[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 21:30:31 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: วิเวกที่ท่านยังไม่รู้จัก : พุทธทาสภิกขุ  (อ่าน 5282 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554 18:55:48 »





วิเวกที่ท่านยังไม่รู้จัก
(ธรรมบรรยายของหลวงพ่อพุทธทาส ห้องหนังสือเรือนธรรม
จัดพิมพ์ เนื่องในโอกาส "๑๐๐ ปีพุทธทาส")

                    ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำวันเสาร์ในวันนี้ อาตมาจะขอบรรยายเรื่องสิ่งที่เรียกว่าวิเวกอีกสักครั้งหนึ่ง ทั้งที่เคยบรรยายมาบ้างแล้ว เพราะเป็นเรื่องที่มีอะไรๆ พิเศษอยู่บ้าง และหาว่าฉายหนังซ้ำก็ไม่เป็นไร เพราะเหตุที่ว่า ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักมากพอ หรือว่ายังจะต้องรู้จักอีก คือเราจำเป็นที่จะต้องมีใช้ รู้จักใช้ ให้ทันแก่เหตุการณ์ หรือให้เหมาะสมแก่กรณีนั้นๆ

                    คำว่าวิเวก บางคนกลัว เห็นว่ามันเดี่ยวโดดว้าเหว่แล้วก็กลัว ไม่ชอบ ไม่สนใจ อย่างนี้ก็มี มันเป็นเรื่องของคนเข้าใจผิด หรือเรื่องของความขลาด ถ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้วก็ต้องพอใจในสิ่งที่เรียกว่า วิเวก

                    นี่เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมี ไม่มีวิเวกก็หมาย  ความว่ามันกลัดกลุ้ม มันฟุ้งซ่าน มันกลุ้ม ถ้ามองกันในแง่นี้ วิเวกก็เป็นยาแก้กลุ้ม ถ้าสามารถทำให้ได้ตามที่ต้องการทันที มันก็ต้องเป็นยอดของศิลปะ คนต้องเก่งมากถึงจะสามารถทำสิ่งที่เรียกว่าวิเวกให้เกิดขึ้นในจิตใจได้    ตามที่ต้องการทันอกทันใจ วิเวกได้

                    ยาแก้กลุ้มใจ เท่านี้มันก็มีค่ามาก เหมือนกับว่าคนต้องกินยาหอม เรียกหายาหอมกินแก้กระวนกระวายใจ แต่วิเวกมันเป็นยาวิเศษไกลไปกว่านั้น มันแก้กลุ้มใจชนิดที่รุนแรงที่ลึกซึ้ง มากมายกว่านั้นมาก ควรจะสนใจกันดูถึงขนาดให้รู้จักกันอย่างชัดเจน เอามาใช้เมื่อไรก็ได้

                    พระพุทธเจ้าก็ตรัสสรรเสริญว่ามันเป็นความสุขของผู้ที่ยินดีในธรรม เห็นธรรมะแล้ว ทำใจให้ว่าง ให้ปลอดโปร่ง ให้ปราศจากสิ่งรบกวน หมายความว่าจิตใจเกลี้ยง ไม่มีสิ่งรบกวน มันพิเศษที่ตรงนี้

                    ถ้าว่าจิตใจมันกลุ้มอยู่ด้วยสิ่งรบกวนเหมือนควันไฟรบกวน  กองไฟรบกวน  ยุงรบกวน ริ้นรบกวน มันก็ไม่ไหว ถ้ามันเกลี้ยง ไม่มีอะไรรบกวน นั่นล่ะเป็นที่น่าพอใจ สบายดี ขอให้สนใจกันไว้

                    ในความหมายหนึ่ง เราเรียกกันว่าเป็นที่พักผ่อนของวิญญาณอันดิ้นรน วิญญาณมันดิ้นรนๆ ไปตลอดเวลา ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน เพราะมันไม่มีวิเวก พอมีวิเวก ความดิ้นรนนั้นมันก็หยุด วิเวกจึงเป็นที่พักผ่อนของวิญญาณที่ดิ้นรน ของจิตที่ดิ้นรน ที่ดิ้นรนอย่างแรงกล้าก็คือดิ้นรนไปตามอำนาจของกิเลส ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องของคนธรรมดา ไม่ใช่เรื่องพิเศษที่ไหน ไกลไปจากเรื่องของคนธรรมดา ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจรู้จักตัวเอง รู้จักควบคุมให้ได้วิเวกทันตามที่ต้องการ

                    พิจารณาดูเพื่อศึกษาสิ่งนี้ให้เข้าใจประจักษ์ชัด วิเวกเป็นชื่อของจิตก็ได้ คือจิตมันวิเวก ไม่มีอะไรรบกวนจิต เป็นชื่อของภาวะหรืออาการก็ได้ คืออาการที่ไม่มีอะไรรบกวน แม้ที่สุดเป็นชื่อของสถานที่ก็ได้ สถานที่นี้มันวิเวก สถานที่นี้ไม่มีอะไรรบกวน ดูหลายๆ ด้านแล้วมันก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เป็นชื่อของจิตที่วิเวกก็ได้ เป็นชื่อของภาวะอาการที่มันมีความวิเวกก็ได้ เป็นชื่อสถานที่ที่ทำให้เกิดความวิเวกก็ได้

                    วิเวกคำนี้แปลว่าอะไร วิเวกตามตัวหนังสือคำนี้ มันก็แปลว่าหนึ่งหรือเดี่ยว เดี่ยวอย่างที่สุด ถ้าดี่ยวอย่างที่สุดก็ไม่มีสิ่งที่สองที่จะรบกวน ไม่มีสิ่งรบกวน ในทางวัตถุ สิ่งของก็ไม่รบกวน ไม่มีอะไรปรุงแต่งให้เป็นอย่างนั้น ให้รู้สึกอย่างนี้ ให้รู้สึกอย่างนั้น ให้เปลี่ยนไปตามการปรุงแต่ง ไม่มีอะไรที่จะปรุงแต่ง มันก็เรียกว่าวิเวก

                    ไม่ได้หมายความถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยว ไม่มีอะไรเป็นเพื่อนสรวลเสเฮฮา ก็ฟังดูแล้วคนเรายังชอบสรวลเสเฮฮา คนธรรมดาบางคนเหงาไม่มีลูก ไม่มีหลาน ไม่มีหมู ไม่มีหมา ให้มันสับสนวุ่นวาย เขาว่ามันเหงามันอยู่ไม่ได้ ต้องมีเด็กมีเล็กทำให้วุ่นวาย เขาจึงพอใจว่ามันปกติดี ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ชอบวิเวกไม่ได้ จะเห็นว่าวิเวกเป็นความเหงา หวาดเสียวน่ากลัวไปอีก ไม่เอา ไม่ต้องการ

