[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 14:33:11 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก : ๑. อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา  (อ่าน 2901 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: 15 สิงหาคม 2563 20:27:51 »


ขอขอบคุณ เว็บไซต์ webstockreview.net (ที่มาภาพ)

ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก
๑. อะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา

            สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้า เมื่อได้กล่าวทักทายปราศรัยพอสมควรแล้ว พราหมณ์นั้น จึงกราบทูลว่า

              "พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะเป็นคณาจารย์ มีคนรู้จักมาก มีเกียรติยศเป็นเจ้าลัทธิ อันชนหมู่มากเข้าใจกันว่าเป็นคนดี เช่น ปูรณะ กัสสป, มักขลิ โคสาล, อชิตะ เกสกัมพล, ปกุธะ กัจจายนะ, สัญชัย เวลัฏฐบุตร, และ นิครนถ นาฏบุตร สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือว่าไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย หรือบางพวกรู้ บางพวกไม่รู้"

              พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "อย่าเลย พราหมณ์! ข้อที่สมณพราหมณ์ทั้งหมดนั้น รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลยเป็นต้นนั้น ขอจงยกไว้ เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงตั้งใจฟังให้ดีเถิด"

              เมื่อพราหมณ์ทูลรับคำแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์! มีข้ออุปมาว่า บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหากแก่นไม้อยู่ เมื่อมีต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และ สะเก็ดไม้เสีย ตัดเอากิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ ไม่รู้จักแก่น ไม่รู้จักกะพี้, เปลือก, สะเก็ด, กิ่งและใบไม้ เมื่อต้องการแก่นไม้ จึงละเลยแก่นเป็นต้น ตัดเอาแต่กิ่งและใบไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ทั้งจะไม่ได้รับประโยชน์จากกิ่งและใบไม้นั้นด้วย"

              "มีอุปมาอื่นอีก บุรุษต้องการแก่นไม้ แต่ถากสะเก็ดไม้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากเปลือกไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น หรือถากกะพี้ไม้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ก็จะพึงถูกหาว่า ไม่รู้จักแก่นไม้เป็นต้น และไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ถากไปนั้นเช่นเดียวกัน"

              "อีกอุปมาหนึ่ง บุรุษต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไปด้วยรู้จักแก่นไม้ คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้า ก็จะพึงกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญนี้ รู้จักแก่น กะพี้ เปลือก สะเก็ด กิ่งและใบไม้ ต้องการแก่นไม้ก็ตัดเอาแต่แก่นไป ด้วยรู้จักแก่นไม้ ทั้งจะได้รับประโยชน์จากแก่นไม้นั้นด้วย"

              "ดูก่อนพราหมณ์! ข้ออุปไมยก็ฉันเดียวกันนั่นแหละ คือกุลบุตรบางคนในศาสนานี้ มีศรัทธาออกบวชไม่ครองเรือน ด้วยคิดว่า เราเป็นผู้อันความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความคร่ำครวญ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และความคับแค้นใจ เข้าถึงตัวแล้ว อันความทุกข์เข้าถึงตัวแล้ว มีความทุกข์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ไฉนหนอการทำที่สุดแห่งทุกข์ ทั้งหมดนี้จะปรากฏ ผู้นั้นออกบวชแล้ว ลาภ สักการะ และชื่อเสียงเกิดขึ้นก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วย ลาภ สักการะ และชื่อเสียงนั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่น เพราะลาภสักการะ และชื่อเสียงนั้น ว่าเราเป็นผู้มีลาภ สักการะ ชื่อเสียง ส่วนภิกษุอื่นๆ เหล่านี้ไม่มีใครรู้จัก เป็นผู้มีศักดาน้อย คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าลาภ สักการะ และชื่อเสียง ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อน หละหลวม"

              "ดูก่อนพราหมณ์! เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือน ผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น, กะพี้, เปลือก, และสะเก็ดเสีย ตัดเอากิ่งและใบไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น ฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะ ชื่อเสียงเกิดขึ้น แต่ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะสิ่งนั้น ทั้งยังปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจเต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ยกตนเองข่มผู้อื่น เพราะสีลสัมปทานั้นว่า เราเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ส่วนภิกษุอื่นๆ เหล่านี้ เป็นผู้ทุศีล มีธรรมอันเลว คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสีลสัมปทา ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์! เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่น กะพี้ และเปลือกเสีย ถากเอาสะเก็ดไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะ ชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ประพฤติสมบูรณ์ด้วยศีลก็อิ่มใจ แต่ยังไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเป็นต้น เพราะสีลสัมปทานั้น คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสีลสัมปทานั้น ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ (ความตั้งมั่นหรือความสงบแห่งจิต) ก็อิ่มใจเต็มปรารถนา ด้วยสมาธิสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) นั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่น เพราะสมาธิสัมปทานั้นว่า เราเป็นผู้ตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ส่วนภิกษุอื่นๆ เหล่านี้ เป็นผู้ไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิดแล้ว คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสมาธิสัมปทานั้น ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ เป็นผู้มีความประพฤติหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์! เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นและกะพี้เสีย ถากเอาเปลือกไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสมาธินั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นเพราะสมาธิสัมปทานั้น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสมาธิสัมปทา ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ ไม่เป็นผู้มีความประพฤติยอ่หย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณหรือปัญญา) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนาด้วยญาณทัสสนะ หรือปัญญานั้น ยกตนเอง ข่มผู้อื่นเพราะญาณทัสสนะนั้น ว่าเราอยู่อย่างรู้เห็น ส่วนภิกษุอื่น ๆ เหล่านี้ อยู่อย่างไม่รู้เห็น คุณธรรมอื่น ๆ ที่ยิ่งกว่าประณีตกว่าญาณทัสสนะ ก็ไม่ปลูกความพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้น ๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์ เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นเสียถากเอากะพี้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"

