[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 07:46:54 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: “ตายก็ช่างมัน จะได้ไปเกิดใหม่เป็นคนดีๆ"  (อ่าน 445 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2327


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 89.0.4389.114 Chrome 89.0.4389.114


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 03 เมษายน 2564 11:55:48 »


รูปเจ้าพระยาบดินทร์ที่ถ่ายไว้แต่ครั้งกระโน้น
ก๊อปปี้จากหนังสืองานศพ เสวกเอก พระยานครราชเสนี(สหัด สิงหเสนี)
หลานเหลนคนหนึ่งของเจ้าพระยา (ซีดี1065-005) สังเกตใต้ขาของท่าน
เคยมีตัวหนังสือ จารึกว่า “เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิง) จอมพลเอก แม่ทัพใหญ่ฝ่ายสยาม”


เจ้าพระยาบดินทร์ (สิงห์) เฆี่ยนลูกที่ลอบขายฝิ่น
“ตายก็ช่างมัน จะได้ไปเกิดใหม่เป็นคนดีๆ”

ผู้เขียน : เอนก นาวิกมูล
เผยแพร่ : ศิลปวัฒนธรรม วันพฤหัสที่ 1 เมษายน พ.ศ.2564


เพราะต้องไปดูของบริจาคให้บ้านพิพิธภัณฑ์ที่ถนนทรงวาดเมื่อ ส 23 มิถุนายน 2561 จึงถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมวัดจักรวรรดิ์หรือวัดสามปลื้มเสียด้วย

เข้าวัดสามปลื้มแล้วก็ต้องถ่ายรูปพระพุทธฉายและพระพุทธบาทจำลองเพื่อไปประกอบการบรรยายเรื่องงานวัดให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

เพราะงานวัดสามปลื้มเมื่อยุคต้นรัชกาลที่ 5 คนนิยมไปเที่ยวกันมาก เนื่องจากมีของแปลกๆจากตลาดสำเพ็งที่อยู่ติดวัดมาวางขายมากมาย (บรรยายไปแล้วเมื่อ ศ 29 มิถุนายน)

จากนั้นก็ต้องถ่ายรูปปั้นเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ (ของรัชกาลที่ 3)

ผู้ปฏิสังขรณ์วัดสามปลื้ม ผู้สร้างวัดตึกชัยชนะสงครามที่พวกคลองถมไปอาศัยจอดรถ สร้างวัดเทพลีลา ที่บางกะปิ และอีกหลายวัด

เจ้าพระยาบดินทร์ไปกรากกรำทำศึกสงครามในดินแดนลาวญวนเขมรอย่างต่อเนื่องนานถึง 15 ปี (15 ปีนะครับไม่ใช่ 5 ปี) เป็นคนทรหด เด็ดเดี่ยว รักแผ่นดิน ชิงชังคนไม่ซื่อสัตย์คดโกงสุดๆ

เห็นรูปปั้นเจ้าพระยาบดินทร์แล้วตกใจ

เพราะของเดิมเป็นสีดิบๆ อีกแบบ แต่บัดนี้ทางวัดได้ทาสีทองเหลืองอร่ามทับลงไปเช่นเดียวกับรูปแกะสลักนายนกนายเรืองที่เผาตัวเอง หน้าโบสถ์วัดอรุณ นั่นก็ทาสีทอง แทนที่จะเก็บสีหินแกรนิตเดิมเอาไว้ (แถมหัวนายเรืองก็ถูกคนร้ายใจชั่วบั่นไปเสียตั้งแต่ราวปี 2537)

กลั้นสะอื้นถ่ายรูปเจ้าพระยาบดินทร์แล้วก็ต้องมาอ่านหนังสือประวัติเจ้าพระยาบดินทร์และอ่านหนังสือชื่อ “อานามสยามยุทธ” ที่นายกุหลาบ ตฤษณานนท์เขียนและพิมพ์เมื่อสมัย ร.5 พ.ศ.2444 สำนักพิมพ์แพร่พิทยานำมาพิมพ์ซ้ำเป็น 2 เล่มจบเมื่อ พ.ศ.2514