                    เราสามารถทำให้จิตวิเวก ซึ่งเป็นของทำยาก มันจึงเรียกว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน เพราะมันทำยาก เพราะมันงดงาม งดงามหรือไม่งดงามท่านทั้งหลายลองคิดดู ทำให้จิตเกลี้ยง ไม่มีอะไรรบกวน เยือกเย็นสนิทนี่ งดงามหรือไม่งดงาม และมันทำยากหรือมันทำง่าย ก็ขอให้คิดดูอีกทีหนึ่ง มันจะทำไม่ได้มั้ง จะทำจิตให้สงบระงับวิเวก มันจะทำไม่ได้ มันจะยอมแพ้ ก็ไปหาอะไรมากลบเกลื่อนๆ ให้มันยุ่งไปเสีย ให้มันสนุกสนานไปเสียทางอื่น คือกลบเกลื่อนกระทั่งว่า ไปหาสิ่งเสพติด ซื้อเหล้ามากินเสีย สูบยาเสพติดหรือทำอะไรชนิดที่ให้มันกลบเกลื่อนไปเสียอย่างนี้โดยมาก นี่มันไม่รู้จักวิเวก พอกลุ้มขึ้นมามันก็ต้องไปซื้อเหล้ากิน หรือต้องไปเล่นหวัวเอาอย่างที่มันไม่จำเป็นหรือไม่ควรจะทำ เพื่อจะกลบเกลื่อนความรำคาญใจของมัน จิตที่มันดิ้นรน ดิ้นรน ดิ้นรน  ปัญหานี่ไม่ใช่เล็กน้อย ปัญหานี่เกิดแก่วัยรุ่น ลูกหลานของเรา วัยรุ่นทั้งหญิงทั้งชาย กำลังมีจิตที่ดิ้นรน ดิ้นรน ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าวิเวก เท่ากับดิ้นรนเข้าไปในดงแห่งความวินาศโดยไม่รู้สึกตัว ปัญหาก็เกิดขึ้นมามากมาย เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นเรื่องเสียหาย เป็นเรื่องวิวาท เป็นเรื่องทำลายชีวิตอะไรกัน มากไกลออกไปอีก นี่ไม่รู้จักวิเวก ไม่รู้จักที่พักผ่อนของจิตอันดิ้นรน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554 19:10:04 »



                    สิ่งที่เรียกว่าวิเวก วิเวก ไม่ได้หมายแต่เพียงว่าวิเวกอยู่ที่นี่ มีหลายชั้นสูงขึ้นไปๆ ถ้าวิเวกสูงสุดเป็นวิเวกชั้นสูงสุดจริงๆ แล้ว ก็หมายถึงพระนิพพาน ถ้าวิเวกเล็กๆ น้อยๆ เป็นวิเวกทางร่างกายทางวัตถุ ก็อย่างที่เราเห็นๆ กันอยู่ คำว่าวิเวกมีความหมายกว้างขวาง ตั้งแต่ต้นต่ำๆ จนถึงสูงสุดหมายถึงนิพพาน นิพพานก็วิเวกจากความทุกข์ วิเวกจากความปรุงแต่งของกิเลส ที่วิเวกอย่างยิ่งก็วิเวกจากตัวกู ฟังแล้วมันก็น่าหวัว ไม่มีตัวกู วิเวกจากตัวกู บางคนก็คิดว่ามันตายแล้วเท่านั้น ถ้ามันวิเวกจากตัวกู

                    ข้อสำคัญมันวิเวกได้วิเวกจากตัวกู ชีวิตไม่ต้องตาย ชีวิตมันเกลี้ยง ชีวิตมันไม่กระวนกระวายด้วยความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูว่าของกู ถ้าอะไรๆ ในบ้านเรือนมันเต็มไปด้วยตัวกู ของกูไปเสียหมด มันก็เป็นบ้า คนนั้นมันก็เป็นบ้า ไม่รู้จักควบคุมกันเสียเลย อย่าให้ความรู้สึกชนิดนี้รบกวน มันก็จะมีวิเวก ไม่ต้องลำบากมากมาย ไปอยู่ในป่า ไปอยู่ภูเขา ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น แล้วมันก็ต้องรู้ว่า แม้จะหนีไปอยู่ในถ้ำภูเขาสูงให้ไกลสุด ไม่มีใครไปติดต่อด้วย มันก็ไม่วิเวกจากตัวกู ดูสิ ตัวกูยังติดตามไปเล่นงานไปรังควานอยู่จนไม่มีความสงบสุข มันไม่วิเวกจากตัวกู คือถ้ามันวิเวกสูงสุดจริงๆ มันต้องวิเวกจากตัวกู

                    ถ้าวิเวกจากตัวกูจึงจะรู้สึกบวกหรือลบ ดีใจเสียใจมันก็วิเวกทันที ให้มันนั่งอยู่กลางโรงละคร ก็วิเวกได้ นั่งอยู่ข้างเครื่องจักรโรงงานอุตสหกรรมมหาศาลก็วิเวกได้ ถ้ามันรู้จักทำจิต อาจจะไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองดู รู้จักทำจิตให้ว่างจากตัวกู ไม่มีตัวกูที่จะรู้สึกยินดียินร้าย อะไรมันจะรู้สึกวุ่นวาย อะไรมันจะดิ้นรน แต่มันกระทำไม่ได้ง่ายนัก มันก็ต้องรู้จักทำ รู้จักฝึกจิตว่างจากตัวกู แล้วก็กำหนดไว้ที่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง มีธรรมชาติอันบริสุทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์หรือจิตกำหนด ตัวกูเกิดไม่ได้ มีแต่จิตล้วนๆ อารมณ์ล้วนๆ ว่างจากตัวกู อย่างนี้แล้วก็จะวิเวกเหลือประมาณนั่นละ อยู่ที่ไหนก็จะวิเวกได้แม้ท่ามกลางโรงละคร แม้ท่ามกลางโรงงานอุตสาหกรรมอันแสนจะวุ่นวาย นี่ประโยชน์ของวิเวก มันทำให้หยุดสิ่งรบกวน ไม่มีอะไรจะรบกวนได้และก็เป็นความสุข เพราะไม่มีอะไรรบกวน เพราะวิเวก

                    วิเวกหมายถึงหนึ่งเดี่ยว หนึ่งอย่างยิ่งไม่มีอะไรรบกวน หรือหมายถึงความที่มันเป็นของเดี่ยว มีธรรมะอันเดียวเป็นอารมณ์ มันก็มีความวิเวก จิตไม่ถูกรบกวนเรียกว่าจิตมันเดี่ยว ไม่มีอารมณ์รบกวน มันไปอยู่กับอารมณ์เดี่ยวที่ไม่ปรุงแต่ง เรียกว่าวิเวก

                    ถ้าเราสามารถทำให้เกิดวิเวกได้ตามที่เราพอใจ อยู่ที่ไหนก็มีความพอใจ มีความสุขสงบเย็น ถ้าไม่มีวิเวกในจิตแล้ว มันก็เต็มไปด้วยการรบกวน ไม่ว่าจะไปนั่งไปนอนอยู่ที่ไหน มีอาการเหมือนสุนัขขี้เรื้อน จะไปนั่งตรงไหนก็ไม่เป็นสุข จะไปนอนตรงไหนก็ไม่เป็นสุข จะไปอยู่ตรงไหนก็ไม่เป็นสุข มันต้องวิ่งวุ่นอยู่เรื่อย เที่ยวหาที่ให้สงบ มันก็หาไม่พบเพราะมันเป็นขี้เรื้อน ต้องเอาขี้เรื้อนออกเสียก่อน มันจึงจะมีความสงบ

                    เอาสิ่งรบกวนจิต สิ่งที่ปรุงแต่งจิตออกไปเสียได้ก็เลยวิเวก บางคนอาจจะมองว่าไม่มีประโยชน์อะไร ไม่จำเป็นที่จะต้องมีวิเวก ถ้าเขามองกันเพียงเท่านั้น มันก็มีเพียงเท่านั้น ก็เป็นอย่างนั้นสำหรับคนนั้น แต่ถ้ามองมากกว่านั้น ก็มองเห็นอะไรๆว่า โอ้ เป็นความสงบเย็น เป็นที่พักผ่อนของวิญญาณอันดิ้นรน ฟังดูให้ดี เป็นที่พักผ่อนของวิญญาณอันดิ้นรน ซึ่งเปรียบเสมือนสุนัขขี้เรื้อน วิญญาณที่ดิ้นรนมันเปรียบได้กับสุนัขขี้เรื้อน จะไปนั่งไปนอนไปหยุดอยู่ที่ไหนมันก็ไม่มีความสุขได้ มันก็เกาไปทุกหนทุกแห่ง มันก็ดิ้นรน นี่วิญญาณอันดิ้นรน

                    ส่วนวิเวกเป็นที่พักผ่อนของวิญญาณอันดิ้นรน หมายความว่าที่ตรงนั้นมันไม่มีสิ่งรบกวน สุนัขขี้เรื้อนมันหายแล้วหรือโชคดีเผอิญใครเอายาไปราดมันให้มันหยุดเกาหยุดคัน มันอาจจะได้การพักผ่อน จิตนี้ระวังให้ดี มันอาจจะเป็นเหมือนสุนัขขี้เรื้อนที่ดิ้นรนเรื่อยไม่มีการพักผ่อน มันจะเป็นอย่างไร

                    คนบ้าโดยมากมันก็เป็นเรื่องของจิตที่ดิ้นรน ไม่รู้จักพักผ่อน ไม่มีวิธีการที่จะทำให้สงบระงับ ไม่เท่าไหร่ก็ได้เป็นบ้าไปอยู่โรงพยาบาลบ้า  ขอให้รู้จักวิเวกไว้ให้ดีๆ เถอะ มันจะไม่ต้องมีอาการอย่างนี้ เราต้องกินยาระงับประสาทหรือต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้มันนอนหลับพักผ่อนเพราะมันทนไม่ได้แต่ถ้ามีธรรมะทางจิตใจหรือมีวิเวกทางจิตใจแล้วมันก็พักผ่อนได้ รู้กันไว้ จะได้ช่วยตัวเอง เดี๋ยวนี้โลกยังไม่มีวิเวก มองดูให้ดีเถอะ โลกทั้งโลกกำลังไม่มีวิเวก โลกกำลังวุ่นเป็นสุนัขขี้เรื้อนทั้งโลกไม่มีพักผ่อน มันมีอะไรปรุงแต่งสารพัดอย่างไปตามเรื่องตามราวของคนแต่ละคน มันไม่มีวิเวก มันมีแต่สิ่งยั่วยุ ยั่วยุ หันไปหันมา หันรี หันขวาง ไม่มีการพักผ่อน เพราะว่าโลกมันขาดธรรมะข้อนี้ มันขาดธรรมะสูงสุดของพระพุทธเจ้า คือคำว่าวิเวก วิเวกสูงสุดจนถึงนิพพาน วิเวกมีหลายชั้นหลายระดับหลายประการ เรามาสนใจศึกษากันสักที

                    จะแบ่งเรื่องวิเวกให้ศึกษากันง่ายๆ มี ๓ อย่าง ๓ ชั้น วิเวกทางกาย กายวิเวก วิเวกทางจิต มีจิตตวิเวก มีวิเวกทางสติปัญญา มีอุปธิวิเวก คือวิเวกจากอุปาทาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นของตน เรียกว่าวิเวกจากของหนักแก่วิญญาณ วิญญาณไปแบกไปยึดถือ ไม่ว่างจากของแบกของยึดถือ วิญญาณนั้นก็หนัก ก็ต้องทำให้มันวิเวก วิเวกทางสติปัญญา คือไม่ยึดถือ และก็วิเวกจากของหนัก

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554 19:14:48 »



                    ข้อที่ ๑ วิเวกทางกาย พูดกันก่อน ทางกายหรือทางวัตถุ รวมอยู่ในคำว่ากาย วัตถุไม่รบกวนร่างกายไม่มีปัญหา ก็เรียกวิเวกทางกาย เรามีศีล รักษาศีล มีศีล หรือปฏิบัติธุดงค์ ตามหลักของการปฏิบัติ วิเวกทางกายก็จะเกิดขึ้น มันไม่มีความผิดทางกายที่จะรบกวนร่างกาย คำว่าธุดงค์ บางคนก็ไม่รู้จักวัตรปฏิบัติที่จะขูดเกลา คู่กับศีล มีศีลและมีธุดงค์ มันก็วิเวก มีศีลมีธุดงค์ก็จะมีกายวิเวก