              "อนึ่ง บุคคลบางคนอออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็อิ่มใจแต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสมาธินั้น ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะสมาธิสัมปทานั้น คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าสมาธิสัมปทา ก็ปลูกความพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ ไม่เป็นผู้่้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ผู้นั้นได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณ หรือปัญญา) ก็อิ่มใจ เต็มปรารถนา ด้วยญาณทัสสนะ หรือปัญญานั้น ยกตนเองข่มผู้อื่ื่น เพราะญาณทัสสนะนั้นว่าเราอยู่อย่างรู้เห็น ส่วนภิกษุอื่นๆ เหล่านี้ อยู่อย่างไม่รู้ไม่เห็น คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าญาณทัสสนะ ก็ไม่ปลูกควาาพอใจ ไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมนั้นๆ เป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์! เรากล่าวบุคคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ละเลยแก่นเสีย ถากเอากะพี้ไป ด้วยสำคัญว่าเป็นแก่นฉะนั้น"


              "อนึ่ง บุคคลบางคนออกบวช มีลาภสักการะชื่อเสียงเกิดขึ้น ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภสักการะชื่อเสียงนั้น ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสีลสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยศีล) นั้น  ได้ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยสมาธิสัมปทา (ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ) นั้น  ได้ญาณทัสสนะ (หรือปัญญา) ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปรารถนาด้วยญาณทัสสนะนั้น ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะนั้น คุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ประณีตกว่าญาณทัสสนะก็ปลูกควาามพอใจ พยายามเพื่อทำให้แจ้งซึ่งคุณธรรมน้้นๆ ไม่มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ดูก่อนพราหมณ์! ธรรมอะไรบ้าง ที่ยิ่งกว่า ประณีตว่าญาณทัสสนะ ดูก่อนพราหมณ์! ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เข้าปฐมฌาน (ญาณที่ ๑) เข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) เข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) เข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) เข้าอากาสานัญจายตนะ (อรูปฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) เข้าวิญญานัญจายตนะ (อรูปฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์) เข้าอากิญจัญญายตนะ (อรูปฌานกำหนดว่าไม่มีอะไรแม้แต่นิดหน่อย) เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ (อรูปฌานที่มีสัญญาความจำได้หมายรู้ ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญ ก็ไม่ใช่) เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเมื่อเข้าแล้วทำให้ดับสัญญาความจำได้หมายรู้และเวทนาความเสวยอารมณ์สุขทุกข์ หรือไม่ทุกข์ ไม่สุขได้) อาสวะของภิกษุนั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา คุณธรรมเหล่านี้แล ที่ยิ่งกว่าประณีตกว่า ญาณทัสสนะ  ดูก่อนพราหมณ์! เรากล่าวบุคคลนี้ ว่าเปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไม้ไปฉะนั้น"

              "ด้วยประการฉะนี้แหละพราหมณ์! พรหมจรรย์นี้ มิใช่มีลาภ สักการะ ชื่อเสียง เป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอานิสงส์ มิใช่มีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิเป็นอานิสงส์ มิใช่มีญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ แต่ความหลุดพ้นแห่งใจ อันไม่กลับกำเริบอันใด พรหมจรรย์นี้ มีความหลุดพ้นแห่งใจ อันไม่กลับกำเริบนั้นแหละ เป็นที่ต้องการ นั้นเป็นแก่นสาร นั้นเป็นที่สุดโดยรอบ"

              เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ ปิงคลโกจฉพราหมณ์กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต.

