหม่ อยู่ 2 ประการ นั่นคือ เป็นความรู้ของฝรั่งที่คนทุกๆ คนเลยจะพยายามไขว่คว้าแสวงหา ประการหนึ่ง และเป็นความรู้ที่ชาวฮินดู - รู้และเรียกมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ว่า “มายา” ดังกล่าวมาแล้วข้างบน อีกประการหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ใช่เฉพาะแต่คนไทยในตอนแรก แต่ในตอนหลัง-ด้วย เพราะเราเองก็ไขว่คว้าแสวงหาเองหรือไม่ “ตามไปดูแห่” ซึ่งในตอนหลังนี้กระทบกระเทือนไปทั่วทั้งโลกเลย - ซึ่งไม่รู้ ไม่ใช่เพราะว่าโง่แบบโง่เขลาเต่าตุ่น (foolish) แต่ทว่าไม่รู้จริงๆ   (ignored-ignorant) เพราะคิดว่าไกลตัว หรือธุระไม่ใช่อะไรทำนองนั้น หรืออาจจะเป็นเพราะคนไทยมักมีนิสัยขี้ตื่นเต้น และชอบทำตามๆ กัน ชอบไปดู “แห่”  รู้จักไทยมุงมั้ย!

 สรุปง่ายๆ ต่อเรื่องที่พูดมาทั้งหมดคือ เมื่อ 1,000 กว่าปีมาแล้ว เจ้าพ่อเจ้าแม่และภูติผีเทวดา (spirit) กับความรู้ที่มีในสมัยนั้นมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันกว่าในสมัยนี้ - และที่ต่อมาได้พัฒนาเป็นเหตุผล และยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวรรณคดี (renaissance) และพัฒนาต่อมาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นฟิสิกส์ และไอแซ็ค นิวตัน พูดง่ายๆ คือ เรื่องของจิตและจิตวิญญาณดูจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิทยาศาสตร์เมื่อมีการอุบัติขึ้นใหม่ๆ นิวตันเองเป็นผู้ที่สนใจในอัลเคมีมาก่อนที่เขาจะพบกับแรงดึงดูด นั่นคือ กิจการที่แทบจะไม่ต่างกับความเชื่อศรัทธาในเจ้าพ่อเจ้าแม่ 

 ผู้เขียนเชื่อว่า นำหน้าโดยชาวกรีก และตามมาด้วยฝรั่งชาติต่างๆ  ชาวตะวันตก สรรค์สร้างเหตุผลและยุคแห่งการฟื้นฟูศิลปะและวรรณคดีขึ้น โดยประเด็นเดียวในความหมายที่หมายถึงอำนาจของมนุษย์ในพระที่เหลิงอำนาจ  (ยุคแห่งพระกับแม่มด) รวมทั้งวิทยาศาสตร์กายวัตถุ (physical and material)  และการเดินทางที่ผิดทางมาเรื่อยๆ มากขึ้น และมากขึ้นตลอดเวลาของมนุษย์  เฉพาะฝรั่งที่ยุโรปเท่านั้น นั่นคงจะ “เป็นเจตนา” ของ “ฟ้า-ดิน” หรือจิตจักรวาล ในขณะที่ทางอีกฟากหนึ่งชาวจีนและชาวอินเดียกลับคิดว่ารากฐานของจักรวาล แทนที่จะเป็นกายวัตถุที่ชาวตะวันตก - กรีกหรือชาวยุโรปเชื่อจะต้องเป็นจิต (สติ) กับพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้  (อ้างแล้ว)

กายภาพวัตถุนิยมของชาวตะวันตกทำให้ความเชื่อเรื่องของสติ เรื่องของจิต และความเป็นจิตนิยมของชาวตะวันออก เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นของชาวจีน ชาวอินเดีย ทั้งๆ ที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลพลันตกกระป๋องไปตั้งแต่โลกมีวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเรา

 ความเชื่อของผู้เขียนข้อนี้ คิดว่าใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ซึ่งขึ้นกับเหตุผลและเอกสารอ้างอิงที่ผู้นั้นๆ มี แต่คงจะเปลี่ยนความเชื่อของผู้เขียนไม่ได้  ดังนั้นวิทยาศาสตร์กายวัตถุหากนับตั้งแต่เซอร์ไอแซ็ค นิวตัน ได้ตีพิมพ์จำหน่ายหนังสือเขา (Principia Mathematica) ก็ตกประมาณร่วมๆ 500 ปี แล้วมนุษย์เกิดมาพบทฤษฎีควอนตัมขึ้นมา (หากนับตั้งแต่มี Copenhagen interpretation)  ก็ราวๆ 80 กว่าปี) และทฤษฎีควอนตัมนั้นก็เหมือนกับศาสนาเต๋าของจีนกับลัทธิพระเวท ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธของเรา ซึ่งเป็นต้นตอของวิธีปฏิบัติจิต  ปฏิบัติสมาธิ และเวลาถึงร่วม 2 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดนับตั้งแต่เวลาทั้งหมดที่โลกเราได้รู้จักควอนตัมฟิสิกส์ เราก็ต้องใช้เวลาไปเพื่อยืนยัน และพิสูจน์ว่ามันเป็นความจริง แถมมันเป็นความจริงแท้ยิ่งกว่านิวโตเนียนฟิสิกส์ตั้งเป็นร้อยเป็นพันเท่า (Fritjof Capra, and Gary Zukaf) น่าสงสัยว่าแล้วโลกเรามีฟิสิกส์ของนิวตันและกาลิเลโอ กับกายภาพวัตถุนิยมขึ้นมาทำขิง - ทำไม? 
 พร้อมกันนี้ไม่ทราบว่าผู้อ่านคนใดมีความสงสัยเหมือนกับผู้เขียนบ้างหรือไม่ว่าความเชื่อและพฤติกรรมของมนุษย์กำลังย้อนรอยเดิมในยุคสมัย  คือในยุค “หลังสมัยใหม่” ในปัจจุบันนี้ มันจะกลับย้อนร่องรอยเดิมเหมือนเมื่อพันปีก่อนอย่างน้อยโดยหลักการ นั่นคือยุคสมัยที่เจ้าพ่อเจ้าแม่เทพเทวดา  (spirit) เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ว่าตอนนี้แทนที่จะเป็นเหตุผล (ของมนุษย์บนตาเห็นหรือความจริงทางโลก - รับรู้ด้วยอวัยวะประสาทสัมผัส) กับวิทยาศาสตร์กายวัตถุหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์ ก็จะเปลี่ยนเป็นไม่มีเหตุผล ไม่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เพราะเป็นประเด็นทางจิตกับควอนตัมฟิสิกส์อันเป็นความจริงทางธรรมที่รับรู้ทางจิต แท้ที่จริงแล้วนักฟิสิกส์ยุคใหม่และนักจิตวิทยาใหม่บอกว่า การรับรู้ทางจิตไร้สำนึก) หรือสติ (awareness) นั้นคือ รากฐานของจักรวาล (Arnold Mindel : Quantum Mind, 2000) 

ได้เขียนมาหลายหนแล้วว่า ความจริงทางโลกคือความจริงที่หยาบ  เพื่อการอยู่ในโลกในจักรวาลสามมิติ (บวกหนึ่ง) ให้รอดเท่านั้น สัตว์โลกทุกเผ่าพันธุ์จึงใช้ประสาทสัมผัสภายนอก เช่น ตา หู ฯลฯ เพื่อการอยู่รอดตามความจำเป็นของสัตว์โลกเผ่าพันธุ์นั้นๆ ส่วนความจริงทางธรรมนั้นเล็กละเอียดยิ่งกว่านั้นยิ่งนัก ไม่สามารถที่จะรับรู้ด้วยอวัยวะประสาทสัมผัสภายนอกได้ คือ ไม่มีทางที่จะมองเห็น แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ช่วยอย่างไรก็ตาม

นั่นคือ การตายของเจ้าพ่อเจ้าแม่ธรรมชาติในยุคสมัยที่โลกเรามีเหตุผลและมีวิทยาศาสตร์กายภาพวัตถุนิยมเป็นใหญ่ และขณะนี้โลกเรากำลังย้อนรอยกระบวนการเดิมๆ อย่างไร.

http://www.thaipost.net/sunday/170711/41851

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.483 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มิถุนายน 2568 04:32:19