                    คือว่าไม่มีอะไรรบกวนกาย เหมือนกับกายมันแอบมันหลบซ่อนพ้นจากสิ่งรบกวนทางกาย ทางวัตถุก็เหมือนกัน ถ้ามีวัตถุมาล่อมายั่ว วัตถุแปลก วัตถุใหม่ วัตถุสวยงามมายั่ว มาหลอกมาล่ออยู่เสมอ มันก็ไม่ว่างจากวัตถุ ไม่วิเวกจากวัตถุ มันก็ไม่มีความสงบระงับในทางร่างกาย ท่านทั้งหลายรู้จักไว้เป็นข้อแรกว่า มันไม่วิเวกทางกาย ไม่วิเวกทางวัตถุ ขอให้เรารู้จักเป็นข้อแรก

                    มันเป็นเรื่องที่ต้องจัดต้องทำภายนอก และเป็นเรื่องค่อนข้างหยาบเป็นเรื่องหยาบๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องตั้งต้น มันหลีกไม่พ้น ถ้าจัดปัญหาเกี่ยวกับร่างกาย วัตถุ ไม่เรียบร้อย มันก็ไม่มีวิเวกในทางกายหรือวัตถุแต่ประการใด

                    อันดับที่ ๒ สูงขึ้นไป เรียกว่าวิเวกทางจิต นี่ด้วยอำนาจของสมาธิ หรือสมาบัติ วิเวกทางกายมีได้ด้วยศีลด้วยธุดงค์เป็นต้น วิเวกทางจิตก็ด้วยสมาธิ หรือสมาบัติ   คำว่าสมาธิหมายความว่าจิตมันมีอารมณ์อันใดอันหนึ่งไปหน่วงเอาไว้เป็นอารมณ์ มันไม่ไปที่อื่น ก็หมายความว่า อยู่กับสิ่งนั้นเสีย มันไม่ดิ้นรนไปที่ไหน ไม่มีอารมณ์อะไรเข้ามารบกวนได้ ถ้าทำสมาธิสำเร็จ จิตก็อยู่กับอารมณ์เดียว สิ่งเดียวนั่นแหละ ไม่มีอะไรรบกวนได้

                    อารมณ์เดียวนั่นแหละ มันกลายเป็นที่หลบที่ซ่อน ที่ซ่อนทางจิต พอจิตเข้าไปซ่อนอยู่ในถ้ำ อะไรเข้าไปรบกวนไม่ได้ นี่พูดอย่างเปรียบเทียบ คือจิตมันเข้าไปซ่อนอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็ซ่อนอยู่ในสมาธิ ซ่อนอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ ปลอดภัยไม่มีอะไรรบกวน

                    โดยทั่วไป ก็เรียกกันว่า นิวรณ์ ไม่รบกวน นิวรณ์คือความรู้สึกที่เป็นกิเลสชนิดที่ขึ้นกรุ่นออกมาไม่รุนแรง แต่ก็เป็นกิเลสให้เกิดความรู้สึกครบถ้วนตามจำนวนของกิเลส กิเลสประเภทราคะ โลภะ ก็ออกมาเป็นกามฉันทะ ใคร่ไปในทางกาม กิเลสประเภทโทสะ โกธะ ก็ออกมาเป็นพยาบาท กิเลสประเภทโมหะก็ออกมาเป็นถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา ๓ ประการ รวมกันทั้งหมดเป็น ๕ ประการ นี่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ที่รู้จักกันง่าย รู้จักกันโดยชัดเจนว่ามีนิวรณ์เป็นเครื่องรบกวนจิต

                    ตัวหนังสือนิวรณ์แปลว่าสกัดกั้น สกัดกั้นหนทางที่จะไปสู่ความสงบ เมื่อมันถูกสกัดกั้นหนทางที่จะไปสู่ความสงบ เราก็ดิ้นรนไปตามอำนาจของนิวรณ์ มันไม่ลึกเกินไปถ้าเราสังเกต เราศึกษาเราจะรู้จัก แต่เราไม่ได้ศึกษา ไม่ได้นึกฝันว่าจะศึกษา ไม่เคยศึกษาจึงไม่รู้จัก แม้แต่สิ่งที่เรียกว่านิวรณ์ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา ขอร้องว่าสนใจศึกษากันเถอะ  ไม่ไปศึกษาที่ไหน  ศึกษาอยู่ในจิตของตนบางเวลากิเลสประเภทกามารมณ์รบกวน บางเวลากิเลสประเภทโทสะไม่ชอบใจขัดใจรบกวน บางเวลาประเภทถีนมิทธะ ซึมเซาแห่งจิต ซบเซาแห่งจิต อุทธัจจะกุกุจจะ  ฟุ้งซ่านแห่งจิต  บางเวลาก็ความลังเลของจิต

                    ถ้าสังเกตให้ดีสักหน่อยจะพบได้ด้วยตนเองว่า ความลังเล ความไม่แน่ใจ มันรบกวนมากที่สุด เราทนอยู่กับความลังเล หรือความไม่แน่ใจ เราไม่แน่ใจว่าปลอดภัย เราทำมันไม่ได้ มันก็ไม่แน่ใจว่าปลอดภัย ไม่แน่ใจว่าถูกต้อง เพราะเราไม่รู้ เราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้มันถูกต้อง แล้วก็ทนอยู่กับสิ่งนั้นแหละ มันไม่แน่ใจว่าจะอาศัยได้ พึ่งพาอาศัยได้เหล่านี้ เราก็ยังทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ว่าไม่แน่ใจ อยู่ด้วยความไม่แน่ใจจนชิน จนอยู่กันได้ด้วยความไม่แน่ใจอันนี้ ลึกซึ้งมาก ละเอียดมาก ต้องอยู่กับความไม่แน่ใจ จึงไม่มีความตั้งมั่นหรือเป็นสุขสงบเย็น นอนหลับมันก็ยังฝันด้วยความสงสัย ฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา นี่ขอให้สังเกตดู เรามีนิวรณ์อย่างนี้ด้วยกันทุกคน มันเคยชิน เป็นสิ่งที่เคยชิน จนไม่รู้ไม่ชี้ ชีวิตนี้ ก็เรียกว่าถูกกัดกร่อนด้วยสนิมของกิเลสอยู่ตลอดเวลา

                    ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิเวก ไม่มีวิเวก ไม่มีความเป็นอิสระจากสิ่งรบกวนเหล่านี้ เมื่อมันไม่มีวิเวกในทางจิต ต่อเมื่อทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ก็จะวิเวกทางจิต ศึกษากันบ้างเถอะ มีประโยชน์ที่สุดเรียกว่าสมาธิ สมาธิ แต่ขอให้มันถูกวิธี อย่าให้เป็นสมาธิผิด ใช้คำพูดลำบาก ยิ่งเป็นสมาธิที่ไม่จริงที่มาหลอกลวงกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ละเอียดลออมากคือเรื่องอานาปานสติ เป็นสูตรสำเร็จสูตรหนึ่งเลย แต่เราจะไม่สนใจไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เมื่อใช้ลมหายใจแก้ปัญหาหมดทุกเรื่องที่จิตไม่เป็นสมาธิ ก็ใช้ลมหายใจเป็นอารมณ์ จนจิตเป็นสมาธิ จิตไม่มีความรู้ ก็ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องพิจารณาหาความรู้ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตยังยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องศึกษาหาความรู้ จนรู้เรื่องยึดมั่นถือมั่นแล้วปล่อยวาง นี่แบบสมาธิมีมากอย่างอย่างนี้ มากชั้น เป็นชั้นๆ อย่างนี้ ศึกษากันบ้าง หาหนังสือคู่มือมาเล่มหนึ่ง ซื้อกันไม่กี่บาทไม่กี่สตางค์ แต่ขอให้อ่าน ๑๐ เที่ยวเป็นอย่างน้อย พอได้ยินว่าอ่าน ๑๐ เที่ยวสั่นหัว เพราะเที่ยวเดียวก็ไม่เคยอ่านจบ อ่าน ๑๐ เที่ยวจนเข้าใจแจ่มแจ้งจนทะลุปรุโปร่งไม่มีเหลือ แล้วเอามาปฏิบัติทีละนิดๆ ตามที่เข้าใจแล้ว ยังต้องปฏิบัติทีละนิดๆ ให้มันเห็นแจ้ง เพียงแต่เข้าใจยังไม่พอ ช่วยไม่ได้ มันฝากอยู่กับความเข้าใจ คำนึงคำนวณแล้วก็เข้าใจไม่พอ ต้องปฏิบัติจนเห็นแจ้ง โอ้ มันเป็นอย่างนี้เอง           

                    นี่คือผลของการปฏิบัติ เราได้ยินได้ฟังมาเป็นเรื่องเล่าเรียน เอามาคิดมานึกมาใคร่ครวญอยู่เป็นโยนิโสมนสิการ และปฏิบัติไปตามนั้น จนเห็นแจ้งอนิจจังเป็นอย่างไร ทุกขังเป็นอย่างไร อนัตตาเป็นอย่างไร กำลังครอบงำย่ำยีให้เราเป็นทุกข์เป็นร้อนอย่างไร จนเห็นชัด สูงสุดจนเห็นตัวกูของกู กูยอมไม่ได้ กูไม่ยอมเสียเปรียบ กูจะต้องอิจฉาริษยา กูจะต้องพลิกแพลงไปจนกว่าจะเหนือใครทั้งหมด

                    นี่พยายามทำความเข้าใจในเรื่องสมาธิ และปฏิบัติดูทีละนิดๆ อย่าท้อถอยเลย จะยกตัวอย่างคนที่ขี่รถจักรยานได้ กับคนที่ขี่ไม่ได้ ต่างกันกี่มากน้อย คนหนึ่งขี่รถจักรยานได้ ไปไหนไปได้ตามสบาย แล้วอีกคนขี่ไม่ได้ ต่างกันเท่าไร แต่ทีนี้ที่จะขี่รถจักรยานได้ มันต้องลงทุนเท่าใด ลงทุนเท่าไรกว่าจะขี่รถจักรยานได้ โดยการฝึก กว่าจะขี่ได้ต้องล้มกี่ครั้ง ถลอกปอกเปิกเป็นกี่ครั้ง ก็ต้องขี่กันกี่สิบครั้ง มันจึงจะขี่ได้ยืด ปล่อยมือยังได้ มันหัดกันมากอย่างนั้น ทำไมมันทำได้ เพราะมันรักที่จะทำ พอคิดจะทำกับจิตมันไม่ทำมันไม่รักที่จะทำ มันไม่เห็นผลมันไม่มีประโยชน์ที่จะทำนิพพาน ขี่รถจักรยานธรรมดายังต้องฝึกกันขนาดนี้ ยังล้มไม่รู้กี่ครั้ง ขี่รถจักรยานจิตมันยากกว่านั้นมาก แต่ถ้าขี่ได้มันวิเศษมากเหมือนกัน

                    ญาณบังคับจิตควบคุมจิตให้อยู่ในการควบคุม ให้มันยืดเหมือนเราขี่รถจักรยานเป็นเก่งแล้ว รถจักรยานอยู่ในการควบคุมของเรา จนกระทั่งปล่อยมือก็ขี่ได้สบาย ไม่ใช่อวดดี อาตมาก็ขี่ได้นะ ตอนเป็นฆราวาสชอบขี่จักรยานโดยไม่ต้องจับก็ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ ถ้าพยายามสักหน่อย มันต่างกันมากนะ คนที่ขี่รถจักรยานได้กับคนที่ขี่ไม่ได้ มันต่างกันมาก มันคุ้มค่าลงทุน ขอให้พยายามเถอะ ทำสมาธิ ขี่รถจักรยานจิตให้ได้ ให้ไปไหนหรือให้หยุดได้ตามต้องการ นี่เรียกว่าควบคุมจิตได้ เมื่อควบคุมจิตได้มันก็มีอารมณ์หยุดดิ้นรน หยุดดิ้นรนแล้วมันก็มีวิเวก วิเวก วิเวกในทางจิต จิตไม่วอกแวก จิตไม่ดิ้นรนโดยประการใด เรียกว่าสูงขึ้นมากว่าวิเวกในทางกาย วิเวกในทางกายก็ไม่ใช่เล็กน้อย มันก็มีความสุขในระดับหนึ่งทีเดียว แต่วิเวกในทางจิตมันยังสูงไปกว่านั้นอีก ขอให้เราสนใจ

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554 19:17:05 »



                    อันดับที่ ๓ วิเวกทางสติปัญญา วิปัสสนาปัญญา ความลับอยู่ที่ว่า ธรรมดาจิตมันยึดมั่นถือมั่น จิตมีอุปาทานยึดมั่นนั่นนี่โดยความเป็นตัวตนเป็นของตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างจากสิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นสิ่งใดสิ่งนั้นแหละทำให้ไม่ว่าง ทำให้ไม่วิเวก มันกัดละ พอยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด สิ่งนั้นมันกัดละ ทำให้ยุ่งยาก ทำให้เป็นทุกข์ มีการยึดมั่นถือมั่นเป็นปกติไม่โดยตรงก็โดยอ้อม คือโดยสำนึก เต็มสำนึกก็มี ครึ่งสำนึกก็มี ใต้สำนึกก็มี มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น บางทีฝันเป็นเรื่องยึดมั่นถือมั่นได้เป็นตุเป็นตะ มันยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่สิ่งนั้นแหละมันทำลายวิเวก ไม่ให้มีวิเวก พอปลดสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นทิ้งไปเสียได้ มันก็วิเวกทางวิญญาณ วิเวกทางสติปัญญา ทางจิตด้านลึก ไม่ใช่จิตธรรมดาอย่างที่ว่าในข้อที่ ๒ ก็มีวิเวกในทางสติปัญญา เรียกว่าอุปธิเวก

                    อุปธิวิเวก แปลว่า วิเวกจากการแบกถือของหนัก อุปธิแปลว่าของหนัก พอเราโยนของหนักทิ้งไปเสียได้มันก็วิเวกจากการแบกถือของหนัก ทีนี้มาดูสิของหนัก ของหนักนี้ไม่แสดงความหนัก มันไปหลงยินดียินร้ายจนไม่รู้ว่าหนัก มันหัวเราะร้องไห้จนไม่รู้ว่าหนัก มันหลอกกันถึงขนาดนี้

                    เรามีการแบกถือของหนักอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา บางทีก็แบกก้อนหินบางทีก็แบกเพชรพลอย บางทีก็ดีใจ บางทีก็เสียใจกันอยู่ด้วยเรื่องแบกของหนักกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างคือไม่วิเวกจากการแบกของหนัก ขอให้วิเวกจากการแบกของหนักคือโยนทิ้งลงไปเสีย แล้วก็ไม่เอาอะไรขึ้นมาถือไว้อีก พระอริยเจ้าท่านเป็นอย่างนี้

                    สลัดทิ้งของหนักลงไปเสียได้ นิขิตปิตวา ครุง ภารัง ไม่หยิบของหนักอื่นมาถือไว้อีก อัญญัง ภารัง อนาทิยะ ไม่ถือของหนัก ไม่แบกของหนัก มันว่างจากของหนัก มันวิเวกจากการแบกเฉยของหนัก ก็ดูเราถือของหนักอะไรอยู่ อะไรที่ทำให้ความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตน นี่เป็นของหนักทั้งนั้น บางทีแบกเฉยยังไม่รู้ว่าแบก นี่ก็ไม่รู้สึกว่าได้แบกถือของหนัก ถ้าเป็นของหนักที่ถูกใจ สมัครแบกไปเลย ได้ของรักของพอใจ แบกไปเลย ทูนหัวก็ได้ ไม่ว่างจากการแบกถือของหนัก

                    ต้องมีสติปัญญา ต้องมีวิปัสสนาว่า นี่เป็นของหนัก เอามาถือเอามาทูนไว้ด้วยความโง่ ไม่รู้ว่ามันเป็นของหนัก มีแต่ดิ้นรนอยู่ด้วยของหนัก แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่ได้รู้ว่านี่เพราะแบกสิ่งนี้ เพราะแบกถือสิ่งนี้ ให้ศึกษาเรื่อง ของหนักที่เอามาถืออยู่ แบกอยู่ ทูนอยู่ ดูไปที่สิ่งนั้นแหละ ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร จะเห็นว่าสิ่งที่มันถือไว้แบกไว้เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา เราก็ยังเอามาถือเอามายึดถืออยู่ ยึดมั่นถือมั่นไว้ได้และมันก็ได้หนัก บางอย่างก็ไม่รู้สึกชัดๆ มันซ่อนเร้น บางอย่างก็ตรงๆ ก็พอจะสลัดออกไปได้ง่ายๆ แต่ถ้ามันซ่อนเร้นแล้วก็ถือโดยไม่ต้องรู้สึก ทั้งหลับทั้งตื่นทั้งวันทั้งคืน มีจิตใจยึดมั่นถือมั่น ปรุงแต่งเป็นความยึดมั่นถือมั่นอยู่ไม่รู้วาง ไม่รู้ขาดตอน เรียกว่าไม่ว่าง หรือไม่วิเวกจากการแบกของหนัก

                    พวกหนึ่งวิเวกจากวัตถุ หรืออะไรที่มันเบียดเบียนทางกาย ที่สองไม่ว่างจากสิ่งที่เบียดเบียนจิต คือไม่ว่างจากนิวรณ์ สิ่งที่สามไม่ว่างจากอุปาทาน ก็เลยเป็นของหนัก มีชีวิตอยู่ด้วยของหนัก ปลงอุปาทานลงเสียจะว่างหรือวิเวกจากของหนัก นี่ต้องใช้วิปัสสนา

                    วิเวกทางกายมีศีลมีธุดงค์ ก็กำจัดไปได้ วิเวกทางจิต มีสมาธิ มีสมาบัติก็กำจัดไปได้ วิเวกทางปัญญา ทางอุปธิ ต้องมีวิปัสสนาเห็นแจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนัตตานี่ช่วยได้ ถ้าหมดอนัตตาแล้วก็หมดสิ่งรบกวนไม่มีอะไรรบกวนให้วุ่นวาย ว่างจากตัวกู ว่างจากอัตตา วิเวกอย่างยิ่ง

                    ที่มันไม่วิเวก ที่มันดิ้นรน มันคือตัวกู ถ้ามันว่างจากตัวกูเสีย ก็ไม่มีอะไรจะดิ้นรน มันจึงเป็นวิเวกโดยแท้จริง คือว่างจากตัวตน ไม่มีตัวตน มีแต่วุ่น ไม่มีตัวตนจะวุ่น พอรู้สึกว่าตัวตน ว่าตัวตนนี่มันวุ่น มันวุ่นเป็นตอนๆ ไปเลย มีความรู้สึกเป็นตัวตนเป็นของตน มันก็เกิดเป็นกิเลสประเภทโลภะ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดกิเลส พอเกิดกิเลสก็วุ่นต่อไปจนเกิดทุกข์ ทรมานอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ว่าเป็นยินดี ยินร้าย

                    ยินดี มันก็วุ่นไปตามแบบยินดี ยินร้ายมันก็วุ่นไปตามแบบยินร้าย บุญก็วุ่นไปตามแบบบุญ บาปก็วุ่นไปตามแบบบาป กุศลก็วุ่นไปตามแบบกุศล อกุศลก็วุ่นไปตามแบบอกุศล ต้องอยู่เหนือนั้นพ้นนั้นค่อยไปเกิดเป็นนิพพาน จึงจะไม่วุ่นเลย

                    ถ้ามันเป็นคู่ตรงกันข้าม เรียกว่าเป็นบวกหรือเป็นลบก็ตามใจ มันยังวุ่น บวกวุ่นก็แบบบวก ลบก็วุ่นแบบลบ วุ่นทั้งแบบบวกแบบลบ หัวเราะก็วุ่นแบบหัวเราะ ร้องไห้ก็วุ่นแบบร้องไห้ ดีใจก็วุ่นตามแบบดีใจ เสียใจก็วุ่นไปตามแบบเสียใจ อย่าเข้าใจว่าดีใจนั้นไม่วุ่น ดีใจมั่นวุ่นอย่างละเอียดอย่างลึกซึ้ง วุ่นขนาดนอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้ ถ้าดีใจมันมากเกิน อย่าไปหลงกับมัน

                    ที่จะว่างอย่างแท้จริง ก็ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่รู้สึกได้ ไม่รู้สึกเสีย ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่บุญ ไม่บาป ไม่สุข ไม่ทุกข์ ว่าง วิเวกเหลือประมาณแล้ว ถ้าวิเวกปราศไป ขึ้นชื่อบุญ ยึดถือไว้ด้วยความเป็นคู่ๆ ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ ได้เสีย แพ้ชนะ ไม่รู้กี่คู่ มันเป็นคู่ๆ อย่างนี้ทุกคู่ เบียดเบียนให้ ไม่มีความสงบ

                    ขอท่านทั้งหลายจงได้รู้จักวิเวกที่สุด วิเวกสุดท้าย วิเวกจากการแบกของหนัก ไม่มีของหนักที่เอามาแบกอยู่ วิเวกจากของหนักอย่างนี้เป็นวิเวกอันสุดท้าย อะไรปรุงแต่งไม่ได้ กิเลสไม่รบกวน ความทุกข์ก็ไม่มี ว่างจากตัวกู ถ้าทำได้ว่างจากตัวกูแล้ว ก็วิเวกไปหมดทั้งโลก ทั้งจักรวาล ไม่มีตรงไหนที่จะทำให้วุ่นวาย ไปนั่งอยู่กลางโรงละครก็ว่าง ไปนั่งอยู่ในอึกทึกครึกโครมของเครื่องจักรของโรงงานอุตสาหกรรมก็ว่าง มันก็เป็นวิเวกได้ในทุกหนทุกแห่ง ไม่ต้องไปหาที่เลือกที่อะไรกันที่ไหน ถ้ามันว่างจากตัวกูข้างใน ว่างจากตัวกูของกู ไม่เกิดตัวกูของกูขึ้นมารบกวนจิต

                    วิเวกมี ๓ อย่าง ๓ ชนิดอย่างนี้ ทางกาย มีศีล มีธุดงค์ก็กำจัดได้ กำจัดความวุ่นวายได้ ว่างทางจิตมีสมาธิ ว่างทางจิต ว่างทางสติปัญญาก็มีปัญญาปล่อยวางอุปาทาน ละอุปาทานได้ก็ว่างได้ เมื่อว่างได้ทั้ง ๓ อย่างแล้วมันก็เหลือแต่วิเวกมันแสนสุดจะวิเวก เป็นอันวิเวกสูงสุดของชีวิตมนุษย์เรา

บันทึกการเข้า
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
*

คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
Thailand Thailand

กระทู้: 7493


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
Firefox 5.0 Firefox 5.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2554 19:20:01 »



       
                    มันไม่สำเร็จด้วยพิธีรีตอง จะรดน้ำมนต์หรือจะแขวนพระเครื่องหรือจะทำอะไร พิธีรีตองอย่างไหนๆ ก็ไม่อาจจะให้เกิดวิเวกหรือความว่างได้ นอกจากจะทำให้มันถูกวิธี วิธีของธรรมะ ที่จะทำให้เกิดความว่างหรือวิเวก

“พิธี” ใช้ไม่ได้ แต่ “วิธี” ใช้ได้ พิธีมันไปด้วยความงมงาย ด้วยความไม่รู้ มันเป็นไสยศาสตร์เสียโดยมาก “พิธี” พึ่งไม่ได้ แต่ “วิธี” เป็นเทคนิคที่ถูกต้อง พึ่งได้ มีวิธีแสวงหา วิธีที่ถูกต้องมาใช้ให้เพียงพอ เราก็จะมีวิเวกได้ กระทั่งจะมีวิเวกได้แม้ที่กลางโรงละคร วิเวกอยู่ท่ามเครื่องจักรอุตสาหกรรมอันแสนอึกทึกครึกโครม “วิธี”เท่านั้นที่มันจะช่วยได้ “พิธี” มันช่วยไม่ได้

                    เมื่อไม่รู้จักก็ต้องอยู่กับความยุ่งความวุ่นวาย ความดิ้นรนจนชินเป็นนิสัยไปเอง ไม่เคยรู้สึกสำนึกว่าที่วิเวกนั้นมีอยู่ สุนัขขี้เรื้อนไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ตรงไหนที่จะไม่ต้องเกา มันไม่รู้ที่ที่จะไม่ต้องเกา นี่สุนัขขี้เรื้อน มันก็ไม่มีที่หยุดที่สงบหรือที่วิเวก ต้องเป็นสุนัขที่หายแล้ว หรือใครช่วยมันหน่อย มันจะรู้จักที่ที่ไม่ต้องเกา

                    พระพุทธเจ้าท่านช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายที่ไม่รู้จักวิเวก ที่เป็นสุนัขขี้เรื้อนกันอยู่โดยมาก ตรงนี้สิทำอย่างนี้สิ ได้กายวิเวก ทำอย่างนี้สิได้จิตตวิเวก อย่างนี้สิได้อุปธิวิเวก เราจึงได้พบสิ่งที่เรียกว่าวิเวก

                    ขอให้ท่านทั้งหลายฟังดูให้ดีและคิดดูให้ดี คิดด้วยจิตใจที่เป็นธรรม หัวข้อที่อาตมากล่าวว่าวิเวกที่ท่านยังไม่รู้จัก เท่ากับดูถูกท่านทั้งหลายว่ายังไม่รู้จัก ดูถูกหรือไม่ดูถูกก็ดูเอาเอง ถ้าท่านรู้จักแล้วมันก็ไม่ใช่ดูถูก แต่ถ้าท่านยังไม่รู้จักจริงๆ มันก็คือดูถูก ขอเปลื้องความดูถูกออกไปเสียให้หมดคือรู้จักมันเสีย รู้จักวิเวกให้ถูกต้อง ให้ตรงตามที่เป็นจริงว่ามันเป็นอย่างไร   

                    โลกนี้มันยังไม่มีวิเวก และมันบ้ากันหนักขึ้นไปอีก ตั้งระบบอุตสาหกรรมขึ้นมาผลิตสิ่งที่ยั่วให้ไม่วิเวก สิ่งที่ผลิตออกมาจากระบบอุตสาหกรรมนี่สนองกิเลสทั้งนั้น มันไม่จำเป็น ไม่เจอพระนิพพานทั้งนั้น มันไม่มีวิเวก

                    แต่มนุษย์จะพอใจที่จะเจริญจะก้าวหน้าทางระบบอุตสาหกรรม สรรเสริญเยินยอแข่งขันกันทั้งโลก มันเจริญโดยระบบอุตสาหกรรม จะเป็นเรื่องทางวัตถุทั้งนั้น ไม่มีเรื่องทางจิตทางวิญญาณ ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมไหน สอนเรื่องจิตทางวิญญาณ ทำจิตให้สงบ มีแต่เรื่องผลิตวัตถุสวยงามมีเสน่ห์ออกมายั่วยวนให้มันหลงใหลไปมากขึ้น 

                    น่าสงสารวัยรุ่นของเราทั้งหญิงทั้งชาย ตกเป็นเหยื่อของสิ่งล่อหลอกยั่วยวนเหล่านี้ แล้วก็หลงใหลกันไป เรื่องมันจึงเกิดมากขึ้นๆ เรื่องลำบากยุ่งยากเกิดมากขึ้น อันตรายกับตัวเองก็มากขึ้น บิดามารดาก็น้ำตาตกมากขึ้น เพราะลูกวัยรุ่นไปหลงใหลสิ่งยั่วยวนของระบบอุตสาหกรรม ให้เขาศึกษาเรื่องวิเวก ให้ลูกหลานของเราศึกษาเรื่องวิเวก แล้วเขาก็จะไม่โง่ ไม่ไปหลงใหลในระบบยั่วยวนของสิ่งยั่วยวนที่อุตสาหกรรมผลิตออกมา อย่างนี้มีใช้แล้ว พอของใหม่ออกมาดีกว่าสวยกว่าก็ซื้ออีก มันเป็นเรื่องที่ไม่มีที่รู้จักสิ้นสุด ถึงพ่อของมันก็ดี มีรถยนต์อย่างนี้ใช้แล้ว พออย่างใหม่ออกมาก็ซื้อใหม่ ก็เลยซื้อกันเป็นราคาล้าน บ้านเรือนก็เหมือนกัน อย่างนี้พออยู่ได้ ก็สร้างใหม่อีกแล้ว ไม่อยู่บ้านราคาล้าน ล้านไม่พอก็หลายล้านก็ผ่อนกับเทวดา มันก็ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น ไม่มีวิเวก ไม่มีความสงบ

                    มองดูสิ่งเหล่านี้เถิด จะเห็นโทษว่ามันยุ่งไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเจริญมันยิ่งยุ่ง ยิ่งเจริญทางวัตถุมันก็ยิ่งยุ่ง ถ้ายิ่งเจริญทางธรรมะแล้วก็ยิ่งสงบเย็น ยิ่งเจริญทางวัตถุมันยิ่งยุ่ง มันไม่ยุ่งเปล่านะ มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัวนะ คือส่งเสริมกิเลส พอกิเลสมันขึ้นสูงสุดมันก็ฆ่ากันวินาศ ความเจริญทางวัตถุถ้าควบคุมไว้ไม่ได้โลกก็วินาศ เพราะความเจริญทางวัตถุมันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวส่งเสริมกิเลส กิเลสสูงสุดมันก็ฆ่ากันวินาศ ไม่มีวิเวกเหลือสักนิดหนึ่ง

                    เอาละเป็นอันว่ามารู้จักโลกทั้งโลกว่ายังมีวิเวก ขอให้สนใจเรื่องวิเวก ให้ได้กายวิเวกทางกาย จิตตวิเวกทางจิต ให้ได้อุปธิวิเวกทางสติปัญญา โลกนี้ก็จะมีวิเวก มีความสงบเยือกเย็นเป็นสุข เป็นโลกของมนุษย์ที่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้โลกมันยิ่งวุ่นวาย พวกลิงมันหัวเราะ พวกคนป่ามันหัวเราะ นี่ก็ไม่รู้จักว่าถูกหัวเราะและก็ไม่ละอาย เพราะเหมือนๆ กันไปหมด พูดเรื่องวิเวก ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ว่าเรายังไม่ได้รับ เรายังไม่มี

                    ขอให้เราพยายามกันอย่างยิ่งที่จะศึกษาเรื่องนี้ เข้าใจเรื่องนี้ และดึงให้มันมี ค่อยๆ มีไปตามลำดับ มีกายวิเวก ทางกาย ทางวัตถุ มีจิตตวิเวก วิเวกทางระบบจิต อุปธิวิเวก วิเวกทางสติปัญญาอันสูง วิมุตติ เพราะวิเวกอันสุดท้ายคือนิพพาน จบที่นิพพาน

                    วิเวกกับนิพพานในที่นี้เป็นของสิ่งเดียวกัน คือหยุดไม่ปรุงแต่ง สงบเย็น เป็นวิสังขาร ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ เป็นอตัมมยตา คือคงที่ คงที่ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งได้ เรื่องก็จบ เป็นพระอรหันต์บรรลุนิพพาน

                    นี่คือวิเวกที่ท่านยังไม่รู้จักใช่มั้ย ถ้าท่านรู้จักก็ขอโทษ ล่วงเกินว่าไม่รู้จัก แต่ถ้าไม่รู้จักก็ช่วยกันรู้จักเถอะ รู้จักวิเวก พยายามรู้จักวิเวก ให้มีวิเวกให้อยู่ด้วยวิเวก มันจะได้สงบเย็น สงบเย็น ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และพบพระพุทธศาสนา

                    คำบรรยายสมควรแก่เวลา ขอยุติการบรรยายเป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลายสวดบทพระธรรม ธรรมสาธยาย มีใจความส่งเสริมให้เกิดกำลังใจ กล้าหาญ พากเพียรพอใจในการที่จะปฏิบัติธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สำเร็จประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไปทุกๆ ระดับสืบต่อไป ณ กาลบัดนี้



Credit by : http://www.ruendham.com/book_detail.php?id=24&content=285&name_content=%C7%D4%E0%C7%A1%B7%D5%E8%B7%E8%D2%B9%C2%D1%A7%E4%C1%E8%C3%D9%E9%A8%D1%A1
Pics by : Google
ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต * อกาลิโกโฮม
สุขใจดอทคอม
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ

บันทึกการเข้า
คำค้น: ธรรมบรรยาย หลวงพ่อพุทธทาส ห้องหนังสือเรือนธรรม ๑๐๐ ปีพุทธทาส 
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.627 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 15:40:48