                                                                                   จูฬสาโรปมสูตร ๑๒/๓๗๔              

สรุปความ
              ๑. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือน กิ่งไม้ใบไม้
              ๒. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือน สะเก็ดไม้
              ๓. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเหมือน เปลือกไม้
              ๔. ญาณทัสสนะ หรือ ปัญญา เปรียบเหมือน กะพี้ไม้
              ๕. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี "อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ" เปรียบเหมือน แก่นไม้  

-------------------------------------------------------


๑. พราหมณ์ปิงคลโกจฉะ ถามถึงครูทั้ง ๖ ซึ่งเป็นเจ้าลัทธิมีชื่อเสียงในครั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงวิพากษ์วิจารณ์ จึงทรงแสดงธรรมให้ฟังตามที่ทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กว่าการวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น
๒. คำว่า เข้าถึงตัว แปลจากคำว่า โอติณฺโณ ซึ่งโดยพยัญชนะ แปลว่า ก้าวลง
๓. คำว่า การทำที่สุดแห่งทุกข์ เป็นสำนวนบาลี หมายถึงกำจัดทุกข์ได้หมด สำนวนบาลีนี้พอดีตรงกับสำนวนภาษาอังกฤษว่า to put an end to suffering
๔. ในการแปลตอนนี้ ได้แปลลัดแต่ใจความของเรื่องว่า เข้าฌานที่ ๑ ที่ ๒ เป็นต้น เพราะรายละเอียดของแต่ฌานมีแล้ว ในที่อื่น


คัดจาก : พระไตรปิฎก สำหรับประชาชน มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 สิงหาคม 2563 20:30:00 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2563 13:55:53 »


ขอขอบคุณ เว็บไซต์ webstockreview.net (ที่มาภาพ)

ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก              

๒. เกาะชายสังฆาฏิพระพุทธเจ้ายังไม่ชื่อว่าอยู่ใกล้
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าแม้ว่าภิกษุจับชายสังฆาฏิตามหลัง ย่างเท้าตามทุกก้าว แต่เธอมีความละโมภ มีความติดใจแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันเป็นโทษ ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภิกษุนั้น ก็ยังอยู่ไกลเราโดยแท้ และเราก็อยู่ไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นไม่เห็นธรรม ผู้ไม่เห็นธรรม ย่อมไม่เห็นเรา"

              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ถ้าแม้ว่าภิกษุนั้น อยู่ไกลตั้งร้อยโยชน์ แต่เธอไม่มีความละโมภ ไม่มีความติดใจแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตไม่พยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่เป็นโทษ มีสติตั้งมั่น มีสัมปชัญญะ มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์ ภิกษุนั้นย่อมชื่อว่าอยู่ใกล้เราโดยแท้ และเราก็อยู่ใกล้ภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นเห็นธรรม ผู้เห็นธรรม ย่อมเห็นเรา"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๐๐



๓. ศัตรูภายใน
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มลทินภายใน อมิตรภายใน ศัตรูภายใน ผู้ฆ่าภายใน ข้าศึกภายใน ๓ ประการ ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความคิดประทุษร้าย โมหะ ความหลง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มลทินภายใน อมิตรภายใน ศัตรูภายใน ผู้ฆ่าภายใน ข้าศึกภายใน ๓ ประการเหล่านี้แล."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๙๕



๔. อาคามี(ผู้มาเกิด) อนาคามี(ผู้ไม่มาเกิด) อรหันต์(ผู้ไม่มีกิเลส)
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ผู้ประกอบด้วยกามโยคะ ประกอบด้วยภวโยคะ ย่อมเป็นอาคามี มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ผู้ไม่ประกอบด้วยกามโยคะ แต่ยังประกอบด้วยภวโยคะ ย่อมเป็นอนาคามี ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ผู้ไม่ประกอบด้วยกามโยคะ ไม่ประกอบด้วยภวโยคะ ย่อมเป็นพระอรหันต์ ผู้สิ้นอาสวะ"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๐๓



๕. ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญา
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญา ย่อมเป็นผู้เสร็จธุระ อยู่จบพรหมจรรย์ ในพระธรรมวินัยนี้ เราเรียกว่า อุดมบุรุษ

              ๑. ภิกษุเป็นผู้มีกัลยาณศีล คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีศีลสำรวมในปาฏิโมกข์ (ศีลที่สำคัญของภิกษุ) สมบูรณ์ด้วย อาจาระ และโคจร (มารยาทและการไปแต่ในที่ที่สมควร) เห็นภัยในโทษเล็กๆ น้อยๆ สมาทานศึกษาอยู่ ในสิกขาบททั้งหลาย เธอชื่อว่า มีกัลยาณศีล ดั่งกล่าวมานี้แล

              ๒. ภิกษุผู้มีกัลยาณ ศีลดั่งนี้แล้ว จะชื่อว่า มีกัลยาณธรรมอย่างไร? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ประกอบเนืองๆ ซึ่งการอบรมธรรม อันเป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ๓๗ ประการอยู่ เธอชื่อว่า มีกัลยาณธรรม ดั่งกล่าวมานี้แล

              ๓. ภิกษุผู้มี กัลยาณศีล กัลยาณธรรม ดั่งนี้แล้ว จะชื่อว่ามีกัลยาณปัญญาอย่างไร? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ทำให้แจ้ง เจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ้นอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งของตน ในปัจจุบันอยู่ เธอชื่อว่า มีกัลยาณปัญญาอย่างนี้แล

              ภิกษุผู้มีกัลยาณศีล กัลยาณธรรม กัลยาณปัญญา ดั่งนี้แล้ว ชื่อว่าเสร็จธุระ อยู่จบพรหมจรรย์ เราเรียกว่า อุดมบุรุษ."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๐๓



๖. กองกระดูกเท่าภูเขา
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุคคลคนหนึ่งที่เวียนว่ายท่องเที่ยวไปตลอดกัปป์ จะพีงมีกองกระดูกใหญ่ เสมือหนึ่งเวบุลลบรรพตนี้ ถ้ามีผู้คอยรวบรวมไว้ และกองกระดูกที่รวบรวม จะไม่กระจัดกระจายหายเสีย."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๔๒



๗. ยังพูดปดทั้งๆ ที่รู้ จะไม่ทำความชั่วอย่างอื่นเป็นไปไม่ได้
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อบุคคลยังไม่ละธรรมข้อหนึ่ง คือการพูดปดทั้งๆ รู้ เราย่อมไม่กล่าวว่า มีบาปกรรมอะไรบ้าง ที่ผู้นั้น จะทำไม่ได้."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๔๓



๘. มูลรากแห่งอกุศล ๓ อย่าง
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มูลรากแห่งอกุศล ๓ อย่างเหล่านี้ คือ

              ๑. โลภะ ความอยากได้ เป็นมูลรากแห่งอกุศล
              ๒. โทสะ ความคิดประทุกษร้าย เป็นมูลรากแห่งอกุศล
              ๓. โมหะ ความหลง เป็นมูลรากแห่งอกุศล

              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! มูลรากแห่งอกุศล ๓ อย่างเหล่านี้แล."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๖๔



๙. พระธรรมเทศนา ๒ อย่าง
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมเทศนาของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒ ประการ มีอยู่โดยปริยาย คือ ธรรมเทศนาที่หนึ่งว่า "ท่านทั้งหลาย จงเห็นบาปโดยความเป็นบาปเถิด," ธรรมเทศนาที่สองว่า "ท่านทั้งหลายเห็นบาปโดยความเป็นบาปแล้ว จงเบื่อหน่ายคลายความติดในบาปนั้น จงหลุดพ้นไปเถิด" นี้คือธรรมเทศนา ๒ อย่างของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่โดยปริยาย"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๕๕



๑๐. อะไรเป็นหัวหน้าอกุศลธรรม และ กุศลธรรม
              "ดุก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นหัวหน้าแห่งความพรั่งพร้อม ด้วยอกุศลธรรมทั้งหลาย ความไม่ละอายใจ ความไม่เกรงกลัวต่อบาป ย่อมตามหลังมา วิชชา(ความรู้) เป็นหัวหน้าแห่งความพรั่งพร้อมด้วยกุศลธรรมทั้งหลาย ความละอายใจ ความเกรงกลัวต่อบาป ย่อมตามหลังมา."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๕๕



๑๑. อริยปัญญา
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สัตว์ที่เสื่อมจากอริยปัญญานั้น ชื่อว่าเสื่อมแท้ เขาย่อมอยู่เป็นทุกข์ มีความติดขัด มีความคับแค้น มีความเดือดร้อนในปัจจุบัน สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็มีทุคคติเป็นที่หวังได้ สัตว์ที่ไม่เสื่อมจากอริยปัญญา ชื่อว่าไม่เสื่อม เขาย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความติดขัด ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเดือดร้อนในปัจจุบัน สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็มีสุคติเป็นที่หวังได้."
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๕๖



๑๒. คำอธิบายเรื่อง "ตถาคต"
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! โลกอันตถาคตตรัสรู้แล้ว ตถาคตปลีกออกได้จากโลก; เหตุให้โลกเกิด อันตถาคตตรัสรู้แล้ว ตถาคตละเหตุที่ให้เกิดโลกได้; ความดับแห่งโลกอันตถาคตตรัสรู้แล้ว ตถาคตทำให้ความดับแห่งโลกแจ่มแจ้งแก่ตนได้; ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลก อันตถาคตตรัสรู้แล้ว ตถาคตได้อบรมข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งโลกแล้ว สิ่งใดที่โลกพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ที่ประชาพร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ทราบแล้ว รู้แล้ว บรรลุแล้ว แสวงหาแล้ว ตรองตามแล้วด้วยใจ เพราะเหตุที่สิ่งนั้นๆ อันตถาคตตรัสรู้แล้ว จึงเรียกว่าตถาคต ดั่งนี้"

              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อนึ่ง ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีใด นิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในราตรีใด ข้อความทั้งหมดที่ตถาคตกล่าว พูด แสดง ระหว่างราตรีนั้นๆ (คือตั้งแต่ตรัสรู้แล้วจนถึงนิพพาน) ย่อมเป็นอย่างนั้นเทียว ไม่เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าตถาคต"

              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตพูดอย่างใด ทำได้อย่างนั้น ทำได้อย่างใด ก็พูดได้อย่างนั้น เพราะเหตุที่พูดได้ตามที่ทำ ทำได้ตามที่พูด ฉะนั้น จึงเรียกว่า ตถาคต"

