[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
07 ตุลาคม 2567 02:07:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: องค์ประกอบที่สร้างพระอริยะ : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี  (อ่าน 852 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1081


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 87.0.4280.88 Chrome 87.0.4280.88


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 11 มกราคม 2564 20:05:05 »



องค์ประกอบที่สร้างพระอริยะ คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา

การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมขั้นต่างๆ เช่น ขั้นโสดาบัน ขั้นสกิทาคามี ขั้นอนาคามี หรือขั้นอรหันต์ จำเป็นจะต้องบวชหรือไม่ จำเป็นจะต้องอยู่วัดหรือไม่ จะปฏิบัติที่บ้านได้หรือไม่ จะไม่ต้องบวชได้หรือไม่ ความจริงก็คือบรรลุได้ทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ได้บรรลุเพราะว่าบวชหรือไม่บวช บรรลุเพราะว่าอยู่บ้านหรืออยู่วัด ไอ้นี่เป็นส่วนประกอบที่ไม่ใช่เป็นส่วนประกอบหลัก ตัวที่จะทำให้บรรลุธรรมได้หรือไม่นั้นคือการปฏิบัติทานได้หรือไม่ ศีลได้หรือไม่ สมาธิได้หรือไม่ ปัญญาได้หรือไม่ นี่เป็นตัวที่จะทำให้บรรลุธรรมขั้นต่างๆ ได้หรือไม่นั้นก็คือเราทำทานได้หรือไม่ ทานก็หมายถึงเราเสียสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองได้หรือไม่ หรือว่าเรายังโลภยังอยากได้ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองอยู่ ยังต้องอาศัยเงินทองซื้อความสุขต่างๆ อยู่ อันนี้ต้องละให้ได้ ต้องไม่หาความสุขจากเงินทอง ถ้าจำเป็นก็หาและใช้เงินทองเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เช่น ถ้าเรายังไม่ได้บวช ไม่มีคนใส่บาตรให้เรากินนี้เราก็ต้องมีเงินซื้ออาหารมีเงินจ่ายที่พัก มีเงินจ่ายค่ายารักษาโรค มีเงินจ่ายค่าเสื้อผ้า แต่มีไว้เพียงเท่านี้ มีไว้ใช้กับความจำเป็นคือปัจจัย ๔ แต่จะไม่มีไว้สำหรับไปซื้อกาแฟมาดื่ม ซื้อขนมมากิน หรือซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มาเล่น หรือไปเที่ยวตามศูนย์การค้า ไปนั่งชมวิวตามร้านอาหารริมทะเลอะไรเหล่านี้มันต้องใช้เงิน ต้องเลิกใช้เงินแบบนื้ ใช้เงินเฉพาะปัจจัย ๔ เท่านั้น คือไว้สำหรับเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วไม่ต้องไปกินที่หรูๆ หราๆ กินแถวบนตึกสูงบนท้องฟ้า กินที่บ้านกินที่เราปฏิบัติธรรมนั่นแหละ อยู่ที่ปฏิบัติธรรม อยู่ที่บ้านก็กินที่บ้าน อยู่ที่วัดก็กินที่วัด ไม่ใช่เวลากินทีก็ เฮ้ย วันนี้ไปกินที่ไหนดี ร้านอาหารไหนสวย ร้านอาหารไหนอร่อย อย่างนี้ต้องใช้เงินกิน กินที่บ้านก็ทอดไข่เจียวหุงข้าวเสร็จแล้ว กินอิ่มพอดับความหิวได้ก็พอ

นี่คือความหมายของทาน คือต้องไม่มีความโลภอยากได้เงินทองเพื่อที่จะเอามาซื้อความสุขชนิดต่างๆ ถ้าจำเป็นจะต้องหาเงินทองก็หามาเพื่อมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มาซื้อปัจจัย ๔ ที่ขาดแคลน ถ้าขาดแคลนอาหารก็ซื้ออาหาร ขาดแคลนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มก็ซื้อเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ขาดแคลนยารักษาโรคต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน หรือถ้าเรามีบ้านของเราเอง ต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟอะไรต่างๆ อันนี้มีเงินทองไว้สำหรับใช้แค่นี้เอง ไม่ให้เอาไปใช้กับการไปเที่ยวตามแหล่งบันเทิงต่างๆ ตามโรงมหรสพต่างๆ นี่คือความหมายคำว่าทาน ไม่ต้องการมีเงินทองไม่ต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการใช้เงินทองไว้ไปอวดคนนั้นอวดคนนี้ ว่าฉันรวยอย่างนั้นฉันรวยอย่างนี้ ฉันมีข้าวของเงินทอง มีรถยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ อันนี้ไม่ใช่นะคำว่าทาน ทานหมายถึงเลิกใช้เงินเลิกใช้ทอง ตัวอย่างของพระพุทธเจ้าของเราก็คือ เคยเป็นพระราชโอรสก็สละไปหมดเลย สถานภาพของพระราชโอรส นี่คือการทำทานเต็มร้อย ต้องทำแบบพระพุทธเจ้า ออกจากวังไปโดยไม่มีอะไรติดตัวไปเลย มีแต่ชุดของเจ้าชายที่สวมใส่ไป แต่พอไปกลางทางมีขอทานเห็นใส่ชุดสวยอยากจะได้ ขอเปลี่ยน พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนยินดีจะได้สละได้เต็มร้อยเลย เหลือเพียงเฉพาะเสื้อผ้าที่ใส่ไปเท่านั้นเอง ที่ยังเป็นของเจ้าชายอยู่ พอพบกับขอทานๆ เห็นว่าสวยอยากได้ขอแลกขอเปลี่ยน พระพุทธเจ้าก็ดีใจ โอ๊ย ไม่ได้เสียใจไม่ได้เสียดายเลย ดีใจที่ได้เปลี่ยนได้ใส่ชุดของขอทาน ได้สละเต็มร้อยเลย สละราชสมบัติได้ทำทานเต็มร้อยหมดเนื้อหมดตัว นี่เรียกว่าทำทานแบบหมดเนื้อหมดตัว ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองมีเท่าไหร่ทิ้งไว้ให้คนอื่นไปหมด ปราสาท ๓ ฤดูทิ้งให้คนอื่นไปหมด เวลาไปก็มีมหาดเล็กตามเสด็จส่งให้ขี่ม้าออกไป พอพ้นเขตแผ่นดินก็ลงจากม้าแล้วก็ให้เขาเอาม้ากลับคืนไปไม่ขี่ต่อไป เดินไปตามลำพังคนเดียว

นี่แหละทำทานทำแบบนี้ถ้าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะนี้ต้องทำทานแบบนี้ ต้องไม่มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองติดตัวไป พร้อมที่จะอยู่แบบขอทาน แม้แต่เสื้อผ้าก็เปลี่ยนใช่ไหม ขอทานเห็นเสื้อผ้าสวยก็เลยขอเปลี่ยน พระองค์ก็ทรงยินดี อยากจะได้เสื้อผ้าขอทานอยู่แล้วเพราะอยากจะเป็นขอทานมากกว่าอยากจะเป็นพระราชโอรส ก็ยินดีเปลี่ยนทันที นี่แหละความหมายของการทำทานร้อยเปอร์เซ็นต์ทำแบบนี้ สำหรับผู้ที่ยังทำไม่ได้ก็ทำไปตามกำลังก่อน ทำเพิ่มไปตามกำลัง ตอนนี้ตัดอะไรได้สละอะไรได้สละไป เคยมีเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องออกไปเข้าสังคมแล้วก็ให้คนที่เขายังไปเข้าสังคมไปใช้ดีกว่า เราก็ใช้เสื้อผ้าตามที่เราใช้กับการปฏิบัติธรรมของเราก็พอ มีสักสองสามชุดก็พอแล้ว ยิ่งมีน้อยยิ่งสบายไม่ต้องมาคอยดูแลรักษา จะได้มีเวลาไปปฏิบัติธรรมได้มากขึ้น ถ้ามีมากก็ต้องมาคอยรักษาต้องคอยซักคอยอะไร แทนที่จะใช้วันละชุดอาจจะเปลี่ยนวันละสามชุด ชุดนอน ชุดกลางวัน ชุดกลางคืน แต่ถ้าเป็นนักปฏิบัติแล้วก็ชุดเดียว ๒๔ ชั่งวโมงก็เปลี่ยนสักครั้งหนึ่ง อาบน้ำวันละครั้ง ก็พอ พระปฏิบัตินี่ท่านอาบน้ำวันละครั้งเท่านั้นแหละ อาบตอนบ่ายหลังจากที่ทำภารกิจปัดกวาดลานวัดอะไรเรียบร้อยแล้ว ดื่มน้ำปานะอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็แยกกันไปก็ไปที่อาบน้ำ ในวัดป่านี้เขาจะมีบ่อน้ำ พระมักจะอาศัยไปตักน้ำจากบ่อมาแล้วก็อาบอยู่ข้างบ่อน้ำ อาบเสร็จก็ซักผ้าไปในตัว ซักผ้าที่เปลี่ยนแหละ ซักผ้าสบงซักผ้าอังสะ เสร็จแล้ว อาบน้ำหนเดียวก็พอแล้วก็กลับไปที่กุฏิเอาผ้าไปตาก แล้วก็เดินจงกรม นั่งสมาธิไป จนถึงเวลาสี่ทุ่ม นี่คือการที่เราจะได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญาต้องมีเวลาปฏิบัติ ต้องไม่มีของพะรุงพะรังให้เราต้องมาคอยดูแลรักษา แม้แต่การกินก็ให้กินหนเดียว จะได้ไม่เรื่องมาก กิน ๒ หนก็เรื่อง ๒ หน กิน ๓ หนก็มีเรื่อง ๓ หน กินหนเดียวก็มีเรื่องหนเดียว

นี่คือเรื่องของการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องบวชหรือไม่บวช ต้องอยู่วัดหรือไม่อยู่วัด อยู่ที่ว่ามีเวลาปฏิบัติหรือไม่ และที่ปฏิบัตินี้สงบหรือไม่ ถ้าอยู่บ้านสงบกว่าอยู่วัดก็อยู่บ้านดีกว่า ถ้าอยู่วัดสงบกว่าอยู่บ้านก็อยู่วัดดีกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวัดต้องเป็นบ้าน เป็นที่ว่าสงบหรือไม่สงบ สถานที่เราปฏิบัตินี้ต้องสงบต้องไม่วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ กับบุคคลต่างๆ อยู่กับวัดบางวัดนี้มีแต่งานทั้งวัน งานศพงานอะไรเต็มไปหมด ถ้าอยู่วัดแบบนั้นก็ปฏิบัติยากเพราะไม่สงบ ถ้าอยู่บ้านคนเดียวกลับสงบกว่าก็อยู่บ้านดีกว่า ถ้าต้องไปอยู่วัดแบบที่เขามีงานมีเมรุมีงานอะไรต่างๆ บางวัดก็มีหนังเข้าไปฉายด้วย มีมหรสพมีอะไรเข้าไป บางทีเจ้าภาพจัดงานศพก็อยากจะเอาหนังมาเลี้ยงคนที่มางาน ถ้าเป็นวัดแบบนี้ก็สู้ปฏิบัติที่บ้านดีกว่า ถ้าบ้านสงบกว่าวัดก็ปฏิบัติที่บ้าน ถ้าวัดสงบกว่าที่บ้านก็ปฏิบัติที่วัดดีกว่า ดังนั้นอย่าไปยึดติดกับคำว่าบ้านหรือวัด อย่าไปยึดติดกับคำว่าบวชหรือไม่บวช บางทีบวชแล้วก็ไม่มาปฏิบัติ บวชแล้วแทนที่จะทำทานกลับมาขอทาน ขอบริจาคนู่นบริจาคนี่ ขอบริจาคสร้างส้วมสร้างเมรุสร้างกุฏิ สร้างเท่าไหร่ก็ไม่พอ สร้างเสร็จแล้วเดี๋ยวก็มาซ่อมอีก ใช้ไปซักพักเดี๋ยวเสียอีกแล้วชำรุดอีกแล้ว มาขออีกแล้ว นี่บางองค์มาบวชนี้ตั้งแต่บวชไปจนถึงวันตายมีแต่สร้าง เห็นสร้างอยู่เรื่อย บางทีสร้างวัดนี้เสร็จมือคันก็ไปสร้างอีกวัดหนึ่งก็มี นั่นแหละมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้กิเลส เข้าใจไหม มันต้องมีอะไรทำก็เลยคิดว่าเป็นพระต้องมาสร้างวัด คิดว่าสร้างวัดแล้วได้บุญ จะว่าได้บุญก็ได้แต่ว่ามันบุญน้อย บุญที่พระควรจะได้มันไม่ควรจะมาจากการมาสร้างวัดสร้างอะไรต่างๆ ควรจะได้บุญจากการสร้างพระมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่พระที่สร้างกันทุกวันนี้ สร้างกันใหญ่โตมโหฬารแต่ละองค์นี้ โอ้โห เดี๋ยวนี้แข่งกันสร้างพระ สร้างหลวงปู่สร้างหลวงตากัน ไม่เช่นนั้นก็สร้างเจดีย์กัน เดี๋ยวนี้เต็มไปหมด สร้างเจดีย์สร้างโบสถ์สร้างพระองค์ใหญ่ๆ ใช่ไหม องค์เบ้อเริ่มเทิ่มเลย ไม่ใช่ คำว่าสร้างพระนี่ไม่ได้สร้างพระพุทธรูป ไม่ได้สร้างพระอิฐพระปูน ให้มาสร้างพระอริยะพระในใจ สร้างพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ การจะสร้างพระอริยะได้นี่ต้องทำทานให้ได้ ต้องเลิกหาเงินหาทอง ไม่ใช่ไปหาเงินหาทองไปเรี่ยไรขอเงินคนนั้นขอเงินคนนี้มาสร้างสิ่งนั้นมาสร้างสิ่งนี้อยู่ ปล่อยให้เขาเสนอมาก็แล้วกันแหละ เดี๋ยวเขาเห็นขาดอะไรเขาหามาให้เอง นี่ของต่างๆ ที่ญาติโยมใช้อยู่กันนี้ไม่ได้ขอเลย ญาติโยมเอามาให้เอง มาแล้วไม่มีที่นั่งไม่มีเสื่อเขาก็ต้องซื้อเสื่อมาเอง ไม่ได้จัดอะไรให้ใครเลยนี่เรามานี่เรามาคนเดียวมาตัวเปล่าๆ ถึงเวลาเราก็มานั่งศาลามาพูดนี่ ไอ้เบาะเบอะนี่เขาก็หามาให้ทั้งนั้นไม่เคยไปขอใคร เสื่อทั้งหลายที่ปูนั่งกันนี้ก็เอามากันทั้งนั้น เบาะเดี๋ยวนี้เมื่อวันก่อนก็มีคนเอาเบาะนั่งมาให้ ๘๐ เบาะด้วยกัน ก็มีอยู่ในศาลา ใครอยากจะนั่งเบาะก็นั่งได้ ใครอยากจะนั่งเสื่อก็นั่งได้ไม่ได้ขอเลย มันมาเอง น้ำดื่มตู้แช่น้ำมันก็มาของมันเอง เก้าอ้งเก้าอี้นี่ไม่เคยไปขอให้ซื้อ มันมาเองทั้งนั้นแหละ ถึงเวลาถ้าคนเขารู้ว่าจำเป็นขาดเหลืออะไรเขาหามาให้เอง ไม่ต้องไปขอเขาหรอก มีแต่ต้องขอร้องอย่าเอามามาก บางทีเกะกะไม่ใช่อะไร มันมากเกินไป ไม่มีที่เก็บ นี่จึงพยายามไม่สร้างที่เก็บ ถ้าสร้างที่เก็บเดี๋ยวมันก็ล้นอีกเชื่อไหม จึงไม่สร้างเอาเท่าที่จำเป็น

ที่นี่เรียกว่า “ธรรมะจัดสรร” ให้ธรรมะเป็นผู้จัดสรรให้ ธรรมะก็คือเหตุนี่เอง เหตุผลคือธรรมะ พอมีเหตุจำเป็นจะต้องมีมันมาเองไม่ต้องขอ อยู่ตามมีตามเกิดไปสบายจะได้มีเวลามาปฏิบัติกันอย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องคอยไปหาของกัน พอได้ของมาก็ต้องคอยสร้างที่เก็บของอีก พอมีของเยอะเดี๋ยวก็มีคนมาขออีก เดี๋ยวก็มีแต่หามาแจกไป ไปหามาแจกไปอยู่นั่นแหละเลยไม่ต้องมาปฏิบัติธรรมกัน จึงไม่ขอนี่ ตั้งแต่บวชมานี่ไม่เคยขอนู่นขอนี่จากใคร มาอยู่บนเขาใหม่ๆ นี้ทางเดินมันไม่ได้เป็นปูนอย่างทุกวันนี้นะ มันเป็นทางดิน ทางดินเดินเวลาฝนตกนี่ดินมันเหนียวเกาะรองเท้าหนาเป็นนิ้วเลย แล้วดีไม่ดีก็เดินลื่นหกล้มกัน ก็มีคนเห็นก็เลยถามว่า ท่านต้องการทำทางไหม บอกว่าทำได้ก็ดี เขาก็เลยมาทำให้ ทำทางเทปูนให้อะไรให้ ตอนต้นกุฏิที่อยู่บนนี้ก็มีแท้งค์น้ำกุฏิละแท้งค์เดียว บนนี้ไม่มีน้ำประปาไม่มีน้ำใช้สอย นอกจากรองน้ำฝนเอา งั้นถ้าน้ำฝนรองได้แท้งค์เดียวใช้ไม่กี่เดือนมันก็หมด ก็เลยคิดว่าควรจะมีสักสองสามแท้งค์ พอคิดเท่านั้นมันมาเอง คนนั้นคนนี้ก็เอาแท้งค์มาถวาย พอได้ครบแล้วก็หยุดไป ธรรมะจัดสรรให้เอง ไม่ต้องกังวลเทวดาเขาคอยเฝ้าดูอยู่ รู้จักเทพบันดาลไหมเดี๋ยวเทวดาเขาก็ไปกระซิบญาติโยมในฝันเองแหละ อ้าว จริงๆ แหละ ยังไม่ทันพูดเลยเอามาให้แล้ว มีเทวดาไปบอก
ดังนั้นอย่าไปยุ่งกับวัตถุข้าวของมากเกินไป ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านปฏิบัติ ๖ ปีก็ไม่มีจะไปเรี่ยไรขอญาติโยมพี่น้องให้มาสร้างวัดสร้างกุฏิสร้างอะไรให้ ท่านอยู่ตามป่าตามโคนไม้ ตรัสรู้ก็ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์เห็นไหม แสดงธรรมครั้งแรกก็แสดงในสวน ไม่ได้ไปสร้างที่แสดงธรรม เจอคนฟังตรงไหนก็แสดงมันตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปจัดที่แสดงธรรม ไม่ต้องมีธรรมาสน์มาตั้งไว้ให้แสดง ธรรมะนี่เป็นของธรรมชาติ ของที่สะดวกง่ายดาย พวกเราชอบมาทำให้มันวุ่นวายยุ่งยากกันไปเอง แสดงธรรมเดี๋ยวนี้ต้องมีธรรมาสน์ที่ตบแต่งด้วยลายวิจิตรพิสดาร ปิดทองลงรักอะไรต่างๆ ไม่ใช่หรอกของพวกนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนาพุทธนะ เรื่องราวมันมาผลิตขึ้นมากันเองทั้งนั้น ศาสนาพุทธจริงๆ นี้เป็นเรื่องของธรรมชาติเป็นเรื่องของธรรมดา เป็นเรื่องของปกติ ไม่ได้เป็นเรื่องของการปรุงแต่งให้มันวิจิตรพิสดารอะไรเลย ถ้าจะทำอะไรก็ทำด้วยเหตุด้วยผล ถ้าต้องการที่อยู่ก็มีอะไรมุงอะไรบังก็เสร็จแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องทำด้วยไม้สักทำด้วยกระเบื้องลายเถาอะไรต่างๆ มีหญ้ามุงก็มุงมันไป มีไม้อะไรก็ใช้มันไปตามมีตามเกิดไป ขอให้มันใช้งานได้ก็พอ แล้วก็ไม่มากพอเพียง จะได้ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เพื่อจะได้เอาเวลามาสร้างพระในใจ

อยากจะบรรลุธรรมกันไม่ใช่เหรอ จะเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ต้องเอาองค์ประกอบที่สร้างพระสิ อะไรเป็นองค์ประกอบที่จะสร้างให้เป็นพระขึ้นมา ก็ “ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา” นี้ต่างหาก เหมือนกับเวลาที่เราจะสร้างศาลาหลังนี้เราก็ต้องไปเอาของประกอบขึ้น หาเสาหาไม้หากระเบื้องหาสังกะสีมามุงมาบัง ต้องมีวัสดุก่อสร้างถึงจะสามารถสร้างศาลาได้ ฉันใดการจะสร้างพระอริยะก็ต้องมีวัสดุก่อสร้างในการสร้างพระอริยะ วัสดุก่อสร้างที่จะสร้างให้พระอริยะเกิดขึ้นมาก็คือ “ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา” นี่เอง หามาสิ หาทาน ทำทานได้หรือยัง เสียสละได้หรือยัง ไม่มีของไม่มีเงินทองมากกว่าความจำเป็นได้หรือยัง หรือยังต้องมีนู่นมีนี่ ยังต้องใช้เงินใช้ทองพาไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ ถ้าอย่างนี้มันก็ติดอยู่กับการหาเงินใช้เงินอยู่ล่ะนะ แล้วมันจะเอาเวลาไปสร้างพระได้ยังไง ขั้นต้นนี้ต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไปให้หมด หลวงตาท่านก็เคยเขียนในปฏิปทาพระธุดงค์กัมมัฏฐานเล่าประวัติของพระอาจารย์รูปหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ท่านก็มีภรรยาไม่มีลูกเป็นคนมีฐานะ เป็นชาวนาชาวไร่แต่มีฐานะ มีไร่มีนามีวัวมีควายมีบ้านมีอะไรอยู่สุขสบาย แต่ชอบปฏิบัติธรรมชอบไปวัดจนถึงเวลาที่อยากจะออกบวชก็สละหมดเลย ประกาศบอกชาวบ้านใครอยากได้อะไรมาขอได้ ใครต้องการไม่มีวัวไม่มีควายมาขอเอาไปได้ ใครไม่มีที่ทำกินไม่มีไร่มีนาขอเอาไปได้ ใครไม่มีบ้านอยู่ขอให้ไป เขาสามีภรรยาเขาไม่เอาแล้วสมบัติเหล่านี้ เขาจะไปสร้างพระแล้ว เขาจะไปบวช สามีก็ไปบวชเป็นพระ ภรรยาก็ไปบวชเป็นชี แล้วสามีก็ไปศึกษากับหลวงปู่มั่น ไปปฏิบัติกับหลวงปู่มั่นจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่แหละคือการเป็นพระ ถ้าอยากจะบรรลุธรรมขั้นต่างๆ ดูประวัติของพระที่ท่านบรรลุสิว่าท่านบรรลุกันอย่างไร ก่อนที่ท่านจะบรรลุเป็นพระอริยะ ท่านก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ เป็นคนมีบ้านมีช่องเป็นผู้ครองเรือนมีครอบครัวมีบุตรมีธิดามีสามีมีภรรยากันทั้งนั้น ท่านก็ต้องสละของเหล่านี้ไปให้หมดถ้าอยากจะไปเป็นพระอริยะ เพราะพระอริยะไม่ต้องการมีอะไร ไม่ต้องการมีครอบครัวไม่ต้องการมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ไม่ต้องการมีบ้านใหญ่โตปราสาท ๓ ฤดู ของพวกนี้ไม่ใช่เป็นสมบัติของพระอริยเจ้า สมบัติของพระอริยเจ้าก็คือความว่าง ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างจากลาภยศสรรเสริญ ว่างจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ว่างจากสถานที่ สถานที่ไปอยู่ก็ว่างไม่มีอะไร นั่นแหละเป็นที่เขาสร้างพระอริยะกัน


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรรรามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
สร้างธรรมะให้เป็นที่พึ่งกับใจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1162 กระทู้ล่าสุด 02 กันยายน 2562 16:17:35
โดย Maintenence
“อานิสงส์ของความเมตตา” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1198 กระทู้ล่าสุด 04 กันยายน 2562 17:24:35
โดย Maintenence
“ทุกวันนี้เราทุกข์กับอะไร” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1083 กระทู้ล่าสุด 06 กันยายน 2562 09:54:10
โดย Maintenence
“ทำใจให้สงบ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1048 กระทู้ล่าสุด 07 กันยายน 2562 12:56:44
โดย Maintenence
“กระบวนการของการชำระจิตใจ” พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
สมถภาวนา - อภิญญาจิต
Maintenence 0 1258 กระทู้ล่าสุด 08 กันยายน 2562 11:10:15
โดย Maintenence
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.408 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 04 ตุลาคม 2567 03:28:51