หนังสือ 2 เล่มนี้นายกุหลาบแถลงว่ารวบรวมจากจดหมายเหตุของเจ้าพระยามุขมนตรี (เกต) บุตรเจ้าพระยาบดินทร์บ้าง ไปถามจากคุณจอมกลีบ บุตรีเจ้าพระยาบดินทร์บ้าง ไปถามจากลูกหลานคนอื่นๆ ของเจ้าพระยาบดินทร์บ้าง

เจ้าพระยาบดินทรที่รัชกาลที่ 3 ทรงเรียกด้วยความยกย่องว่า พี่บดินทร์นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีความกล้าหาญและเฉียบขาดจริงๆ เกิด พ.ศ.2320 ถึงแก่อสัญกรรมด้วยอหิวาตกโรคเมื่อ พ.ศ 2392 ปลายสมัยรัชกาลที่ 3 อายุ 72 ปี

หนังสือกล่าวตอนหนี่งว่า ครั้งหนึ่งนายแสง หลานชายของเจ้าพระยาบดินทร์หลบกระสุนปืนข้าศึกไปแอบอยู่ที่หลักจังกูดหางเสือเรือรบ พอท่านทราบท่านก็ฆ่าเสียเพราะถือว่าเป็นคนขี้ขลาด

อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นเรื่องนายแสงมหาดเล็กหุ้มแพร คนนี้เป็นบุตรของท่านเอง แต่ชื่อซ้ำกับนายแสงหลานชายคนที่กล่าวไปแล้ว

เรื่องของเรื่องคือนายแสงไปแอบลักลอบขายฝิ่นซึ่งรัชกาลที่ 3 ทรงห้ามนักห้ามหนาไม่ให้ขายในพระราชอาณาจักร พอจมื่นไชยพร (พิน) จับได้ ก็นำความไปกราบเรียนเจ้าพระยาบดินทร์ เจ้าพระยาบดินทร์ก็มีบัญชาให้นายพินนำคามาสวมศีรษะนายแสง มัดมือมัดเท้าโยงกับหลักปักขื่อคาแล้วให้นำหวายมาเฆี่ยนหลังที่หน้าหอนั่งในจวนของท่าน

เมื่อราชมัลทะลวงฟันเฆี่ยนไปได้ 84 ที นายแสงก็สลบอยู่กับคา (ราชมัล-เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ทำโทษคน นายกุหลาบพูดต่อกันกับทะลวงฟัน… คำว่าทะลวงฟันนี่เราคุ้นหูเช่นหัวหมู่ทะลวงฟัน แต่ไม่มีในพจนานุกรม เราจะอธิบายอย่างไรกันดี)

เจ้าหมื่นสรรพเพธภักดี (ปาน) บุตรเขยของเจ้าพระยาบดินทร์ นําความไปกราบเรียนขอแก้มัดออกมาพักรักษาให้หายก่อนแล้วจึงจะเฆี่ยนต่อ แต่ท่านกลับถามว่าเฆี่ยนได้เท่าไร

เจ้าหมื่นฯ กราบเรียนว่า 84 ที ยังขาดอีก 16 จึงจะครบ 100 เจ้าพระยาบดินทร์ก็สั่งให้เฆี่ยนต่อไปอีกให้ครบร้อย

เจ้าหมื่นฯ กราบเรียนว่าถ้าเฆี่ยนต่อ เห็นจะตายในคา ท่านก็ว่า “ตายก็ช่างมันเถิด จะได้ไปเกิดใหม่ให้เป็นคนดีๆ”

เจ้าหมื่นสรรพเพธกลัวอาญาก็กราบลาออกมา สั่งให้ราชมัลทะลวงฟันเฆี่ยนหลังนายแสงต่อจนครบร้อยแล้วเข้าไปกราบเรียนว่าครบ 100 ทีแล้ว

เจ้าพระยาบดินทร์ถามว่าตายแล้วหรือยัง กราบเรียนว่ายังไม่ตาย ก็มีบัญชาสั่งว่าให้ปล่อยตัวไปทำราชการดังเก่า….

คืนวันนั้นนายแสงไปเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 3 ในพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยทั้งที่หลังลายโลหิตไหลติดหลังมีแผลอยู่นั้น

สมัยรัชกาลที่ 3 นั้นมีธรรมเนียมว่าถ้ายังไม่ถึงเวลาลดโคม ถึงจะหนาวอย่างไรก็สวมเสื้อเข้าเฝ้าไม่ได้

พอรัชกาลที่ 3 เสด็จออกขุนนางไม่เห็นเจ้าพระยาบดินทร์ก็ทรงถามพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ว่าเหตุใดวันนี้จึงมาเฝ้าดึก

พระยาศรีพิพัฒน์กราบทูลว่าตนได้ชักชวนพระยาราชนิกูล (เสือ)+พระยาอภัยฤทธิ์ (บุญนาก)+พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) ซึ่งสามคนนี้ชอบพอกับเจ้าพระยาบดินทร์ ไปขอโทษแทนนายแสง จึงกลับมาเข้าเฝ้าไม่ทันเวลา พระราชอาญาเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อม

รัชกาลที่ 3 ทรงซักถามขุนนางทั้งสามไปตามลำดับ ทุกคนก็ตอบว่าเกรงบารมีเจ้าคุณแม่ทัพ ไม่อาจขอร้องประการใดได้ เมื่อเฆี่ยนเสร็จ เจ้าคุณแม่ทัพก็ลุกขึ้นเข้าข้างใน มิได้ทักทายพูดจากับผู้ใดเลย

รัชกาลที่ 3 ทรงถามพระยาราชสุภาวดี (โต กัลยาณมิตร) บ้างว่าได้ไปกับเขาด้วยหรือ

พระยาราชสุภาวดี (โต) กราบบังคมทูลว่าพี่ชายของนายแสงมาขอให้ไปอ้อนวอน ตนก็ต้องไป พอไปถึงจวน ท่านเจ้าคุณก็พูดดักไว้ว่า

“เราเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ต่างพระเนตรพระกรรณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เราเห็นว่าผู้ใดเป็นเสี้ยนหนามหลักตอต่อทางราชการแผ่นดินแผ่นทราย ประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายแล้วเรามีอำนาจอันชอบธรรมที่จะลงโทษผู้กระทำผิดได้….”

เป็นอันว่าทุกคนจนใจพูดไม่ออก จากนั้นรัชกาลที่ 3 ก็สั่งให้นายแสงเข้าไปเฝ้าใกล้ๆ นายแสงก็คลานเข้าไปให้ทอดพระเนตร

รัชกาลที่ 3 ทรงเห็นว่าเป็นรอยยับเหมือนสับฟากและสับเขียง ทรงรู้สึกสังเวชสลดพระราชหฤทัยในความดุร้ายของเจ้าพระยาบดินทร์ จากนั้นจึงทรงสั่งขุนธนศักดิ์ (ม่วง) ว่า

“อ้ายธนศักดิ์ มึงเอาเงิน 5 ชั่งในคลังให้แก่อ้ายแสงมันไปเจียดยามารักษาแผลที่หลังมันด้วย”

รับสั่งเท่านี้แล้วก็เสด็จเข้าในพระราชมณเฑียร…



รูปเจ้าพระยาบดินทร์ เป็นรูปที่พระพุฒาจารย์ (มา) เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 วัดจักรวรรดิราชาวาส
ให้ช่างจำลองขึ้นเมื่อ พ.ศ.2441 หรือเมื่อ 120 ปีก่อน นายกุหลาบเขียนว่า “ปั้น”
แต่ผมมองว่า “หล่อ” เพราะเห็นลายผ้านุ่ง ดูเป็นดอกเป็นดวงอย่างเขาหล่อลายดอกพิกุล
บนพระพุทธรูปยุคเก่า ช่างไทยถ่ายแบบจากรูปปั้นฝีมือพระภิกษุชาวเขมรที่ชื่อสุก ปั้นไว้
ในวัดโพธาราม เมืองอุดรมีชัย มาอีกที คนไทยบ้าปิดทองแต่ก่อนรูปเจ้าพระยาบดินทร์มีคน
ไปปิดทองจนตัวบวม นั่นก็ว่ามากแล้ว ปัจจุบันทางวัดคิดอย่างไรไม่ทราบ เลยเอาสีทองไป
ทาทับรูปของเดิมเสียเลย เจ้าพระยากลายเป็นคนตาบอด ลืมตาไม่ขึ้น และกลายเป็น
พระสังข์ทองไปอย่างช่วยไม่ได้


Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 เมษายน 2564 12:02:18 โดย ใบบุญ » บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.323 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 27 มีนาคม 2567 19:30:20