              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ตถาคตเป็นใหญ่ (โดยคุณธรรม) ไม่มีใครครอบงำได้ (โดยคุณธรรม) รู้เห็นตามที่แท้จริง เป็นผู้มีอำนาจ (โดยคุณธรรม) ฉะนั้น จึงเรียกว่าตถาคต"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๒๑



๑๓. ภิกษุ กับ คฤหัสถ์ ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พราหมณ์ คฤหบดีที่อุปฐากท่านทั้งหลาย ด้วยจีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย และยากับเครื่องใช้ในการรักษาโรค นับว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก แม้ท่านทั้งหลายที่แสดงธรรมอันดีงามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด พร้อมทั้งอรรถะ และ พยัญชนะ ประกาศพรหมจรรย์ อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง แก่พราหมณ์ คฤหบดีเหล่านั้น ก็นับว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก นี้แหละ ภิกษุทั้งหลาย! พรหมจรรย์ ที่ประพฤติโดยอาศัยกันและกัน เพื่อถอนกิเลสอันเปรียบเหมือนห้วงน้ำ เพื่อทำให้ทุกข์สิ้นไปโดยชอบ"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๑๔



๑๔. สกุลที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำอยู่
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภายในเรือนแห่งตระกูลใด บุตรๆ บูชามารดาบิดา, ตระกูลนั้น ชื่อว่า มีพระพรหม. ภายในเรือนแห่งตระกูลใด บุตรๆ บูชามารดาบิดา, ตระกูลนั้น ชื่อว่ามีเทวดาคนแรก. ภายในเรือนแห่งตระกูลใด บุตร ๆ บูชามารดาบิดา, ตระกูลนั้น ชื่อว่ามีอาจารย์คนแรก. ภายในเรือนแห่งตระกูลใด บุตรๆ บูชามารดาบิดา, ตระกูลนั้น ชื่อว่ามีบุคคลผู้ควรนำของมาบูชา. คำว่า พระพรหม คำว่า บูรพเทวดา(เทวดาคนแรก) คำว่า บูรพาจารย์ (อาจารย์คนแรก) คำว่า อาหุเนยยะ (ผู้ควรนำของมาบูชา) เป็นชื่อของมารดาบิดา เพราะมารดาบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้คุ้มครองเลี้ยงดูบุตร แสดงโลกนี้แก่บุตร"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๓๑๓



๑๕. ผู้กล่าวตู่พระตถาคต
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุคคลสองประเภทเหล่านี้ ย่อมกล่าวตู่ (หาความ) ตถาคต คือ บุคคลผู้คิดประทุษร้าย มีโทสะในภายใน ๑ ผู้มีศรัทธา กล่าวตู่ ด้วยถือเอาความหมายผิด๑๐ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลสองประเภทเหล่านี้แล ย่อมกล่าวตู่ตถาคต"
                                                                                   ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๗๖



๑๖. ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งความรู้ (วิชชาภาคิยะ)
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมอันเป็นไปในส่วนแห่งวิชชา(วิชชาภาคิยะ) ๒ อย่างเหล่านี้ คือ สมถะ(ความสงบ) ๑ วิปัสสนา (ความเห็นแจ้ง) ๑. สมถะ อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมทำให้จิตได้รับการอบรม จิตได้รับการอบรมแล้ว ย่อมทำให้ละราคะ (ความกำหนัดยินดี หรือความติดอกติดใจ) ได้ วิปัสสนา อันบุคคลเจริญแล้ว ย่อมทำให้ปัญญาได้รับการอบรม, ปัญญาได้รับการอบรมแล้ว ย่อมทำให้ละอวิชา (ความไม่รู้ตามความจริง) ได้"
                                                                                   ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๗๘



๑๗. คำอธิบายนิพพานธาตุ ๒ อย่าง
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ มี ๒ อย่าง คือ สอุปาทิเสสสนิพพานธาตุ กับ อนุปาทิเสสนิพพดานธาตุ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่พึงทำอันได้ทำเสร็จแล้ว วางภาระแล้ว มีประโยชน์ของตนอันได้บรรลุแล้ว สิ้นเครื่องผูกพันในภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ...ภิกษุนั้นยังมีอินทรีย์ ๕ ดำรงอยู่ เพราะเหตุที่อินทรีย์ ๕ ยังไม่หมดสิ้นไป จึงประสบสิ่งที่น่าพอใจบ้าง ไม่น่าพอใจบ้าง เสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ของภิกษุนั้น เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ.  อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่พึงทำอันได้ทำเสร็จแล้ว วางภาระแล้ว มีประโยชน์ของตนอันได้บรรลุแล้ว สิ้นเครื่องผูกพันในภพแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ การเสวยอารมณ์ทั้งปวงของภิกษุนั้น ดับสนิท นี้เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"
                                                                                   อิติวุตตก ๒๕/๒๕๘


-------------------------------------------------------


๑. คำในภาษาบาลีว่า มีอินทรีย์ปรากฏ หมายความว่า ไม่สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
๒. กามโยคะ เครื่องมัดสัตว์ คือ กาม ความใคร่
๓. ภวโยคะ เครื่องมัดสัตว์ คือ ภพ ความพอใจในความีความเป็น
๔. กัลยาณศีล ศีลอันดีงาม, กัลยาณธรรม ธรรมอันดีงาม, กัลยาณปัญญา ปัญญาอันดีงาม
๕. โพธิปักขิยธรรม ธรรมอันเป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้ ๓๗ ประการ คือ อิทธิบาท (ธรรมทีให้ประสบความสำเร็จ) ๔, สติปัฏฐาน(การตั้งสติ) ๔, สัมมัปปธาน(ความเพียรชอบ) ๔, อินทรีย์ (ธรรมอันเป็นใหญ่) ๕, พละ (ธรรมอันเป็นกำลัง) ๕, โพชฌงค์ (ธรรมอันเป็นตัวประกอบแห่งการตรัสรู้) ๗, มรรค(ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์) ๘
๖. เจโตวิมุติ ความหลุดพ้นเพราะสมาธิ, ปัญญาวิมุติ ความหลุดพ้นเพราะปัญญา
๗. มีอยู่โดยปริยาย คือมีอยู่โดยอ้อม ไม่ต้องบอกกันตรงๆ ก็ชื่อว่ามีอยู่แล้ว
๘. อวิชชา ความไม่รู้ มีคำอธิบายว่า ได้แก่ไม่รู้ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แต่ในที่นี้แม้ความไม่รู้ทั่วๆ ไป ก็ทำให้เกิดความเสียหายได้
๙. เป็นสำนวนบาลี หมายถึง รู้ด้วย จมูก ลิ้น กาย คือ ข้อความในตอนนี้ ต้องการจะพูดว่า เห็นด้วยตา ฟังด้วยหู ดมด้วยจมูก ลิ้มด้วยลิ้น ถูกต้องด้วยกาย รู้ด้วยใจ แต่รวม ๓ เรื่องตอนกลางด้วยคำว่า ทราบ
๑๐. แสดงให้เห็นว่า ผู้ให้ร้ายพระพุทธเจ้า ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่โกรธ หรือเกลียดชัง เท่านั้น ผู้เคารพนับถือมีศรัทธานั่นแหละ ถ้าเรียนผิด ทรงจำผิด หรือเข้าใจผิด ก็อาจพูด ด้วยความเข้าใจผิดนั้น เป็นไปในทางให้ร้ายได้เหมือนกัน



คัดจาก : พระไตรปิฎก สำหรับประชาชน มหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิมพ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 สิงหาคม 2563 14:04:35 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
Kimleng
'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น อะไรที่ชอบก็บอกของนั้นดี
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +5/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 5392


'อกุศลธรรม' เป็นสิ่งเกิดขึ้นจากการตามใจคนทั้งนั้น

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 20 สิงหาคม 2563 13:10:13 »

.



ขอขอบคุณ เว็บไซต์ webstockreview.net (ที่มาภาพ)

ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก  

๑๘. ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่ถูกปรุงแต่ง มีอยู่
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."
                                                                                  อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗



๑๙. ความเสื่อมที่เลวร้าย ความเจริญที่เป็นยอด
              "ความเสื่อมจากญาติ ยังนับว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเสื่อมที่นับว่าเลวร้าย ยิ่งกว่าความเสื่อมทั้งหลาย ก็คือ ความเสื่อมจาก ปัญญา"

             "ความเจริญด้วยญาติ ยังนับว่าเป็นความเจริญเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเจริญที่เรากล่าวว่าเป็นยอด คือความเจริญด้วยปัญญา. เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้เจริญด้วย ปัญญาวุฑฒิ (ความเจริญด้วยปัญญา) ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"

             "ความเสื่อมจากโภคทรัพย์ ยังนับว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเสื่อมที่นับว่าเลวร้าย ยิ่งกว่าความเสื่อมทั้งหลาย ก็คือ ความเสื่อมจาก ปัญญา

            "ความเจริญด้วยโภคทรัพย์ ยังนับว่า เป็นความเจริญเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเจริญที่เรากล่าวว่าเป็นยอด คือความเจริญด้วย ปัญญา. เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้เจริญด้วย ปัญญาวุฑฒิ (ความเจริญด้วยปัญญา) ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"

             "ความเสื่อมจากยศ ยังนับว่าเป็นความเสื่อมเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเสื่อมที่นับว่าเลวร้าย ยิ่งกว่าความเสื่อมทั้งหลาย คือความเสื่อม จาก ปัญญา"

             "ความเจริญด้วยยศ ยังนับว่า เป็นความเจริญเพียงเล็กน้อยดอก ภิกษุทั้งหลาย! ความเจริญที่เรากล่าวว่าเป็นยอด คือ ความเจริญด้วย ปัญญา เพราะเหตุนั้นแล ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้เจริญด้วย  ปัญญาวุฑฒิ (ความเจริญด้วยปัญญา) ท่านทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล”
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๗,๑๘



๒๐. จิตผ่องใสเศร้าหมองได้ หลุดพ้นได้
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมา"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลสที่จรมา."
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑



๒๑. การอบรมจิตของปุถุชนผู้มิได้สดับ และอริยสาวกผู้ได้สดับ
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองได้ เพราะอุปกิเลส ที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับเรื่องนั้น ย่อมไม่รู้ตามความจริง เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า การอบรมจิตของปุถุชนผู้มิได้สดับย่อมไม่มี"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลสที่จรมา อริยสาวกผู้ได้สดับเรื่องนั้น ย่อมรู้ตามความจริง เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวว่า การอบรมจิตของอริยสาวกผู้ได้สดับ มีอยู่."
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑,๑๒



๒๒. เมตตาจิตชั่วเวลาลัดนิ้วมือเดียว
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุส้องเสพ เจริญ ทำในใจ ซึ่งเมตตาจิต แม้ชั่วเวลาสักว่าลัดนิ้วมือเดียว เราย่อมกล่าวว่า เธอผู้นี้ อยู่อย่างไม่ว่างจากฌาน เป็นผู้ทำตามคำสอนของศาสดา เป็นผู้ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันอาหารของราษฎรไปเปล่าๆ จะกล่าวไย ถึงข้อที่ภิกษุจะทำเมตตาจิตนั้นให้มากเล่า."
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๒



๒๓. กุศล อกุศล มีใจเป็นหัวหน้า
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมที่เป็นอกุศล เป็นไปในส่วนแห่งอกุศล เป็นไปในฝักฝ่าย (พวก) แห่งอกุศล เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจย่อมเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิดตามมา"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมที่เป็นกุศล เป็นไปในส่วนแห่งกุศล เป็นไปในฝักฝ่าย (พวก) แห่งกุศล เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ธรรมเหล่านั้น ทั้งหมด มีใจเป็นหัวหน้า ใจย่อมเกิดก่อนธรรมเหล่านั้น กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิดตามมา."
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๑๒



๒๔. ผู้ให้ กับ ผู้รับ
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่วแล้ว ทายก (ผู้ให้) พึงรู้ประมาณ ไม่ใช่ปฏิคาหก (ผู้รับ) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะธรรมะกล่าวไว้ชั่วแล้ว"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดีแล้ว ปฏิคาหก (ผู้รับ) พึงรู้ประมาณ ไม่ใช่ทายก (ผู้ให้) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะธรรมกล่าวไว้ดีแล้ว."
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๔๕



๒๕. ผู้ปรารภความเพียร กับ ผู้เกียจคร้าน
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่วแล้ว ผู้ใดปรารภความเพียร ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้ใดเกียจคร้าน ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะธรรมะกล่าวไว้ชั่วแล้ว"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดีแล้ว ผู้ใดเกียจคร้าน ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นทุกข์ ผู้ใดปรารภความเพียร ผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะธรรมะกล่าวไว้ดีแล้ว"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๔๕,๔๖



๒๖. โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราไม่เห็นธรรมอื่นสักข้อหนึ่ง ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) นี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! โทษทั้งหลาย มีมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เป็นอย่างยิ่ง"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๔๔



๒๗. ภพ (ความวนเวียนเป็นนั่นเป็นนี่) เปรียบเหมือนอุจจาระ
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! อุจจาระ, ปัสสาวะ, น้ำลาย, น้ำหนอง, เลือด แม้มีประมาณน้อย ก็มีกลิ่นเหม็นฉันใด เราย่อมไม่สรรเสริญ ภพ (ความวนเวียนเป็นนั่นเป็นนี่) แม้มีประมาณน้อย โดยที่สุด แม้เพียงลัดนิ้วมือเดียว ฉันนั้น"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๔๖



๒๘. ผลของสุจริตและทุจจริต
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นั่นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสอันจะเป็นไปได้ ที่วิบาก (ผล) ของกายทุจจริต วจีทุจจริต มโนทุจจริต จะพึงเกิดขึ้นให้น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ. ฐานะนั้น ย่อมไม่มี. ก็แต่ว่าฐานะนั้นมีอยู่ที่วิบาก(ผล) ของ กายทุจจริต วจีทุจจริต มโนทุจจริต จะพึงเกิดขึ้น ให้ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ฐานะนั้นมีอยู่"
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นั้นไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส อันจะเป็นไปได้ ที่วิบาก (ผล) ของ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จะพึงเกิดขึ้นให้ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ฐานะนั้นย่อมไม่มี ก็แต่ว่าฐานะนั้นมีอยู่ ที่วิบาก (ผล) ของกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จะพึงเกิดขึ้นให้น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ฐานะนั้นมีอยู่"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๓๗,๓๘



๒๙. กายคตาสติ เปรียบเหมือนมหาสมุทร
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ใครๆ นึกออกถึงมหาสมุทรก็จะเห็นได้ว่า แม้น้ำน้อยทั้งหลายใดๆ ก็ตาม ที่ไหลลงทะเล ย่อมเป็นอันผู้นั้นหยั่งเห็นได้ กายคตาสติ (สติอันไปในกาย) ใครๆ เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว กุศลธรรมทั้งหลายใดๆ ก็ตาม ที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา (ความรู้ธรรมะที่เป็นจริง) ย่อมเป็นอันผู้นั้นหยั่งเห็นได้"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๕๕



๓๐. กายคตาสติ ทำให้ได้อะไรบ้าง ?
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมอย่างหนึ่ง ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความสังเวช, เพื่อประโยชน์อันใหญ่, เพื่อความปลอดโปร่งจากโยคะอันใหญ่, เพื่อสติสัมปชัญญะ, เพื่อได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณคือความรู้ภายใน), เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน, เพื่อทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชช า(ความรู้) และวิมุติ (ความหลุดพ้น). ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน ? ธรรมอย่างหนึ่ง คือ กายคตาสติ (สติอันไปในกาย). ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ธรรมอย่างหนึ่งนี้แล ที่เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสังเวช, เพื่อประโยชน์อันใหญ่ ฯลฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งผล คือ วิชชา และ วิมุติ"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๕๕


๓๑. อานิสงส์ต่าง ๆ ของกายคตาสติ
              "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อธรรมอย่างหนึ่ง อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว แม้กายก็สงบ แม้จิตก็สงบ แม้วิตก (ความตรึก) วิจาร (ความตรอง) ก็ระงับ ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา แม้ทั้งสิ้น ก็ถึงความเจริญเต็มที่ ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน? ธรรมอย่างหนึ่ง คือ กายคตาสติ (สติอันไปในกาย) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อธรรมอย่างนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว แม้กายก็สงบ แม้จิตก็สงบ แม้วิตกวิจารก็ระงับ ธรรมที่เป็นไปในส่วนแห่งวิชชา แม้ทั้งสิ้น ก็ถึงความเจริญเต็มที่"
             (ขึ้นต้นอย่างเดียวกัน หรือ คล้ายกัน มีคำแสดงอานิสงส์ ของ กายคตาสติ ต่อไปอีกว่า) :
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว อกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว อันบุคคลย่อมละได้"
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น"
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว อวิชชา อันบุคคลย่อมละได้, วิชชาย่อมเกิดขึ้น, อัสมิมานะ (ความถือตัวว่า เราเป็นนั่นเป็นนี่) อันบุคคลย่อมละได้, อนุสัย (กิเลสอย่างละเอียดที่นอนเนื่องในสันดาน) ทั้งหลาย ย่อมถึงความถูกถอนราก, สัญโญชน์ (กิเลสที่มัดสัตว์ไว้ในภพ) ทั้งหลาย อันบุคคลย่อมละได้"
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความแตกฉานในปัญญา เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน (สภาพที่ดับสนิทโดยไม่มีเชื้อเหลือ)"
             "อเนกธาตุปฏิเวธ (ความตรัสรู้ หรือรู้ซาบซึ้ง ตลอดธาตุ เป็นอเนก) นานาธาตุปฏิเวธ (ความตรัสรู้หรือรู้ซาบซึ้งตลอดธาตุต่าง ๆ) นานาธาตุปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในธาตุต่าง ๆ) ย่อมเกิดขึ้นเมื่อเจริญกายคตาสติ"
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อทำให้แจ้ง โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล และอรหัตตผล"
             "เมื่อเจริญทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อได้ปัญญา เพื่อความเจริญด้วยปัญญา เพื่อความไพบูลย์ด้วยปัญญา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญามาก เพื่อความเป็นผู้มีปัญญากว้างขวาง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเต็มที่ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไม่มีขอบเขต เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาเพียงดังแผ่นดิน เพื่อความเป็นผู้มากด้วยปัญญา เพื่อความเป็นผู้มีปัญญารวดเร็ว เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไว เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาอันทำให้บันเทิง เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาไหวพริบ เพื่อความเป็นผู้มีปัญญากล้า เพื่อความเป็นผู้มีปัญญาชำแรกกิเลส"
                                                                                  เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๐/๕๗, ๕๘


-------------------------------------------------------


กิเลสที่ประกอบสัตว์ไว้ในภพ มี ๔ อย่าง คือ กาม ภพ ทิฏฐิ อวิชชา
คำว่า ปฏิเวธ แปลว่า "แทงทะลุ" หรือที่โบราณแปลว่า "แทงตลอด" ตรงกับคำแปลในภาษาอังกฤษ Penertration เมื่อมาในลำดับแห่งปริยัติ (การเรียน) ปฏิบัติ (การกระทำ) หมายถึงการได้รับผลของการปฏิบัติ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 สิงหาคม 2563 13:11:54 โดย Kimleng » บันทึกการเข้า



กิมเล้ง @ สุขใจ ดอท คอม
สูตรอาหาร ทำกับข้าว เที่ยวไปทั่ว
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฎก (๘๔.- ๙๙.)
พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม
เงาฝัน 1 3243 กระทู้ล่าสุด 31 ตุลาคม 2554 13:52:51
โดย เงาฝัน
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.508 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 22 มีนาคม 2567 09:28:23