รู้ทันโลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ มีอยู่ ๔ คู่ คือ ๑. การเจริญลาภเสื่อมลาภ ๒. การเจริญยศเสื่อมยศ ๓. การสรรเสริญนินทา ๔. ความสุขความทุกข์ เป็นของคู่กัน มาตลอด เป็นเหมือนเหรียญที่มี ๒ ด้าน ถ้าอยากจะได้ด้านหนึ่งก็ต้องได้อีกด้านหนึ่งแถมมาด้วย ถ้าอยากจะเจริญลาภก็ต้องมีการเสื่อมลาภตามมา ถ้าอยากจะเจริญยศก็มีการเสื่อมยศตามมา ถ้าต้องการสรรเสริญก็จะต้องมีนินทาตามมา ถ้าต้องการสุขก็จะมีทุกข์ตามมา ถ้าไม่มีสุข ก็จะไม่มีทุกข์ตามมา ถ้าไม่มีลาภยศสรรเสริญ ก็จะไม่มีการเสื่อมลาภเสื่อมยศ ไม่มีนินทาตามมา คำว่าไม่มีหมายความว่าไม่ยินดี ถ้าไม่ยินดีกับความเจริญ ก็จะไม่เดือดร้อนกับความเสื่อม ถ้ายินดีก็จะเดือดร้อน เพราะอยากจะให้เจริญอย่างเดียว ไม่อยากจะให้เสื่อม แต่ความจริงของโลกแห่งอนิจจังทุกขังอนัตตานี้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ ที่จะเจริญและเสื่อมไป เป็นอนัตตา คือเราไม่สามารถสั่งให้เจริญอย่างเดียวได้ ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เสื่อมได้ ไม่สามารถยับยั้งการครหานินทาของผู้อื่นได้
พวกเราอยู่ในโลกนี้ก็ต้องรู้ทัน พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกวิทู แปลว่าผู้รู้ทันโลกธรรม ๘ ไม่หลงยึดติดกับโลกธรรม ๘ เพียงแต่สัมผัสรับรู้ แต่ไม่ซึมซับเข้าไปในใจ เหมือนหยดน้ำบนใบบัว ที่ไม่ซึมเข้าไปในใบบัว เพราะใบบัวไม่ดูดซับน้ำ ฉันใดจิตของผู้ที่รู้ทันโลกธรรม ๘ ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ซึมซับ ไม่ดีอกดีใจเวลาเกิดความเจริญ ไม่เสียใจเวลาเกิดการเสื่อมไปเปลี่ยนไป นี่คือการรักษาจิตใจ ไม่ให้เครียด ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้วิตก ไม่ให้กังวล ไม่ให้หวาดกลัว กับความจริงต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ จึงต้องภาวนาเพื่อสอนจิตให้รู้ทัน ให้ปล่อยวาง ให้รู้เฉยๆ บางท่านฟังแล้วอาจจะปล่อยวางได้เลย แสดงว่าจิตมีกำลัง ปล่อยวางได้ คือมีอุเบกขา มีสมาธิ พอรู้ความจริงว่าโลกธรรม ๘ เป็นทุกข์ ก็จะปล่อยวางได้ทันที แต่สำหรับผู้ที่ฟังแล้วยังปล่อยวางไม่ได้ ยังวิตกกังวลหวาดกลัวกับความเสื่อม ของลาภยศสรรเสริญสุข ก็จะต้องภาวนา
การภาวนาก็คือการดึงใจ ให้ออกจากลาภยศสรรเสริญ ออกจากความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้เอง ผู้ที่จะอยู่เหนือโลกธรรม ๘ ได้ ต้องไม่ติดกับลาภยศสรรเสริญสุข การจะไม่ติดก็ต้องอยู่ห่างไกลจาก ลาภยศสรรเสริญสุข ต้องไปปลีกวิเวกอยู่ตามสถานที่สงบสงัด ห่างไกลจากแสงสีเสียงต่างๆ ห่างไกลจากลาภยศสรรเสริญ แล้วก็พยายามสู้กับความอยาก ที่ยังมีอยู่ภายในใจ คือกามฉันทะ ความอยากกลับไปหาลาภยศสรรเสริญ กลับไปหาแสงสีเสียง หารูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ เป้าหมายของภาวนาก็คือ การปล่อยวางลาภยศสรรเสริญสุข ถ้าปล่อยได้แล้ว เวลาลาภยศสรรเสริญสุขเสื่อมหรือเปลี่ยนไป จะไม่เป็นปัญหา ถ้ายังปล่อยไม่ได้ เวลาเกิดความเสื่อมขึ้นมา ก็จะเกิดความเศร้าโศกเสียใจทุกข์ทรมานใจ นี่คือวิธีสอนใจให้ฉลาด ให้รู้ทันโลกธรรม ๘ แล้วก็ปล่อยวาง
ปล่อยวางด้วยการปฏิบัติ ถ้าได้ปฏิบัติแล้ว พอได้ยินได้ฟังธรรม ก็จะบรรลุธรรมได้ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ให้แก่พระปัญจวัคคีย์ในครั้งแรก หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ก็มีดวงตาเห็นธรรม เห็นความจริงว่า สิ่งใดมีการเกิดมีการเจริญ สิ่งนั้นย่อมมีการดับมีการเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านก็ปล่อยวางได้ทันที เพราะจิตใจของท่านมีอุเบกขาอยู่แล้ว แต่ขาดปัญญาที่จะสอนจิต ให้รู้ว่าอะไรเป็นความทุกข์ ต้องปล่อยวาง พอได้ยินได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็ปล่อยวางได้ทันที ซึ่งอาจจะเป็นที่สงสัยสำหรับผู้ที่ยังไม่มีสมาธิ ว่าทำไมฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมได้เลย ส่วนตัวเราทำไมฟังแล้วไม่บรรลุ ก็เพราะว่าจิตใจของตนยังไม่มีอุเบกขาธรรม ยังไม่มีความสงบ จึงต้องเจริญสมถภาวนา คือความสงบก่อน ถ้าสงบแล้วก็จะสามารถใช้ปัญญาสอนใจได้ นี่คือความสำคัญของสมถภาวนาฃ
จุลธรรมนำใจ ๓๒, กัณฑ์ที่ ๔๕๐
วันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๕
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน